ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
201 | แนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ | พณ | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (Government to Government : G to G) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ หลักการสำคัญในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G (๑) รัฐบาลของประเทศคู่เจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทยจะต้องเป็นหน่วยงานรัฐบาลหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรให้ดำเนินการแทนรัฐบาลเท่านั้น เว้นแต่หน่วยงานผู้แทนรัฐบาลของประเทศผู้ซื้อบางประเทศที่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวเพียงหน่วยงานเดียวโดยไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาช้านาน (๒) การชำระเงิน ต้องเป็นการชำระเงินระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องสามารถตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าวได้ และ (๓) จะต้องส่งข้าวออกไปจากประเทศไทยจริง ๑.๒ ขั้นตอนในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G โดยทั่วไปจะเริ่มจากรัฐบาลประเทศผู้ซื้อแจ้งความประสงค์ขอซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย โดยมีหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์หรือกรมการค้าต่างประเทศโดยตรง หรือมีหนังสือผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศหรือช่องทางการทูต เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อีกทางหนึ่ง ส่วนการเจรจาซื้อขายข้าว รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะเจรจาภายใต้กรอบที่ได้รับความเห็นชอบ จนกระทั่งสามารถตกลงราคาและรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ในร่างสัญญาได้แล้ว ๑.๓ การเปิดเผยข้อมูลในสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G จะพิจารณาเปิดเผยข้อมูลบางส่วนตามความเหมาะสม โดยไม่ขัดต่อข้อกำหนดในสัญญาและไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศผู้ซื้อ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรให้รัฐบาลกลางของประเทศผู้ซื้อมีหนังสือถึงรัฐบาลไทยยืนยันการมอบอำนาจในกรณีที่จะให้รัฐวิสาหกิจหรือเอกชนของประเทศตนเป็นผู้ดำเนินการตามสัญญาซื้อขาย เนื่องจากประเทศ เช่น จีน มีรัฐวิสาหกิจในหลายระดับ ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
202 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 | นร14 | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานการประชุม ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) แผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (๒) แผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ (๓) กรอบแนวทางเพื่อการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สอยทรัพยากรน้ำสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ (๔) ร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด ๒. เรื่องเสนอเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. (๒) ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรีสัญจร และงานนโยบายที่นายกรัฐมนตรีตรวจพื้นที่ (๓) ผลการดำเนินการของคณะกรรมการลุ่มน้ำ และ (๔) รายงานผลการดำเนินการตามมติ กนช. เมื่อคราวประชุม กนช. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
203 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร01 | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ “หลักสูตรหลักประจำ” รุ่นที่ ๔/๖๒ หน่วยราชการในพระองค์ฯ ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรฯ ระหว่างวันที่ ๕ พฤศจิกายน-๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ โรงเรียนจิตรอาสาพระราชทาน เพื่อสร้างจิตสำนึก สร้างระเบียบวินัย สามารถเป็นกลจักรสำคัญในการประสานความร่วมมือ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ๒. การจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานมีความประสงค์ขอให้กระทรวงมหาดไทยประสานจังหวัด อำเภอ จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างน้อย ๕๐ คน/แห่ง เพื่อเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในระดับพื้นที่ ๓. การจัดกิจกรรมในช่วงพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ โดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน กำหนดให้จัดกิจกรรมในช่วงพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ เพื่อเปิดโอกาสให้จิตอาสาพระราชทานและประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๔. แนวทางปฏิบัติการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย เพื่อให้ส่วนราชการ ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานภาค ๑-๔ และจังหวัด ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทยดังกล่าวให้ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด จังหวัด และกรุงเทพมหานครทราบและถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
204 | รายงานประจำปี 2561 ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 28/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการดำเนินงานที่สำคัญเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ของ ก.ก.ถ. และคณะอนุกรรมการฯ ต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) การทบทวนและจัดทำร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. .... และร่างแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. .... (๒) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนการบริหารจัดการภารกิจถ่ายโอนแหล่งน้ำ (๓) การกำหนดสัดส่วนรายได้ของ อปท. รายได้สุทธิของรัฐบาล (๔) การติดตามผลการดำเนินงานตามภารกิจถ่ายโอนของ อปท. (๕) การจัดทำร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่ อปท. และร่างกฎหมายที่แก้ไขตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
205 | ขอความเห็นชอบกรอบโครงสร้างศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำ | นร14 | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบโครงสร้างศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำ เพื่อเป็นการบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันของหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมป้องกัน แก้ไข ควบคุม ระงับ หรือบรรเทาผลร้ายจากความเสียหายด้านน้ำที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที และเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในกรณีเกิดภาวะวิกฤติ โดยศูนย์ดังกล่าวประกอบด้วยโครงสร้างที่กำหนดตามระดับสาธารณภัยด้านน้ำที่เกิดขึ้น ๓ ระดับ ได้แก่ ศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ ซึ่งในคราวประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ ได้มีมติเห็นชอบกรอบโครงสร้างดังกล่าวแล้ว ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ สำหรับงบประมาณที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี หรือโอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร จากโครงการ/รายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ และมีงบประมาณเหลือจ่าย และ/หรือรายการที่หมดความจำเป็น แล้วแต่กรณี เพื่อมาสมทบในการดำเนินการตามแผนของศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ เป็นลำดับแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติประชุมชี้แจงและประสานการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติจัดทำแนวทางการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ให้สอดรับกับพระราชบัญญัติการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อให้แผนปฏิบัติการฯ มีประสิทธิภาพและเป็นระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาคัดกรองแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำทั้งหมดตามลำดับความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่มีความพร้อมและสามารถจะดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เช่น โครงการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ โครงการประตูระบายน้ำ เป็นต้น โดยให้ระบุความสอดคล้องกับการดำเนินการตามแผนการบริหารจัดการน้ำที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศ เป็นต้น แล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
206 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร07 | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
๑. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๓,๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของที่ประชุม ๔ หน่วยงาน (สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย) เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ๒.๑ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ควรเป็นการดำเนินนโยบายการคลังที่ยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่อาจไม่เป็นไปตามที่ประเมินได้อย่างทันท่วงที ๒.๒ การจัดทำงบประมาณควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความท้าทายมากขึ้นในระยะ ๑-๒ ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ซึ่งส่งผลให้แรงงานบางส่วนถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีและอาจไม่สามารถปรับตัวได้ดีดังเช่นอดีตที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ๒.๓ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเงินอุดหนุนบางส่วนมีความซ้ำซ้อน จึงเห็นควรให้มีการพิจารณาทบทวนเงินอุดหนุนสำหรับภารกิจที่มอบหมายให้ อปท. ดำเนินการแทนรัฐบาล รวมถึงการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การกันเงินสำรองและการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ อปท. มีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ในระดับสูง สะท้อนให้เห็นได้จากเงินฝากของ อปท. ในระบบสถาบันการเงินที่มีจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
207 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ | ศธ | 24/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ รวม ๘ คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ประธานกรรมการ ได้แก่ นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงาน หรือลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เว้นแต่เป็นผู้สอนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ได้แก่ ศาสตราจารย์กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์ นายเธียรชัย ณ นคร รองศาสตราจารย์ ปานใจ ธารทัศนวงศ์ ศาสตราจารย์ปาริชาต สถาปิตานนท์ นางสาวพรวิลัย เดชอมรชัย และผู้ช่วยศาสตราจารย์อดิศร เนาวนนท์ ๓. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงาน หรือลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ นางวราภรณ์ สีหนาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
208 | การปรับปรุงการให้บริการประชาชนของศูนย์บริการ (Call center) และสายด่วน (Hotline) ต่าง ๆ | นร05 | 24/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้หัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกแห่งทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เร่งรัด ตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของศูนย์บริการ (Call center) และสายด่วน (Hotline) ในความรับผิดชอบโดยด่วน เพื่อให้สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับติดตามการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
209 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2562 | นร11 | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ การดูแลค่าเงินบาท การติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานและภาคการเกษตรเพื่อหาแนวทางการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด การเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะต่อปัญหาเศรษฐกิจของภาคเอกชน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาทและแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป และ (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจไทยและการดำเนินมาตรการของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ตลอดจนกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเงินสะสมมาใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และให้หน่วยงานของรัฐเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างตามแนวทางที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกำหนด เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปด้วยความรวดเร็วสอดคล้องกับสถานการณ์และงบประมาณที่ได้รับ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
210 | ร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จำนวน 4 ฉบับ | มท | 11/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำความตกลงมอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการรับชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแทนได้ และกำหนดอัตราส่วนลดหรือค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีที่ส่วนราชการรับชำระไว้แทน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บ และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ๔. ร่างกฎกระทรวงการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดจำนวนงวดและจำนวนเงินภาษีขั้นต่ำที่มีสิทธิผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีการในการผ่อนชำระภาษี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
211 | ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเกี่ยวกับกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามมาตรา 7 (1) (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 | กค | 03/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะในกรณีกิจการถนน ทางหลวง ทางพิเศษ และการขนส่งทางถนน กิจการรถไฟ รถไฟฟ้า และการขนส่งทางราง และกิจการท่าเรือ และการขนส่งทางน้ำ อันจะทำให้หน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถดำเนินการได้ถูกต้อง และทำให้เกิดโครงการร่วมลงทุนได้ตามนโยบายของรัฐบาล ตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการถนน ทางหลวง ทางพิเศษ และการขนส่งทางถนน พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า และการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการท่าเรือ และการขนส่งทางน้ำ พ.ศ. .... ๒. ในการกำหนดประเภทกิจการเกี่ยวเนื่องกับกิจการร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ ควรเป็นการกำหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นและเหมาะสมกับโครงการร่วมลงทุนในปัจจุบันที่สามารถทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะนั้น และมีความชัดเจนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สามารถปฏิบัติได้ อันทำให้เกิดโครงการร่วมลงทุนตามนโยบายของรัฐบาล ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) สถานีขนส่งผู้โดยสาร เนื่องจากเป็นกิจการที่ต้องถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ หากกำหนดให้สถานีขนส่งผู้โดยสารเป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็น สมควรที่จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย และอู่ซ่อมรถและบริการซ่อมรถ ตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งและดำเนินการสถานีขนส่งต้องจัดให้มีอู่ซ่อมรถและบริการซ่อมรถ ซึ่งมิได้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมขนส่งทางบก จึงไม่ควรถูกกำหนดเป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็น (๒) ควรเพิ่มเติมกิจการ “การพัฒนาระบบตั๋วร่วม” เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า (๓) การใช้เรือลากจูง เนื่องจากเป็นกิจกรรมหลักของการขนส่งสินค้าชายฝั่งและลำน้ำภายในประเทศ ประกอบกับการใช้คำว่า “การใช้เรือลากจูง” ซึ่งมีความหมายกว้างอาจทำให้ตีความสับสนต่อการร่วมทุนในกิจการท่าเรือ และการยกตู้สินค้าโดยปั้นจั่นยกตู้สินค้า คลังสินค้า โรงเก็บรักษาสินค้า ลานวางตู้สินค้า ซึ่งเป็นกิจกรรมของท่าเรือโดยตรง เพื่อหลักเลี่ยงความซ้ำซ้อน เห็นว่าไม่จำเป็นต้องแยกให้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็น และ (๔) อู่เรือแห้ง ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ เข้าข่ายเป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นหรือไม่ และการท่าเรือแห่งประเทศไทยต้องไปดำเนินการขนส่งทางน้ำด้วยหรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
212 | มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 | กค | 26/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติมาตรการ/โครงการ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ๒๕๖๒ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๒ และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้ ๑.๑ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๑.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้าน ภายในกรอบวงเงิน ๑๔,๔๙๑.๔ ล้านบาท โดยให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ โดยพิจารณาจากโครงการที่ได้เคยมีมติอนุมัติไว้ ซึ่งได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และ/หรือโครงการที่มีผลการปฏิบัติงานล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดทำรายละเอียดให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๑.๒ เห็นชอบโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับวงเงินชดเชยดอกเบี้ย ภายในกรอบวงเงิน ๗๐๗.๗ ล้านบาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้สินเชื่อในแต่ละกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ รวมทั้งรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องของความพร้อมของโครงการ ความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมาย การติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการที่ผ่านมา การสร้างความรับรู้ ความเข้าใจของทุกภาคส่วนต่อการดำเนินโครงการ เพื่อลดความเสี่ยงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น และความซ้ำซ้อนของการดำเนินการในแต่ละโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๑.๑.๓ รับทราบโครงการพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามความสมัครใจ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการประเมินและบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดแรงจูงใจในการผิดนัดชำระหนี้และปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรมุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนอย่างแท้จริง โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ประชาชนในพื้นที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีเงินสะสมคงเหลือที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพของคนในชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังถอนมาตรการลดภาระหนี้ผู้ประกอบการ SMEs ไปเพื่อพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาสนับสนุนให้สถาบันการเงินเร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ระยะที่ลูกหนี้ยังอยู่ในวิสัยที่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ โดยพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ที่แท้จริงของลูกหนี้แต่ละราย เพื่อเป็นกันชนรองรับแรงกดดันความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ และสามารถปรับตัวเพื่อฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างทันท่วงที ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๓ รับทราบหลักการของมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งประกอบด้วย (๑) การอนุมัติของบประมาณเพิ่มเติมตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และ (๒) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของโครงการให้ชัดเจน เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการช่วยเหลือตามมาตรการดังกล่าวควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรที่เพิ่มขี้นจากประมาณการเดิม นั้น ควรได้มีการตรวจสอบในเรื่องการลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร จำนวนครัวเรือน จำนวนผลผลิตต่อไร่ ให้ทันต่อสถานการณ์อย่างถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนมีการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน และกำหนดนโยบายที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๔ เห็นชอบมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์กำหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขโครงการที่กระทรวงการคลังกำหนด และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นธรรม และจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วน ตามเงื่อนไขโครงการที่กระทรวงการคลังกำหนด และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และโอกาสในการลดภาระการผ่อนดาวน์ (Cash Back) ของประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเป็นสำคัญ การกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการในการป้องกันการซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ตลอดจนการรายงานและประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ๒๕๖๒ ในภาพรวม โดยเห็นว่ารัฐบาลควรส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงจูงใจ (incentive structure) ในระบบเศรษฐกิจให้เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจในระยะยาว และเตรียมพร้อมรับมือกับบริบทเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ โดยไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
213 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
214 | รายงานผลการดำเนินการของสำนักงาน ก.พ. เรื่อง การพัฒนาระบบการสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท | นร10 | 29/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการพัฒนาระบบการสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. หารือร่วมกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้กำกับของฝ่ายบริหาร ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงความจำเป็น เหมาะสม และความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบการสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน เช่น การนำหลักสูตรการสอบและเกณฑ์การตัดสินการสอบผ่านการสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปตามแนวทางของสำนักงาน ก.พ. ไปปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการสอบและการตัดสินการสอบผ่านฯ ของหน่วยงานตนเอง และการนำหนังสือรับรองผลการสอบผ่านฯ ของสำนักงาน ก.พ. ไปใช้แทนผลการสอบผ่านฯ ของหน่วยงานตนเองได้ เป็นต้น ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดินและข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย เช่น สามารถนำหลักสูตรการสอบภาค ก ตามแนวทางของสำนักงาน ก.พ. มาปรับใช้กับการสอบแข่งขันบุคคลภายนอกวุฒิปริญญาทางสายสังคมศาสตร์ได้ แต่กรณีการรับสมัครนักเรียนนายสิบตำรวจประจำปี นักเรียนเตรียมทหาร กลุ่มคุณวุฒิพิเศษหรือขาดแคลน การบรรจุทายาทข้าราชการตำรวจซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอใช้หลักเกณฑ์วิธีการตามที่กำหนดไว้ในกฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกหรือสอบแข่งขันบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ และควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดงบประมาณแผ่นดินในการจัดการสอบ ลดขั้นตอนการสรรหาบุคลากร และอำนวยความสะดวกให้กับผู้สมัคร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางในการคัดเลือกบุคลากรที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ระบบราชการ เช่น สาขาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้กลุ่มบุคลากรดังกล่าวเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบราชการให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง ข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
215 | ร่างกฎหมายลำดับรองซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 รวม 11 ฉบับ | นร | 29/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๗ ฉบับ และเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบและร่างประกาศ จำนวน ๔ ฉบับ รวม ๑๑ ฉบับ ซึ่งเป็นการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้กฎหมายมีผลใช้บังคับโดยสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติหลักการ ๑.๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกกรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ พ.ศ. .... ๑.๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ อันเนื่องมาจากเหตุบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ พ.ศ. .... ๑.๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดวัตถุประสงค์ หน้าที่และอำนาจ และการดำเนินงานขององค์กรผู้ใช้น้ำ รวมทั้งหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ พ.ศ. .... ๑.๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดค่าทดแทนแก่บุคคลซึ่งกักเก็บน้ำไว้ต้องสูญเสียน้ำที่กักเก็บไว้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ พ.ศ. .... ๑.๑.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างจากการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม พ.ศ. .... ๑.๑.๗ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดค่าทดแทนการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง และชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างจากการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง เพื่อการป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งและภาวะน้ำท่วม พ.ศ. .... ๑.๒ เห็นชอบในหลักการ ๑.๒.๑ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการนำเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหายไปวางต่อศาล หรือสำนักงานวางทรัพย์ หรือฝากไว้กับธนาคารออมสิน และวิธีการรับเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหาย พ.ศ. .... ๑.๒.๒ ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการสั่งให้บุคคลซึ่งกักเก็บน้ำไว้ต้องเฉลี่ยน้ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ พ.ศ. .... ๑.๒.๓ ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๒.๔ ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบ พ.ศ. .... ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑.๕-๑.๑.๗ ควรตัดข้อความที่กำหนดให้การจ่ายค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหายให้ใช้จากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ออก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
216 | ขอเสนอมาตรฐานสถิติเพื่อให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ | ดศ | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรฐานสถิติที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และประกาศใช้เป็นมาตรฐานในการผลิตสถิติ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐนำมาตรฐานดังกล่าวใช้เป็นแนวทางในการจัดทำข้อมูลสถิติของหน่วยงานต่อไป เพื่อให้ข้อมูลสถิติของประเทศสามารถแลกเปลี่ยนเชื่อมโยง และใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่จัดทำขึ้นต่างช่วงเวลาและต่างแหล่งข้อมูลได้ร่วมกัน สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจในการกำหนดนโยบายหรือตอบโจทย์ตัวชี้วัดต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เกิดความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรในการผลิตสถิติของประเทศ ๑.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐจัดทำสถิติให้เป็นไปตามแผนกำหนดความรับผิดชอบในการดำเนินงานทางสถิติตามแผนแม่บท และดำเนินการให้ถูกต้องตามมาตรฐานสถิติ ๑.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐจัดส่งข้อมูลการใช้มาตรฐานสถิติ รวมถึงรายละเอียดของข้อมูล (Metadata) ตามมาตรฐานที่สำนักงานสถิติแห่งชาติกำหนด ทั้งข้อมูลระดับย่อย (Microdata) และข้อมูลสถิติเพื่อให้สำนักงานสถิติแห่งชาติรวบรวมเป็นข้อมูลในการจัดทำศูนย์กลางรายการข้อมูลภาครัฐ (National Data Catalogue and Directory services) และเพื่อให้สามารถติดตามและประเมินสถานการณ์การพัฒนาสถิติของประเทศให้มีคุณภาพตามหลักการพื้นฐานสถิติทางการและสอดคล้องตามมาตรฐานสากล สามารถนำมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลร่วมกันได้อย่างคุ้มค่า ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควร (๑) พิจารณากำหนดให้หน่วยงานสามารถผลิตสถิติใหม่เพิ่มเติมได้นอกเหนือจากที่กำหนดภายใต้มาตรฐานสถิติ หากพิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นที่ต้องจัดทำและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ (๒) สำนักงานสถิติแห่งชาติอาจพิจารณานำเสนอการจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) ปี ๒๕๔๔ เพื่อเป็นมาตรฐานในการจัดทำข้อมูลสถิติของประเทศ (๓) ให้มีการหารือและแลกเปลี่ยนการทำ mapping ข้อมูลสถิติระหว่างหน่วยงาน เพื่อจัดทำทะเบียนข้อมูลสถิติกลาง และให้สำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นหน่วยงานกลางในการประสานงาน (๔) คำนึงถึงนโยบายการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ กรอบการกำกับดูแลข้อมูล และประเด็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (๕) เร่งรัดการจัดทำมาตรฐานสถิติอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการนำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดทำสถิติทางการให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน (๖) มีการกำหนดรายละเอียดขอบเขตของข้อมูลเนื้อหา รูปแบบ และวิธีการในการจัดทำศูนย์กลางรายการข้อมูลภาครัฐให้ชัดเจน และ ๗) ประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนมีการจัดทำข้อมูลสถิติที่สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่มาตรฐานสถิติได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. การนำเสนอมาตรฐานสถิติและมาตรฐานการผลิตสถิติต่อคณะรัฐมนตรีในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณานำตัวแปรที่สอดคล้องกันเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน เพื่อให้หน่วยงานผู้จัดทำและใช้ข้อมูลสถิติสามารถวางแผนการปรับเปลี่ยนระบบสถิติได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
217 | ขอความเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการ และรายละเอียดโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) | มท | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการทบทวนเป้าหมายโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๒ โครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่อันเนื่องมาจากสาธารณภัย (กรณีอุทกภัย) จากเดิม พื้นที่ดำเนินการ จำนวน ๒๙ จังหวัด ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เป็น พื้นที่ดำเนินการ จำนวน ๓๒ จังหวัด ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ๑.๒ เห็นชอบในหลักการร่างหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการ และรายละเอียดโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ (อุทกภัย) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีการแก้ไขวิธีการและขั้นตอนการดำเนินการ ข้อ ๗.๖ จาก “กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพิจารณาตรวจสอบ ให้ความเห็นชอบดำเนินโครงการ” เป็น “กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพิจารณาตรวจสอบ และขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณก่อนแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินโครงการ” ไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการฯ ทุกขั้นตอนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
218 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีอุทกภัย) (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย) | มท | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้เบิกจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๕,๕๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่อันเนื่องมาจากสาธารณภัย (กรณีอุทกภัย) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้แก้ไขข้อเสนอ จากเดิม ที่กำหนดให้ดำเนินการจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล เป็น จัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลที่ประสบภัยพิบัติที่ได้รับการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีฉุกเฉิน ทั้งนี้ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับเงินอุดหนุนแห่งละไม่เกิน ๕ ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอเพิ่มเติม และให้เร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าวโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวนัที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
219 | ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรม และความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ปช | 20/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชี้แจงว่า ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ พบว่า ในภาพรวมมีค่าคะแนนเฉลี่ย ๖๑.๑๑ คะแนน ซึ่งต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ (๘๕ คะแนนขึ้นไป) ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการเผยแพร่ผลการประเมินดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบ เพื่อเป็นการสะท้อนคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานและการบริหารจัดการของ อปท. รวมทั้งให้ผู้บริหารของ อปท. และผู้ที่เกี่ยวข้องปรับปรุงและพัฒนา อปท. ให้สามารถยกระดับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสให้สูงขึ้นต่อไป ๒. รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย และ อปท. เผยแพร่ผลการประเมินคุณธรรมฯ และรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท. เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องในการสะท้อนปัญหาและผลกระทบจากการบริหารจัดการของ อปท. รวมทั้งเป็นการเฝ้าระวัง ตรวจสอบการบริหารจัดการของ อปท. ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย และ อปท. ประสานในรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย และ อปท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เช่น (๑) การจัดเก็บภาษีเสริมและจัดสรรรายได้ให้แก่ อปท. ควรคำนึงถึงผลกระทบด้านฐานะการคลังและข้อจำกัดการใช้นโยบายภาษีอากรของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ประกอบกอบกับการจัดสรรภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพื้นที่จัดตั้ง อาจจะมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งอาจส่งผลให้บางพื้นที่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ (๒) ตัวชี้วัดเรื่องการใช้งบประมาณ ควรคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จของการป้องกันการทุจริตในภาพรวม และการดำเนินงานอย่างโปร่งใส และ (๓) อปท. ควรมีข้อเสนอแนวทางการปรับพฤติกรรมการทำงาน รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสนับสนุนให้การยกระดับผลการประเมินฯ ของ อปท. บรรลุเป้าหมาย เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการในภาพรวมต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
220 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 06/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของที่ประชุมเพื่อพิจารณาต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลืออยู่ของปี ๒๕๖๒ ควรให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องของการลงทุนภาครัฐ การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน การปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของแผนงาน/โครงการ ที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ทันภายในปีงบประมาณ เพื่อนำไปดำเนินแผนงาน/โครงการ ที่มีความพร้อม การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี และการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการนำเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน รวมถึงการดำเนินมาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลายและการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว สำหรับการบริหารเศรษฐกิจในระยะต่อไป ควรให้ความสำคัญกับการจัดทำเป้าหมายและแนวทางการลดระดับหนี้สาธารณะในอนาคต การส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ การปรับโครงสร้างภาษี และการนำมาตรการทางการเงินสมัยใหม่และแหล่งเงินอื่นมาใช้เพื่อลดภาระงบประมาณ อาทิ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เงินสะสม ทรัพย์อิงสิทธิ เป็นต้น ๑.๒ หน่วยงานของรัฐควรให้ความสำคัญกับการลดรายจ่ายประจำอย่างจริงจัง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ควรมีการปฏิรูปเพื่อลดรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การปรับโครงสร้างกำลังคนภาครัฐและระบบการบรรจุทดแทนผู้เกษียณอายุในระยะยาว เป็นต้น รวมถึงการนำโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลมาสนับสนุนภารกิจการให้บริการประชาชนและนิติบุคคลให้มากขึ้น และการลดกฎเกณฑ์ที่มีผลกระทบต่อการเพิ่มขั้นตอนและภาระงบประมาณรายจ่ายประจำปีของภาครัฐอย่างจริงจัง ซี่งจะช่วยสนับสนุนด้านการลงทุนของภาคเอกชนอีกทางหนึ่งด้วย ๑.๓ การดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ควรให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ความเหมาะสมกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ และไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณในระยะยาว ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....