ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 30 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 581 - 600 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 581 | เหตุการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะ จังหวัดสมุทรปราการ | นร04 | 18/03/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้บ่อขยะขนาดใหญ่ พื้นที่ประมาณ ๑๕๐ ไร่ ในซอยสวัสดี ตำบลแพรกษา อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเพลิงได้ลุกไหม้ขยะที่มีขยะอุตสาหกรรมปนอยู่จำนวนมากและขยายเป็นวงกว้าง เกิดควันสีดำและมีกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจาย ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และสุขอนามัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และในละแวกใกล้เคียง จึงขอมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานเจ้าภาพรับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาในภาพรวมเพื่อดำเนินการและชี้แจงให้ประชาชนทราบต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่เพื่อกำกับติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่โดยด่วนด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 582 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2555 | พม | 11/03/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอเชิงนโยบาย การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญต่อความมั่นคงและการพัฒนาของประเทศ สำหรับประเด็นเร่งด่วนและมีช่องทางเอื้อให้ดำเนินการได้ทันทีในระยะสั้น ได้แก่ การนำพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด โดยรัฐควรเร่งดำเนินการเรื่องกองทุนการออมแห่งชาติให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งเร่งพัฒนาระบบหลักประกันทางเศรษฐกิจในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย และการผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ โดยการกระตุ้นและส่งเสริมให้ อปท. เข้ามารับผิดชอบงานด้านการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพและคุ้มครองผู้สูงอายุในชุมชนของตนเองอย่างเป็นระบบ ๒. การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และข้อมูลสถิติที่สำคัญเกี่ยวกับผู้สูงอายุ จากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๘๓ สัดส่วนของประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่สัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ ๑๓.๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นร้อยละ ๓๒.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๘๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จะเป็นปีที่สัดส่วนของประชากรวัยสูงอายุ สัดส่วนของผู้สูงอายุวัยปลายจะเพิ่มจากประมาณร้อยละ ๑๒.๗ ของประชากรสูงอายุทั้งหมดเกือบ ๑ ใน ๕ ของประชากรสูงอายุ ปัญหาสุขภาพประชากรสูงอายุ จากข้อมูลพบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้สูงอายุมีปัญหาด้านการมองเห็น ร้อยละ ๔๗.๔ ปัญหาด้านการได้ยิน ประมาณร้อยละ ๑๕ นอกจากนี้ ยังพบปัญหาในด้านศักยภาพในการควบคุม การเคลื่อนไหว การพลัดตกหกล้ม การควบคุมระบบการขับถ่าย รวมทั้งข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ และ พ.ศ. ๒๕๕๔ สัดส่วนของผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงที่เป็นโสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แนวโน้มการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุตามลำพังเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุไทยประมาณ ๑ ใน ๓ ของทั้งหมดยังคงทำงานเชิงเศรษฐกิจ แหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุ ๓ อันดับแรก คือ บุตร การทำงาน และเบี้ยยังชีพจากทางราชการ ๓. ความสำเร็จและความท้าทายในการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ จากการติดตามและประเมินแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) การดำเนินงานในภาพรวมของประเทศยังผ่านในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ประเทศไทยยังต้องเร่งดำเนินงานตามแผนผู้สูงอายุต่อไป เพื่อให้สามารถรองรับอัตราการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมสูงวัย อุปสรรคปัญหาต่อการดำเนินงาน คือ การขาดความต่อเนื่องของนโยบายและการทำงานด้านผู้สูงอายุขึ้นกับผู้นำประเทศเป็นสำคัญ การขาดการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและขาดงบประมาณสนับสนุน ชมรมผู้สูงอายุยังขาดความเข้มแข็ง และ อปท. ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังคน ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และระเบียบข้อบังคับในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่องานด้านผู้สูงอายุ เพื่อให้งานด้านผู้สูงอายุก้าวหน้าต่อไป ๔. สถานการณ์เด่นรอบปี ๔.๑ ผลของการประกาศใช้และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่งผลให้มีหลักประกันทางเศรษฐกิจเมื่อยามสูงวัยในหลากหลายรูปแบบ ๔.๒ การพัฒนาและปรับระบบบริการสาธารณสุขในการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การประเมินผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแลระยะยาว การอบรมให้ความรู้แก่ อปท. และผู้ดูแล เป็นต้น ๔.๓ การขยายสิทธิผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และเพิ่มหน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินการรองรับสิทธิที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครอง ส่งเสริมการให้สิทธิประโยชน์ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เพิ่มช่องทาง การรับรู้ และสามารถเข้าถึงสิทธิได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
| 583 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 (Annual Inspection : Fiscal Year 2013) | นร01 | 11/02/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2013) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการภายใต้ประเด็นนโยบายสำคัญ (การบูรณาการการตรวจราชการเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ) ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวง ๑.๑ นโยบายการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ด้านปัญหายาเสพติด ผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๖ และการบูรณาการหรือเชื่อมโยงโครงการ/แผนงานตามปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ด้านการป้องกัน การบำบัด ฟื้นฟู และการปราบปราม พบว่าแต่ละจังหวัดได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว จากงบประมาณสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ส่วนราชการ แผนพัฒนาจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และงบอื่น ๆ โดยภาพรวม ส่วนใหญ่การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายรายไตรมาสที่กำหนดไว้ และมีบางกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้เกินเป้าหมาย สำหรับแผนงานที่ยังไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้นั้น เป็นผลมาจากปัญหาในการทำงานร่วมกันของบางจังหวัด เนื่องจากแต่ละจังหวัดมีความสามารถในการบริหารจัดการกลไกที่กำหนดแตกต่างกัน อีกทั้งยังคงมีสถิติการจับกุมผู้ค้า ผู้จำหน่าย และจำนวนผู้บำบัดรักษาเพิ่มขึ้น มาโดยตลอด นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของยาเสพติดยังได้ขยายไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมีแนวโน้มเด็กที่ติดสารเสพติดจะมีอายุลดน้อยลงทุกปี ๑.๒ นโยบายการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พบว่าหน่วยงานในส่วนกลางและหน่วยงานในพื้นที่ได้ดำเนินแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม มีความคืบหน้า สามารถสร้างโอกาสในการพัฒนาและรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นระดับหนึ่ง ๒. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการการตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะพื้นที่ (Specific Area) ร่วมกันของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวง ๒.๑ เศรษฐกิจการค้าชายแดน ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำสินค้าด้านพลังงาน (LPG) ข้ามแดนบริเวณพื้นที่ชายแดนราชอาณาจักรไทย-สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ณ จุดผ่อนปรน บ้านสบรวก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศมาเลเซีย ณ จุดผ่านแดนถาวร ด่านสะเดา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และพบการซื้อก๊าซบรรจุในถังก๊าซหุงต้มของประชาชนหน้าด่านช่องจอม บริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างราชอาณาจักรไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา ณ จุดผ่านแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ สำหรับเรื่องการอำนวยความสะดวกนำเข้า-ส่งออกสินค้าผ่านแดน มีการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้ประกอบการและประชาชนในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าผ่านแดน และการขยายตัวของเศรษฐกิจการค้าชายแดน รวมทั้งเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒.๒ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติ พบว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีการเตรียมความพร้อมในแต่ละด้านเพื่อรับสถานการณ์ภัยพิบัติทั้ง ๔ ประเภท ได้แก่ ภัยแล้ง (พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ไฟป่าและหมอกควัน (พื้นที่ ๙ จังหวัดภาคเหนือ) อุทกภัยและดินโคลนถล่ม (พื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ) และคลื่นสึนามิ (พื้นที่ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน)
|
|||||||||||||||||||||
| 584 | รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2555 | พม | 28/01/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี ๒๕๕๕ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๐ โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญ ๔ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ประชากรเด็กและเยาวชน เป็นการนำเสนอโครงสร้างและแนวโน้มประชากรเด็กและเยาวชน ตลอดจนความต้องการและสภาวการณ์ของเด็กและเยาวชนในอนาคต ๒. ส่วนที่ ๒ สภาพการณ์และแนวโน้ม ผลการดำเนินการ และแนวทางการแก้ไขปัญหาการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประกอบด้วย เด็กและเยาวชนกับครอบครัว เด็กและเยาวชนกับสุขภาพและความปลอดภัย เด็กและเยาวชนกับการศึกษา เด็กและเยาวชนกับวัฒนธรรมคุณธรรม จริยธรรม เด็กและเยาวชนกับการนันทนาการ เด็กและเยาวชนกับสื่อ เด็กและเยาวชนกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วม รวมถึงสภานักเรียน และการรวมกลุ่ม เด็กและเยาวชนกับการปกป้องคุ้มครองเป็นพิเศษ เด็กและเยาวชนกับการประกอบอาชีพและการมีงานทำ เด็กและเยาวชนกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ เด็กและเยาวชนกับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ๓. ส่วนที่ ๓ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย เป็นการรายงานผลงานความก้าวหน้าของสภาเด็กและเยาวชน รวมทั้งวิเคราะห์ความสำเร็จ/ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ๔. ส่วนที่ ๔ งบประมาณการพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นการวิเคราะห์การใช้งบประมาณเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนงานพัฒนาเด็กและเยาวชน แบ่งเป็น ๔.๑ มาตรการเร่งด่วน ประกอบด้วย ด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ด้านการส่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็ก ด้านสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับเด็ก ด้านมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดปัญหาและผลกระทบจากการตั้งครรภ์ของกลุ่มเด็กและเยาวชน ด้านการปกป้องคุ้มครองเด็ก ด้านผลกระทบจากสื่อ ด้านการเข้าสู่ตลาดแรงงานของเยาวชน และด้านการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ๔.๒ มาตรการระยะยาว ประกอบด้วย เสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพของครอบครัวแบบองค์รวม พัฒนาระบบบริหารจัดการในการคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีการต่อเชื่อมกันมากขึ้น และสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีอื่น ๆ
|
|||||||||||||||||||||
| 585 | รายงานประจำปี 2555 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 28/01/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๕ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ มีสาระสำคัญ ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ คณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ๒. ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย การกระจายอำนาจด้านภารกิจและอำนาจหน้าที่ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ การกำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การกำหนดหลักการการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๓. ส่วนที่ ๓ การดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจ ประกอบด้วย การติดตามและประเมินผล การพัฒนาและฝึกอบรม การเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ และการดำเนินการอื่น ๆ
|
|||||||||||||||||||||
| 586 | รายงานผลการปฎิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฎิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2555 | นร09 | 21/01/2557 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้ให้คำปรึกษาและตอบข้อหารือแก่หน่วยงานของรัฐ อาทิ กรมบังคับคดี เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ การมอบอำนาจในการดำเนินการพิจารณาใช้มาตรการบังคับทางปกครอง สำนักงานประกันสังคม เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ บัญญัติมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จะนำมาใช้ขยายกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้หรือไม่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ การสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เรื่องที่ขอหารือ ได้แก่ การใช้มาตรการบังคับทางปกครองในกรณีอนุโลมให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับกับพนักงานขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เป็นต้น ๒. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้จัดฝึกอบรมข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเป็นวิทยากรออกไปเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐร้องขอ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องตลอดมา สำหรับปี ๒๕๕๕ ได้มีการจัดวิทยากรไปบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่ กรมบัญชีกลาง กรมวิชาการเกษตร สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม สำนักบังคับคดีอาญาและบังคับใช้กฎหมาย กระทรวงยุติธรรม นอกจากนี้ได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง โดยในปี ๒๕๕๕ มีการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ จำนวนทั้งสิ้น ๑๓๒ ครั้ง และได้เผยแพร่เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่สนใจเป็นระยะ ๆ
|
|||||||||||||||||||||
| 587 | แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 10/12/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่วมกัน และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ๓. เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติ ๓.๑ กำชับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกประเภททุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ [เรื่อง การปรับปรุง แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๒๑๖/ว ๑๔๑ ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙)] โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะการให้ความร่วมมือช่วยเหลือและสนับสนุน การดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อได้รับการร้องขอจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง รวมทั้งการวางตัวเป็นกลางของข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทและทุกระดับดังกล่าวด้วย ๓.๒ เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถนำงบประมาณมาสนับสนุนการเลือกตั้งได้ โดย ๓.๒.๑ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาดำเนินการไปได้ตามความเหมาะสม ๓.๒.๒ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานเสนอขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓.๒.๓ เห็นชอบให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง สรุปผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/ว ๑๔๗ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐)]
|
|||||||||||||||||||||
| 588 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท | กค | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างเท่านั้น ๑.๒ การขยายระยะเวลา ๑.๒.๑ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาก่อสร้าง ต้องเป็นคู่สัญญาที่ได้ลงนามทำสัญญาจ้างก่อสร้างกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ โดยบังคับใช้กับสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้ลงนามไว้กับหน่วยงานก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งสัญญาดังกล่าว ณ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ยังมีนิติสัมพันธ์อยู่และยังมิได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายหรือสัญญาดังกล่าวยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ แต่ได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ให้ความช่วยเหลือฯ ยกเว้นสัญญาที่หน่วยงานได้พิจารณาก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ แล้วว่า จะบอกเลิกสัญญาเนื่องจากคู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญา กรณีสัญญาดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีนี้ ๑.๒.๒ สัญญาจ้างก่อสร้างที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๑๕๐ วัน ในกรณีอายุสัญญาจ้างก่อสร้างน้อยกว่า ๑๕๐ วัน ก็ให้ขยายระยะเวลาได้เท่ากับอายุสัญญาเดิม ๑.๒.๓ สัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปตามข้อ ๑.๒.๒ โดยกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างได้ดำเนินการล่วงเลยกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามสัญญา และได้ถูกปรับไว้ในช่วงก่อนหน้าวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ยังคงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องรับผิดชอบในส่วนของค่าปรับในช่วงก่อนหน้าที่จะได้รับการช่วยเหลือฯ แต่จะได้รับการลดหรืองดค่าปรับเฉพาะในช่วงระยะเวลาที่ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการนี้เท่านั้น และกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ยังอยู่ภายในระยะเวลาตามสัญญา ให้ขยายระยะเวลา โดยนับถัดจากวันสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาเดิม ๑.๒.๔ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือฯ หากการขยายระยะเวลาออกไป มีผลทำให้ผู้รับจ้างไม่ถูกปรับ ก็ให้งดลดค่าปรับ หรือคืนเงินค่าปรับ ตามความเป็นจริง แล้วแต่กรณี ๑.๒.๕ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับความช่วยเหลือ หากสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าวมีการจ้างเอกชนควบคุมงาน ค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษา ให้ผู้รับจ้างเป็นผู้รับภาระค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษาสำหรับระยะเวลาที่ได้ขยายออกไป เนื่องจากผู้รับจ้างได้รับประโยชน์จากการได้รับการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ๑.๒.๖ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือจะต้องยื่นคำร้องขอต่อหน่วยงานคู่สัญญาภายใน ๖๐ วัน นับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๒.๗ กรณีคู่สัญญาใดเห็นว่า การได้รับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวยังไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้และมีเหตุผลอันสมควร ให้หน่วยงานพิจารณา และหากเห็นสมควรขยายระยะเวลา ก็ให้เสนอต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุเพื่อพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๓ การพิจารณาไม่ลงโทษเป็นผู้ทิ้งงาน หากในกรณีที่หน่วยงานได้มีการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างไปแล้ว สืบเนื่องจากผู้รับจ้างได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ซึ่งได้บอกเลิกสัญญาในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ให้ถือว่าไม่เป็นผู้ทิ้งงาน ๑.๔ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือฯ ดังกล่าว ๑.๕ เพื่อความเป็นธรรมในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เห็นควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และมีมติแจ้งเวียนให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการนี้ไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้ว ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม |
|||||||||||||||||||||
| 589 | การประเมินค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา รอบที่ 3 | นร01 | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เกณฑ์ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา รวมทั้งขั้นตอนและวิธีการประเมินตนเอง รอบที่ ๓ ซึ่งจะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีเกณฑ์ชี้วัด จำนวน ๖ ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านการจัดระเบียบชุมชน/สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย ด้านการวางแผน การส่งเสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ด้านการบริหารจัดการ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและด้านศิลปะ วัฒนธรรม ศาสนา จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น จำแนกเป็น ๑.๑.๑ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะขององค์การบริหารส่วนจังหวัด แบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก จำนวน ๑๓ ภารกิจ ๔๖ ตัวชี้วัด ๑.๑.๒ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะของกรุงเทพมหานคร จำนวน ๒๓ ภารกิจ ๔๙ ตัวชี้วัด ๑.๑.๓ เกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะของเมืองพัทยา จำนวน ๑๘ ภารกิจ ๗๓ ตัวชี้วัด ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทางด้านเทคนิค วิชาการ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการได้มาตรฐานตามเกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะ ๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการประเมินตนเองตามเกณฑ์ชี้วัดและค่าเป้าหมายขั้นต่ำการจัดบริการสาธารณะดังกล่าว โดยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรผนวกการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับด้านศิลปะ วัฒนธรรมในงานด้านส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้รวมอยู่ในงานด้านศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งควรเพิ่มงานด้านศาสนาเป็นเกณฑ์ตัวชี้วัดในงานด้านดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดเชิงคุณภาพเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงาน/ศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการจัดบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 590 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 เรื่อง การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน พร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ | สช | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดดำเนินการ โดย ๑.๑.๑ สำนักนายกรัฐมนตรี กำหนดเป็นนโยบายหลักให้การเดินและการใช้จักรยานเป็นวิธีการเดินทางระยะสั้นที่สำคัญ และทำหน้าที่ประสานงานหน่วยงานภาครัฐในการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ ๑.๑.๒ กระทรวงคมนาคม ส่งเสริมการเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งสาธารณะด้วยการเดินเท้าและการใช้จักรยาน ให้ความรู้ที่เน้นให้ความสำคัญต่อผู้เดินเท้าและผู้ใช้จักรยานทุกกลุ่มคนในการสอบเพื่อขอใบอนุญาตขับขี่ยานยนต์ทุกชนิด ๑.๑.๓ กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร และข้อบัญญัติท้องถิ่นให้ผู้เป็นเจ้าของอาคารขนาดใหญ่และอาคารสาธารณะ รวมทั้งสถานีขนส่งสาธารณะ ต้องจัดให้มีที่จอดจักรยานที่สะดวก ปลอดภัย และเพียงพอ รวมถึงกำหนดให้จังหวัดมีหน้าที่สนับสนุนการเดินเท้าและใช้จักรยานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๑.๑.๔ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำหนดให้การเดินและการใช้จักรยานเป็นระเบียบวาระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมและปลอดภัยต่อการเดินเท้า การใช้ทางเท้าและการสัญจรของคนพิการและการใช้จักรยาน กำหนดพื้นที่จำกัดความเร็วของยานยนต์ และช่องทางการเดิน การใช้จักรยาน มีสัญลักษณ์และป้ายบอกชัดเจนในเขตชุมชน และประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้และรณรงค์อย่างต่อเนื่อง สร้างความตื่นตัวและสนับสนุนกิจกรรม ด้านการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันแก่สาธารณชน ๑.๑.๕ กระทรวงศึกษาธิการ กำหนดให้สถานศึกษามีหลักสูตรให้ความรู้และพัฒนาทักษะเกี่ยวกับการเดินและการใช้จักรยาน อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะการใช้สัญญาณมือและไฟจักรยานกับผู้ขับขี่ให้ถูกต้อง ปลอดภัยและสนับสนุนให้ใช้เครื่องป้องกันอันตรายส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่องแก่นักเรียนนักศึกษา รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้เดินหรือใช้จักรยานในการเดินทางมาเรียนด้วยการมีส่วนร่วมของนักเรียนนักศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน และจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินและการใช้จักรยานภายในสถานศึกษา ๑.๑.๖ กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าและให้บริการที่เกี่ยวกับการเดินและการใช้จักรยาน และการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยคนพิการในการเดินทางที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และราคาที่เป็นธรรม ๑.๑.๗ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปเดินและใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน และสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการเดินและใช้จักรยานอย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๘ กระทรวงพลังงาน มีนโยบายและมาตรการส่งเสริมการเดินทางที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ ได้แก่ การเดินและการใช้จักรยาน และการใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยคนพิการในการเดินทาง ๑.๑.๙ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สนับสนุนการท่องเที่ยวด้วยจักรยานและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการที่พักมีจักรยานให้บริการนักท่องเที่ยว ๑.๑.๑๐ กระทรวงการคลัง มีมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมและสร้างแรงจูงให้ประชาชนใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ๑.๑.๑๑ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รณรงค์ และสร้างองค์ความรู้เพื่อผลักดันนโยบาย และเพื่อสร้างพฤติกรรมสุขภาพด้วยการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ๑.๒ ให้สำนักนายกรัฐมนตรีสนับสนุนการมีส่วนร่วมเพื่อการจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน โดย ๑.๒.๑ สนับสนุนกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ “การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน” ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาร่างข้อเสนอยุทธศาสตร์การจัดระบบและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ตามภาคผนวก ท้ายเอกสารหลัก เป็นเอกสารตั้งต้น ๑.๒.๒ สนับสนุนให้มีการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อยุทธศาสตร์ดังกล่าวและเสนอต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเฉพาะประเด็นเพื่อรับรองร่างยุทธศาสตร์ให้เสร็จสิ้นภายในปี ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยเป็นแกนนำประสานกับภาคีที่เกี่ยวข้องด้านการเดินและการใช้จักรยานและภาคีสมัชชาสุขภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ร่วมในกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ฯ รวมทั้งการให้คำปรึกษา คำแนะนำ การสนับสนุนทางวิชาการ การศึกษาดูงานเรียนรู้จากพื้นที่ที่ดำเนินงาน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเดินและใช้จักรยาน โดยนำเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปใช้อาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ การหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดกรอบการดำเนินงานภาพรวมและแนวทางการดำเนินงานในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของภาระงานและงบประมาณ การทบทวนกรอบระยะเวลาที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ ให้มีความเหมาะสมและเป็นไปได้จริงในทางปฏิบัติ การพิจารณามาตรการสนับสนุนด้านอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของการดำเนินการที่ไม่ได้มุ่งเน้นการพึ่งพิงงบประมาณจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันยังมีอุปสรรค สืบเนื่องจากปัจจัยแวดล้อม (Built Environment) ที่ไม่เอื้ออำนวย จึงควรสนับสนุนแนวทางการลดอุปสรรคในการเดินทางและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันที่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม (Built Environment) ที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งการแสวงหาแนวทางการพัฒนาในด้านธุรกิจ-อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการใช้จักรยาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 591 | รายงานผลการจัดนิทรรศการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศ | นร11 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย ๒๐๒๐” ระหว่างวันที่ ๔ ตุลาคม-๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดหนองคาย นครราชสีมา ชลบุรี อุบลราชธานี ขอนแก่น นครสวรรค์ และฉะเชิงเทรา ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการบูรณาการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าร่วมนิทรรศการฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๕๖๔,๓๗๙ คน หรือเฉลี่ย ๒๖,๘๗๕ คน/วัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานมากที่สุดที่จังหวัดขอนแก่น จำนวน ๑๓๙,๑๘๓ คน หรือเฉลี่ย ๔๖,๓๙๔ คน/วัน และน้อยที่สุดที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๔๖,๒๘๔ คน หรือเฉลี่ย ๑๕,๔๒๘ คน/วัน ๒. ความเห็นของผู้ร่วมชมนิทรรศการฯ ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจการจัดนิทรรศการฯ ซึ่งผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่ได้รับทราบข่าวการจัดนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย ๒๐๒๐” จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/ผู้นำชุมชน รองลงมาคือ สื่อโทรทัศน์ ป้ายประชาสัมพันธ์/แผ่นพับ และเพื่อน/ครอบครัว ตามลำดับ โดยมีความประทับใจนิทรรศการรถไฟความเร็วสูงมากที่สุด รองลงมาคือ การจำหน่ายสินค้า OTOP และกิจกรรมการประกวด “จานด่วนไทย ไปครัวโลก” ตามลำดับ ๓. การดำเนินงานในระยะต่อไป คณะกรรมการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศเห็นควรให้มีการจัดนิทรรศการเพื่อสรุปภาพรวมทั้งประเทศอีกครั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยให้มีการเตรียมข้อมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงให้มีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถชี้แจงและสื่อสารต่อประชาชนและผู้ที่สนใจได้อย่างชัดเจน และครบถ้วน ในเบื้องต้นคณะกรรมการฯ เห็นควรกำหนดช่วงเวลาการจัดนิทรรศการฯ ระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์-๒ มีนาคม ๒๕๕๗ สำหรับสถานที่จัดนิทรรศการฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมทั้งในด้านขนาดของพื้นที่ และความสะดวกในการเดินทางเข้าถึงสถานที่จัดนิทรรศการฯ นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมเสนอให้มีพื้นที่ในการจัดแสดงผลงานที่ได้รับรางวัลการประกวดแนวคิดการออกแบบสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หัวหิน ภายใต้ชื่อ “Design Station Define Identity” และกระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้มีกิจกรรมการประกวดภาพและเรียงความในหัวข้อ “จังหวัดของฉันในปี ๒๐๒๐” ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนและนักศึกษาเกิดความสนใจในการรับทราบข้อมูลของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมากขึ้น และแสดงให้เห็นถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอีกทางหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
| 592 | การปรับปรุงข้อเสนอแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร จำนวน ๖ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) วงเงิน ๕ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด ต.แหลมรัง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร-นาตาเซา ต.วังชะโอน อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร วงเงิน ๑๘ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน ต.ไผ่หลวง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร วงเงิน ๑๒ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไป ต.ท่าหลวง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองห้วยน้อยเชื่อมโครงการท่อทองแดงผันน้ำจากแม่น้ำปิงลงสู่แม่น้ำยม วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณจัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกรมบัญชีกลางแล้ว ๑.๒ ให้จังหวัดพิจิตรรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อประกอบการดำเนินโครงการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีการพัฒนาหรือฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่สำคัญที่ถูกบุกรุกจนไม่เหลือสภาพธรรมชาติเดิม จำเป็นจะต้องบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงาน เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ควรจัดทำเป็นแผนพัฒนาระยะยาวที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และมีคณะกรรมการกำกับแผนและโครงการในระดับพื้นที่เป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เป็นกลไกประสานงานกับหน่วยงานระดับกระทรวงที่มีความเป็นเอกภาพ มีความสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และสามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในกรณีการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ในระยะยาวให้สามารถฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศให้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับสภาพปัญหาของแหล่งน้ำดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 593 | ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ 27 | กห | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมาร์ ครั้งที่ ๒๗ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม-๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ณ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าจากการประชุม RBC-26 ได้แก่ ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกองทัพ การปราบปรามการค้าอาวุธและกระสุนผิดกฎหมาย การเปิดจุดการค้ามูด่อง และทิกี้ รวมทั้งการใช้คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนเพื่อที่จะปฏิบัติตามกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศได้อย่างถูกต้อง ๒. มาตรการเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน ได้แก่ การแลกเปลี่ยนการเยือนและการหารือระหว่างทั้งสองกองทัพในทุกระดับ การเพิ่มการแลกเปลี่ยนการเยือนของกองทัพเรือ และความร่วมมือทวิภาคีต่าง ๆ ๓. ความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน ได้แก่ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดน การเปิดจุดผ่านแดนสิงขร-มูด่อง การประสานงานของ TBCs ในส่วนของการปรับจุดประสานงานจากเดิมระหว่างบ้านพระเจดีย์สามองค์-จะอินเซ็กจี เป็นบ้านพระเจดีย์สามองค์-พญาตองซู และการจัดตั้ง TBC เพิ่มเติม คือ (๑) บ้านพุน้ำร้อน-บ้านทิกี้ (๒) บ้านตะโกบน-บ้านม้อท่า (๓) บ้านสิงขร-บ้านมูด่อง (๔) บ้านห้วยผึ้ง-บ้านนามน ความร่วมมือในการจัดตั้งหมู่บ้านคู่ขนานตามแนวชายแดน ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน การขยายความร่วมมือในการป้องกันไฟป่าและหมอกควัน และความร่วมมือในการคุ้มครองแรงงานเมียนมาร์ ๔. ความร่วมมือทวิภาคีในการปราบปรามยาเสพติด ได้แก่ การประสานงานเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานประสานงานชายแดน ความร่วมมือในการปราบปรามการค้ายาเสพติดและสารตั้งต้น และความร่วมมือในการพัฒนาทางเลือก ๕. ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน ได้แก่ การปลูกยางพาราและการบุกรุกป่าสงวนปากจั่น การข้ามแดนผิดกฎหมายและเหตุการณ์โจมตีหน่วยรักษาความมั่นคงเมียนมาร์ มาตรการหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและความขัดแย้งในพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน การกระทำความผิดกฎหมายบนเกาะกลางแม่น้ำเมย/ตองยิน การวางกำลังฐานทหารบริเวณชายแดน ที่พาร์ซี และดอยลาง ประเด็นเกาะตันพญา/บ้านแม่โกนเกน และคอกช้างเผือก การทำประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำเมียนมาร์ การก่อสร้างอาคารใกล้แม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งตามแม่น้ำเขตแดน การบุกรุกปลูกพืชบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ การก่อสร้างในช่องทางพระเจดีย์สามองค์/พญาตองซู และกรณีเกาะ ๓ เกาะ ในแม่น้ำปากจั่น/กระบุรี ๖. การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านบริเวณชายแดน ได้แก่ การเข้ามาอาศัยในดินแดนไทยของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยนักศึกษาพม่า ๒ แห่ง กองกำลังแห่งชาติว้า ๑ แห่ง กบฏมุสลิมและพรรคกอบกู้หงสาวดีกลุ่มละ ๑ แห่ง กกล. กองทัพรัฐฉาน (กลุ่มยอดศึก) ๕ แห่ง พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะยา ๑ แห่ง กองกำลังกะเหรี่ยงพม่า (KNU) ๒ แห่ง รวมทั้งบ้านพักของผู้นำกลุ่ม ๗. เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเมียวดี การเตรียมความพร้อมในการเดินทางกลับของผู้หนีภัยการสู้รบและการปิดพื้นที่พักพิงชั่วคราว จำนวน ๙ แห่ง ตามพื้นที่ชายแดน การควบคุมการใช้น่านฟ้า และการปลอมแปลงธนบัตร ๘. การกำหนดวันที่และสถานที่ของการประชุม RBC-28 กำหนดจัดขึ้นที่เมียนมาร์ ส่วนวันและสถานที่จะกำหนดร่วมกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 594 | แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่มและการขยายระยะเวลาแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ | มท | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม เพื่อใช้เป็นแผนกลยุทธ์เชิงรุกที่ใช้ในการบริหารจัดการลดความสูญเสียและลดผลกระทบจากภัยแผ่นดินไหวและอาคารถล่มและเป็นแผนสนับสนุนแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ๑.๒ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ จาก พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖ เป็น พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ๑.๓ ให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ถือปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ ๒. สำหรับการจัดตั้งกองทุนประกันภัยแผ่นดินไหว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ กปภ.ช. รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องภัยแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม เพื่อให้เข้าใจถึงกระบวนการการเกิดของแผ่นดินไหวที่แท้จริงและเพื่อเป็นแนวทางในการลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และควรมีการฝึกซ้อมแผนอพยพหลบภัยเกี่ยวกับภัยแผ่นดินไหวในอาคารสูง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดภัย สำหรับแผนระยะต่อไป ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับกรอบทิศทางของแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ฉบับใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดตัวชี้วัด (Key Performance Index : KPI) เพื่อประโยชน์ในการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) ประธานกรรมการ กปภ.ช. หารือร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ของฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารให้สอดคล้องกันและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||
| 595 | "การขยายระยะเวลาแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติและยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน" และ "แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน พ.ศ. 2556 - 2562 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ" | มท | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ จาก “พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๙” เป็น “พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๖๒” ๑.๒ อนุมัติให้ขยายระยะเวลายุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษจากหมอกควัน จาก “พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๙” เป็น “พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๒” ๑.๓ เห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๒ ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ มีกรอบระยะเวลาการดำเนินการ ๗ ปี มีหน่วยงานร่วมบูรณาการทั้งสิ้น ๔๔ หน่วยงาน แผนงาน/โครงการ จำนวน ๑๕๓ แผนงาน/โครงการ งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๐,๓๘๐.๖๒๑๗ ล้านบาท เป้าหมายของแผน ประกอบด้วย การจัดการไฟป่า ลดพื้นที่ไฟไหม้ป่าให้เหลือเพียงไม่เกินปีละ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ จัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรทดแทนการเผาในพื้นที่อย่างน้อยปีละ ๖๐๐,๐๐๐ ไร่ และลดการเผาขยะมูลฝอยในที่โล่งโดยจัดให้มีการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกหลักวิธีและปลอดภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของจังหวัดทั้งหมด และมีการใช้ประโยชน์มูลฝอยไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓๐ ของปริมาณมูลฝอยที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ๑.๔ เห็นชอบให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านอัคคีภัยแห่งชาติ และยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษหมอกควัน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของงบประมาณให้ดำเนินการตามแผนฯ จำนวน ๑๐,๓๘๐.๖๒๑๗ ล้านบาท หากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อไปดำเนินการตามความเหมาะสมและจำเป็น สำหรับในปีต่อไปให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าในการจัดทำแผนเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัย ไฟป่า การเผาในที่โล่ง และหมอกควันนั้น ควรมุ่งเน้นไปที่สาเหตุของปัญหาและการป้องกันที่จะมีผลในระยะยาว เช่น การปลูกป่า การสร้างความชุ่มชื้น และการสร้างแนวป้องกันไฟ เป็นต้น และปรับปรุงแผนฯ ในระยะยาว โดยให้ชุมชนเป็นแกนหลักในการป้องกันอัคคีภัยและหมอกควันในพื้นที่ของแต่ละชุมชนเอง เช่น การให้ชุมชนบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรแทนการเผาโดยนำไปใช้ประโยชน์อื่น หรือการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธี เป็นต้น ไปพิจารณาปรับปรุงแผน และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียต่อการแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดน และควรประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนทุกภาคส่วนให้เกิดความตื่นตัวในการป้องกันตนเอง ดำเนินการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการภัยจากอัคคีภัย ไฟป่า การเผาในที่โล่ง และหมอกควันอย่างเป็นระบบ และการสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอที่สามารถปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายได้ตามกิจกรรม/โครงการที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 596 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2556 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อปรับปรุงรายละเอียดของโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและยกระดับการผลิตอาหารปลอดภัยครบวงจรในพื้นที่ ๔ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ให้มีความชัดเจน โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่มีอยู่ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดตั้งโครงการแปรรูปเถ้าแกลบ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการดำเนินการ ๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพร่วมในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะในชุมชน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการโครงการฯ ได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ และสร้างกระบวนการให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมดำเนินโครงการฯ ให้เป็นโครงการนำร่องและขยายผลการดำเนินงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพต่อไป ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการด้านการส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ ความเหมาะสมของอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสิทธิของประชาชนและชุมชนในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินโครงการ ได้แก่ โครงการทางหลวง ๔ ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่สายทางหลวงหมายเลข ๓๑๙๕ บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๒ (ทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง), โครงการขยายถนน ๔ ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข ๓๖๖) ระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองลพบุรีด้านเหนือ ๔ ช่องจราจร ระยะทาง ๑๓ กิโลเมตร, โครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างจังหวัด โดยการขยายช่องการจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ตลอดเส้นทาง รวม ๒ เส้นทาง และการปรับปรุงทางแยกต่างระดับชัยนาทที่ถนนสายเอเชีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒) (กม. ๑๓๑+๕๙๕) ตามความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรจัดงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการศึกษาทางหลวงแนวใหม่ ๔ ช่องจราจร แยกทางหลวงหมายเลข ๓๒ ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (๓๖๖) ระยะทาง ๒๕ กิโลเมตร ในรายละเอียดเพิ่มเติม ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมประสานสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการศึกษาสร้างเกาะกลางแบบยกตัว ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑) ตรงสี่แยกเข้าชัยนาท-บ้านกล้วย กม. ๒๘๐+๕๗๘ (แยกหลวงพ่อโอ-ท่าน้ำอ้อย) ระยะทาง ๒๔.๙๘๔ กิโลเมตร ๒.๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการและขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวควบคู่ไปด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโครงการฯ ๒.๑.๔ ข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เกี่ยวกับรายงานการติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑-๗/๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ ๑ กลุ่มที่มีความสำคัญยิ่งและต้องดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนไปประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่อไป รวมทั้งให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบันเป็นแกนหลักร่วมติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ดำเนินการแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๑.๕ เรื่องอื่น ๆ เสนอโดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒.๑.๕.๑ การปรับการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ให้กระทรวงพลังงานรวมกับกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการเพื่อเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดความซ้ำซ้อน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ ๒.๑.๕.๒ การขอให้ปรับอัตราส่วนเพิ่มให้กับโรงไฟฟ้าชุมชนจากพลังงานทดแทนขนาดไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการประกาศใช้อัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ของแต่ละประเภทของพลังงานทดแทนที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนมากขึ้น ๒.๑.๕.๓ โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไทยสู่ประชาคมอาเซียน ระยะที่ ๒ (Innovation Coupon for SMEs) ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษารายละเอียดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ โดยนำผลการประเมินโครงการฯ ระยะที่ ๑ มาประกอบการพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๕.๔ ข้อเสนอความเห็นต่อการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า IT (ITA Expansion) ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่องการทบทวนการเข้าร่วมการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ โดยปรับรายการสินค้าตามหลักและเจตนารมณ์ของรายการสินค้า IT ให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศพิจารณาตามขั้นตอน ๒.๑.๕.๕ ข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน ให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน หารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงแรงงานรับข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ในการกำหนดอัตราการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจให้ความร่วมมือในการรับคนพิการเข้าทำงานเช่นเดียวกับภาคเอกชนด้วย ๒.๑.๕.๖ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปเร่งรัดดำเนินการในเส้นทางที่ได้ทำการศึกษารายละเอียดไว้แล้ว และพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการขยายโครงข่ายระบบรางให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนและการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕.๗ โครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดความสูญเสียจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเล ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอโครงการฯ และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเลไปพิจารณาในการวางแนวทางในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้มีความชัดเจน สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว ๒.๑.๕.๘ กฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกา (Foreign Account Tax Compliance Act : FATCA) ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการผลักดันกรอบการเจรจา Intergovernmental Agreement (IGA) เรื่องกฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริการะหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเ
|
|||||||||||||||||||||
| 597 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 2 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดลพบุรี วันที่ 31 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2556 | นร11 | 01/11/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๑ โครงการ วงเงินรวม ๕๒๒.๙๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำของทุกจังหวัดให้ส่งรายละเอียดการออกแบบโครงการเบื้องต้นเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาให้ความเห็นในรายละเอียดก่อนดำเนินโครงการ ๑.๔ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๒ (จังหวัดลพบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท) รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๓๑ โครงการ วงเงินรวม ๑๖,๔๒๓.๔๒ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๒. ในส่วนของโครงการเมืองเมล็ดพันธุ์ข้าว ชัยนาท วงเงิน ๗๔.๕๔๗๓ ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมการข้าว) ประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ [ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค)] เพื่อดำเนินงานวิจัยและพัฒนาปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งพัฒนาให้จังหวัดชัยนาท เป็นศูนย์กลางผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีที่สุดของประเทศและของโลกเช่นเดียวกับสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute : IRRI) ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และดำเนินการให้มีการใช้พันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูกในแต่ละพื้นที่ โดยให้นำมาใช้ให้ทันต่อการเพาะปลูกข้าวนาปรังรอบที่ ๒ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดจังหวัดที่จะต้องดำเนินการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดของประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงการต่างประเทศให้ชัดเจน โดยให้กำหนดเป็นตัวชี้วัด (KPI) ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 598 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) | นร11 | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (ฉบับปรับปรุง) ประกอบด้วย ๕ แผนงาน/โครงการ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑๘,๘๗๕ ล้านบาท โดยขอใช้เงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท และขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม วงเงิน ๑๗,๘๗๕ ล้านบาท ทั้งนี้ สามารถจำแนกข้อเสนอดังกล่าวออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนแรก โครงการที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จำนวน ๓ แผนงาน/โครงการ วงเงิน ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครื่องจักร (Venture Capital) โครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานทดแทน การประหยัดพลังงานแก่ SMEs (Machine Fund For SMEs) และการขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการรายปีตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และส่วนที่สองโครงการที่ขอรับจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติม (คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖) จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๘๗๕ ล้านบาท ได้แก่ โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ [โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมการผลิต (Productivity For SMI) และโครงการพัฒนาผลิตภาพของ SMEs ด้านการค้าและบริการ] และโครงการอัดฉีดเงินทุนหมุนเวียน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๑ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตรวจสอบข้อเท็จจริงการชะลอการร่วมลงทุนของกองทุนร่วมลงทุนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทยกับผู้ประกอบการ SMEs ในระยะที่ผ่านมา และพิจารณาระเบียบการจัดสรรเงินกองทุน แนวทางและขั้นตอนการร่วมลงทุนให้เกิดความชัดเจน ก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ของกระทรวงอุตสาหกรรม และแนวทางการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ และ ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินโครงการตามข้อเสนอดังกล่าว ๒. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานประเภท ๒ และ ๓ ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ออกไปอีก ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจชำระคืนค่าธรรมเนียมรายปีให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ จนถึงวันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ |
|||||||||||||||||||||
| 599 | กำหนดให้ปี พ.ศ. 2557 เป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัยภายใต้หัวข้อ "อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใส่ใจไม่ประมาท" | มท | 22/10/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัยภายใต้หัวข้อ “อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใใส่ใจไม่ประมาท” ๑.๒ กำหนดกิจกรรมในการรณรงค์ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๒.๑ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมและการปฏิบัติตนอย่างปลอดภัยเมื่อต้องเผชิญกับอัคคีภัย รวมถึงความสำคัญของการติดตั้งอุปกรณ์และระบบเตือนภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน อาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า โรงมหรสพ ฯลฯ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย ๑.๒.๒ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานความร่วมมือกับกรมประชาสัมพันธ์ในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับอัคคีภัยด้านต่าง ๆ แก่สาธารณชนผ่านสื่อในสังกัดกรมประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๒.๓ จังหวัดทุกจังหวัดจัดสัปดาห์รณรงค์การป้องกันอัคคีภัยเพื่อเป็นการสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมในการป้องกันอัคคีภัย โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยเฉพาะในสถานศึกษาและสถานประกอบการต่าง ๆ ๒. ให้ปรับแก้ไขหัวข้อการรณรงค์ จากเดิม “อัคคีภัยป้องกันได้ แค่ใส่ใจไม่ประมาท” เป็น “อัคคีภัยป้องกันได้ ต้องใส่ใจไม่ประมาท” ๓. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ไปดำเนินงานตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้ กปภ.ช. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔.๑ ควรวางระบบการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนรวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนในการวางแผนการดำเนินงานและประสานงานการป้องกันและแก้ไขอัคคีภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีอาคารสูงและเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา เป็นต้น ทั้งนี้ ควรกำหนดให้มีการซ้อมการเผชิญเหตุการณ์และการช่วยเหลืออย่างสม่ำเสมอ ๔.๒ ควรกำหนดมาตรการการตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์การป้องกันและระงับอัคคีภัยของหน่วยงาน องค์กร และสถานที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ และจัดให้มีแผนผังแสดงทางหนีไฟและทางเข้าออกอาคารในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ๔.๓ ปัจจุบันสภาพป่าในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความชื้นน้อยและอากาศแห้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในการป้องกันและเฝ้าระวังไฟป่าที่จะเกิดขึ้นด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 600 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก | ศธ | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) เมื่อวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) และคณะ ได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดสุโขทัย ซึ่งมีพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ โดยเฉพาะอำเภอกงไกรลาศ แม่น้ำยมล้นตลิ่งเกิดภาวะน้ำท่วมขังในระดับสูง ซึ่งได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ปัญหาอุทกภัยจังหวัดสุโขทัยเร่งแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน สำรวจความเสียหายเพื่อจะได้ฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด ให้ประชาชนแจ้งข่าวสารและเตือนภัยสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ดำเนินการสำรวจพนังกั้นน้ำให้อยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมรับมือกับสถานการณ์การไหลบ่าของแม่น้ำ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นตามอำนาจหน้าที่ จากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพบปะชี้แจงและมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยทุกตำบลของอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง ๒. วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) และคณะ ได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและรับฟังสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดพิษณุโลก โดยจังหวัดพิษณุโลกมีสภาพพื้นที่ราบลุ่มในหลายอำเภอ และมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ำน่าน แม่น้ำยม แม่น้ำวังทอง คลองชมพู และแม่น้ำแควน้อย มีพื้นที่ประสบอุทกภัยที่ระดับน้ำลดลงแต่ยังไม่เข้าสู่สภาวะปกติ จำนวน ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองพิษณุโลก อำเภอพรหมพิราม อำเภอชาติตระการ อำเภอนครไทย อำเภอเนินมะปราง และอำเภอวัดโบสถ์ พื้นที่ที่มีระดับน้ำท่วมขังมากยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ จำนวน ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางกระทุ่ม อำเภอบางระกำ และอำเภอวังทอง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่ม ได้แก่ ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง ยังมีสภาพน้ำท่วมขังมาก ซึ่งได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจังหวัดพิษณุโลก ทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับท้องถิ่น เน้นการประชาสัมพันธ์ แจ้งข่าวสารสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด สำรวจความแข็งแรงของพนังกั้นน้ำในแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านพื้นที่ให้อยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมรับสถานการณ์การไหลบ่าของน้ำ และดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ทันเวลาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง เพื่อฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด สำหรับสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ได้สั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นและให้ดำเนินการวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง
|
|||||||||||||||||||||
.....
