ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 32 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 621 - 640 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 621 | สรุปสถานการณ์ภูมิอากาศและอุทกภัยของประเทศไทย ช่วงวันที่ 1 มิถุนายน - วันที่ 12 สิงหาคม 2556 | นร | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอสรุปสถานการณ์ภูมิอากาศและอุทกภัยของประเทศไทย ช่วงวันที่ ๑ มิถุนายน-วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การรายงานเกี่ยวกับปริมาณฝนสะสม สภาพอากาศประเทศไทย กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ น้ำในแม่น้ำ น้ำทะเลหนุน สถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สถานการณ์ฝน การคาดการณ์ฝนล่วงหน้า ๓ วัน และสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดต่าง ๆ ๒๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำปาง น่าน ตาก อุทัยธานี กาญจนบุรี เลย สกลนคร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บึงกาฬ สุรินทร์ หนองคาย จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี พัทลุง พังงา ยะลา สตูล และตรัง ซึ่งสถานการณ์อุทกภัยดังกล่าว เป็นลักษณะน้ำท่วมฉับพลันโดยมีบริเวณพื้นที่ไม่เป็นวงกว้าง ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัด และหน่วยงานในพื้นที่สามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและแก้ไขปัญหาได้ โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการฟื้นฟูตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยได้กำหนดขั้นตอนไว้
|
|||||||||||||||||||||
| 622 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ. .... | มท | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลนางตะเคียน ตำบลลาดใหญ่ ตำบลคลองเขิน ตำบลบางแก้ว ตำบลบ้านปรก ตำบลแม่กลอง ตำบลท้ายหาด ตำบลบางขันแตก ตำบลแหลมใหญ่ ตำบลบางจะเกร็ง และตำบลคลองโคน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่าตามข้อ ๘-๑๕ แห่งร่างกฎกระทรวงฯ ที่ระบุห้ามเลี้ยงจระเข้ในที่ดินประเภทต่าง ๆ นั้น ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวมีการเลี้ยงจระเข้อยู่แล้วจะทำให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงจระเข้ได้ รวมถึงการระบุห้ามเลี้ยงสัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าในที่ดินประเภทต่าง ๆ จะส่งผลกระทบในวงกว้างเนื่องจากตามกฎหมายดังกล่าวสามารถอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ป่าได้ อีกทั้งในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมควรเป็นพื้นที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพการเกษตร ไม่ควรกำหนดห้ามเลี้ยงจระเข้หรือสัตว์ป่าดังกล่าว และตามข้อ ๑๗ แห่งร่างกฎกระทรวงฯ กำหนดให้ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรือการประมงชายฝั่งเท่านั้น เห็นว่าควรกำหนดรวมไปถึงการประมงน้ำจืดเนื่องจากมีผู้ทำการประมงน้ำจืดอยู่ในที่ดินประเภทดังกล่าว และเห็นว่าสำหรับพื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และพื้นที่แรมซาร์ไซต์ครอบคลุมพื้นที่ ๔ ตำบล ได้แก่ ตำบลบางแก้ว ตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ และตำบลคลองโคน จึงควรพิจารณามาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และระดับชาติของประเทศไทย และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การบังคับใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ. .... มีผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง เมื่อร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ประกาศใช้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตที่รับผิดชอบในการวางผังจะต้องให้ความสำคัญต่อการควบคุมการดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 623 | หลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา | กค | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา โดยให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการใช้อัตราเงินเดือนพื้นฐาน (Basic Salary) ข้อมูลอัตราเงินเดือนพื้นฐานของ ๕ กลุ่มวิชาชีพ ประกอบด้วย กลุ่มวิชาชีพวิศวกรรม สถาปัตยกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) การเงิน และงานวิจัย โดยแยกระดับวุฒิการศึกษาเป็นระดับปริญญาตรี โท และเอก ยกเว้นกลุ่มวิชาชีพสถาปัตยกรรมมีเฉพาะระดับปริญญาตรีที่ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาที่เป็นนิติบุคคล ประสบการณ์การทำงานของแต่ละกลุ่มวิชาชีพแยกเป็นรายปีตั้งแต่ ๕ ปี จนถึง ๓๐ ปี และมากกว่า ๓๐ ปีขึ้นไป ๒. แนวทางการใช้ตัวคูณอัตราค่าค่าตอบแทน (Mark-Up Factor) ตัวคูณอัตราค่าตอบแทนมีพื้นฐานมาจากการคิดรวมค่าสวัสดิการสังคม (Social Charges) ค่าโสหุ้ย (Overhead) และค่าวิชาชีพ (Professional Fee) กับเงินเดือนพื้นฐาน (Basic Salary) ของที่ปรึกษา โดยคิดเป็นร้อยละของเงินเดือนพื้นฐาน ๓. แนวทางและหลักเกณฑ์ในการคำนวณราคากลางค่าจ้างที่ปรึกษา การคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินโครงการ ประกอบด้วยค่าใช้จ่าย ๒ ส่วน คือ ค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) และค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) ๔. ขั้นตอนการคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการจะเป็นผลรวมของค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) และค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) มีขั้นตอนในการคำนวณ ประกอบด้วย ๔.๑ ขั้นตอนที่ ๑ เจ้าของโครงการจะต้องแจกแจงหรือกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตการดำเนินงาน ๔.๒ ขั้นตอนที่ ๒ กำหนดประเภทบุคลากรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ที่จะเข้าดำเนินการโครงการ ๔.๓ ขั้นตอนที่ ๓ กำหนดวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ พร้อมกับประเมินระยะเวลาการทำงานของแต่ละคนที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ ๔.๔ ขั้นตอนที่ ๔ ให้นำอัตราเงินเดือนพื้นฐานของที่ปรึกษาแต่ละคน (Basic Salary) คูณกับตัวคูณอัตราค่าตอบแทน (Mark-up Factor) และคูณกับระยะเวลาการทำงาน จะได้ค่าจ้างที่ปรึกษาของแต่ละคน ผลรวมค่าจ้างที่ปรึกษาของทุกคนจะเป็นค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) ที่ใช้ในการดำเนินโครงการ ๔.๕ ขั้นตอนที่ ๕ ค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) เมื่อรวมกับค่าตอบแทนบุคลากรทั้งโครงการกับค่าใช้จ่ายทางตรง (Direct Cost) จะได้ค่าที่จ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการ ๕. การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางการจ้างที่ปรึกษา อัตราเงินเดือนพื้นฐาน และอัตราตัวคูณค่าตอบแทนตามความเหมาะสม ดำเนินการอย่างน้อยทุก ๕ ปี |
|||||||||||||||||||||
| 624 | รายงานความก้าวหน้าการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา | สธ | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ๑.๑.๑ ให้หน่วยงานของรัฐใช้ราคามาตรฐานของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นและเผยแพร่ทั้งทางเอกสารหรือทางเว็บไซต์ของศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข (http://dmsic.moph.go.th) ๑.๑.๒ หากไม่มีราคามาตรฐานของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นและเผยแพร่ ให้ใช้ราคาที่หน่วยงานเคยซื้อครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา ๒ ปีงบประมาณ ๑.๑.๓ หากไม่มีราคาที่หน่วยงานเคยซื้อครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา ๒ ปีงบประมาณ ให้ใช้ราคาตลาดโดยสืบราคาจากท้องตลาด รวมทั้งจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ๑.๒ หลักเกณฑ์ราคากลางของเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานของรัฐใช้ราคามาตรฐานของเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นและเผยแพร่ทั้งทางเอกสารหรือทางเว็บไซต์ของศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข (http://dmsic.moph.go.th) ๑.๒.๒ หากไม่มีราคามาตรฐานของเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้นและเผยแพร่ ให้ใช้ราคาที่หน่วยงานเคยซื้อครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา ๒ ปีงบประมาณ ๑.๒.๓ หากไม่มีราคาที่หน่วยงานเคยซื้อครั้งหลังสุดภายในระยะเวลา ๒ ปีงบประมาณ ให้ใช้ราคาตลาดโดยสืบราคาจากท้องตลาด รวมทั้งจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขแจ้งเวียนหลักเกณฑ์ราคากลางของเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐทราบและถือปฏิบัติ ส่วนหลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ทั้งนี้ หากผลการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญไปจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวนี้ ก็ให้กระทรวงสาธารณสุขแจ้งเวียนหลักเกณฑ์ราคากลางของยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐทราบและถือปฏิบัติ โดยเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทางและวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ) และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 625 | รายงานผลการดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการ | กค | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการเปิดเผยราคากลางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับผลการดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา โดยมีรองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นประธาน โดยคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาหลักเกณฑ์ ความเหมาะสม และเสนอแนะในการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางค่าจ้างที่ปรึกษา และอยู่ระหว่างเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางการจ้างที่ปรึกษาต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อจะแจ้งเวียนหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางการจ้างที่ปรึกษาต่อไป ๒. สำนักงบประมาณได้กำหนดราคามาตรฐานและปรับปรุงราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ และได้เวียนแจ้งส่วนราชการถือปฏิบัติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งมีรายละเอียดรายการมาตรฐานครุภัณฑ์เพิ่มขึ้น จำนวน ๔๘ รายการ ปัจจุบันสำนักงบประมาณอยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศราคามาตรฐานครุภัณฑ์เพิ่มเติม และพัฒนาระบบราคาอ้างอิงสำหรับรายการนอกบัญชีราคามาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ และใช้ในการจัดทำงบประมาณของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลางของหน่วยงานภาครัฐ ๓. กระทรวงสาธารณสุข โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการคำนวณราคากลางของยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาเพิ่มขึ้น จากยาในบัญชียาหลัก เพื่อให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปใช้ในการประกาศราคากลางและรายละเอียดการคำนวณราคากลางสำหรับการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา โดยยาในบัญชียาหลัก และยานอกบัญชียาหลัก ให้ใช้ราคากลางตามประกาศของคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ส่วนเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ให้ใช้ราคามาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้น ๔. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางประเภทฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และประกาศบังคับใช้แล้ว สำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ อยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินราคากลางเพื่อประกาศให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 626 | แจ้งผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย กรณีบุตรชายของนางแล้ม ทิมทอง เสียชีวิตในระหว่างการเข้ารับการบำบัดยาเสพติด ณ ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายจินดาภรณ์ จังหวัดสงขลา) | สม | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงยุติธรรมควรจัดสรรงบประมาณในการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น เนื่องจากงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้กับกรมคุมประพฤติเพื่อใช้บำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดทั้งประเทศ จำนวน ๑๕,๐๐๐ คนต่อปี เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดยาเสพติดเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีจำนวนประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน ก็เป็นงบประมาณที่ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งประเทศแล้ว ๑.๒ คณะรัฐมนตรี โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในภาพรวมทั้งประเทศ หน่วยราชการไม่ควรเข้าไปกำกับ แต่ควรเข้าไปส่งเสริมในลักษณะให้สามารถดำเนินงานได้แล้วจัดทำเป็นต้นแบบไว้เป็นตัวอย่างให้กับชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหมู่บ้านอื่น ๆ ที่จะนำไปใช้ เนื่องจากอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปจัดตั้งศูนย์ฯ ได้ทุกตำบลหรือหมู่บ้าน หากเห็นว่า ชุมชนมีการร่วมมือกันแต่ขาดความรู้ทางวิชาการ ก็ควรแนะนำส่งเสริมให้ความรู้เพื่อนำไปต่อยอดจากสิ่งที่ชุมชนได้ทำไว้แล้วก็อาจจะทำให้ประหยัดงบประมาณและได้รับความร่วมมือจากชุมชน ๒. มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยให้อยู่ในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นว่า ควรมีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เปิดดำเนินการให้การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพผู้ติดยาเสพติด ทั่วประเทศ ดำเนินการขอจัดตั้งสถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหลักเกณฑ์การบำบัดรักษาหรือคู่มือการบำบัดรักษาที่ถูกต้องตามหลักวิชาการมีมาตรฐานในการดำเนินการเพื่อให้มีมาตรฐานการดำเนินการตามหลักเกณฑ์เดียวกัน และสะดวกในการควบคุมกำกับติดตาม สำหรับกรณีที่มีการอ้างถึงว่าผู้เข้ารับการบำบัดมีภาวะแทรกซ้อนทางจิตเวชจากภาวะถอนยาเสพติด โดยการทำร้ายตัวเอง ควรเข้าสู่ระบบส่งต่อไปยังสถานบำบัดของกรมการแพทย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ได้แก่ โรงพยาบาลธัญญารักษ์ สงขลา ไม่ควรดูแลเองโดยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งผลการพิจารณาดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบตามกำหนดเวลาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 627 | ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ | สม | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึงยิ่งขึ้น ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑.๑.๑ กระทรวงสาธารณสุข ทบทวนแนวคิดและวิธีจัดบริการและระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ บนฐานหลักความเสมอภาค โดยให้ประเภทและมาตรฐานของบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นบริการฯ ขั้นพื้นฐานและที่จำเป็นที่ทุกคนไม่ว่าอยู่ภายใต้ระบบบริหารสาธารณสุขใดพึงได้รับโดยไม่เสียค่าบริการ ผู้รับบริการหรือผู้มีสิทธิที่มีกองทุนหรือระบบบริการสาธารณสุขอื่นดูแลโดยเฉพาะ สามารถได้รับบริการสุขภาพหรือสาธารณสุขอื่นเพิ่มเติมได้ ๑.๑.๒ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทบทวนแนวคิดและวิธีการจัดบริการสาธารณสุข โดยแยกบทบาทระหว่างผู้ให้บริการและผู้ซื้อบริการ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบกำหนดนโยบายและหลักเกณฑ์การบริการสาธารณสุข และกระจายอำนาจการบริหารจัดการหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลไปยังเขตพื้นที่ ส่วนหน่วยงานที่รับผิดชอบกองทุน/ระบบบริการสาธารณสุข ได้แก่ สปสช. สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลางหรืออื่นใดซึ่งเป็นผู้ซื้อบริการ ให้หารือกระทรวงสาธารณสุข/เขตพื้นที่ ในการกำหนดนโยบายการจัดบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบบริการฯ นั้น ๆ ๑.๑.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. องค์กรกลางบริหารงานบุคคลทุกแห่งหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนนโยบายและแนวคิดว่าด้วยสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด รวมถึงสวัสดิการด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับแนวทางตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ข้อ ๑๒ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๘๐ (๒) โดยจัดให้มีกลไกรับผิดชอบดูแลสวัสดิการ และสวัสดิการด้านสุขภาพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด เพื่อประกันว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดจะได้รับการดูแลสวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงด้านสุขภาพ สาธารณสุข อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถรองรับการบริการฯ ในโรงพยาบาลอื่นที่ไม่ใช่โรงพยาบาลรัฐได้ รวมถึงดูแลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมการทำงานหรือสถานประกอบการ และศึกษาเกี่ยวกับการนำระบบ Medisave มาใช้ในระบบสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนการจ่ายเงินให้แก่หน่วยบริการหรือเครือข่ายหน่วยบริการเพื่อจัดบริการสาธารณสุข ซึ่งกำหนดให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร โดยให้แยกค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวออกมาต่างหาก ๑.๑.๕ กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนและผลักดันให้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้รับบริการ เมื่อได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ภายใต้ระบบบริการสาธารณสุขใด ๑.๑.๖ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือกันเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ รวมทั้งสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่น เช่น จัดตั้งเป็นกองทุนการรักษาพยาบาล ตลอดจนการหาแนวทางเพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นสามารถใช้ระบบการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลได้เช่นเดียวกับข้าราชการอื่น ๑.๑.๗ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนนโยบายการปฏิรูประบบสาธารณสุขแก่ผู้บริหารองค์กรด้านสุขภาพ เช่น การตั้งคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติขึ้นมาดูแลระบบสาธารณสุขทั้งหมด ควรตระหนักและให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรสุขภาพหรือคณะกรรมการด้านสุขภาพอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว และให้องค์กรหรือคณะกรรมการดังกล่าว ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้ส่วนเสียสำคัญอื่นใดเกี่ยวกับตน เช่น ค่าตอบแทน วิธีการประเมินผลงาน จำนวนบุคลากรในหน่วยปฏิบัติ และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเรื่อง ๑.๒ ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ๑.๒.๑ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. เร่งรัดการจัดทำและประกาศใช้พระราชกฤษฎีกามาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ หรือ ๑.๒.๒ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ จากที่กำหนดให้ผู้มีสิทธิรับบริการสาธารณสุขตามกฎหมายอื่นต้องไปใช้สิทธิตามกฎหมายนั้น เป็น ให้ผู้รับบริการต้องใช้สิทธิจากระบบบริการอื่นที่ตนเองมีสิทธิอยู่ก่อน หากสิทธินั้นด้อยกว่าหรือไม่ครอบคลุมเท่ากับสิทธิที่จะได้รับตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ได้รับสิทธิเท่ากับที่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด โดยให้ สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้มีสิทธิเป็นหลัก ๑.๒.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง ปรับปรุงหรือแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยให้มีคณะกรรมการบริหารจัดระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการหรือกลไกอื่นใด รับผิดชอบบริหารจัดการและควบคุมการเบิกจ่ายค่ายาและค่ารักษาพยาบาล หารือกับผู้ให้บริการ ได้แก่ สาธารณสุขเขตพื้นที่ในการกำหนดประเภทและมาตรฐานบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบสวัสดิการข้าราชการ โดยไม่ต้องต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐาน สามารถรับบริการฯ จากโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ ฯลฯ ๑.๒.๔ สปสช. แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง บุคคลที่ไม่ต้องจ่ายร่วมค่าบริการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มสาระสำคัญของบุคคลที่ไม่ต้องร่วมค่าบริการอีก ๑ ข้อ คือ บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร คนเร่ร่อน คนไร้ที่พักพิง และคนไร้รากเหง้า ๑.๒.๕ สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๖ ว่าด้วยการจ่ายเงินให้หน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการ โดยให้เปลี่ยนจาก (๒) ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร เป็น (๒) คำนึงถึงค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ (basal utilization) ของโรงพยาบาล และให้แยกบัญชีเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ๑.๒.๖ กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ซึ่งให้ผู้เสียหายได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงินชดเชยจากกองทุน โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด เว้นแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติธรรมดาของโรคนั้น หรือซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้เกิดจากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ หรือเมื่อสิ้นสุดกระบวนการให้บริการสาธารณสุขแล้วไม่มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติ ๑.๒.๗ สำนักงานประกันสังคม ผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ประกันตนด้านการป้องกันโรค การให้ผู้ประกันตนซึ่งจงใจหรือยินยอมก่อให้เกิดอันตรายหรือเจ็บป่วย เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ การให้ผู้จ่ายเงินสมทบตามกฎหมายประกันสังคมได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และคลอดบุตรทันที การให้แรงงานนอกระบบ (งานบ้าน) เป็นผู้ประกันตน รวมทั้งการให้ผู้ประกันตนได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ หากประเด็นใดได้ดำเนินการอยู่แล้ว ก็ให้เร่งรัดดำเนินการ ส่วนประเด็นใดยังมิได้ดำเนินการ ก็ให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน โดยให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่มีความอ่อนไหว/จำเป็นต้องศึกษาถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน เช่น การผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข และการเสนอให้จ่ายเงินสถานบริการโดยแยกเงินเดือนและค่าตอบแทน เป็นต้น รวมทั้งประเด็นที่มีผลกระทบสูง/อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบการเงินการคลัง เช่น การกำหนดให้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นบริการพื้นฐาน โดยให้ผู้มีสิทธิที่มีกองทุนอื่นดูแลเฉพาะสามารถได้รับบริการเพิ่มเติมขึ้นได้ และการกำหนดให้บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ต้องร่วมจ่าย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย และหากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายเรื่องใด ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันศึกษารายละเอียดและแนวทางการดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 628 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา | ศธ | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา จำนวน ๑๘ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ประธานกรรมการ ๒. นายชวลิต หมื่นนุช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. พลตำรวจเอก ชาญวุฒิ วัชรพุกก์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. พลตำรวจตรี ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. ศาสตราจารย์นักสิทธิ์ คูวัฒนาชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. ศาสตราจารย์ปรีชา เถาทอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. ศาสตราจารย์ลิขิต ธีรเวคิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. ศาสตราจารย์วิชัย ริ้วตระกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. ศาสตราจารย์วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๐. ศาสตราจารย์ศักดา ธนิตกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๑. รองศาสตราจารย์ศิโรจน์ ผลพันธิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒. ศาสตราจารย์กิตติคุณสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๓. นายสว่าง ภู่พัฒน์วิบูลย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๔. ศาสตราจารย์สุนทร บุญญาธิการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๕. รองศาสตราจารย์อานนท์ เที่ยงตรง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๖. นายวิทยา เจียรพันธุ์ กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน ๑๗. นายอรรถพร สุวัธนเดชา กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑๘. รองศาสตราจารย์สุจิตรา เหลืองอมรเลิศ กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ
|
|||||||||||||||||||||
| 629 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่า โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีหลักการที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๘ เพื่อกำหนดให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้มีสิทธิที่จะได้รับบำนาญพิเศษเหตุทุพพลภาพได้รับบำนาญพิเศษเพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณามาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่เป็นบทบัญญัติกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ของข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่จะมีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษไว้เป็นการเฉพาะให้ต้องเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งได้รับอันตรายจนพิการเสียแขนหรือขา หูหนวกทั้งสองข้าง ตาบอดหรือได้รับการป่วยเจ็บ ซึ่งแพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจแล้วและแสดงว่าถึงทุพพลภาพไม่สามารถจะรับราชการต่อไปได้อีก และเหตุนั้นจะต้องเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทำการตามหน้าที่ โดยมิได้รวมถึงกรณีที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นนั้นยังคงรับราชการได้ต่อไป แม้จะเป็นผู้ประสบเหตุอันเนื่องมาจากการปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทำการตามหน้าที่เช่นเดียวกัน สมควรที่จะมีการพิจารณาดำเนินการปรับปรุงบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นในกรณีดังกล่าวมีสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จหรือบำนาญพิเศษเช่นเดียวกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 630 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณาในรายละเอียดของความคุ้มค่าและความเหมาะสมของโครงการพัฒนานวัตกรรมการเลี้ยงโคนมและนมอินทรีย์ครบวงจร โดยเฉพาะรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐในอนาคต รวมทั้งความเชื่อมโยงกับกลไกดำเนินงานที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ และภาคเอกชน เพื่อปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๑.๓ ให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดคำร้องพร้อมเหตุผลการขอเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เพื่อประกอบการปรับปรุงผังเมืองรวมพระนครศรีอยุธยาต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเร่งรัดขั้นตอนการปรับปรุงประกาศกฎกระทรวงใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสระบุรีตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของโครงการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการเกษตร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ รวมทั้งรูปแบบการบริหารจัดการของโครงการฯ อย่างยั่งยืน และความเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณา ๒.๑.๒.๑ เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนน ๓ เส้นทาง [ถนนวงแหวนต่างระดับ ๙ สาย ตัด ๓๔๐ และตัด ๓๔๕ เชื่อมโยงจังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี, ทางด่วนโทลเวย์ (รังสิต-ประตูน้ำพระอินทร์) และเส้นทางหมายเลข ๓๒ ต่อเชื่อมกับสถานีรถไฟมาบพระจันทร์ ที่อำเภอนครหลวง (สถานีขนส่งสินค้า)] การขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ๓ เส้นทาง [ถนนเลียบคลองเจ็ด ฝั่งตะวันตก (ปท. ๓๐๐๔) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ระยะทาง ๑๐.๔ กิโลเมตร, เส้นทางหมายเลข ๓๒๙ (มาจากหินกอง) ช่วงอำเภอนครหลวง-อำเภอบางปะหัน เพื่อการขนส่งลงทางน้ำของแม่น้ำป่าสัก และถนน ๓๐๕๖ อำเภอภาชี-อำเภออุทัย-อำเภอบางปะอิน ชนหมายเลข ๓๒ เส้นทางหลักของทางออกนิคมอุตสาหกรรมโรจนะไปกรุงเทพมหานคร] และโครงการก่อสร้างขยายถนนหมายเลข ๙ จากแยกทางต่างระดับ ๓๔๐ (จังหวัดนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี) จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๑๐ ช่องจราจร ตามที่ภาคเอกชนเสนอ ไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและความเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีหรือการสนับสนุนจากแหล่งเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน ๒ ล้านล้านบาท ตามขั้นตอนต่อไป โดยให้พิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๑.๒.๒ รับข้อเสนอการขยายเส้นทางรถไฟสายสีม่วงจากบางใหญ่-ไทรน้อย (๒.๕ กิโลเมตร) และเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูบนถนนชัยพฤกษ์ ระยะทาง ๙ กิโลเมตร (สายสีทอง) ไปพิจารณาการออกแบบในภาพรวม โดยอาจดำเนินการจัดระบบขนส่งผู้โดยสารเพื่อเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองสายด้วย ๒.๑.๒.๓ รับข้อเสนอการสนับสนุนโครงการศึกษา ๒ โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงสะพานนวลฉวีเพื่อการสัญจรทางน้ำ และการยกระดับเส้นทางรถไฟ เพื่อการแก้ไขปัญหาการจราจร กรณีเส้นทางรถไฟผ่ากลางเมือง จังหวัดสระบุรี ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นและความเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินที่เหมาะสมต่อไป ๒.๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำคลองบางบัวทอง และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอของภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินการต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาโครงการศึกษาความเหมาะสมของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังในแม่น้ำป่าสัก และการพิจารณาจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำได้ตามเป้าหมาย ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๒.๒.๑ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปหารือร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สทท. เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทการอนุรักษ์พัฒนาและฟื้นฟูประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และแนวทางการบริหารจัดการศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวอยุธยาเมืองมรดกโลก รวมทั้งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และ สทท. พิจารณาในรายละเอียดการพัฒนาถนนวัฒนธรรมไท-ยวนเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม การเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมภายในกลุ่มจังหวัดและการส่งเสริมด้านการตลาด ๒.๓ เรื่องอื่น ๆ รวม ๖ เรื่อง เสนอโดย สทท./กกร. ๒.๓.๑ การเร่งรัดการวางแผนการบริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูเก็ต เพื่อเตรียมรองรับ High Season ๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบเดียวกับที่เคยใช้แก้ไขปัญหากรณีท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อแก้ไขปัญหาแออัดรองรับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยว ๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมประสานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการเสนอแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูเก็ต โดยเฉพาะในด้านการรองรับปริมาณผู้โดยสารที่จะเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาด้านผลกระทบของสิ่งแวดล้อมโดยรอบของท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิด้วย ๒.๓.๒ แนวทางการรณรงค์เพื่อดำเนินการด้านการใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ (ตามรายงานกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กและการใช้แรงงานบังคับ) ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขร่วมกัน โดยใช้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม ตลอดจนเผยแพร่แนวปฏิบัติด้านการใช้แรงงานที่ดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมและประเทศชาติต่อไป ๒.๓.๓ การทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาตตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และ กกร. พิจารณาการกำหนดแนวทางการหารือเพื่อทบทวนเกณฑ์การรวมธุรกิจที่ต้องขออนุญาต ตามบทบัญญัติมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยการพิจารณาให้คำนึงถึงผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในทุกระดับทั้งระบบร่วมกัน ๒.๓.๔ การแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากรในประเด็นว่าด้วยโทษสำ
|
|||||||||||||||||||||
| 631 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 18 - 19 กรกฎาคม 2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๓ โครงการ วงเงินรวม ๕๐๙.๓๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ภาคกลางตอนบน ๑ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี และสระบุรี) จำนวน ๕ โครงการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน ๔ โครงการ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๖ โครงการ จังหวัดปทุมธานี จำนวน ๓ โครงการ และจังหวัดสระบุรี จำนวน ๕ โครงการ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ สำหรับโครงการบริหารจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๓๖.๑๗ ล้านบาท ให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยารับไปหารือร่วมกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำ) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นในการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจนก่อน ทั้งนี้ หากผลการหารือได้ข้อยุติว่าโครงการฯ มีความจำเป็นในการดำเนินการ ให้จังหวัดยืนยันโดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดตามขั้นตอน แต่หากมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินโครงการใหม่ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานรับไปพิจารณาดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษา อาคารเรียนแบบ สปช ๒/๒๘ [โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๕๕ (วัดโบสถ์ดอนพรหม) ตำบลบางกร่าง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี และโรงเรียนวัดเสนีวงศ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองเพรางาย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี] วงเงิน ๑๓.๖๐ ล้านบาท ของสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษานนทบุรี เขต ๑ และ ๒ โดยปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม ๑.๕ ให้กรมทางหลวงชนบทรับไปพิจารณาดำเนินการโครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม สายแยก ทล.๓๓๓๔-บ.ถนนโค้ง วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว สายบ้านหินซ้อน วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ของสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดสระบุรี โดยปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม ๑.๖ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๓๔ โครงการ วงเงินรวม ๗๓,๒๐๒.๔๐ ล้านบาท โดยเห็นควรมอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๒. สำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์สระบุรี มอบให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) ประสานหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้การจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวที่จะดำเนินการในที่ดินของเอกชนเป็นไปโดยถูกต้องตามข้อกฎหมายด้วย ๓. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โครงการแก้มลิงบ้านมาบพระจันทร์ กรอบวงเงิน ๓๘ ล้านบาท ของกรมชลประทาน เป็นโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในการใช้น้ำเพื่อการเกษตร แต่อาจมีผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครเนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งถ้าสามารถออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้ทั้งในด้านการส่งน้ำ การระบายน้ำ และการกักเก็บน้ำ ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับโครงการดังกล่าวไปพิจารณา หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการดังกล่าวให้เจียดจ่ายจากงบประมาณปกติที่ได้รับการจัดสรรไว้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 632 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 5/2556 | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาการก่อหนี้ให้แก่หน่วยงานที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์การพิจารณาผ่อนผันโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๑.๑ รายการที่ประกวดราคาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้ผู้รับจ้างทำให้ต้องดำเนินการประกวดราคาใหม่ หรือบางส่วนอยู่ระหว่างขออนุมัติคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) เพื่อจัดซื้อจัดจ้างวิธีอื่น จำนวน ๓๘๕ รายการ จำนวนเงิน ๕,๐๘๕.๒๙ ล้านบาท ๑.๒ โครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วต้องเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนลงนามในสัญญา จำนวน ๒๖๑ รายการ จำนวนเงิน ๔,๖๗๖.๒๕ ล้านบาท ๑.๓ รายการที่อยู่ระหว่างปรับปรุง TOR (ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง) หรือแก้ไขแบบรูปรายการก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓๓ รายการ จำนวนเงิน ๔,๕๓๐.๒๓ ล้านบาท ๑.๔ รายการที่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่งบประมาณไม่เพียงพอ และอยู่ระหว่างการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการ และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ จำนวน ๑๐๗ รายการ จำนวนเงิน ๘๑๐.๓๓ ล้านบาท ๑.๕ รายการที่ได้ผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่ต้องรอผลจากผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔๕๑ รายการ จำนวนเงิน ๑๖,๒๙๐.๒๕ ล้านบาท ๒. รายการที่ขอผ่อนผันตามเหลักเกณฑ์รายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ขยายเวลาถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ และรายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์รายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วแต่ยังไม่เริ่มดำเนินการ รายการที่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง รายการที่จัดสรรต่อไปให้หน่วยงานอื่น/หน่วยงานอื่นเบิกจ่ายแทนกัน และรายการกรณีอื่น ๆ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ยกเว้นรายการต่อไปนี้ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๒.๑ เงินอุดหนุนสำหรับพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีเร่งด่วน จำนวน ๑๘,๕๐๖.๐๙ ล้านบาท ๒.๒ งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓,๒๖๓.๘๕ ล้านบาท ๒.๓ โครงการที่ดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณชนในวงกว้างมอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาโครงการดังกล่าว ๓. หน่วยงานที่ไม่แจ้งขอผ่อนผันการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๒ หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สถาบันการบินพลเรือน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๔. คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐจะไม่มีการพิจารณาผ่อนผันอีก เมื่อพ้นระยะเวลาผ่อนผันข้างต้น หากหน่วยงานมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ให้ดำเนินการขอช่องทางอื่นต่อไป ๕. หน่วยงานต้องดำเนินการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใน ๑ เดือน หลังจากเวลาที่กำหนดผ่อนผันให้ก่อหนี้ดังกล่าวข้างต้น และเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สำหรับรายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
| 633 | ผลการพิจารณาคำร้องที่ขอให้เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย | สม | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ตามมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงกลาโหม ควรมีการระบุรายละเอียดข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบี้ยหวัด พ.ศ. ๒๔๙๕ ข้อ ๘ (๓) และข้อ ๑๐ ในเอกสารการขอรับเงินเบี้ยหวัด เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการทหารที่ลาออกได้รับทราบข้อบังคับดังกล่าวถึงกรณีการงดเบี้ยหวัด และหน้าที่ของข้าราชการที่ลาออกต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด และต้องแจ้งให้ส่วนราชการเดิมที่เบิกจ่ายเบี้ยหวัดของตนทราบ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดการเบิกจ่ายที่ซ้ำซ้อนและมีการเรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง อันเนื่องมาจากส่วนราชการเดิมได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ๑.๒ กระทรวงมหาดไทย ควรมีการสำรวจข้อมูลและรายละเอียดของข้าราชการที่ได้รับผลกระทบจากพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๓ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการศึกษาข้อมูลตามที่คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ก.บ.ท.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ได้มีมติให้จัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการว่าจ้างศึกษาในการพิจารณาทบทวนพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน และข้าราชการประเภทอื่น รวมทั้งมิให้เกิดการลักลั่นและเกิดความไม่เป็นธรรมกับข้าราชการไทยในภาพรวมทั้งระบบต่อไป ๑.๓ กรมบัญชีกลาง ควรพิจารณาหามาตรการในการป้องกันปัญหากรณีการเบิกจ่ายเงินเบี้ยหวัด บำนาญ เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัด (ช.ค.บ.) และการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยการพัฒนาระบบเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบข้อมูลของทหารซึ่งได้รับเบี้ยหวัด และได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกรม กอง กระทรวง ที่บรรจุใหม่ จะต้องไม่ใช้สิทธิในการเบิกจ่ายเงินที่ซ้ำซ้อนกัน และควรมีการจัดทำฐานข้อมูลรวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยอยู่ในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เนื่องจากความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการส่วนท้องถิ่นแล้ว มีรายละเอียดและข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติ แนวทางการดำเนินการในการประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการที่เกี่ยวข้อง จึงมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของการดำเนินการดังกล่าว แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
| 634 | แผนแม่บทสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล | คค | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบแผนแม่บทสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยแผนแม่บทฯ จัดทำขึ้นเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร และเพื่อให้การเดินทางระหว่างพื้นที่สองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยามีความสะดวกมากขึ้น โดยเป็นแผนการดำเนินงานเพื่อพัฒนาโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในช่วงระยะเวลา ๒๐ ปี จาก พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๗๔ ประกอบด้วย แผนดำเนินงานระยะ ๑๐ ปีแรก (ปัจจุบัน-พ.ศ. ๒๕๖๔) จำนวน ๙ โครงการ งบประมาณดำเนินงาน ๔๘,๙๕๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสะพานเกียกกาย โครงการสะพานพระราม ๒ โครงการสะพานสมุทรปราการ โครงการสะพานปทุมธานี ๓ โครงการสะพานลาดหญ้า-มหาพฤฒาราม โครงการสะพานสามโคก โครงการสะพานท่าน้ำนนท์ โครงการสะพานถนนจันทน์-เจริญนคร และโครงการสะพานราชวงศ์-ดินแดง และแผนดำเนินงานระยะ ๑๐ ปีหลัง (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๔) ได้แก่ โครงการสะพานสนามบินน้ำ งบประมาณดำเนินงาน ๑,๕๘๐ ล้านบาท ๒. ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการโครงการด้วย สำหรับประเด็นความเห็นประกอบด้วย เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ว่าเข้าข่ายจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลำดับที่ ๒๐ ทางหลวงหรือถนน ซึ่งหมายความว่าด้วยทางหลวงหรือไม่ โดยเฉพาะลำดับที่ ๒๐.๗ พื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้โบราณสถาน แหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ หรืออุทยานประวัติศาสตร์ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในระยะทาง ๒ กิโลเมตร และอาจต้องมีการรับฟังความเห็นจากประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ พร้อมทั้งมีการศึกษาติดตามข้อมูลที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดทำแผนให้เป็นปัจจุบันเสมอ เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้มีความสอดคล้องและทันต่อสถานการณ์ด้านการคมนาคมและการขนส่งที่มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการบูรณาการแผนงาน/โครงการในพื้นที่ร่วมกัน เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนตามแนวสายทาง และเพื่อให้การลงทุนของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของสะพานควรพิจารณาให้มีความสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และมีเอกลักษณ์ เพื่อให้สามารถพัฒนาโดยรอบโครงการเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือพื้นที่สันทนาการของประชาชนแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ตลอดจนการกำหนดรูปแบบทางวิศวกรรมของสะพานที่จะช่วยลดการกีดขวางลำน้ำเพื่อสนับสนุนการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ |
|||||||||||||||||||||
| 635 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ที่จังหวัดชุมพร | อก | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ตามคำขอที่ ๒/๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ และปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคใต้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๑ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการให้ต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ พร้อมทั้งเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมติดตามตรวจสอบและควบคุมการนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ไปปฏิบัติ และการดำเนินงานของกองทุนฯ รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน โดยให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและบริหารจัดการกองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 636 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 7 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๗ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในฐานะรัฐมนตรีประจำกรอบแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) เสนอ โดยสาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบเรื่องสำคัญต่าง ๆ เช่น รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ที่เสนอโดยผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีกรอบแผนงาน IMT-GT ของมาเลเซีย ข้อเสนอแนวทางการดำเนินการที่จะสั่งการและเห็นชอบโดยผู้นำ รวมทั้งเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๗ แผนงาน IMT-GT (The Seventh IMT-GT Summit Joint Statement) นอกจากนี้ ยังมีประเด็นหารือและข้อสั่งการเพิ่มเติมต่อรายงานของรัฐมนตรีกรอบแผนงาน IMT-GT โดยในส่วนของนายกรัฐมนตรีไทยได้เสนอประเด็น ดังนี้
๑. เน้นย้ำว่าความก้าวหน้าการดำเนินการโครงการเร่งด่วนเพื่อความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค IMT-GT ได้ช่วยเสริมสร้างความใกล้ชิดระหว่าง IMT-GT และอาเซียน รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงในอาเซียนเองและความเชื่อมโยงกับภายนอก ๒. เน้นย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างบทบาทของมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัดในการเป็นแกนกลางเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลส่วนกลางและองค์กรส่วนท้องถิ่น สภาธุรกิจและภาคีการพัฒนาอื่น ๆ ของ IMT-GT รวมทั้งบทบาทของมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัดในการเป็นผู้เสนอโครงการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการบูรณาการเชื่อมโยงเศรษฐกิจข้ามแดน ๓. สนับสนุนการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมด้านการเชื่อมโยงทางบก เช่น การบูรณาการการพัฒนาระหว่างด่านสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัมแห่งใหม่ ด่านบ้านประกอบ-ด่านโกตาปุตรา ด่านและสะพานแห่งใหม่ที่ตากใบ-ตุมปัต สะพานสุไหงโกลก-รันเตาปันยังแห่งที่สอง การเชื่อมโยงทางการขนส่งทางทะเลระหว่างระนอง-ภูเก็ต-กระบี่-ตรัง-ปีนัง-ปอร์ตกลาง-อาเจห์-เบลาวัน การเชื่อมโยงทางอากาศทั้งโดยสายการบินแห่งชาติและสายการบินเอกชน โดยส่งเสริมการใช้ประโยชน์เสรีภาพที่ห้า โดยอินโดนีเซียและมาเลเซียในการบินในจุดบินในประเทศไทยมากขึ้น ๔. เสนอให้ขยายการเชื่อมโยงสายการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าในระหว่างอนุภูมิภาค ทั้งการเชื่อมโยงบริเวณชายแดน ณ เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และการเสริมสร้างความเชื่อมโยงตอนใน เช่น โครงการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช การเชื่อมโยงเมืองยางระหว่างไทยและมาเลเซีย ๕. เน้นย้ำถึงศักยภาพในการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวเส้นทางใหม่ ๆ ที่มีสาระเชื่อมโยงกัน (Thematic Routes) เช่น เชื่อมโยงทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมภาษา ประวัติศาสตร์ และแสดงความผูกพันในการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งสนับสนุนโดยการใช้เทคโนโลยีระดับสูงด้านมาตรฐานฮาลาลและการตรวจสอบย้อนหลัง การส่งเสริมตราผลิตภัณฑ์ฮาลาล IMT-GT และการส่งเสริมด้านการตลาดโดยงานนิทรรศการระหว่างประเทศ การสร้างความเชื่อมโยงสายการผลิตเพื่อมูลค่าด้านฮาลาล การส่งเสริมให้ภาคเอกชนร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ ร่วมลงทุนและร่วมผลิต ๖. เน้นย้ำความสำคัญของการใช้แนวทางใหม่ ๆ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของผลิตผลเกษตรและเกษตรแปรรูป โดยเฉพาะยางและปาล์มน้ำมัน ในตลาดระหว่างประเทศ โดยใช้ความร่วมมือด้านการยกระดับและควบคุมคุณภาพสินค้า รวมทั้งเปิดโอกาสการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบเกษตรในอนุภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ๗. สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงาน IMT-GT (Draft Establishment Agreement of Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : CIMT) อย่างเป็นทางการ เพื่อให้มีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกและประสานการนำข้อริเริ่มและโครงการต่าง ๆ สู่การปฏิบัติ โดยไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในแล้วเสร็จเพื่อให้สามารถลงนามความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ CIMT แล้ว และหวังที่จะได้รับการสนับสนุนต่อผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้อำนวยการศูนย์ CIMT จากไทย ๘. ชื่นชมต่อการสนับสนุนทางวิชาการโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) โดยเฉพาะในโครงการโดดเด่น (Signature Projects) เช่น ข้อริเริ่มเมืองสีเขียว การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน การจัดทำฐานข้อมูลด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว และหวังในความสนับสนุนจาก ADB ในการเสริมสร้างสมรรถนะของศูนย์ CIMT และให้ความช่วยเหลือต่อ IMT-GT ด้านอื่น ๆ ต่อไป โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์ที่เป็นรูปธรรมกับพันธมิตรการพัฒนา ได้แก่ ญี่ปุ่น องค์กรวิชาการ ได้แก่ สถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจสำหรับอาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) และพันธมิตรการพัฒนาใหม่ ได้แก่ ภูมิภาคเอเชียใต้และแปซิฟิก ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาโดยที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ โดยขอมอบหมายให้ศูนย์ CIMT สำรวจแนวทางความร่วมมือที่มีศักยภาพกับทั้งพันธมิตรการพัฒนาในปัจจุบันและที่มีศักยภาพในอนาคต |
|||||||||||||||||||||
| 637 | แผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงใหม่ ปี 2556 - 2570 | มท | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงใหม่ ปี ๒๕๕๖-๒๕๗๐ วงเงินลงทุนรวม ๒,๒๕๗.๓๒๕ ล้านบาท โดยใช้จากเงินกู้ภายในประเทศ ทั้งนี้ การลงทุนโครงการแต่ละระยะภายใต้แผนการลงทุนหลักดังกล่าว ให้ กปภ. นำเสนอโครงการแต่ละระยะให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ กปภ. ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ วงเงินลงทุน ๑,๓๙๐.๖๗๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) ทั้งหมด ๒. ในส่วนของโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันการกู้เงิน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งระบบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย การจัดหาแหล่งน้ำดิบเพื่อใช้ในระบบผลิตน้ำประปาควรประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการระบบประปาควรคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (Country Strategy) และการเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนซึ่งจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึง การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การเร่งดำเนินการลดอัตราน้ำสูญเสียของประปาเชียงใหม่และกำกับดูแลการดำเนินงานของผู้รับจ้างให้เป็นไปตามเป้าหมาย การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่กำหนด การให้ความสำคัญในการจัดการด้านอุปสงค์ (Demand Side Management) การถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านน้ำประปาให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การติดตามการจัดทำแผนงานและประสานงานกับกรมชลประทานในการจัดสรรน้ำจากการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพิจารณาทางเลือกแหล่งน้ำดิบอื่นในการรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนติดตามสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำและปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนการลงทุนโครงการในช่วงต่อไป นอกจากนี้ ให้ กปภ. ประสานความร่วมมือกับองค์การจัดการน้ำเสีย และเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อบูรณาการแผนการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียรวมเทศบาลนครเชียงใหม่ให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับปริมาณน้ำเสียที่เกิดจากการใช้น้ำประปาจากโครงการดังกล่าวเข้าสู่ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียของเทศบาลนครเชียงใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 638 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในการป้องกันภัยธรรมชาติ) | กค | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สาระสำคัญคือกำหนดยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินอุดหนุนหรือเงินอื่นอันมีลักษณะทำนองเดียวกันที่ได้รับจากรัฐบาล ซึ่งจ่ายตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้นำไปลงทุนในการป้องกันอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติอื่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นภาษี เป็นต้น รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานความร่วมมือในการวางแผน เตรียมการ จัดทำแนวปฏิบัติและข้อตกลงร่วมกันเพื่อส่งเสริมและเตรียมความพร้อมให้ชุมชนหรือส่วนราชการได้ใช้ประโยชน์จากการลงทุนในการป้องกันภัยธรรมชาติดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 639 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ | อก | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๑ (ประทานบัตรที่ ๒๕๖๑๕/๑๕๔๑๑) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการต่ออายุประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่ออายุประทานบัตร ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 640 | สรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2556 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ๑.๑ การจัดบริการขนส่งสาธารณะ หน่วยงานที่รับผิดชอบการให้บริการขนส่งสาธารณะได้เพิ่มจำนวนยานพาหนะ เที่ยววิ่งรถ และเที่ยวบินเสริมพิเศษ เพื่อรองรับปริมาณการเดินทางตลอดเทศกาลสงกรานต์ โดยมีประชาชนใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน ๓,๑๗๑,๑๕๘ คน ซึ่งเพียงพอกับความต้องการของประชาชนที่รับบริการ ๑.๒ การอำนวยความสะดวกด้านโครงข่ายถนน ได้ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บเงินในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีรถผ่านทาง จำนวน ๓,๖๕๘,๘๑๕ คัน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ ๑๒๓,๗๙๐,๓๓๖ บาท ประกอบด้วย การยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ (กรุงเทพฯ-ชลบุรี) และหมายเลข ๙ (วงแหวนกาญจนาภิเษก ด้านตะวันออก) ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ น. ของวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๖ และยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางด่วนบูรพาวิถี ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑ น. ของวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๖ ๑.๓ การอำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลจราจร ได้รายงานผลการปฏิบัติงานผ่านระบบของศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงคมนาคม (MOTOC) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยครอบคลุมการให้บริการระบบบริหารจัดการอุบัติเหตุด้านการขนส่ง (TRAMS) แก่หน่วยงาน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และอำนวยความสะดวกในการจัดทำรายงานและการวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุประจำวัน ทั้งในภาพรวมของกระทรวงคมนาคม ระดับกรม และระดับหน่วยงานในส่วนภูมิภาค ๒. การดำเนินงานด้านความมั่นคง ได้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคง โดยวางระบบป้องกันพื้นที่ในความรับผิดชอบ เช่น การติดตามสถานการณ์ข่าวสารข้อมูลกับฝ่ายความมั่นคง และการแจ้งเตือนการก่อเหตุ ดำเนินการให้มีการจัดเวรยาม และเฝ้าระวังสังเกตการณ์ เป็นต้น ๓. การดำเนินงานด้านความปลอดภัย ได้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร ยานพาหนะ และถนน ประกอบด้วย ๔ มาตรการ คือ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านถนนปลอดภัย มาตรการยานพาหนะปลอดภัย และมาตรการผู้ใช้รถใช้ถนนปลอดภัย ๔. สถิติอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๖ เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ มีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน ๑,๑๐๔ ครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๒๐ ผู้เสียชีวิต จำนวน ๒๒๑ คน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และจำนวนผู้บาดเจ็บ จำนวน ๑,๓๖๒ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๔๘ โดยมูลเหตุสันนิษฐานของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓ ลำดับแรก คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด คนหรือรถตัดหน้ากระชั้นชิด และเมาสุรา ประเภทของยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุ ๓ ลำดับแรก คือ รถปิคอัพบรรทุก ๔ ล้อ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล/รถยนต์นั่งสาธารณะ และรถจักรยานยนต์ สำหรับอุบัติเหตุทางราง มีจำนวน ๖ ครั้ง ทางน้ำและทางอากาศ (ไม่มี) ๕. แนวทางการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนถนน มอบให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทศึกษาและพิจารณาหาแนวทางในการควบคุมความเร็วบนทางหลวงและทางหลวงชนบทให้เพิ่มมากขึ้น และร่วมมือกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นในการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่องไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้น ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถโดยสารสาธารณะ มอบให้กรมการขนส่งทางบกเร่งศึกษาและพิจารณาขยายผลการดำเนินการควบคุมความเร็วของรถโดยสารสาธารณะ โดยการใช้เทคโนโลยี RFID อย่างจริงจังและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้มีการเสริมสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยทางถนน (Safety Culture) เพื่อให้ผู้ขับขี่มีจิตสำนึกด้านความปลอดภัยและมีวินัยจราจร รวมทั้งให้ผู้ใช้รถใช้ถนนตระหนักถึงความสูญเสียทั้งทางด้านร่างกายและทรัพย์สิน
|
|||||||||||||||||||||
.....
