ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 31 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 601 - 620 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 601 | มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2557 - 2561) | นร | 15/10/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ประกอบด้วย มาตรการบริหารจัดการอัตรากำลังปกติ มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ และแนวทางการนำมาตรการดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒ ให้ คปร. สำนักงาน ก.พ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ร่วมกับส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการนำมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ให้ คปร. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรอัตรากำลังคืนให้กับส่วนราชการที่มีภารกิจตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ประเทศ และมีภารกิจเพิ่มขึ้น การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการคืนทั้งหมดเพื่อรองรับกับภารกิจของหน่วยงานในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่เพิ่มมากขึ้น การพัฒนาข้าราชการร้อยละ ๑๐๐ ให้มีความรู้ความสามารถทักษะและสมรรถนะตามแผนพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนควรมีการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับการพัฒนา และในการดำเนินมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐฯ ควรครอบคลุมพนักงานมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เช่นเดียวกับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างประจำ การทำความเข้าใจกับผู้บริหารและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนราชการในราชการบริหารฝ่ายพลเรือนให้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการดำเนินการ การพัฒนาเครื่องมือ กลไก หรือคู่มือการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนเพื่อให้ส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม การให้ความสำคัญกับการวางกรอบหลักเกณฑ์การพิจารณาเพิ่มอัตราตั้งใหม่ให้เหมาะสมกับฐานะการคลังของประเทศในระยะยาวเพื่อให้มีความยั่งยืนและคุ้มค่าด้านบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ การวางระบบหรือกลไกที่สามารถบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น การขยายขอบเขตการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมกำลังคนภาครัฐทุกประเภท (ทั้งในฝ่ายพลเรือนและทหาร) รวมทั้งการจัดทำแนวทางในการส่งเสริมและ/หรือมาตรการสร้างแรงจูงใจอย่างชัดเจน เพื่อให้การถ่ายโอนบุคลากรไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ คปร. และสำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.๑ เนื่องจากแนวทางการบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบทั้งที่สังกัดหน่วยงานภายใต้ฝ่ายบริหารและสังกัดองค์กรต่าง ๆ ที่มิได้อยู่ภายใต้ฝ่ายบริหารยังมีความเหลื่อมล้ำ และไม่ได้มีการบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดการบูรณาการในเรื่องดังกล่าวอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม ควรให้ คปร. รับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๓.๒ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการ ควรคำนึงถึงการเสริมสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถได้มีโอกาสแสดงศักยภาพและได้รับการยอมรับ รวมทั้งควรมีการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อให้มีศักยภาพที่หลากหลายมากขึ้น (Multi Skill) ทั้งนี้ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการควรมีการพิจารณาปรับปรุง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา เพื่อให้ได้กำลังคนที่มีทักษะ สมรรถนะ และทัศนคติที่เหมาะสมและมีใจรักในงานบริการ เพื่อให้สอดคล้องและรองรับการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแนวใหม่ ควรให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การสรรหากำลังคนเข้าสู่ระบบราชการให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||
| 602 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" | สสป | 15/10/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการจัดการฐานข้อมูล ได้แก่ ส่งเสริมการจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณ ประเภท และชนิดของขยะมูลฝอย รวมถึงการส่งผ่านข้อมูลที่เป็นปัจจุบันไปยังประชาชนในท้องถิ่นเพื่อให้ได้รับทราบและตรวจสอบข้อมูลการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนของตนเอง และร่วมมือลดปริมาณ จำนวน และประเภทขยะมูลฝอยทุกชนิดจนให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ๒. ด้านมาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ ส่งเสริมให้ท้องถิ่นออกเป็นข้อบัญญัติของเทศบาลหรือมาตรการการจัดการขยะมูลฝอยที่สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน รวมถึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามและการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ส่งเสริมให้ภาครัฐร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในการบริหารขยะมูลฝอยอย่างครบวงจรทั้งระบบ และจัดการขยะอันตราย รวมทั้งรัฐควรอำนวยความสะดวกด้วยการปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เอกชนดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักการบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ๓. ด้านงบประมาณและบุคลากร ได้แก่ สนับสนุนหรืออุดหนุนงบประมาณแก่ท้องถิ่นที่มีรายได้ไม่เพียงพอในการจัดการขยะมูลฝอยให้สามารถดำเนินการเดินระบบการจัดการในเบื้องต้นได้ตามความเหมาะสมกับสภาพจริงของท้องถิ่นนั้น ๆ และสนับสนุนให้มีบุคลากรสำหรับดำเนินการจัดการขยะมูลฝอยอย่างเพียงพอ และต้องกำหนดค่าตอบแทนที่ครอบคลุมทั้งเงินเดือนและสวัสดิการในอัตราที่สามารถดำรงชีพได้อย่างไม่ขัดสน ๔. ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ ส่งเสริมและสนับสนุนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยตั้งแต่ระดับครอบครัว จนถึงสังคมเมืองขนาดใหญ่ให้มีความตระหนักในการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยนำกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งส่งเสริมให้ร่วมรับผิดชอบในการจ่ายค่าจัดการขยะมูลฝอยในอัตราที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของท้องถิ่น ๕. ด้านการใช้เทคโนโลยีจัดการขยะมูลฝอย ได้แก่ สนับสนุนให้มีการบริหารจัดการขยะมูลฝอยแบบรวมกลุ่ม เพื่อให้มีต้นทุนในการดำเนินงานด้วยการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลเพียงพอ ดังที่มีการดำเนินการไปแล้วในบางพื้นที่ เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น
|
||||||||||||||||||
| 603 | ผลการประชุมหารือแนวทางการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย | นร01 | 08/10/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัยที่หน่วยงานได้ตกลงร่วมกัน ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมได้ยึดหลักจากแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ "บทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย" ใช้ประกอบการกำหนดแนวทางในการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย เป็น ๔ แนวทาง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธาน กบอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ในภาวะปกติ ในการปฏิบัติงานรายวันให้หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุทกศาสตร์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร แจ้งข่าวสารข้อมูลหรือข้อเท็จจริงทั่วไปที่อาจมีผลสืบเนื่อง หรือนำไปสู่ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนทราบ ห้ามนำเสนอข้อมูลในลักษณะแสดงความคิดเห็น เว้นแต่เป็นความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบ หรือนักวิชาการที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ๑.๒ ในการเฝ้าระวัง เมื่อมีเหตุที่อาจมีผลสืบเนื่องหรือนำไปสู่ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ๑.๒.๑ ให้ สบอช. และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติรับผิดชอบในการจัดประชุมและการแจ้งข่าวร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการติดตามสถานการณ์น้ำ ณ สบอช. โดยข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการเฝ้าระวัง ได้แก่ ประกาศหรือข้อมูลที่มุ่งหมายให้หน่วยงาน องค์กร หรือประชาชนเตรียมพร้อมและเฝ้าระวังภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ๑.๒.๒ ให้มีขั้นตอนการเฝ้าระวัง โดยให้กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุทกศาสตร์ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สถานการณ์ฝน สภาพดิน เฝ้าระวังระดับและคุณภาพน้ำในเขื่อน น้ำในแม่น้ำ น้ำใต้ดิน น้ำทะเล โดยส่งข้อมูลดิบและข้อมูลที่ได้วิเคราะห์แล้วเข้าคลังข้อมูล ที่ สบอช. เพื่อเชื่อมข้อมูลกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ให้ทุกหน่วยงานสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกัน ๑.๒.๓ ให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา นำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการเฝ้าระวังดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงต่อไป ๑.๓ การแจ้งเตือนภัย เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ให้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บก.ปภ.ช.) โดย กบอ. และ สบอช. เป็น Command Center เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินสถานการณ์ภัยจากข้อมูลในคลังข้อมูลของหน่วยงานเฝ้าระวัง หากคาดว่าจะมีผลกระทบรุนแรง (ขั้นวิกฤต) จะแจ้งให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ และผ่านกระทรวงมหาดไทย (จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) เพื่อนำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการแจ้งเตือนภัยดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนและเครือข่ายหน่วยเผชิญเหตุทราบอย่างทั่วถึงต่อไป โดยจำแนกระดับความรุนแรงของภัยเป็น ๔ ระดับ คือ อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๑ (สาธารณภัยขนาดเล็ก) อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๒ (สาธารณภัยขนาดกลาง) อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๓ (สาธารณภัยขนาดใหญ่) และอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๔ (สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างยิ่ง) ๑.๔ การยกเลิกสถานการณ์ เมื่อภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำกลับเข้าสู่ภาวะปกติให้ผู้รับผิดชอบแต่ละระดับภัยประกาศยกเลิกสถานการณ์ และให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา นำข้อมูลหรือข้อเท็จจริง การประกาศยกเลิกสถานการณ์ดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงต่อไป โดยสรุปเป็นแนวทางในการให้ข่าวสารสาธารณะและเตือนภัย ได้แก่ การให้ข่าว (แจ้งข่าวสาร) การเฝ้าระวัง การแจ้งเตือนภัย และการยกเลิกสถานการณ์ ๒. ให้แก้ไขข้อความบางประการของการแจ้งเตือนภัย ในส่วนของอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๒ (สาธารณภัยขนาดกลาง) และอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๔ (สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างยิ่ง) รวมทั้งการยกเลิกสถานการณ์ ในส่วนของตารางสรุปแนวทาง การให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย ให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ตามความเห็นของกระทรวงมหาดไทย |
||||||||||||||||||
| 604 | สรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ | มท | 08/10/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การคาดหมายลักษณะอากาศ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม และการให้ความช่วยเหลือ ๑.๑ สภาพอากาศ ในช่วงวันที่ ๗-๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน มีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยมีกำลังแรง คลื่นสูง ๒-๓ เมตร และในช่วงวันที่ ๑๐-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนตกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทย มีกำลังอ่อนลง ๑.๒ การสั่งการเพื่อเตรียมความพร้อม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สั่งการเพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม อันเกิดจากฝนตกหนัก และคลื่นลมแรง โดยให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ๕ ศูนย์เขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ๑๓ จังหวัด ในพื้นที่ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม อันเกิดจากฝนตกหนัก และคลื่นลมแรง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ๒. สรุปสถานการณ์อุทกภัย ข้อมูล ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ เกิดอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังระบายไม่ทัน และน้ำล้นตลิ่ง ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้น ๓๘ จังหวัด ๒๗๖ อำเภอ ๑,๗๑๖ ตำบล ๑๓,๗๗๙ หมู่บ้าน ๙๓๘,๔๓๕ ครัวเรือน ๓,๐๙๖,๒๐๒ คน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย ๓,๑๕๒,๐๘๓ ไร่ ถนน ๕,๓๙๗ สาย สะพาน ๒๙๙ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๔๒๖ แห่ง ฝาย/ทำนบ ๕๑๙ แห่ง บ้านเรือนถูกน้ำท่วม ๑๕,๖๑๐ หลัง โรงเรียน ๒๒๕ แห่ง วัด ๓๙๙ แห่ง และสถานที่ราชการ ๕๗ แห่ง ๓. สรุปสถานการณ์วาตภัย ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดนราธิวาสเกิดเหตุวาตภัยในพื้นที่อำเภอเมืองนราธิวาส รวม ๔ ตำบล ๙ หมู่บ้าน บ้านเรือนเสียหาย ๑๖๙ หลัง ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ๘๔๕ คน โรงเรียนปอเนาะ ๑ แห่ง และเสาไฟฟ้า ๓๐ ต้น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาสร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือแล้ว ๔. สรุปสถานการณ์ภัยแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ข้อมูล ณ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดที่ยังคงมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ได้แก่ จังหวัดตาก บุรีรัมย์ และนครราชสีมา รวม ๑๔ อำเภอ ๑๑๒ ตำบล ๑,๒๔๑ หมู่บ้าน และจังหวัดที่ยังคงมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฝนทิ้งช่วง) ได้แก่ จังหวัดแพร่ ๑ อำเภอ รวม ๒ ตำบล ๑๘ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๓๖๕ ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตร ๑๑,๔๔๐ ไร่ ๕. สรุปสถานการณ์แผ่นดินไหว ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๕.๒๘ น. เกิดแผ่นดินไหวบนบก ขนาด ๒.๕ ริกเตอร์ บริเวณตำบลเวียง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๒๑.๓๗ น. เกิดแผ่นดินไหวบนบก ขนาด ๒.๙ ริกเตอร์ บริเวณสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ห่างจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณ ๒๘ กม. และวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๐.๓๘ น. เกิดแผ่นดินไหวในทะเล ขนาด ๖.๖ ริกเตอร์ บริเวณทะเลโอคอตสค์ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย ๖. สรุปสถานการณ์อุบัติภัย และเหตุการณ์สำคัญ ระหว่างวันที่ ๑-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ จังหวัดบุรีรัมย์ เกิดเหตุรถยนต์กระบะบรรทุกคนงานเสียหลักชนต้นไม้ บริเวณถนนสาย ๒๑๙ มหาสารคาม-บุรีรัมย์ กม.ที่ ๒๑๕-๒๑๖ บ้านโนนสวรรค์ ตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่าน มีผู้เสียชีวิต ๑๖ ราย และได้รับบาดเจ็บสาหัส ๘ คน จังหวัดสมุทรสาคร เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารโรงงานผลิตเครื่องสุขภัณฑ์เซรามิกและกระเบื้องบุผนัง ของบริษัทไทยอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดกระเบื้องไทย ตั้งอยู่เลขที่ ๗๕ หมู่ที่ ๓ ถนนเศรษฐกิจ ๑ ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน และจังหวัดตราด เกิดเหตุหินถล่มลงมาทับเส้นทางสัญจรไป-มา บริเวณทางโค้งก่อนถึงหาดทรายขาว ตำบลเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง ซึ่งทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตราด อำเภอ ตำรวจท่องเที่ยว เทศบาลตำบลเกาะช้าง ดำเนินการนำหินที่ถล่มลงมาออกจากเส้นทางเรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||
| 605 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่างๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร12 | 01/10/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่ ค.ต.ป. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (อ.ค.ต.ป.) กลุ่มกระทรวง และ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด ที่ได้ดำเนินการสอบทานผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการและจังหวัด โดยมีสรุปภาพรวมจากรายงานข้อค้นพบของส่วนราชการและจังหวัดตามประเด็นการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการที่กำหนด พบว่า ส่วนราชการและจังหวัดมีการพัฒนาการดำเนินงานในประเด็นที่ได้สอบทานทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ การตรวจราชการ การตรวจสอบภายใน การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง การปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ และรายงานการเงิน อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามความเห็นของ ค.ต.ป. และให้หน่วยงานที่พบปัญหาและผู้รับผิดชอบรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการทุก ๖ เดือน ต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ตามที่รับผิดชอบ ๑.๓ รับทราบรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งพบว่า คณะกรรมการฯ มีผลการประเมินตนเองในภาพรวมรายคณะอยู่ในเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม ๒. ให้ ค.ต.ป. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรปรับวิธีการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเพิ่มขึ้นใน ๒ มิติ คือ มิติด้านการเงิน โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบและประเมินผลด้านประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ความสามารถในการลดต้นทุนและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมิติด้านการบริหารจัดการ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการ ซึ่งควรกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจนและใช้เป็นกลไกในการบริหารจัดการ และในการตรวจสอบและประเมินผลควรพิจารณาขยายไปถึงราชการส่วนท้องถิ่น มีการวางมาตรการในการตรวจสอบที่กระชับมากขึ้น และให้ฝ่ายเลขานุการของ ค.ต.ป. ควรมีพื้นฐานความรู้ที่หลากหลายและสามารถตรวจสอบในเชิงลึกได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มอัตรากำลังผู้ตรวจสอบภายในจังหวัด จากเดิมจังหวัดละ ๓ คน เป็นจังหวัดละ ๕-๗ คน เพื่อให้เหมาะสมกับขอบเขตปริมาณงานของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ เห็นควรให้นำข้อค้นพบและแนวทางแก้ไขในรายงานดังกล่าวเชื่อมโยงเข้ากับระบบการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการของนายกรัฐมนตรี (PMOC) เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้ใช้ประโยชน์ในการกำกับการบริหารราชการของส่วนราชการอย่างบูรณาการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 606 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายการบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" | สสป | 01/10/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายการบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน) กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงบประมาณ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ สำนักงานงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. สร้างความสมบูรณ์ในระบบนิเวศลุ่มน้ำ ๑.๑ จัดให้มีพื้นที่ป่าไม้ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของพื้นที่ทั้งหมดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ๑.๒ ปรับปรุง ฟื้นฟู และอนุรักษ์พื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ประกาศเขตไว้แล้ว ๓๕๐ ป่าในเนื้อที่ ๓๔.๒๗ ล้านไร่ มีสัดส่วนร้อยละ ๓๒.๔๘ ๑.๓ อนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำที่เหลืออยู่ ๘.๕๕ ล้านไร่ ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ๑.๔ กำหนดมาตรการการป้องกันและแก้ไขการชะล้างหน้าดินในพื้นที่เสี่ยงระดับรุนแรง ๑๗.๗๘ ล้านไร่ ๑.๕ กำหนดมาตรการการควบคุมและป้องกันพื้นที่แพร่กระจายดินเค็ม ๑๗.๘๐ ล้านไร่ ๑.๖ สงวนรักษาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม เพื่อปรับปรุงให้คืนสภาพเป็นป่าอนุรักษ์ และยกเลิกนโยบายการนำป่าเสื่อโทรมไปใช้ประโยชน์เพื่อการอื่น รวมทั้งการนำไปจัดสรรให้กับประชาชน ๑.๗ ปรับปรุง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ทางน้ำและแหล่งน้ำ รวมทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำให้อยู่ในสภาพดี ๑.๘ กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณ และสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีระบบบำบัดน้ำเสียรวมและระบบจัดการขยะที่ได้มาตรฐานให้ครบทุกท้องถิ่น ๑.๙ จัดให้มีระบบตรวจสอบและแสดงผลคุณภาพน้ำในลำน้ำที่ผ่านแหล่งชุมชนให้ประชาชนทราบสถานการณ์ ๒. สร้างความสมดุลน้ำ ๒.๑ จัดหาน้ำและพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนที่ขาดแคลนอยู่ในปัจจุบัน ๒.๒ นำโครงการพัฒนาลุ่มน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้นแบบการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก และโครงการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำใกล้เคียง ๒.๓ จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการฝนหลวงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ๒.๔ เร่งดำเนินการพัฒนาระบบชลประทานในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ในส่วนที่ยังไม่ดำเนินการอีก ๑๖.๖๐ ล้านไร่ให้เสร็จ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒.๕ จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการขุดสระน้ำในไร่นาให้ครอบคลุมพื้นที่นอกเขตชลประทานตามความต้องการของประชาชน ๒.๖ พัฒนาระบบการนำน้ำใต้ดินที่สามารถใช้ในการเพาะปลูกขึ้นมาใช้ ๒.๗ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนสามารถบริหารจัดการในระดับครัวเรือนได้ โดยน้อมนำโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่มาเป็นแบบอย่างในการดำเนินการ ๒.๘ จัดให้มีแหล่งน้ำประจำหมู่บ้านและชุมชน โดยการขุดสระน้ำใหม่ หรือขุดลอกแหล่งน้ำเดิมที่เสื่อมโทรมให้กลับมาใช้ได้ตามปกติ ๓. สร้างเอกภาพการบริหารจัดการ ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการบริหารทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดประสิทธิภาพ และบังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน ๓.๑ ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยปรับปรุงโครงสร้างองค์กรบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำ ให้มีอำนาจหน้าที่ในการประสานความร่วมมือได้อย่างเป็นเอกภาพ เพิ่มหมวดความร่วมมือ ให้ส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับงานบริหารทรัพยากรน้ำ ต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกับคณะกรรมการลุ่มน้ำและสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการลุ่มน้ำอย่างเคร่งครัด และเพิ่มหมวดงบประมาณ ให้สำนักงบประมาณกำหนดกรอบวงเงินตามแผนบริหารทรัพยากรน้ำของลุ่มน้ำหลัก และให้ส่วนราชการที่เสนองบประมาณที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการลุ่มน้ำก่อน ๓.๒ บูรณาการบริหารจัดการโดยใช้วิธีการบริหารจัดการที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริดำเนินการ เป็นแนวทางการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ๓.๓ เร่งรัดการออกพระราชบัญญัติการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... ให้เสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓.๔ จัดทำแผนแม่บทเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางดำเนินการไปสู่การปฏิบัติอย่างบูรณาการ ๓.๕ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นระบบลุ่มน้ำสาขา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและระบบนิเวศ ๓.๖ จัดตั้งองค์กรบริหารลุ่มน้ำในระดับท้องถิ่นและชุมชน ให้ท้องถิ่นและชุมชนสามารถบริหารทรัพยากรน้ำในพื้นที่ของตนเองได้ และรัฐต้องให้การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจังทั้งด้านความรู้ ประสบการณ์ และงบประมาณ ๓.๗ พัฒนาระบบฐานข้อมูลและจัดตั้งศูนย์กลางข้อมูลทรัพยากรน้ำ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการได้อย่างเป็นเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน ๓.๘ สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก้าวทันการพัฒนาเทคโนโลยีข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง ๓.๙ ปลูกจิตสำนึกและให้ความรู้กับประชาชนในการใช้น้ำอย่างประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||
| 607 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัย ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ และอุทัยธานี | นร | 01/10/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามสถานการณ์อุทกภัย ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ และอุทัยธานี เมื่อวันที่ ๒๘-๒๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เดินทางไปกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ ตำบลบ้านโพ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่และมอบนโยบาย เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๖ โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอบางปะอิน และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโพ สรุปได้ว่า พื้นที่ตำบลบ้านโพเป็นพื้นที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นมา ได้เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำล้นตลิ่ง ส่งผลให้ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบน้ำล้นตลิ่งทั้งหมด ๗๙๔ ครัวเรือน โดยองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโพได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ อาทิ การสร้างคันกั้นน้ำใต้สะพานดำ สนับสนุนเรือซึ่งจัดซื้อโดยโครงการ SML สนับสนุนไม้เพื่อก่อสร้างสะพาน และหนุนเก็บของ สนับสนุนสุขาลอยน้ำ สนับสนุนหินคลุกเพื่อให้ประชาชนได้สัญจรได้อย่างสะดวก และสนับสนุนเต็นท์พักพิง เป็นต้น ในการนี้ ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเกิดสถานการณ์อุทกภัย ๒. จังหวัดนครสวรรค์ มีพื้นที่ประสบภัย ๑๒ อำเภอ ๔๓ ตำบล ๓๐๓ หมู่บ้าน ๒ เขตเทศบาล ประชาชนได้รับผลกระทบ ๑๗,๖๖๕ ครัวเรือน ๕๘,๒๖๙ คน พื้นที่ทางการเกษตร ๗๔,๗๕๘ ไร่ บ่อปลา/กบ ๑๗ บ่อ ท่อระบายน้ำ ๓๑ แห่ง คอสะพาน ๕ แห่ง ฝาย ๓ แห่ง คันคลอง/คันเมือง ๒๗ จุด ปัจจุบันสถานการณ์ได้ยุติลงแล้ว ๗ อำเภอ ยังคงมีสถานการณ์ (พื้นที่ถูกน้ำท่วมขังอยู่) ๕ อำเภอ ๑๒ ตำบล ๘๔ หมู่บ้าน ราษฎร ๒,๐๖๑ ครัวเรือน ๖,๓๔๙ คน ๓. จังหวัดอุทัยธานี ปัจจุบันพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีประสบปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน และพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย เนื่องจากมีฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นมา ซึ่งจังหวัดได้ประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉินแล้ว จำนวน ๘ อำเภอ ๖๔ ตำบล ๔๓๕ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขังบ้านเรือน ๒,๕๖๓ หลังคาเรือน ๗,๖๘๙ คน ถนนเสียหาย ๒๐๕ สาย คอสะพาน ๕ แห่ง ฝาย ๓ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๓๕ แห่ง คันคลอง ๑๒ แห่ง คันเหมือง ๑๖ แห่ง และพื้นที่ทางการเกษตรประสบภัยทั้งสิ้น ๕๘,๖๙๔ ไร่ คาดว่าจะเสียหาย ๓๗,๘๗๑ ไร่ แบ่งเป็น นาข้าว ๓๒,๕๒๔ ไร่ พืชไร่ ๕,๓๐๓ ไร่ พืชสวนและอื่น ๆ ๔๔ ไร่
|
||||||||||||||||||
| 608 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 24/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชน ในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๕,๙๓๑ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในหลากหลายประเด็น ตามลำดับ ๒. หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารออมสิน ตามลำดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||
| 609 | เตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์น้ำปี 2556 และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก | นร01 | 24/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเตรียมความพร้อมการเผชิญสถานการณ์น้ำปี ๒๕๕๖ และการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการเตรียมความพร้อมการเผชิญสถานการณ์น้ำปี ๒๕๕๖ ๑.๑ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยได้มีคำสั่งจัดตั้ง “ศูนย์เตรียมพร้อมเฉพาะกิจรับสถานการณ์อุทกภัย ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗” ปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง และสั่งการให้หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) กระทรวงกลาโหม และกรุงเทพมหานคร ส่งเจ้าหน้าที่มาประจำศูนย์ดังกล่าว ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ Stand by เฮลิคอปเตอร์ รวม ๒ ลำ และเรือเร็วไว้ให้พร้อมเพื่อสามารถใช้ปฏิบัติงานได้ทันที ๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมความพร้อมชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เพื่อการบริหารจัดการอุทกภัย เพื่อให้การติดตามและแก้ไขปัญหาอุทกภัยกรณีเกิดเหตุวิกฤตในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ที่มีระบบการประชุมทางไกล VDO conference และมีอากาศยานไร้คนขับเพื่อบินสำรวจสถานการณ์ ๒. การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกรณีจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก ๒.๑ ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เบื้องต้นได้ข้อสรุปให้เปิดประตูน้ำเพชรชะเอมขึ้น ๓๐ เซนติเมตร เพื่อระบายน้ำผ่านทุ่งวังดาล อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ๒.๒ ประชุมหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายกและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ณ เขื่อนขุนด่านปราการชล ได้ข้อสรุปว่าจะเน้นการระบายน้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีก่อน จึงยังจะไม่ระบายน้ำจากเขื่อนขุนด่านปราการชลในอีก ๔๘ ชั่วโมงข้างหน้า และการสูบน้ำจากคลองรังสิตผ่านประตูเสาวภาผ่องศรีให้กระทำในระดับจำกัดเท่านั้น โดยหลังจาก ๔๘ ชั่วโมงแล้ว จะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เพราะปัจจุบันเขื่อนมีปริมาณน้ำอยู่ถึง ๙๒% แล้ว
|
||||||||||||||||||
| 610 | (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. 2556- 2559) | ศธ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) ตามมติคณะกรรมการสภาการศึกษา ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดย (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพเยาวสตรี ทั้งจากภาครัฐและเอกชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษานำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีทั้งการพัฒนาเยาวสตรีทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ การพัฒนาทักษะความรู้ด้านอาชีพและศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการสร้างครอบครัวอบอุ่นและภูมิคุ้มกันตนเองจากภัยสังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภูมิปัญญา ทักษะชีวิต และค่านิยมสร้างสรรค์ ธำรงไว้ซึ่งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทางวัฒนธรรมของเยาวสตรีไทย ยุทธศาสตร์การส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต มีทักษะอาชีพพื้นฐาน และศักยภาพทางเศรษฐกิจของเยาวสตรี และยุทธศาสตร์การเสริมสร้างครอบครัวอบอุ่น เยาวสตรีมีภูมิคุ้มกันตนเองต่อภัยคุกคามของปัญหาสังคม รวมทั้งแผนงานโครงการที่เป็นตัวอย่างไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ไปดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการ หรือนำแผนงานโครงการที่เป็นตัวอย่างไปดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพเยาวสตรีฯ สู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการบูรณาการแผนงานให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) และยุทธศาสตร์การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (Life Cycle Development) ให้ชัดเจนก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการส่งเสริม พัฒนาและสร้างความตระหนักให้เยาวสตรีในสถานศึกษาใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม มีวิจารณญาน และรู้เท่าทัน เพื่อประโยชน์ในการศึกษา เรียนรู้ และทำงาน การปลูกฝังให้เยาวสตรีได้เรียนรู้และมีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และบรรพบุรุษของชาติไทยโดยเฉพาะวีรสตรีท่านต่าง ๆ พร้อมทั้งการมีจิตสำนึกที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การให้ความสำคัญกับการสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือและขับเคลื่อนเพื่อขยายผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพสตรีและเยาวสตรี ทั้งในระดับจังหวัด โรงเรียน และชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เป็นรูปธรรม รวมทั้งมีการพัฒนาสตรีและเยาวสตรีอย่างต่อเนื่อง ทั้งสตรีในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา โดยใช้ประชากรสตรีในพื้นที่เป็นเป้าหมายมุ่งพัฒนาเชื่อมโยงกับสภาพปัญหาต่าง ๆ ของสตรีและเยาวชนสตรีในพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 611 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" | สสป | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมโยธาธิการและผังเมือง สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ระดับนโยบาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดนโยบายให้มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือในชุมชน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก อีกทั้งควรให้มีระเบียบและข้อกำหนดในด้านงบประมาณให้มีความคล่องตัวและเอื้อต่อการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ๒. ระดับพื้นที่ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ประสานงานกับผู้บริหารโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในพื้นที่ เพื่อจัดบริการสุขภาวะผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนที่มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือชุมชน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยจัดบริการให้ครบทุกมิติสุขภาวะทั้ง ๔ ด้าน คือ กาย ใจ สังคม และปัญญา ๒.๒ สนับสนุนการจัดบริการสังคมอื่น ๆ เพื่อสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เช่น ยานพาหนะในการรับส่ง กายอุปกรณ์ และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ๒.๓ สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายแนวคิดการพัฒนารูปแบบของกระบวนการทำงาน ในลักษณะการมีส่วนร่วมและเชื่อมประสานของทุกฝ่าย (ชุมชน อปท. ทีมนักวิชาการวิชาชีพสุขภาพ) ร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้เกิดสังคมไม่ทอดทิ้งกัน มีชุนชน บ้านของเขาเป็นฐาน
|
||||||||||||||||||
| 612 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... | สธ | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับร่างมาตรา ๕ ที่กำหนดขอบเขตสิทธิรับบริการสาธารณสุขของพนักงานส่วนท้องถิ่นและบุคคลในครอบครัวให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อาจไม่สอดคล้องกับมาตรา ๙ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ที่ให้กำหนดเฉพาะบุคคลหรือหน่วยงานที่สามารถใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น และการเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้มีสิทธิตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ รวมทั้งการเร่งบูรณาการระบบจัดส่งข้อมูลระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสถานพยาบาลให้มีความพร้อมในการดำเนินการก่อนการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับประเด็นอภิปรายและความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 613 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุด" | สสป | 10/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุด" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมและเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ๒. ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนกับโรงงานอุตสาหกรรม ในลักษณะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยชุมชนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา อุตสาหกรรมเป็นฝ่ายร่วมหนุนเสริมกลไก และรัฐมีบทบาทเป็นฝ่ายประสานความร่วมมือ (Co-empowerment) ๓. จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับพื้นที่ขึ้น ในรูปแบบองค์กรเบญจภาคี ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน โดยมีตัวอย่างที่มาบตาพุด (มาบตาพุดโมเดล) ๔. ศึกษาขยายผล ประยุกต์รูปแบบการประสานงานและแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุดและโรงงานอุตสาหกรรม ให้เป็นรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัฒนธรรมวิถีชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ยังมีปัญหาระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมกับชุมชน ๕. ควรมีมาตรการให้โรงงานอุตสาหกรรมเกื้อกูลและเอื้อประโยชน์ให้แก่ชุมชนบริเวณโดยรอบ เช่น ร่วมกันจัดทำแผนกลยุทธ์ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR Roadmap) โดยรัฐจะให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ๖. สำหรับนิคม/เขตอุตสาหกรรมที่เหมาะสมและมีความพร้อม ควรมีมาตรการจัดทำต้นแบบโรงงานอุตสาหกรรมและวิสาหกิจชุมชนที่มีกระบวนการสอดคล้องกัน ระหว่างการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมกับการกระจายรายได้ไปยังชุมชน เพื่อให้ชุมชนได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมรับผลประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรม ๗. ควรมีมาตรการจูงใจทางภาษีในการส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมชำระภาษีในพื้นที่ที่ตั้งโรงงาน เพื่อให้ประโยชน์ตกแก่ท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||
| 614 | โครงการจัดงานประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 12 (The 12th Asia Pacific Orchid Conference 2016: APOC 2016) | กษ | 03/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติหลักการโครงการประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ (The 12th Asia Pacific Orchid Conference 2016 : APOC 2016) ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมสัมมนากล้วยไม้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรกล้วยไม้เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาวงการกล้วยไม้ในกลุ่มประเทศสมาชิกและนานาประเทศตามวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Orchid Committee : APOC) และจะเป็นโอกาสของประเทศไทยในการนำเสนอบทบาทด้านกล้วยไม้สู่นานาชาติ รวมทั้งเพื่อแสดงถึงศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศไทยทั้งด้านการผลิตและการตลาด และเป็นการสนับสนุนด้านการส่งออกกลุ่มสินค้ากล้วยไม้ไปสู่ตลาดโลก ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมวิชาการเกษตร) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการจัดงานโครงการประชุมวิชาการกล้วยไม้เอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๒ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณารายละเอียดงบประมาณและสถานที่การจัดงานและเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในครั้งต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำรายละเอียดข้อมูลรูปแบบการเป็นเจ้าภาพจัดงาน พร้อมทั้งรายละเอียดงบประมาณ และแผนการดำเนินงานที่รวมถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านสถานที่ การจราจร แหล่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าร่วมการประชุม และนักท่องเที่ยว ตลอดจนความพร้อมด้านบุคลากร และระบบบริหารจัดการ โดยประสานความร่วมมือกับภาครัฐ ส่วนท้องถิ่นและเอกชนที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 615 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 27/08/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญเพิ่มเติม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ สามารถใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างถูกต้อง และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงให้ความสำคัญและกำชับหน่วยงานภายใต้สังกัดให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ กลุ่มรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย พิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นนักวิชาการเงินและบัญชีให้แก่จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ หากยังไม่เพียงพอให้นำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อพิจารณาต่อไป และเพื่อให้การบริหารทรัพย์สินของหน่วยงานภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุด เห็นควรให้ผู้บริหารให้ความสำคัญในการบริหารทรัพย์สินให้เกิดประสิทธิภาพ โดยใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและจัดซื้อจัดหาทรัพย์สินให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานอย่างเหมาะสม หรืออาจพิจารณาการใช้ทรัพย์สินร่วมกัน ๑.๒.๒ กลุ่มกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน การจัดสรรเงินงบประมาณอุดหนุนแก่กองทุนและเงินทุนหมุนเวียนควรพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยพิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของหน่วยงาน เพื่อประโยชน์ในการบริหารงบประมาณของแผ่นดินในภาพรวม ๑.๒.๓ กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดจัดทำรายงานการเงินส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นปีงบประมาณให้เป็นไปตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การนำส่งเงิน และการตรวจเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ หมวด ๑๑ ข้อ ๘๙ และส่งสำเนารายงานการเงินให้กรมบัญชีกลางเพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ และเพื่อประโยชน์ในการบริหารเงินสดและเงินฝากธนาคารของ อปท. ในภาพรวมให้เกิดประสิทธิภาพและเหมาะสม เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงาน ตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. ให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือและสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากรัฐอย่างทั่วถึง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปประสานงานเพื่อเร่งรัดให้กรุงเทพมหานครจัดทำรายงานการเงินส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นปีงบประมาณ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การนำส่งเงิน และการตรวจเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ หมวด ๑๑ ข้อ ๘๙ และส่งสำเนารายงานการเงินให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วนต่อไป |
||||||||||||||||||
| 616 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" | สสป | 20/08/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ตะกั่วในสีทาอาคาร ภัยที่ป้องกันได้" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สภาสถาปนิก สมาคมผู้ผลิตสีไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการในการแก้ไขปัญหาทั้งเร่งด่วน และรณรงค์เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว โดย ๑.๑ เร่งรัดการออกกฎหมายความปลอดภัยของผู้บริโภค (Consumer Product safety Improvement Act) ๑.๒ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมควรออกมาตรฐานบังคับสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์กำหนดมาตรฐานปริมาณตะกั่วในสีน้ำมันที่อนุญาตให้มีได้ไม่เกินร้อยละ ๐.๐๖ หรือ 600 ppm เป็นมาตรฐานบังคับเพื่อประกันความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรประกาศให้มีการแสดงปริมาณสารตะกั่วในสีตกแต่งหรือสีทาอาคาร และมีฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีตกแต่งหรือสีทาอาคารที่มีสารตะกั่วเจือปน เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๔ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรออกข้อกำหนดให้ผู้รับเหมาใช้สีที่ควบคุมปริมาณสารตะกั่วในสีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิววัสดุที่ใช้ในอาคารและใช้ในโรงเรียนโดยมีปริมาณสารตะกั่วน้อยกว่า 90 ppm หรือร้อยละ ๐.๐๐๙ ๑.๕ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรร่วมกันออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กให้สามารถผลิตสีที่ไม่มีตะกั่วหรือมีในระดับค่ามาตรฐานออกจำหน่ายแข่งขันในท้องตลาดได้ ๑.๖ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีมาตรการตรวจสอบสีทาอาคารที่วางจำหน่ายในท้องตลาดเป็นประจำเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการควบคุมปริมาณการใช้ตะกั่วในสี ๑.๗ สถาปนิก และสมาคมสถาปนิกสยาม ควรกำหนดให้สีทาอาคาร และสีทาเคลือบผิว วัสดุที่ใช้ในอาคารอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย ๒. ผู้ประกอบการควรมีจิตสำนึกต่อสังคม โดยดำเนินการ ๒.๑ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารที่มีส่วนผสมของตะกั่วในการผลิตสี ติดฉลากแสดงปริมาณตะกั่ว และคำเตือนบนภาชนะบรรจุสีทุกชนิดที่มีสารตะกั่ว ๒.๒ สนับสนุนมาตรการของภาครัฐในการดำเนินการให้มีการใช้สีทาอาคารที่ไม่มีสารตะกั่ว ๓. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรเข้ามามีส่วนสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานของทุกภาคส่วน โดย ๓.๑ สนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคาร ๓.๒ สนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนรณรงค์และประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจถึงผลกระทบจากสารตะกั่วในสีและเลือกใช้สีทาอาคารที่ปลอดภัยจากสารตะกั่ว ๓.๓ ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน ความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการคุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภค จากสารตะกั่วในสีทาอาคารเพื่อเผยแพร่ให้สาธารณะทราบ
|
||||||||||||||||||
| 617 | การทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2550 | อื่นๆ | 20/08/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒๕๕๐ ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอ ซึ่งได้จำแนกการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่ตราขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติออกเป็นกฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ (แก้ไขเนื้อหาของกฎหมาย) กฎหมายที่ควรให้ยกเลิก และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม (แต่อาจมีการพิจารณาทบทวนเพื่อแก้ไขภายหลัง) โดยแบ่งออกเป็น ๑.๑.๑ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒ ฉบับ ๑.๑.๒ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๕ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๓๗ ฉบับ ๑.๑.๓ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๙ ฉบับ กฎหมายที่ควรยกเลิก จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๗ ฉบับ ๑.๑.๔ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๑๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๙ ฉบับ ๑.๑.๕ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม ประกอบด้วย กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒๐ ฉบับ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีความเห็นสอดคล้องกับการแก้ไขกฎหมายตามที่ คปก. เสนอ จำนวน ๘ ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการที่รักษาการตามกฎหมายพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้ ทั้งนี้ หากมีกฎหมายที่ไม่ใช่ในส่วนของฝ่ายบริหาร ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่วนราชการเห็นว่าควรที่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเร่งรัด ก็ให้สามารถนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||
| 618 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 13/08/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๔,๕๗๗ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทาง ตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๒. จำนวนเรื่องร้องทุกข์ จำแนกตามประเภทเรื่องในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๑๔,๖๗๙ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามลำดับ ๓. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน [ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด] ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๖,๖๘๔ เรื่อง จำแนกเป็นหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ธนาคารออมสิน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๔. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตาม อปท. และจังหวัด ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓,๖๖๒ เรื่อง โดยกรุงเทพมหานครได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี ๕. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเรียงตามลำดับประเด็นเรื่องที่มีการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ไฟฟ้า ยาเสพติด การบริการขนส่งทางบก ถนน น้ำประปา บ่อนการพนัน โทรศัพท์ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดกระทรวง ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ และไฟฟ้า
|
||||||||||||||||||
| 619 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2556 | ทส | 13/08/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดพังงาและจังหวัดกระบี่ รวม ๓ ฉบับ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อมูลและผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างที่ประกาศกระทรวงฯ สิ้นผลการบังคับใช้ โดยดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ เดือน และรายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พร้อมทั้งประสานจังหวัดเพื่อทราบ ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ (ฉบับปรับปรุงแก้ไข) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ รวมทั้งนำรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๓. รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย) โดยให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและขยะติดเชื้อ ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้กรมควบคุมมลพิษนำมาตรการฯ (ระยะสั้น) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติให้บังเกิดผลสำเร็จ โดยระบุว่าจะมีการนำมาตรการระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีในลำดับถัดไป ๔. เห็นชอบในหลักการแนวทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อการฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียรวม หรือระบบกำจัดของเสียรวม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ โดยเป็นการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรร ข้อ ๑๕ (๒) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขอจัดสรรและขอกู้ยืมเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กับ อปท. ที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเป็นรายโครงการ และให้ อปท. ดำเนินการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าปรับ และนำมาหักส่งเข้ากองทุนฯ ตามอัตราที่คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมกำหนด รวมทั้งเห็นชอบให้มาตรการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ สิ้นสุดการบังคับใช้ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ ๕. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ประจำปี ๒๕๕๗ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาทบทวนและให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการกองทุนสิ่งแวดล้อม การสรรหาแหล่งเงินทุน การจัดสรรเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การกำหนดสัดส่วนการสมทบเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การสร้างความเข้าใจกับท้องถิ่น และการจัดเก็บเงินจากผู้ก่อมลพิษตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และนำเสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาลงนาม ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา
|
||||||||||||||||||
| 620 | การกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ | ทก | 13/08/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคางานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ บนเว็บไซต์ http://ni3.mict.go.th/ictestimate01/ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการจัดหาระบบดังกล่าวต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคางานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ ประกอบการพิจารณาจัดสรร หรือตั้งงบประมาณ สำหรับงานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ ๒. ให้คณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐทำหน้าที่พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางงานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ตามความเหมาะสมและจำเป็น โดยไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการเพิ่มเติม เนื่องจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่แล้ว และสำนักงบประมาณจะพิจารณาตั้งงบประมาณและจัดสรรงบประมาณโดยไม่เกินหลักการแนวทางการประเมินราคางานพัฒนาระบบประเภทโปรแกรมประยุกต์ดังกล่าวต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
.....
