ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
341 | ข้อเสนอการปฏิรูปกิจการตำรวจของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) | ยธ | 25/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอการปฏิรูปกิจการตำรวจของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ตามมติ กพยช. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ ซึ่งได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการสอบสวน งานนิติวิทยาศาสตร์ อำนาจหน้าที่และภารกิจของตำรวจ ระบบการบริหารงานบุคคล และระบบค่าตอบแทน ตามที่ประธาน กพยช. เสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งข้อเสนอการปฏิรูปกิจการตำรวจดังกล่าวและความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเห็น ดังนี้ ๒.๑ การพัฒนาระบบค่าตอบแทนควรพิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง สำหรับข้อเสนอในเรื่องการพัฒนาความร่วมมือในการบริหารจัดการภารกิจและการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าตอบแทนแก่ข้าราชการตำรวจที่ได้ปฏิบัติภารกิจร่วมกับชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีข้อเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการปฏิบัติงานของตำรวจจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นควรพิจารณาให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่และความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.๒ ควรเน้นให้สถานีตำรวจเป็นศูนย์กลางในการบริการประชาชน และให้ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปฏิบัติภารกิจของตำรวจ รวมทั้งลดภาระงานที่ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของตำรวจโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและระบบค่าตอบแทนได้สอดคล้องกัน นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นการสร้างธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรมในการบริหารราชการและการบริหารงานบุคคลเพื่อให้เกิดความเชื่อถือไว้วางใจต่อสาธารณชนมากขึ้น ๒.๓ ควรปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม และควรโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรือถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
342 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (จำนวน 17 คน/รูป 1. นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ฯลฯ) | ศธ | 25/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๑๗ คน/รูป แทนประธานกรรมการและกรรมการชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปีแล้ว เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานกรรมการ ๒. นายพิทักษ์ บัวแสงใส กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน ๓. นายนุชากร มาศฉมาดล กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. นางสาวทินสิริ ศิริโพธิ์ กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๕. ผู้ช่วยศาสตราจารย์กวิสรา รัตนากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการประถมศึกษา) ๖. นายจงภพ ชูประทีป กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ) ๗. นางบุสบง พรหมจันทร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการมัธยมศึกษา) ๘. นางสาวเบญจพร ปัญญายง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษาปฐมวัย) ๙. นายพิศณุ ศรีพล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) ๑๐. ว่าที่ร้อยตรี ไพศาล ประทุมชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการงบประมาณ การเงิน และการคลัง) ๑๑. รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านอุตสาหกรรม) ๑๒. นางศรินธร วิทยะสิรินันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษาเพื่อคนพิการ) ๑๓. นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านธุรกิจและการบริการ) ๑๔. นางสาวสุรภี โสรัจจกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการบริหารงานบุคคล) ๑๕. นางแสงระวี วาจาวุทธ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส ด้านการศึกษาเอกชน และด้านการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ) ๑๖. รองศาสตราจารย์เอกชัย กี่สุขพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการบริหารการศึกษา) ๑๗. พระพรหมดิลก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านพุทธศาสนาและการศึกษา)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
343 | ขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 11/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โดยอิงกับบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเสียภาษีของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในช่วงปีภาษี ๒๕๕๒-๒๕๕๔ โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เฉพาะในส่วนของพื้นที่ที่ ทอท. ใช้ประโยชน์เองและพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่ง ทอท. จะเป็นผู้รับภาระภาษีในส่วนนี้เองทั้งหมด จากค่ารายปีที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ราชาเทวะประเมิน จำนวนเงิน ๓๗๖,๐๔๑,๑๖๘ บาท คำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำนวน ๔๗,๐๐๕,๑๔๖ บาท ลดลงเหลือเป็นค่ารายปี จำนวนเงิน ๑๙๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท คำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำนวน ๒๔,๓๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้ อบต. ราชาเทวะคืนเงินค่าภาษีให้กับ ทอท. ซึ่งเป็นผลจากการลดหย่อนค่ารายปี (ตามข้อ ๑) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๒๒,๗๐๕,๑๔๖ บาท จากที่ ทอท. เสนอคณะรัฐมนตรีขอคืนเงินค่าภาษีจาก อบต. ราชาเทวะ ในปีภาษี ๒๕๕๒-๒๕๕๔ เป็นจำนวนเงิน ๑๐๓,๑๑๑,๖๔๖ บาท ๓. สำหรับในช่วงปีภาษี ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เห็นควรให้การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของ ทอท. เป็นไปตามที่ อบต. ราชาเทวะประเมิน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
344 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 30 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 มีนาคม 2560) | นร04 | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้าและร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... การปรับปรุงระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาล ประสิทธิภาพ และการพัฒนาบุคลากรภาครัฐและร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... การปฏิรูปแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การบริหารงานภาครัฐที่เปิดเผยข้อมูลและร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. ..... การปฏิรูปความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้าและร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... การจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยและร่างพระราชบัญญัติการแจ้งเตือนภัยและจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค พ.ศ..... การปฏิรูปประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และการปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน ในประเด็นการปฏิรูปค่าตอบแทนและสิ่งจูงใจพิเศษเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การบูรณาการระบบการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทำของคนพิการ การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน การดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดงานส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) การขับเคลื่อนพัฒนาและส่งเสริม SMEs การส่งเสริมสมุนไพรไทย การขับเคลื่อนแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการจัดงานส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และทัศนคติที่ดีต่อไทย การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น และการเปิดตัวแอปพลิเคชัน "Street Food Phuket" "Street Food Chiang Mai-Chiang Rai" และ "Street Food Bangkok" ในรูปแบบภาษาจีน ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การอบรมอาสาสมัครคุมประพฤติเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชน การดำเนินโครงการพัฒนาระบบศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนที่มีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล การจัดกิจกรรมในการพัฒนาเครือข่ายการปฏิบัติงานรับเรื่องร้องทุกข์ของส่วนราชการระดับกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระ และการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสำหรับนักลงทุนชาวต่างชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
345 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 29 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 28 กุมภาพันธ์ 2560) | นร | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๙ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปการเงินฐานรากและร่างพระราชบัญญัติสถาบันการเงินชุมชน การปฏิรูประบบการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ประชาชน การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปกฎหมายและระบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนของประเทศ ระบบการแพทย์ฉุกเฉินช่วงก่อนถึงโรงพยาบาล การปฏิรูปโครงสร้างองค์กรภาครัฐ การจัดความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น : การปฏิรูปการบริหารจัดการของหน่วยรับผิดชอบงานทาง ธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... และการปฏิรูปการดำเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยและแนวทางการดำเนินงานไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การจัดทำโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โครงการห้องเรียนกีฬา โครงการโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือและพัฒนาเป็นพิเศษอย่างเร่งด่วน (โรงเรียนไอซียู) การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา และการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ การดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังด้วยมาตรการสนับสนุนสินเชื่อ การดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติม การดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหารไทย ประจำปี ๒๕๖๐ การดูแลผู้บริโภคหลังการปรับราคาจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้ม และการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ ได้พัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้มีสมรรถนะและทักษะฝีมือตามมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากลอันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เข้มแข็งและยั่งยืน รวมถึงเพื่อเป็นการส่งเสริมและผลักดันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับสากล ตลอดจนเพื่อส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
346 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งภาพรวมสถิติที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๙๙๓ ครั้ง รวมจำนวน ๒๓,๖๗๖ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๐,๕๔๔ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๗๗ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย หนี้สินนอกระบบ แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด และแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน ตามลำดับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
347 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2560 - 2564 | สธ | 06/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดการงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพ (๒) สร้างความร่วมมือพหุภาคีและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแนวทางประชารัฐ (๓) สร้างความเข้มแข็งระบบบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม และ (๔) เสริมสร้างขีดความสามารถของประชาชน บุคลากรและภาคีเครือข่ายด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้มีความรอบรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
348 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบและระเบียบในการแต่งเครื่องแบบของกรรมการหมู่บ้าน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
349 | มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น | มท | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่าย จากเดิมกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว ให้สามารถก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว ให้สามารถก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และเบิกจ่ายตามงวดงาน รวมทั้งเห็นชอบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลตามมาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Matching Fund) จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามรายละเอียดโครงการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขอรับการสนับสนุน ภายในกรอบวงเงิน ๙,๘๙๗.๕๐ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ (เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น) สำหรับการขอยกเว้นการใช้จ่ายเงินสะสมเป็นลำดับแรกก่อนนั้น เนื่องจากรัฐบาลมีเจตนารมณ์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพด้านการเงินการคลังนำเงินสะสมมาใช้จ่าย เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งการดำเนินการตามหลักการดังกล่าวจะช่วยรัฐบาลลดภาระงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น อันมีอยู่อย่างจำกัดและต้องสำรองไว้สำหรับภารกิจยุทธศาสตร์ที่จำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง จึงเห็นสมควรให้ดำเนินการตามหลักการเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
350 | (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ (ฉบับที่ 1) (พ.ศ. 2560 - 2564) | นร | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการบูรณาการการคุ้มครองผู้บริโภคทุกภาคส่วนและการคุ้มครองผู้บริโภคในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการเป็น ๕ ยุทธศาสตร์ ๑๕ กลยุทธ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงและการบูรณาการการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรก และปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้งบประมาณ รวมทั้งจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. อาทิ การให้ความสำคัญกับการเตรียมการเพื่อรองรับกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะการยกระดับศักยภาพการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งในด้านการพัฒนากฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค การกำหนดกลยุทธ์รองรับประเด็นตามวาระการปฏิรูปทั้ง ๖ ประเด็นให้ชัดเจน และการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคโดยตรงเป็นลำดับแรก เช่น การแก้ปัญหาข้อร้องเรียนของผู้บริโภคให้ได้ข้อยุติเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม การกำหนดมาตรฐานระยะเวลาการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนในแต่ละประเภทเรื่องให้มีความชัดเจน รวมทั้งการขยายการดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจประเภทต่าง ๆ เช่น ธุรกิจทางการเงิน ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจซื้อขาย online โดยให้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรง ๒.๒ ในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๒ (การพัฒนาระบบฐานข้อมูลในการคุ้มครองผู้บริโภค) ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ถูกร้องเรียนในแต่ละประเภทกิจการให้เชื่อมต่อไปยังหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการได้ต่อไป รวมทั้งให้นำข้อมูลการออกใบอนุญาตมาใช้เป็นฐานข้อมูลในการติดตามคุ้มครองผู้บริโภคต่อไปด้วย ๒.๓ ในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๓ (การพัฒนาองค์ความรู้และการสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค) ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพัฒนาระบบการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของผู้บริโภคในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับภาครัฐ โดยอาจพิจารณาให้มีทีมงานที่ทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบข่าวสารที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวกับการเอาเปรียบผู้บริโภคเพื่อให้คำแนะนำหรือแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นให้แก่ผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกับกรณีการดำเนินการของกรมทรัพย์สินทางปัญญา (IP man) ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศทราบ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมการยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
351 | สรุปผลการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | มท | 02/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙-๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ มีหมู่บ้านเสนอโครงการ จำนวน ๘๒,๓๓๖ โครงการ เป็นเงิน ๑๘,๖๖๐,๔๑๗,๔๙๘ บาท และหมู่บ้านเบิกจ่ายงบประมาณ จำนวน ๘๒,๓๑๘ โครงการ เป็นเงิน ๑๘,๖๔๘,๗๑๒,๕๙๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๘ หมู่บ้านไม่สามารถดำเนินการโครงการได้ ๑๘ โครงการ เป็นเงิน ๓,๔๕๒,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ ๒. การติดตามการดำเนินโครงการ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองได้มีการติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะดำเนินการเข้าตรวจสอบการดำเนินงานโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ๓. การประเมินผลโครงการ จากการดำเนินการโดยวิธีการสุ่มประเมินหมู่บ้าน จำนวน ๖๐๐ หมู่บ้าน ๖,๐๐๐ คน ผลการประเมินพบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจเป็นอย่างมากต่อโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๒๐ ๔. ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ได้แก่ (๑) ควรมีการจัดสรรงบประมาณในลักษณะเช่นเดียวกับโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ ให้แก่หมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง (๒) การสนับสนุนงบประมาณควรเป็นไปตามขนาดของหมู่บ้าน เช่น ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ (๓) ควรกำหนดระยะเวลาการดำเนินการตามโครงการให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนในพื้นที่สามารถวางแผนการดำเนินการตามโครงการได้เอง โดยไม่ต้องจ้างผู้รับจ้างดำเนินการแทน (๔) ควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณลักษณะเช่นเดียวกันที่กำหนดให้หมู่บ้านเป็นผู้ดำเนินการเอง และ (๕) ควรให้หมู่บ้านดำเนินโครงการให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยไม่ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการดำเนินโครงการตามแบบราชการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
352 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ... | สว | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. .... โดยเห็นว่าการดำเนินการติดตามผู้ต้องขังภายหลังพ้นโทษ กรมราชทัณฑ์มีข้อมูลผู้ต้องขังครบถ้วน มีการจัดทำบัญชีก่อนปล่อยผู้ต้องขังอย่างครอบคลุม โดยกรมราชทัณฑ์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นในการสงเคราะห์ผู้ต้องขังหลังพ้นโทษ มีการเก็บรวบรวมประวัติของผู้ต้องขัง และจัดเก็บสถิติการกระทำความผิดซ้ำอย่างต่อเนื่องทุกปี ส่วนกรณีผู้ติดยาเสพติดควรได้รับการบำบัดรักษาแทนที่จะนำเข้ากระบวนการยุติธรรมนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำประมวลกฎหมายยาเสพติดมีหลักการ “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” สำหรับการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านกระบวนการยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ได้เชื่อมโยงผ่านระบบ Data Exchange Center เพื่อแลกเปลี่ยนและใช้ประโยชน์ข้อมูลร่วมกัน และกรณีการพักการลงโทษและการลดวันต้องโทษจำคุก กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ได้กำหนดประเภทและลักษณะความผิดไว้โดยเทียบเคียงฐานความผิดจากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ นอกจากนี้ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ การออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ต้องขังที่เจ็บป่วยไปรักษานอกเรือนจำ และการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ต้องขังที่มีความพิการในด้านต่าง ๆ กรมราชทัณฑ์รับทราบตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ และถือปฏิบัติเป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
353 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าภูเก็ต และเมืองเก่าระนอง | ทส | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าภูเก็ต และเมืองเก่าระนอง เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ รวมทั้งกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาเป็นแนวทางในการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บท กลไก และกระบวนการบริหารจัดการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่า เพื่อให้บริเวณเมืองเก่าได้รับการคุ้มครอง ดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสม มีการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวหรืออยู่ในเส้นทาง/เขตทาง/พื้นที่ ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมเจ้าท่า ซึ่งอาจมีการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เมืองเก่าต้องมีการตรวจสอบร่วมกันอีกครั้ง และพิจารณาแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าและกรอบเวลาให้ชัดเจนเพื่อให้หน่วยงานสามารถวางแผนงาน/โครงการได้ รวมทั้งขยายขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าราชบุรีออกไปให้ครอบคลุมพื้นที่วัดสัตตนารถปริวัตร เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นโบราณสถานตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ที่แก้ไขเพิ่มเติม นอกจากนี้ การดำเนินการใด ๆ กับโบราณสถาน ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการนำกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่าไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
354 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ซึ่งที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สิ้นสุดลงแล้ว ได้แก่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 (ปรับปรุงใหม่) มาตรการเพื่อส่งเสริมการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลางของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐ ๒. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานในปี ๒๕๕๙ ของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน (Action Plan) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓. รับทราบความก้าวหน้าในเรื่องต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน โครงการบ้านประชารัฐ โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ และมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น เป็นต้น ๔. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานในส่วนของมาตรการฟื้นฟู SMEs ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้โดยเร็ว ๕. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขและข้อจำกัดของการใช้เงินสนับสนุนของมาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Matching Fund) ภายใต้มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น และรายงานผลการหารือต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ต่อไป ๖. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรายงานความก้าวหน้า ปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งแนวทางแก้ไขในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง (Action Plan) ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๖๐ และการดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ทุกสามเดือน ๗. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ดำเนินการใกล้สิ้นสุดโครงการแล้ว) และมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (สิ้นสุดมาตรการแล้ว) ออกจากกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ใช้ในการติดตามความคืบหน้า
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
355 | การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2560 | มท | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดเมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนรวบรวมปัญหา และข้อเท็จจริงเป็นฐานข้อมูลกลางให้ส่วนราชการใช้ร่วมกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติ และให้อำเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อำเภอ/ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น พร้อมทั้งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบประจำศูนย์ฯ และแบ่งมอบหน้าที่การปฏิบัติอย่างชัดเจนและเป็นระบบ ๒. ให้จังหวัดประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของจังหวัด โดยให้พิจารณาประกาศพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกเป็นรายตำบลเฉพาะหมู่บ้านที่มีสถานการณ์ภัยแล้งเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น รวมทั้งรายงานข้อมูลจำนวนราษฎรและครัวเรือนที่ประสบภัยแล้งตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และให้ประสานข้อมูลพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายแล้วและที่คาดว่าจะเสียหายกับสำนักงานเกษตรจังหวัด โดยใช้ข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดเป็นหลัก ๓. ให้สรุปสถานการณ์ภัยแล้งและการให้ความช่วยเหลือที่ได้ดำเนินการแล้วในด้านต่าง ๆ และจัดส่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกวันจันทร์ โดยเริ่มรายงานครั้งแรกในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะเข้าสู่สภาวะปกติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
356 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (เช่าที่ดินเพื่อเป็นที่ตั้งหน่วยงานของกรมประมง ระยะเวลา 20 ปี) | กษ | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมพิจารณาอัตราค่าเช่าที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้งหน่วยงานของกรมประมง ระยะเวลา ๒๐ ปี (ที่ดินของศาสนสมบัติกลาง ลออ บางพึ่ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๑ งาน ๙๖ ตารางวา) โดยองค์ประกอบคณะกรรมการประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อให้การกำหนดอัตราค่าเช่ามีความสมเหตุสมผลและเป็นธรรม โดยเมื่อได้ผลการพิจารณาเป็นประการใดแล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ เห็นควรให้กรมประมงเจรจาต่อรองขอจ่ายค่าเช่าที่ดินในอัตราเดิมไปจนกว่าจะได้ข้อยุติ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรแล้ว และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมของภารกิจและสถานที่ตั้งของหน่วยงานกรมประมง หรือการลดขนาดพื้นที่การเช่าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ข้อจำกัดด้านงบประมาณของกรมประมง และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการประมงในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทาง/มาตรการป้องกันหรือแก้ไขปัญหากรณีที่หน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ปรับอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่หน่วยงานราชการอื่นได้เช่าใช้ประโยชน์ โดยปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบเคียงกับอัตราการปรับเพิ่มโดยทั่วไป เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณของรัฐ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
357 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต | สธ | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสามารถเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งจะทำให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับอัตราค่าใช้จ่ายและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหรือตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต ให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินและคาดการณ์ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น และให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบส่งต่อเมื่อพ้นภาวะวิกฤตในกรณีต้องย้ายกลับโรงพยาบาลรัฐ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลังในประเด็นการสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. เห็นชอบให้สถานพยาบาลภาครัฐทุกแห่งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ และให้สถานพยาบาลภาครัฐรับย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหลังเวลา ๗๒ ชั่วโมง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม หน่วยงานของรัฐ และกองทุนต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุขดำเนินการตามหลักเกณฑ์ฯ และจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎ ระเบียบของหน่วยงานหรือกองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้รองรับการจ่ายเงินคืนแก่สถานพยาบาลตามหลักเกณฑ์ฯ ได้ โดยเร็วต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ๔. หากมีการทบทวนปรับปรุงบัญชีและอัตราค่าใช้จ่าย ตามข้อ ๑๒ ของหลักเกณฑ์ฯ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๓๖ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๕. ในส่วนที่ขอความเห็นชอบให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติดำเนินการตามหลักเกณฑ์ฯ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินทั้งระบบเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน นั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
358 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว" ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 21/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว” ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดประชุมหารือร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีมติเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะให้มีการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับเมืองท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
359 | ยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ 20 ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. 2560 - 2564 | ทส | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ลด และควบคุมมลพิษที่มีประสิทธิผล สร้างระบบและกลไกการบริหารจัดการมลพิษที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม และบุคลากรให้มีศักยภาพในการจัดการมลพิษ รวมทั้งสร้างหุ้นส่วนการมีส่วนร่วมในการจัดการมลพิษ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (๒) เพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัด กำจัดของเสียและควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด และ (๓) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการมลพิษ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี โดยเฉพาะในระยะ ๕ ปีแรก และดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ และแผนการจัดการดังกล่าวต่อไป ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการปรับปรุงเป้าหมายของยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี ให้สะท้อนภาพอนาคตในระยะ ๒๐ ปี ซึ่งกำหนดว่า “การพัฒนาประเทศเป็นไปตามหลักสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Cabon Society) และไร้ของเสีย (Zero Waste)” รวมทั้งควรเพิ่มตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายเพื่อวัดการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เนื่องจากไม่สามารถสะท้อนความก้าวหน้าในการดำเนินงานเพื่อใช้ในการติดตามประเมินผล และในส่วนของแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ หน่วยงานที่รับผิดชอบและทิศทางการดำเนินงานในระยะยาวควรมีความสอดคล้องกับโครงการ/กิจกรรมสำคัญในระยะ ๕ ปี ควรมีการกำหนดหน่วยงานสนับสนุนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมนอกจากหน่วยงานหลักเพื่อความชัดเจนในการดำเนินงานร่วมกัน และควรมีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนปฏิบัติการและการดำเนินงานตามแผนจัดการดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับงบประมาณในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วนก็ให้เสนอขอรับการสนับสนุนจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำข้อเสนองบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เชื่อมโยงผ่านการจัดทำแผนพัฒนาภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้ครอบคลุมครบถ้วน รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงโทษและอันตรายที่เกิดขึ้นจากมลพิษต่าง ๆ หากไม่ดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือและเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ๔. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งเรื่อง ยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ให้คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมการยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
360 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย พ.ศ. .... | มท | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้แตกต่างกันโดยคำนึงถึงปริมาณสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย ระยะเวลา การจัดเก็บ ลักษณะการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย รวมทั้งต้นทุนและความคุ้มค่าในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย เพื่อให้การจัดเก็บค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และให้ราชการส่วนท้องถิ่นสามารถนำไปเป็นหลักเกณฑ์ในการออกข้อกำหนดของท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ถือว่าเนื่องจากระยะเวลาการดำเนินการออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นระยะเวลาเร่งรัด และการออกกฎกระทรวงนี้มีผลกระทบต่อประชาชนซึ่งสมควรสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ตามมาตรา ๗๗ ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงให้ดำเนินการดังกล่าว และให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอิสระที่จะพิจารณากำหนดอัตราการเพิ่มค่าธรรมเนียมและการลดค่าธรรมเนียมการเก็บ และขนมูลฝอย และกำจัดมูลฝอยได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ อปท. ออกข้อกำหนดของท้องถิ่นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นแนวทางเดียวกันทั้งประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ พร้อมกับสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนในการลดและคัดแยกขยะที่ถูกต้อง ต้นทุนในการบริหารจัดการขยะ และผลกระทบที่เกิดขึ้นหากมีการจัดการขยะอย่างไม่ถูกต้อง ตลอดจนสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนได้รับทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นในการปรับอัตราค่าธรรมเนียมสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยใหม่ และมีมาตรการรองรับในกรณีที่ประชาชนบางกลุ่มอาจลักลอบนำขยะมูลฝอยไปทิ้งในพื้นที่สาธารณะ พื้นที่รกร้างว่างเปล่า กลายเป็นปัญหาขยะสะสมในหลาย ๆ พื้นที่จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมตามมาได้ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
.....