ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 954 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2561 [การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (7 หน่วยงาน)] | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๕๗ อัตรา ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) จำนวน ๑๒๖ อัตรา กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) จำนวน ๑๒๐ อัตรา กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) จำนวน ๙๗๑ อัตรา สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ) จำนวน ๔๘ อัตรา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๘ อัตรา และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๑๘๔ อัตรา โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ส่วนงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ๒. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน ๒๒๑ อัตรา เป็นเงิน ๗๑,๑๕๓,๑๖๐ บาทต่อปี และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
22 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 [การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (7 หน่วยงาน)] | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๕๗ อัตรา ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) จำนวน ๑๒๖ อัตรา กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) จำนวน ๑๒๐ อัตรา กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) จำนวน ๙๗๑ อัตรา สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ) จำนวน ๔๘ อัตรา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๘ อัตรา และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๑๘๔ อัตรา โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ส่วนงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ๒. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน ๒๒๑ อัตรา เป็นเงิน ๗๑,๑๕๓,๑๖๐ บาทต่อปี และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 [การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (7 หน่วยงาน)] | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๕๗ อัตรา ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) จำนวน ๑๒๖ อัตรา กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) จำนวน ๑๒๐ อัตรา กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) จำนวน ๙๗๑ อัตรา สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ) จำนวน ๔๘ อัตรา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๘ อัตรา และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๑๘๔ อัตรา โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ส่วนงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ๒. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน ๒๒๑ อัตรา เป็นเงิน ๗๑,๑๕๓,๑๖๐ บาทต่อปี และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
24 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 [การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (7 หน่วยงาน)] | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๕๗ อัตรา ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) จำนวน ๑๒๖ อัตรา กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) จำนวน ๑๒๐ อัตรา กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) จำนวน ๙๗๑ อัตรา สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ) จำนวน ๔๘ อัตรา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๘ อัตรา และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๑๘๔ อัตรา โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ส่วนงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ๒. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน ๒๒๑ อัตรา เป็นเงิน ๗๑,๑๕๓,๑๖๐ บาทต่อปี และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
25 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 [การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (7 หน่วยงาน)] | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๕๗ อัตรา ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) จำนวน ๑๒๖ อัตรา กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) จำนวน ๑๒๐ อัตรา กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) จำนวน ๙๗๑ อัตรา สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ) จำนวน ๔๘ อัตรา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๘ อัตรา และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๑๘๔ อัตรา โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ส่วนงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ๒. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน ๒๒๑ อัตรา เป็นเงิน ๗๑,๑๕๓,๑๖๐ บาทต่อปี และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 [การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (7 หน่วยงาน)] | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๕๗ อัตรา ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) จำนวน ๑๒๖ อัตรา กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) จำนวน ๑๒๐ อัตรา กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) จำนวน ๙๗๑ อัตรา สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ) จำนวน ๔๘ อัตรา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๘ อัตรา และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๑๘๔ อัตรา โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ส่วนงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ๒. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน ๒๒๑ อัตรา เป็นเงิน ๗๑,๑๕๓,๑๖๐ บาทต่อปี และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27 | การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 [การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (7 หน่วยงาน)] | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ๖ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๕๗ อัตรา ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) จำนวน ๑๒๖ อัตรา กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) จำนวน ๑๒๐ อัตรา กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) จำนวน ๙๗๑ อัตรา สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ) จำนวน ๔๘ อัตรา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน ๘ อัตรา และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๑๘๔ อัตรา โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับการจัดสรรไปยุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ส่วนงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ๒. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน ๒๒๑ อัตรา เป็นเงิน ๗๑,๑๕๓,๑๖๐ บาทต่อปี และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
28 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่น้ำจืด) | กษ | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้น้ำเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) โดยได้มีการจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ การกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ การกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ การออกกฎกระทรวงกำหนดให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้ความเค็มในพื้นที่น้ำจืดเป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ต้องมีการควบคุม และการกำหนดแนวทางและดำเนินการติดตามประเมินผลการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ภายใต้คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๖/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓
|
||||||||||||||||||||||||
29 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 27 ตุลาคม 2558 (เกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียน) | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ (เกี่ยวกับเงินทุนหมุนเวียน) สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดย (๑) ควบรวมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต โดยเป็นการควบรวมกองทุนทั้งสองให้อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน (๒) คงสถานะกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่ให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และ (๓) กองทุนปูนซีเมนต์สร้างยุ้งฉางกลาง กองทุนเพื่อพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง โครงการเงินสนับสนุนจากการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อพัฒนากีฬาของชาติ เงินฝากส่งเสริมธุรกิจที่อยู่ในความส่งเสริมของกรมพัฒนาเศรษฐกิจการค้า และศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็นเงินนอกงบประมาณที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ได้มีหนังสือแจ้งหน่วยงานเจ้าของเงินนอกงบประมาณดังกล่าวให้พิจารณาเหตุผลความจำเป็นในการคงอยู่ ๒. โดยที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) อาศัยอำนาจตามข้อบังคับกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการให้องค์การของรัฐบาลที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๖ เรียกให้ทุนหมุนเวียนนำเงินสภาพคล่องส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (บัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑) ซึ่งเงินดังกล่าวถือเป็นเงินรายได้แผ่นดิน นั้น การนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นไปใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในช่วง ๑ ปี ต้องดำเนินการผ่านหน่วยงานของรัฐตามกระบวนการงบประมาณปกติ โดยกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือพระราชบัญญัติงบประมาณเพิ่มเติม ๓. ผลการนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามแผนปฏิบัติการฯ จำนวน ๒๙ ทุน เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๘,๐๘๑.๑๕ ล้านบาท ณ วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ ทุนหมุนเวียนนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินแล้ว จำนวน ๒๗,๘๑๑.๖๓ ล้านบาท โดยกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศยังค้างการนำส่งเงินอีก จำนวน ๒๖๙.๕๒ ล้านบาท เนื่องจากเป็นเงินต้นของกองทุนฯ ซึ่งต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการและจะนำส่งได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
30 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ | ยธ | 23/02/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ) โดยการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ส่วนใหญ่สามารถดำเนินการจนบรรลุผล แต่ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคบางประการ ได้แก่ (๑) ยังมิได้มีการจัดทำรูปแผนที่สำหรับสถานศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับอนุบาลเนื่องจากระยะเวลาไม่เพียงพอ (๒) การพิจารณาทบทวนเขต Zoning ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ ยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการเพิ่มเติม และยังมีข้อควรพิจารณาเสนอเป็นพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ และ (๓) การสำรวจข้อมูลของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ข้อมูลจากหลายฝ่าย และต้องใช้เวลาในการดำเนินการ รวมทั้งต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ๑.๒ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการจัดทำรูปแผนที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระดับประถมศึกษาออกไปอีก ๑๘๐ วัน และให้ชะลอการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระดับอนุบาลเพื่อประเมินการดำเนินการในภาพรวม ๑.๓ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการพิจารณาทบทวนเขตสถานบริการ (Zoning) ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการออกไปอีก ๑๘๐ วัน ๒. ในส่วนของการกำหนดแนวเขตบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา นั้น คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติในหลักการไว้แล้ว ดังนั้น เมื่อกระทรวงยุติธรรมดำเนินการแล้วเสร็จและหากจะนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมพิจารณาในการดำเนินการตามมาตรการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 พร้อมวีดีทัศน์เพื่อใช้ประกอบนิทรรศการอาคารแสดงประเทศไทย | กษ | 26/01/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 (Expo Milano 2015) ครั้งที่ ๔ (วันที่ ๑ พฤษภาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘) ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี สรุปได้ ดังนี้
๑. การบริหารจัดการนิทรรศการอาคารแสดงประเทศไทย แบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ นิทรรศการภายนอกอาคาร มีการจัดแสดงในรูปแบบตลาดน้ำจำลอง แปลงนาสาธิต และแสดงตัวอย่างพันธุ์ข้าวของไทย ส่วนนิทรรศการภายในอาคาร แบ่งเป็น ๓ ห้อง คือ ห้องสุวรรณภูมิ ห้องครัวไทยสู่ครัวโลก และห้องกษัตริย์แห่งเกษตร ๒. การบริหารจัดการผู้เข้าชมอาคารแสดงประเทศไทย มีจำนวนผู้เข้าชมตลอดระยะเวลาจัดแสดง ๖ เดือน จำนวน ๒,๓๐๑,๔๑๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๗ ของจำนวนผู้เข้าชมงานทั้งหมด ๒๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ๓. การบริหารจัดการพื้นที่ บริเวณทางออกจากอาคารเป็นพื้นที่ซึ่งมีการจัดแสดงในรูปแบบห้องอาหารแห่งอนาคต เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพของโลก โดยมีมูลค่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและของที่ระลึกตลอดระยะเวลา ๖ เดือนจำนวน ๑,๓๒๗,๖๕๒ ยูโร ๔. การบริหารจัดการงานวันชาติและกิจกรรมพิเศษ จำนวน ๕ กิจกรรม ได้แก่ งานวันชาติไทย เทศกาลวันสงกรานต์ กิจกรรมวันแม่ เทศกาลวันลอยกระทง และกิจกรรมความสัมพันธ์ไทย-อิตาลี ๕. การประชาสัมพันธ์ ได้มีการประชาสัมพันธ์อาคารแสดงประเทศไทยผ่านสื่อต่าง ๆ จำนวน ๗๔๘ ครั้ง โดยผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ และสื่อออนไลน์ ๖. การควบคุม กำกับการดำเนินงานอาคารแสดงประเทศไทย ได้จัดส่งบุคลากรไปปฏิบัติงานแบ่งเป็น ๒ รุ่น รุ่นละ ๕ คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการอาคารแสดงประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ประจำอาคารแสดงประเทศไทย ๗. การประเมินผลการดำเนินงาน เช่น สามารถทำให้ผู้เข้าชมรู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ที่เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านการเกษตร การผลิตอาหาร ประเพณี วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในการพัฒนาการเกษตรของประเทศ ๘. การดำเนินการจัดแสดงนิทรรศการ ได้มีการบริหารจัดการเป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหา
|
||||||||||||||||||||||||
32 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | กษ | 15/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ชุมชนที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมายทั้ง ๓,๐๕๑ ตำบล มีการเสนอขอความต้องการตามเงื่อนไขขั้นตอนการขอรับการสนับสนุน และได้รับอนุมัติให้ดำเนินการจำนวนทั้งสิ้น ๓,๐๔๔ ตำบล รวม ๖,๕๙๘ โครงการ และเมื่อดำเนินการจริงพบว่า ชุมชนสามารถดำเนินการได้จนเสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์ จำนวนทั้งสิ้น ๓,๐๔๓ ตำบล รวม ๖,๕๙๖ โครงการ โดยมีตำบลที่ขอยกเลิกการดำเนินงาน จำนวน ๑ ตำบล รวม ๒ โครงการ คือ โครงการประเภทการจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร (การก่อสร้างฝายชะลอน้ำ) ๒. ผลการดำเนินการเกษตรของชุมชน โครงการของชุมชน จำนวน ๖,๕๙๖ โครงการ จำแนกตามประเภทของกิจกรรม ได้แก่ (๑) กิจกรรมด้านการจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรของชุมชน จำนวน ๓,๓๒๘ โครงการ (๒) กิจกรรมด้านการผลิตทางการเกษตรและการแปรรูปผลผลิตเกษตรเพื่อสร้างรายได้ในฤดูแล้ง จำนวน ๖๓๖ โครงการ (๓) กิจกรรรมด้านการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จำนวน ๒,๓๗๑ โครงการ และ (๔) กิจกรรมด้านการจัดการเพื่อลดความสูญเสียผลผลิตเกษตร จำนวน ๒๖๑ โครงการ ๓. ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรและชุมชนเกษตร เกษตรกรได้รับประโยชน์จากโครงการ จำนวน ๒.๘๗ ล้านครัวเรือน เกิดการจ้างงานในชุมชน จำนวน ๐.๘๗ ล้านราย และเกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจากการดำเนินงานโครงการ จำนวน ๒,๐๔๘.๐๒ ล้านบาท ๔. ผลการเบิกจ่ายงบประมาณสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนเกษตร จำนวน ๖,๕๙๖ โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๙๙๒,๗๗๗,๔๔๘.๑๙ บาท จำแนกเป็นค่าวัสดุ ๑,๓๗๖,๐๙๒,๙๐๕.๓๗ บาท และค่าจ้างแรงงาน ๑,๖๑๖,๖๘๔,๕๔๒.๘๒ บาท และผลการเบิกจ่ายงบประมาณในการบริหารจัดการโครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๙๕,๗๘๗,๘๔๕.๐๕ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
33 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่น้ำจืด) | กษ | 15/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ได้จัดทำแนวทางในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด โดยยึดถือข้อมูลการสำรวจ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (พื้นที่เลี้ยง ๙๙,๖๖๗ ไร่) มีทางเลือก ๒ กรณี ดังนี้
๑. กรณีต้องการปรับเปลี่ยนไปเลี้ยงสัตว์น้ำอื่นในพื้นที่เดิม มี ๒ ทางเลือก คือ ๑.๑ การสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ได้แก่ พันธุ์สัตว์น้ำและอาหารสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญในการดำเนินการเลี้ยง คิดเป็นร้อยละ ๗๐-๘๕ ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด อัตราไร่ละ ๓๒,๗๑๐ บาท คิดเป็นเงินช่วยเหลือเยียวยาประมาณ ๓,๒๖๑ ล้านบาท ๑.๒ การชดเชยส่วนต่างของกำไรสุทธิที่ได้จากการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมและสัตว์น้ำชนิดอื่นที่ต้องการปรับเปลี่ยน เพื่อเป็นการชดเชยกำไรสุทธิที่ต้องสูญเสียไป ซึ่งในเบื้องต้นชนิดสัตว์น้ำที่เกษตรกรต้องการปรับเปลี่ยน คือ กุ้งก้ามกราม และปลานิล อัตราไร่ละ ๓๙,๒๖๐ บาท คิดเป็นเงินช่วยเหลือเยียวยาประมาณ ๓,๙๑๓ ล้านบาท ๒. กรณีต้องการเลิกอาชีพการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมเพื่อไปประกอบอาชีพอื่น มี ๒ ทางเลือก คือ ๒.๑ การชดเชยด้านการลงทุน (Investment Cost) เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการชดเชยมูลค่าทรัพย์สินคงเหลือ รวมทั้งค่าเสียโอกาสในการใช้ที่ดินและอุปกรณ์ต่าง ๆ อัตราไร่ละ ๓๙,๕๒๕ บาท คิดเป็นเงินช่วยเหลือเยียวยาประมาณ ๓,๙๔๐ ล้านบาท ๒.๒ การชดเชยค่าเสียโอกาสการสร้างรายได้จากการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม (Opportunity Cost) โดยประเมินจากกำไรสุทธิที่ได้จากการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม อัตราไร่ละ ๓๔,๔๗๕ บาท คิดเป็นเงินช่วยเหลือเยียวยาประมาณ ๓,๔๓๖ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
34 | ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พน | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการชี้แจงร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไปชี้แจงทำความเข้าใจต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) และองค์กรพัฒนาเอกชน (Non Government organizations : NGOs) เกี่ยวกับเหตุผลและความจำเป็นในการแก้ไขแผนพลังงานของประเทศ และในประเด็นที่ยังมีข้อขัดแย้งในสังคม เช่น จำนวนแหล่งปิโตรเลียมและปริมาณปิโตรเลียมที่พบ ปริมาณการผลิต รายได้ของรัฐบาลภายใต้ระบบให้สัมปทาน บริษัทต่างประเทศที่สนใจต่อการเปิดระบบสัมปทาน ข้อดีข้อเสียของระบบสัมปทาน ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) และระบบจ้างผลิต การจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ และแนวทางแก้ไขการขาดแคลนพลังงาน เป็นต้น ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปปรับแก้ไขตามข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ ๓.๑ กรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ยืนยันให้กระทรวงพลังงานแก้ไขกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมและกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในประเด็นการเพิ่มระบบสัญญาจ้างผลิต (service contract) และการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาตินั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ไปเพิ่มหลักการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยอาจกำหนดรายละเอียดไว้ในกฎหมายเฉพาะหรืออนุบัญญัติต่อไป ๓.๒ กรณีประเด็นที่กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังเห็นว่า สามารถดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ โดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย โดยกำหนดเป็นกฎกระทรวงหรือประกาศได้นั้น เห็นควรให้กระทรวงพลังงานชี้แจงให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ คปพ. และ NGOs ที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจถึงเหตุผลของการดำเนินการดังกล่าวอย่างชัดเจนด้วย ๓.๓ กรณีประเด็นรายละเอียดปลีกย่อยของร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับที่กระทรวงพลังงานชี้แจว่า อยู่นอกกรอบของร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการไปแล้วนั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ไปแก้ไขเพิ่มเติมหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติเพื่อให้สามารถแก้ไขได้ในชั้นกรรมาธิการของสภา และให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณาด้วย ส่วนประเด็นที่ไม่สามารถแก้ไขได้ให้กระทรวงพลังงานไปชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ |
||||||||||||||||||||||||
35 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2558 กรณีโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง | กค | 09/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ กรณีโรงงานยาสูบกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง (โรงงานยาสูบฯ) ขณะนี้ได้ดำเนินโครงการฯ ใกล้แล้วเสร็จ โดยได้ส่งมอบงานงวดสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดหาเครื่องจักรเพื่อติดตั้งภายในโรงงานต่อไป ๒. แนวทางการบริหารจัดการยาสูบในภาพรวม เช่น การแก้ไขปัญหาราคาใบยาสูบตกต่ำในภาคเหนือ การพัฒนาคุณภาพใบยาสูบไทยเพื่อลดการนำเข้าใบยาสูบจากต่างประเทศ ๒.๑ การกำหนดราคาซื้อขายใบยาสูบ โรงงานยาสูบฯ จะเป็นผู้นำในการกำหนดราคารับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่เป็นประจำในทุกฤดูการผลิต และผู้รับซื้อใบยาสูบรายอื่นจะใช้ราคาที่โรงงานยาสูบกำหนดเป็นเกณฑ์ในการรับซื้อใบยาสูบในแต่ละสายพันธุ์ โดยกรมสรรพสามิตได้มีการควบคุมให้ผู้เพาะปลูกต้นยาสูบเพาะปลูกต้นยาสูบเท่าที่ได้รับโควตาจากผู้รับซื้ออย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันปัญหาใบยาสูบล้นตลาดและราคาใบยาสูบตกต่ำ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าราคารับซื้อเฉลี่ยของใบยาสูบตั้งแต่ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๑/๒๕๕๒ จนถึงฤดูการผลิตที่ผ่านมามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ๒.๒ การพัฒนาคุณภาพใบยาสูบ โรงงานยาสูบฯ และผู้ส่งออกยาสูบได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการยาสูบทางด้านคุณภาพใบยาสูบไว้อย่างชัดเจน โดยใช้หลัก Good Agricultural Practices (GAP) ซึ่งเป็นแนวทางในการทำการเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ได้ผลผลิตที่สูงคุ้มค่าการลงทุนและกระบวนการผลิตจะต้องปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค และไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยโรงงานยาสูบฯ และผู้ส่งออกยาสูบ ได้มีพนักงานส่งเสริมเข้าไปให้คำแนะนำและกำกับดูแลการเพาะปลูกของชาวไร่อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงการเพาะปลูก เพื่อพัฒนาคุณภาพของใบยาสูบที่ผลิตในประเทศ ทำให้สามารถลดการนำเข้าใบยาสูบจากต่างประเทศจากเดิมที่ใช้มากกว่าร้อยละ ๓๐ ในปี ๒๕๒๖ เป็นน้อยกว่าร้อยละ ๙ ในปี ๒๕๕๗ ๒.๓ โรงงานยาสูบฯ ได้กำหนดราคาใบยาสูบเวอร์จิเนียที่ปลูกมากในเขตภาคเหนือตามชั้นมาตรฐานและรับซื้อตามคุณภาพใบยา และได้มีการปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี ๒๕๔๗ มีราคารับซื้อเฉลี่ยกิโลกรัมละ ๖๙.๘๐ บาท และในปัจจุบันมีราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ ๘๘.๓๘ บาท รวมทั้งได้บวกเพิ่มค่าสนับสนุนปัจจัยการผลิตยาสูบตามแนวทาง GAP อีกกิโลกรัมละ ๒๖.๐๐ บาท รวมเป็นกิโลกรัมละ ๑๑๔.๓๘ บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖๓.๘๗ ในระยะ ๑๐ ปีที่ผ่านมา
|
||||||||||||||||||||||||
36 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการใช้ สารเคมีฉีดเข้าลำต้น | กษ | 07/04/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ปรับแผนการปฏิบัติงานและได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับงบประมาณที่ได้รับ โดยดำเนินการในพื้นที่ที่มีการระบาดของหนอนหัวดำอย่างรุนแรง ได้แก่ พื้นที่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ระบาด ๘๙,๘๒๖ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๓๗ ของพื้นที่ระบาดทั้งประเทศ ดำเนินการใน ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง กุยบุรี สามร้อยยอด บางสะพาน บางสะพานน้อย และทับสะแก โดยใช้สาร emamectin benzoate ๑.๙๒% EC อัตรา ๓๐ มิลลิลิตรต่อต้น ฉีดเข้าลำต้นมะพร้าวที่มีความสูงมากกว่า ๑๒ เมตร และเจ้าของสวนยินยอมให้ฉีด (ยกเว้นมะพร้าวน้ำหอมและมะพร้าวกะทิ) รวม ๙๐๐,๕๗๕ ต้น ๑.๒ การติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน พบว่าทุกพื้นที่มีปริมาณหนอนหัวดำลดลงมาก จึงเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้โอกาสนี้สนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวร่วมมือในการใช้ชีววิธี เช่น การปล่อยแตนเบียน (Bracon hebetor) ในเชิงป้องกันอย่างจริงจัง ซึ่งจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดขึ้นอีก ๑.๓ ปัญหา อุปสรรค และผลกระทบ ได้แก่ สภาพอากาศที่ร้อนจัดทำให้เกิดผลกระทบกับใบมะพร้าวทางใบล่างมีอาการเหลืองและไหม้เป็นสีน้ำตาลอย่างรวดเร็วและผลร่วง และตามหลักวิชาการให้ดำเนินการฉีดสารเคมีได้เฉพาะต้นมะพร้าวที่มีความสูงมากกว่า ๑๒ เมตร แต่ข้อเท็จจริงในแปลงที่มีการระบาด มีต้นมะพร้าวที่มีความสูงน้อยกว่า ๑๒ เมตร รวมอยู่ด้วย จึงไม่สามารถดำเนินการควบคุมและกำจัดหนอนหัวดำแบบครอบคลุมพื้นที่ได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) โดยใช้วิธีผสมผสาน ได้แก่ การใช้ศัตรูธรรมชาติ คือ แตนเบียน (Bracon hebetor) และการใช้สารเคมี (emamectin benzoate) ฉีดเข้าลำต้นมะพร้าว
|
||||||||||||||||||||||||
37 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | กษ | 07/04/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ เรื่อง โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ระดับกระทรวง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ได้มีการขอปรับแก้ไขจำนวนพื้นที่เป้าหมาย จากเดิม ๓,๐๕๒ ตำบล ๕๔๒ อำเภอ ใน ๕๘ จังหวัด เป็น จำนวน ๓,๐๕๑ ตำบล ๕๔๑ อำเภอ ใน ๕๘ จังหวัด เนื่องจากมีความผิดพลาดโดยนำเขตการปกครองมานับซ้ำ ๒. การพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการของชุมชน มีโครงการที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้ฯ ระดับอำเภอ จำนวน ๖,๕๓๔ โครงการ คณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้ฯ ระดับจังหวัด จำนวน ๖,๔๕๘ โครงการ เป็นเงิน ๒,๙๗๒.๑๘๖ ล้านบาท และคณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้ฯ ระดับกระทรวง จำนวน ๔,๘๔๗ โครงการ เป็นเงิน ๒,๒๓๑.๔๔๑ ล้านบาท ๓. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป เป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนกิจกรรมของชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย ๕๘ จังหวัด จำนวน ๓,๐๕๒ ตำบล รวมเป็นเงิน ๓,๐๕๒.๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อปรับแก้เป้าหมายจำนวนตำบล ตามข้อ ๑ เป็น ๓,๐๕๑ ตำบล จึงมีวงเงินสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนเกษตรรวมทั้งสิ้น ๓,๐๕๑.๐๐๐ ล้านบาท โดยมีโครงการที่คณะกรรมการบริหารโครงการสร้างรายได้ฯ ระดับจังหวัดได้พิจารณาอนุมัติแล้ว จำนวน ๖,๔๕๘ โครงการ เป็นเงิน ๒,๙๗๒.๑๘๖ ล้านบาท ประมาณการมีเงินคงเหลือรอการพิจารณาอนุมัติ จำนวนทั้งสิ้น ๗๘.๘๑๔ ล้านบาท ซึ่งจะสามารถอนุมัติได้หมดภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
38 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 | กษ | 19/08/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 (Expo Milano 2015) ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ถึง ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยเป็นการสรุปผลการดำเนินงานในส่วนของการจ้างออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งอาคาร จัดนิทรรศการ รื้อถอน และการจัดการนิทรรศการ การดำเนินการออกแบบและก่อสร้างอาคารแสดงประเทศไทย การแต่งตั้งและการประชุมคณะกรรมการและคณะทำงาน รวมทั้งการเข้าร่วมประชุมกับองค์กรผู้จัดงาน (Expo Organizer) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ การเข้าร่วมงานดังกล่าวควรให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับด้วย โดยในส่วนของการจัดนิทรรศการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเน้นการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านงานวิจัย พัฒนา และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติทั้งดินและน้ำ และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สินค้าเกษตรและอาหาร สินค้าภายใต้โครงการหลวง และสินค้าไทยชนิดต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนและความประณีตพิถีพิถันในการผลิต เช่น โครงการหลวง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำเนินการโครงการด้วยพระองค์เอง และโครงการมูลนิธิส่งเสริมศูนย์ศิลปาชีพซึ่งเป็นโครงการที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงเป็นผู้ก่อตั้งด้วยพระองค์เอง เป็นต้น รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ประเพณี และคุณค่าของความเป็นไทยด้วย ๒. เมื่องาน Universal Exhibition Milano 2015 เสร็จสิ้นแล้ว ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายงานผลการดำเนินงานและประโยชน์จากการเข้าร่วมงานดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
39 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554 - 2559 ปีงบประมาณ 2556 | กษ | 22/04/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙ ปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ประกอบด้วย แผนงานเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดส่งออก แผนงานส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้คุณภาพ แผนงานพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม แผนงานพัฒนาองค์กร แผนงานส่งเสริมการใช้และสนับสนุนการส่งออก และการบริหารจัดการโครงการ ทั้งนี้ ผลกระทบจากการดำเนินการ ปริมาณการส่งออกดอกกล้วยไม้ของไทยในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน ๒๕๕๖ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๕๖ (ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ ปริมาณการส่งออก ๑๔,๔๑๕ และ ๑๖,๐๘๕ ตัน ตามลำดับ) แต่คิดเป็นมูลค่าลดลงร้อยละ ๓.๒๔ (ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออก ๑,๕๒๕ และ ๑,๔๗๖ ล้านบาท ตามลำดับ) ส่วนปริมาณการส่งออกต้นกล้วยไม้ของไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๑๕ (ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ ปริมาณการส่งออก ๒๒,๓๘๙ และ ๒๕,๓๓๔ พันต้น ตามลำดับ) เมื่อคิดเป็นมูลค่าแล้วส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒๘ (ปี ๒๕๕๕ และปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออก ๔๓๗ และ ๔๕๒ ล้านบาท ตามลำดับ) เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม สหกรณ์ และคลัสเตอร์กล้วยไม้ ทำให้เกิดความเข้มแข็งในองค์กรเกษตรกร มีแผนยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยกล้วยไม้ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙ เกิดการขับเคลื่อนในเรื่องเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อทดแทนปัญหาแรงงานในสวนกล้วยไม้ รวมทั้งการใช้ปุ๋ยและสารเคมีให้มีประสิทธิภาพ และเกิดการขับเคลื่อนในเรื่องการแก้ไขปัญหาแรงงานในสวนกล้วยไม้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาวิเคราะห์ตลาดและแนวทางการขยายตลาดเพิ่มเติมเพื่อขยายกลุ่มคู่ค้าใหม่ รวมถึงการศึกษาวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่มีต่อการส่งออกในตลาดคู่ค้าเดิม การส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกล้วยไม้ โดยประมวลผลงานและสรุปตามแต่ละห่วงโซ่การผลิตเพื่อให้สามารถประเมินได้ว่าห่วงโซ่ใดต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม การปรับปรุงพันธุ์กล้วยไม้ใหม่ ๆ โดยใช้วิธีการตัดแต่งพันธุกรรม การวิจัยยังต้องจำกัดอยู่ในขั้นห้องทดลองเพื่อความปลอดภัยไม่ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมการเกษตรควรปรับบทบาทให้สามารถดำเนินการติดตามงานและบูรณาการการขับเคลื่อนการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านกลไกของคณะกรรมการกล้วยไม้แห่งชาติเพื่อให้เกิดเอกภาพของการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ และสะท้อนภาพรวมของการพัฒนากล้วยไม้ของไทยได้อย่างชัดเจนมากขึ้น การทบทวนสถานการณ์เพื่อปรับปรุงยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในบริบทต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ฯ ที่กำหนดไว้ได้ การวิเคราะห์ปัญหาของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ อย่างรอบคอบเพื่อให้สามารถกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่างชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม การใช้รูปแบบของคลัสเตอร์กล้วยไม้ราชบุรีเป็นต้นแบบในการจูงใจและส่งเสริมให้เกษตรกรเห็นความสำคัญและประโยชน์ที่เกิดขึ้นของการเข้าสู่ระบบ GAP อย่างเป็นรูปธรรม การใช้โครงการนำร่องที่ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่อยู่ในคณะกรรมการกล้วยไม้แห่งชาติ โดยพิจารณาเลือกโครงการที่มีผลกระทบในวงกว้างและสามารถทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้โดยเร็ว (Quick-Win) มาดำเนินการก่อน รวมทั้งการส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดให้มากขึ้นเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ อย่างเข้มข้น ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
40 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเซียอาคเนย์ ครั้งที่ 13 | ศธ | 22/04/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ ๑๓ ณ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความสำเร็จของการดำเนินโครงการตามขั้นตอนที่กำหนด การส่งมอบงานได้รับการขยายเวลาการส่งมอบงานตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ครั้งที่ ๙ และครั้งที่ ๑๐) จากวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ขยายไปสิ้นสุด ณ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยผลการดำเนินงานเป็นไปตามเงื่อนไขในการส่งมอบตามรูปแบบรายละเอียดและสัญญา (As-Built Drawing, Building User Manual & Training) แล้วเสร็จร้อยละ ๑๐๐ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๒. จำนวนเงินงบประมาณที่เบิกจ่าย ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๗ รวม ๖,๑๔๘,๗๕๕,๐๐๐.๐๐ บาท ประกอบด้วย งบประมาณแผ่นดิน จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน จำนวน ๓,๖๔๘,๗๕๕,๐๐๐.๐๐ บาท
|
.....