ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 954 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
61 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 9 และครั้งที่ 10 | ศธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ ๙ ณ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๑๐ ณ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สรุปการดำเนินงานก่อสร้างในส่วนของอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล อาคารศูนย์วิจัย อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย งานภายนอกอาคารและงานภูมิสถาปัตยกรรม โดยรายงานฯ ครั้งที่ ๙ ผลการดำเนินงานถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๑๕ ของงานก่อสร้างทั้งโครงการ และรายงานฯ ครั้งที่ ๑๐ ผลการดำเนินงานถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ คิดเป็นร้อยละ ๙๔.๑๓ ของงานก่อสร้างทั้งโครงการ ๒. จำนวนเงินงบประมาณที่เบิกจ่ายระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน รวม ๒,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน รวม ๒,๔๖๗,๑๒๓,๑๔๑.๑๑ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๙๖๗,๑๒๓,๑๔๑.๑๑ บาท ๓. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินการ และแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้แก่ งานก่อสร้างได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในบริเวณเขตพื้นที่อุตสาหกรรม เขตพื้นที่ที่ใช้เส้นทางการขนส่งวัสดุ และเขตพื้นที่ที่พักอาศัยของแรงงาน ซึ่งผู้รับจ้างจะเร่งงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาสัญญา โดยเร่งการขนส่งวัสดุ การเพิ่มแรงงาน ๔. ระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ สัญญาก่อสร้างสิ้นสุดวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (ขยายสัญญา) ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาสัญญาต่อไปอีกถึงวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ และขอสงวนสิทธิขยายระยะเวลาสัญญา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย) ทั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยมหิดลได้มีหนังสือขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
62 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 เมษายน 2539 วันที่ 29 เมษายน 2540 วันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 3 เมษายน 2544 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ | กษ | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๘ (เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๙ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๐ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ) โดยผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมชลประทานได้ศึกษาโครงการตามหลักเกณฑ์การประเมินผลกระทบตามแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กันยายน ๒๕๕๑) โดยจำแนกเป็นกรณีที่มีโครงการ และไม่มีโครงการ รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗ แผน และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๕ แผน ๑.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้ดำเนินการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมโดยใช้กลไกการสร้างนักวิจัยท้องถิ่น (อาสาสมัครนักวิจัยท้องถิ่น) เพื่อเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนและเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการสำรวจข้อมูลพื้นฐานของชุมชนและที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นและผลกระทบด้านสังคมที่เกิดจากการพัฒนาโครงการ โดยมีการจัดประชุมร่วมกับประชาชนในท้องถิ่นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและตามข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจน ซึ่งชุมชนส่วนใหญ่ในพื้นที่โครงการร้อยละ ๘๕.๔๕ มีแนวโน้มให้การยอมรับต่อการพัฒนาโครงการโปร่งขุนเพชร ๑.๓ ผลการวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมทั้งโครงการตามผลการศึกษา ประกอบด้วย อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) เท่ากับ ๑๓.๕๖% มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ ๖๔.๖๖ ล้านบาท อัตราระหว่างผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) เท่ากับ ๑.๑๑ ๑.๔ ราคาค่าก่อสร้าง (เฉพาะเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบโครงการโปร่งขุนเพชร) ๑.๔.๑ เดิมกรมชลประทานได้ทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามวัฒนาวิศวก่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ วงเงินค่าก่อสร้างประมาณ ๒๐๐.๒๒๔ ล้านบาท ปัจจุบันห้างฯ ขอยกเลิกสัญญาโดยแจ้งว่าไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการก่อสร้างงานดังกล่าวโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น และกรมชลประทานได้อนุมัติยกเลิกสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และได้คืนหนังสือค้ำประกันสัญญาให้แก่ห้างฯ ด้วยแล้ว ๑.๔.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้มีการทบทวนในเรื่องราคาค่าก่อสร้างฯ ของโครงการ แยกเป็น ๒ กรณี คือ กรณีปรับแก้ราคาตามอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) คิดเป็นเงิน ๓๑๙ ล้านบาท และกรณีใช้เงื่อนไขสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) คิดเป็นเงิน ๓๔๓.๘๑๔ ล้านบาท ๑.๔.๓ ปัจจุบันกรมชลประทานได้พิจารณาปรับอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) ให้เป็นปัจจุบัน โดยมีราคาค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๓๖๓,๘๓๒,๒๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เร่งทำความเข้าใจกับราษฎรที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากราษฎรบางส่วนยังมีความรู้สึกผูกพันกับพื้นที่ทำกินเดิมและจะต้องลงทุนประกอบอาชีพในที่ทำกินใหม่ และตระเตรียมแนวทางมาตรการช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบซึ่งรวมถึงค่าชดเชยให้พร้อมเพื่อให้การพัฒนาโครงการฯ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งควรนำเรื่องการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ พร้อมรายละเอียดของโครงการและวงเงินการใช้จ่ายที่ขอรับการจัดสรรจากเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ เสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
63 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการบริหารจัดการน้ำไทย - สาธารณรัฐเกาหลี | กษ | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการบริหารจัดการน้ำไทย-สาธารณรัฐเกาหลี) โดยกรมชลประทานได้ดำเนินการจัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน การขนส่งทางบกและทางน้ำแห่งสาธารณรัฐเกาหลี เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ โรงแรมรอยัล ปริ๊สเซส หลานหลวง กรุงเทพมหานคร
|
||||||||||||||||||||||||||||||
64 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่น้ำจืด) | กษ | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการ ๑.๑ กรมประมงได้จัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทย ระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๙) อยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ แผนแม่บทดังกล่าว ภายใต้กลยุทธ์วิจัยและพัฒนาศักยภาพของพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประกอบด้วย โครงการวิจัยศักยภาพของพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ โครงการวิจัยและพัฒนาพื้นที่ดินเค็มเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโครงการศึกษาวิจัยผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ๑.๒ กรมประมงและกรมพัฒนาที่ดินได้ร่วมกันร่างหลักเกณฑ์ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดใหม่ โดยกำหนดค่าความเค็มของดิน น้ำ และลักษณะทางกายภาพของพื้นที่น้ำจืด รวมทั้งให้มีคณะทำงานวิชาการระดับจังหวัดกำหนดพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ สำหรับพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้ความเค็มที่มีอยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้มีมาตรการในการควบคุม โดยการขึ้นทะเบียนขออนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ห้ามมิให้มีการขยายพื้นที่เลี้ยงจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ กรมประมงได้จัดทำร่างโครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด โดยมีแนวทางให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกรณีต้องการปรับเปลี่ยนไปเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่นในพื้นที่เดิม และกรณีต้องการเลิกอาชีพการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมเพื่อไปประกอบอาชีพอื่น นอกจากนี้ ได้เตรียมการจัดทำโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด รวมทั้งเตรียมการจัดประชุมสัมมนาผู้เชี่ยวชาญในทุกภาคส่วนในโซ่อุปทานการผลิตกุ้งขาวแวนนาไม (Expert Approach) เพื่อให้ได้ข้อมูลรายละเอียดการศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน ภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ๒. อุปสรรคในการดำเนินการมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เช่น การออกคำสั่งระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ไม่มีข้อมูลทางวิชาการด้านผลกระทบของการใช้ความเค็มต่อสิ่งแวดล้อมมาสนับสนุนอย่างชัดเจน รวมทั้งความไม่ชัดเจนในเรื่องข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับผลกระทบของความเค็มจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
65 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปี 2555 | กษ | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง โครงการจัดระบบการปลูกข้าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน ๑.๑ จัดประชุมคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการจัดระบบการปลูกข้าวในปี ๒๕๕๕ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาสัมพันธ์โครงการผ่านสื่อต่าง ๆ ๑.๒ เกษตรกรผู้ใช้น้ำในพื้นที่โครงการกำหนดช่วงเวลาการปลูกข้าวใหม่ เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วม มีการทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด หรือเว้นปลูก และการบริหารจัดการน้ำใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล โดยกำหนดรูปแบบการจัดระบบการปลูกข้าวเป็น ๔ ระบบ คือ ระบบที่ ๑ นาครั้งที่ ๒-นาครั้งที่ ๑-พืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด ระบบที่ ๒ นาครั้งที่ ๒-นาครั้งที่ ๑-เว้นปลูก ระบบที่ ๓ นาครั้งที่ ๒-พืชหลังนา-นาครั้งที่ ๑ และระบบที่ ๔ นาครั้งที่ ๒-นาครั้งที่ ๑ [ข้าวน้ำลึก/ข้าวขึ้นน้ำ (ข้าวฟางลอย)] ๑.๓ จัดเวทีชุมชนเพื่อยืนยันความต้องการปลูกพืชหลังนาและพืชปุ๋ยสดของเกษตรกร มีเกษตรกรเข้าร่วมเวทีชุมชน จำนวน ๔๐,๔๖๒ ราย พื้นที่ปลูกข้าวที่เข้าร่วมโครงการ ๑,๑๐๖,๔๒๔ ไร่ โดยเกษตรกรต้องการปลูกพืชหลังนา ๕๓๔,๙๖๕.๕๐ ไร่ (ถั่วเหลือง ๓๘๑ ไร่ ถั่วเขียว ๕๒๘,๐๐๑ ไร่ ถั่วลิสง ๑,๒๔๒.๕๐ ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๑๔๐ ไร่ ข้าวโพดหวาน ๔,๙๔๒ ไร่ และข้าวโพดฝักอ่อน ๒๕๙ ไร่) เกษตรกรต้องการปลูกพืชปุ๋ยสด ๓๘,๑๕๒ ไร่ (ถั่วพร้า ๕๓๔ ไร่ ถั่วพุ่ม ๑,๒๖๔ ไร่ ถั่วมะแฮะ ๒๒ ไร่ โสนแอฟริกัน ๒๐๓ ไร่ และปอเทือง ๓๖,๑๒๙ ไร่) และเกษตรกรต้องการปลูกข้าวพร้อมกันในพื้นที่เดียวกัน ๗๐๑,๐๐๐ ไร่ ๑.๔ รับซื้อคืนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชั้นพันธุ์จำหน่ายจากสมาชิกสหกรณ์ที่มีคุณภาพผ่านมาตรฐานจากสมาชิกสหกรณ์ เพื่อจัดส่งให้กับเกษตรกรนำไปใช้ในโครงการตามความต้องการของเกษตรกรจากผลการจัดเวทีชุมชน จำนวน ๒,๘๗๔.๓๓๗ ตัน และจัดส่งให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน ๒,๑๓๓.๘๘๑ ตัน (จากเป้าหมาย จำนวน ๒,๖๔๐ ตัน) คงเหลือเก็บรักษา จำนวน ๗๔๐.๔๕๖ ตัน ๑.๕ จัดซื้อจัดหาเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดเพื่อจัดส่งให้กับเกษตรกรนำไปใช้ในโครงการตามความต้องการของเกษตรกรจากผลการจัดเวทีชุมชน รวม ๓๐๕.๒๑ ตัน จัดส่งเมล็ดพันธุ์แล้ว จำนวน ๖๕ ตัน ๑.๖ จัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากรฝึกอบรมเกษตรกร ๑.๗ จัดงานมอบเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวเพื่อเป็นการเปิดตัวโครงการ โดยมอบเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวให้เกษตรกรร่วมโครงการของโครงการชลประทานกำแพงเพชร เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๖๓๐ ราย เมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวที่มอบ จำนวน ๑๐๘,๐๐๐ กิโลกรัม ๑.๘ จัดงานรณรงค์การปลูกพืชหลังนา (ถั่วเขียว) เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ ตำบลวังบัว อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรตระหนักถึงการจัดระบบการปลูกข้าวเพื่อแก้ไขปัญหาในการผลิตข้าว มีเกษตรกรเข้าร่วม จำนวน ๖๐๐ ราย ๑.๙ ส่งเสริมแนะนำตลาดพืชหลังนา โดยประสานกับบริษัทและห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งเป็นตลาดรับซื้อเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวรายใหญ่ พ่อค้าเอกชนในพื้นที่ และสหกรณ์ในพื้นที่ที่เป็นแหล่งให้บริการรับซื้อ ทั้งนี้ การซื้อขายเมล็ดถั่วเขียวเป็นไปตามกลไกของตลาด ๒. ปัญหาอุปสรรค ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้ข้าวนาปีของเกษตรกรเสียหาย มีผลกระทบต่อการจัดระบบการปลูกข้าว ปี ๒๕๕๕ ที่ได้มีการกำหนดไว้เดิม ๓. แนวทางแก้ไข ต้องมีการทบทวนเพื่อปรับการดำเนินงานโครงการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายหลังน้ำลด โดยกำหนดช่วงเวลาการปลูกข้าวใหม่เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วม มีการเลือกชนิดพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ เช่น การใช้พันธุ์ข้าวทนน้ำท่วม หรือข้าวขึ้นน้ำ และพันธุ์ข้าวที่มีอายุเหมาะสมเพื่อสามารถเก็บเกี่ยวได้ทันก่อนน้ำท่วม เป็นต้น รวมทั้งทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด หรือเว้นปลูก และการบริหารจัดการน้ำใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่ส่งผลทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายเนื่องจากไม่สามารถเก็บเกี่ยวหนีน้ำได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
66 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ | กษ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๑.๔๕ แสดงความเห็นด้วยต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ในทุกหัวข้อ ซึ่งคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ไปปรับปรุงเป็นข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) สำหรับการศึกษาระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ผลการศึกษามี ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑.๑ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ (Strategic Environmental Assessment L : SEA) เป็นกระบวนการในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของนโยบาย แผน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยมีการพิจารณาถึงผลกระทบทางลบ ทางบวกจากการดำเนินโครงการต่อมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยผลการศึกษาสรุปว่า ทางเลือกการจัดการน้ำในลุ่มน้ำยมมีด้วยกัน ๔ ทางเลือก คือ ๑.๑.๑ ทางเลือกที่ ๑ มีการพัฒนาเฉพาะมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการชลประทาน ๑.๑.๒ ทางเลือกที่ ๒ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง ทั้งอ่างเก็บน้ำและฝาย/ประตูระบายน้ำตามลำน้ำยม รวมถึงการพัฒนาและจัดสรรน้ำโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก ๑.๑.๓ ทางเลือกที่ ๓ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแม่ยม และเขื่อนแม่ยมตอนบน ๑.๑.๔ ทางเลือกที่ ๔ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแก่งเสือเต้น ทั้งนี้ แนวทางการเลือกการพัฒนาโครงการ ทางเลือกที่ ๔ เป็นทางเลือกที่มีศักยภาพมากที่สุด โดยมีความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับทางเลือกที่ ๑, ๒ และ ๓ ในด้านความยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ ทางเลือกที่ ๔ จะให้ผลประโยชน์สุทธิมากกว่าทางเลือกที่ ๓ และทางเลือกที่ ๒ ตามลำดับ ๑.๒ การใช้นโยบายสาธารณะแบบบูรณาการเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในกระบวนการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยม ทั้งนี้ ผลจากการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ทางเลือกในการจัดการลุ่มน้ำยม” ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนบนและลุ่มน้ำยมตอนล่าง รวม ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพะเยา ลำปาง น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร และนครสวรรค์ โดยให้จัดมีการประชุมรวมทั้งหมดจำนวน ๙ ครั้ง โดยพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายของการประชุมในพื้นที่ลุ่มน้ำยมได้ครอบคลุมพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มาจากพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยทั้ง ๑๑ ลุ่มน้ำ มีพื้นที่ครอบคลุม ๑๖๑ ตำบล ๓๑ อำเภอ ๑๐ จังหวัด ผลสรุปจากการมีส่วนร่วมในการจัดระดับความสำคัญของทางเลือกในการพัฒนาลุ่มน้ำยมพบว่า ผู้มีส่วนได้เสียส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ รองลงมาได้แก่ ทางเลือกที่ ๓ ทางเลือกที่ ๒ และทางเลือกที่ ๑ ตามลำดับ ยกเว้นกลุ่มองค์กรอิสระที่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ น้อยที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
67 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2555-2557 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพิ่มเติม | สธ | 14/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงาน ได้แก่ การจัดทำแผนงาน/โครงการฯ ของจังหวัด รองรับการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายงบประมาณ การจัดตั้ง/ประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัด การจัดทำทะเบียนข้อมูลสมุนไพร ๓ กลุ่ม (กลุ่มที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ กลุ่มที่มีค่าต่อการศึกษาวิจัย และกลุ่มที่อาจจะสูญพันธุ์) จำแนกแต่ละพื้นที่ การประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง/ชุมชน/เครือข่าย ในการดำเนินงานตามแผนฯ เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิชาการ อนุรักษ์ เสริมสร้างความรู้ตามมาตรการ/กิจกรรมแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการพัฒนาต่อยอดเพื่อการใช้ประโยชน์ และกำหนดแผนติดตาม/ประเมินผลการดำเนินงานปีแรกของแผนงานฯ ภายหลังสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. ปัญหาอุปสรรค ได้แก่ ข้อจำกัดด้านกฎหมาย ระเบียบในการอนุญาตเข้าไปในพื้นที่ บุคลากรในการปกป้องหรือป้องปรามและลาดตระเวนพื้นที่มีจำนวนจำกัด การสนับสนุนงบประมาณตามแผนฯ แต่ละพื้นที่ยังไม่เพียงพอ ตลอดจนภาคส่วนต่าง ๆ ยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว ๓. ข้อเสนอแนะ แนวทางการดำเนินงานและการพัฒนา ได้แก่ การบูรณาการความร่วมมือทั้งทางวิชาการ กฎหมาย จากทุกภาคส่วน/ทุกระดับ โดยให้ส่วนราชการ/หน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับภารกิจ/กิจกรรมตามแผน พร้อมจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับการดำเนินงานบูรณาการ การสนับสนุนและผลักดันในเชิงนโยบายของผู้บริหาร การจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ใช้เป็นกรอบในการทำงาน/การปฏิบัติงานร่วมกันทุกระดับ รวมทั้งการสนับสนุนให้มีการสำรวจและศึกษาสมุนไพรเพิ่มเติมในพื้นที่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ รวมทั้งสนับสนุนการจัดทำระบบฐานข้อมูลทางภูมิศาสตร์เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงทางวิชาการและการต่อสู้เชิงกฎหมายในอนาคต ๔. แผนงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ การสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่โดยเน้นพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์เพื่อขยายโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับการขอขึ้นทะเบียนที่ดินเอกชน และนำที่ดินดังกล่าวมาขอรับการช่วยเหลือหรือสนับสนุนเกี่ยวกับการปลูก พัฒนา ส่งเสริมสมุนไพรตามเกณฑ์กำหนดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
68 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง | วธ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยกำหนดมาตรการในการฟื้นฟูและช่วยเหลือเป็น ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการระยะสั้น ระยะเวลา ๖-๑๒ เดือน และมาตรการระยะยาว ระยะเวลา ๑-๓ ปี เน้นประเด็นเรื่อง อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การจัดการทรัพยากร สิทธิในสัญชาติ การสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม และการศึกษา ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมาตรการระยะสั้น ๑.๑ ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การดำเนินการในระดับพื้นที่มีโครงการที่หลากหลาย ได้แก่ ด้านการส่งเสริมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีกะเหรี่ยง เช่น การแสดงดนตรีพื้นบ้าน ด้านการรวบรวมองค์ความรู้ เช่น จัดทำข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวกะเหรี่ยง และด้านการเพิ่มพูนทักษะชีวิตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น ฝึกอบรมการทำอิฐ ๑.๒ ประเด็นการจัดการทรัพยากร การดำเนินการในระดับพื้นที่มีกิจกรรมที่ขับเคลื่อนเรื่องการจัดการทรัพยากร ได้แก่ กิจกรรมด้านการแก้ไขปัญหาที่ดินและการสำรวจการถือครองที่ดิน เช่น โครงการจัดทำโฉนดชุมชน กิจกรรมด้านการยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงท้องถิ่นดั้งเดิม เช่น นโยบายยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และกิจกรรมการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนบนพื้นที่สูง เช่น การให้ความรู้ทางการเกษตรชีวภาพ ๑.๓ ประเด็นสิทธิในสัญชาติ ได้ดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชนและการให้สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ทำบัตรประจำตัวให้กับชาวกะเหรี่ยง ประชาสัมพันธ์ให้ชาวกะเหรี่ยงนำเอกสารหลักฐานมาขอลงทะเบียนผู้มีสิทธิประกันสุขภาพ รวมถึงสำรวจและทำทะเบียนประวัติบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ๑.๔ ประเด็นการสืบทอดมรดกวัฒนธรรม การดำเนินงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ กิจกรรมการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมชุมชนชาวกะเหรี่ยง เช่น จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนกะเหรี่ยง กิจกรรมส่งเสริมและสืบทอดศิลปวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมเวทีลานวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยงในวันสำคัญ และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะชีวิต เช่น ส่งเสริมการเรียนรู้การประกอบอาชีพตามแนวพระราชดำริ ๑.๕ ประเด็นการศึกษา มีการดำเนินกิจกรรม ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพชาวกะเหรี่ยง/บุคลากร/ครู/คณะกรรมการสถานศึกษา และการสนับสนุนทุนการศึกษา เช่น อบรมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและด้านอาชีพ การพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมกะเหรี่ยง เช่น พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นโดยปรับสาระการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๒. ปัญหาและอุปสรรค ได้แก่ การไม่มีเป้าหมายและแผนการดำเนินการอย่างชัดเจน ความไม่เข้าใจของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในมาตรการการฟื้นฟู การไม่มีงบประมาณดำเนินงาน เนื่องจากไม่ได้เสนอไว้ล่วงหน้า และบางหน่วยงานไม่สามารถเจียดจ่ายเงินจากงบปกติได้ การยึดถือกฎระเบียบของหน่วยงานของตนที่มีอยู่แล้วและไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการขาดแนวคิดและทักษะในการทำงานร่วมกับชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการในระดับต่าง ๆ ๓. ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการทำงานฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๓.๑ ควรตั้งหน่วยงานสำหรับการผลักดันเรื่องนี้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งการจัดสรรงบประมาณพิเศษ โดยหน่วยงานนี้มีบทบาทในการทำงานเชิงบูรณาการ โดยมีการวางแผนปฏิบัติการหลัก (Master plan) ที่มีเป้าหมาย แผนการดำเนินการและการประเมินผลอย่างชัดเจนที่ทุกหน่วยงานสามารถปฏิบัติการได้ และมีงบประมาณสนับสนุน เพื่อประกันว่ามติคณะรัฐมนตรีจะได้ผลในระยะ ๓ ปีภายหน้า ๓.๒ การดำเนินงานของคณะกรรมการระดับจังหวัดควรมีทิศทางที่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีมากขึ้น มีการกำหนดแผนงานการดำเนินงาน ติดตามแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยวางแผนให้มีความสอดคล้องกับแผนระดับชาติ และได้รับงบประมาณสนับสนุน ๓.๓ ดำเนินแผนการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารกับสังคม รวมทั้งการอบรม และการสร้างความเข้าใจในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ชุมชน นักเรียนนักศึกษา และบุคคลทั่วไปในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง เช่น ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ มรดกทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการทรัพยากร ระบบไร่หมุนเวียน การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ๓.๔ การเพิ่มพื้นที่และโอกาสการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดอคติที่มีต่อกันทั้งในรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ การวางแผนการทำกิจกรรม และการติดตามประเมินผลร่วมกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
69 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง (บ้านหลังแรก) | กค | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง (บ้านหลังแรก) โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ดังนี้
๑. พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๒๘) พ.ศ. ๒๕๕๔ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน ๕ ล้านบาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตน ในระหว่างวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นจำนวนเท่ากับภาษีเงินได้ที่คำนวณจากเงินได้สุทธิหรือที่ต้องชำระก่อนการคำนวณเครดิตภาษี แต่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์นั้น ๒. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๒๑๓) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย กำหนดวิธีการ เงื่อนไข และหลักฐานประกอบการยกเว้นภาษีเงินได้ที่ต้องยื่นต่อกรมสรรพากร ๓. จากการประมวลผลการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๕ มีผู้ใช้สิทธิประโยชน์ในการยื่นแบบแสดงรายการฯ ประมาณ ๙,๖๐๐ ราย และเป็นจำนวนเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับการยกเว้นประมาณ ๒๒๔.๑๙ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
70 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดพื้นที่เขตการศึกษา สำรวจเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาแหล่งหินน้ำมันในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | พน | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการศึกษาของกระทรวงพลังงานในกรณีการกำหนดพื้นที่เขตการศึกษา สำรวจเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาแหล่งหินน้ำมันในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งพบว่าแหล่งหินน้ำมันแม่สอดมีคุณภาพต่ำ การจะนำไปผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือการสกัดเป็นน้ำมันหิน หรือนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเคมี และการกลั่นจะไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์ ณ เวลาปัจจุบัน จึงเห็นสมควรยุติการศึกษาเพื่อพัฒนาแหล่งหินน้ำมันในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า การสกัดเป็นน้ำมันหิน การนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเคมีและการกลั่น ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามแผนการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาแหล่งหินน้ำมันแอ่งแม่สอดเป็นแหล่งพลังงานและวัตถุดิบในอุตสาหกรรม พร้อมทั้งกำหนดให้พื้นที่ ๑๐๔ ตารางกิโลเมตร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การกำหนดพื้นที่เขตการศึกษา สำรวจเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาแหล่งหินน้ำมันในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก) บริเวณบ้านห้วยกะโหลก อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตพื้นที่การศึกษา สำรวจและผลักดันการใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซีเมนต์และก่อสร้าง) จากแหล่งหินน้ำมันแอ่งแม่สอด โดยมีกำหนดระยะเวลาดำเนินงาน ๔ ปี นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นสมควรพิจารณาเปรียบเทียบประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับจากการพัฒนาแหล่งทรัพยากรดังกล่าวไปใช้ในด้านพลังงานหรือด้านอุตสาหกรรม โดยควรพิจารณาในประเด็นการพัฒนาเป็นแหล่งทรัพยากรสำรองของประเทศควบคู่ไปกับการพิจารณาความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากทรัพยากรดังกล่าวมีอยู่จำกัด และราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด |
||||||||||||||||||||||||||||||
71 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 | กษ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (สวพส.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าชมงานฯ ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ก่อนเปิดงานจริง) จนถึงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๕ (วันปิดงาน) รวมทั้งสิ้น ๒,๒๓๗,๕๕๕ คน ๒. เงินรายได้และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดงานฯ ตั้งแต่ก่อนเปิดงานจริงจนถึงปิดงานฯ รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๓๐,๒๑๑,๑๑๖.๒๕ บาท โดยมีรายจ่ายเป็นเงินรวม ๑๗๖,๐๖๒,๕๗๗.๙๖ บาท ทำให้มีเงินเหลือจ่ายที่สามารถส่งคืนกระทรวงการคลังได้ จำนวน ๕๔,๑๔๘,๕๓๒.๒๙ บาท ๓. การเข้าร่วมงานของต่างประเทศ มีต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมจัดสวนนานาชาติและแสดงวัฒนธรรม ๓๓ ประเทศ/องค์กร ๔. การประเมินผลการจัดงานฯ ๔.๑ การประเมินผลโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) สรุปได้ว่า จุดเด่นของงาน กิจกรรมที่ผู้เข้าชมงานชื่นชอบมากที่สุด คือ หอคำหลวง นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สวนนานาชาติ และนิทรรศการกล้วยไม้ ตามลำดับ ๔.๒ การประเมินผลโดยภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สรุปได้ว่า ผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าชมงานฯ ต่อสถานที่จัดงานและการบริการของการจัดงานฯ ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีถึงปานกลาง ด้านความพึงพอใจในจุดต่าง ๆ ของการจัดงานฯ รวมทั้งความพึงพอใจด้านประโยชน์และการสร้างความประทับใจที่เกิดจากการเข้าชมงานฯ ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในระดับมาก ส่วนผลการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือมีการเจริญเติบโตขึ้น โดยการเข้าพักในโรงแรมของนักท่องเที่ยวมีอัตราเพิ่มขึ้น และมีอัตราการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และจากการสำรวจผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัย ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร ผู้ประกอบการธุรกิจรถเช่า รถตู้และรถเมล์ และผู้ให้บริการรถแท็กซี่ รกตู้ และรถเมล์ และผู้ประกอบการขายของที่ระลึกและของฝาก พบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น สำหรับแนวทางในการจัดงานฯ ในโอกาสต่อไป ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่เห็นว่า ควรจัดในสถานที่เดิม ช่วงเวลาที่เหมาะสมควรเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และควรใช้สถานที่ของพืชสวนโลกฯ ให้คุ้มค่ากับการลงทุนของรัฐบาล โดยสิ่งที่ควรจัดในโอกาสต่อไป คือ การออกแบบรูปแบบใหม่ ไม่ซ้ำรูปแบบเดิม และให้มีความหลากหลายมากขึ้น ๔.๓. การประเมินผลโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า จะมีเงินสะพัดในเชียงใหม่ ๓ เดือน ที่มีการจัดงานฯ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างถิ่นทั้งคนไทยต่างชาติ ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และอีก ๑,๐๐๐ ล้านบาท เป็นเม็ดเงินจากคนเชียงใหม่ที่เข้าชมงานฯ ๔.๔ การส่งมอบพื้นที่คืน กรมวิชาการเกษตร สวพส. และผู้บริหารการจัดงานฯ ได้มีการหารือและสำรวจทรัพย์สินร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และได้ส่งมอบสวนให้ สวพส. ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่ง สวพส. ได้เปิดสวนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน |
||||||||||||||||||||||||||||||
72 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้แก่มันสำปะหลังและสินค้าเกษตรอื่น | พณ | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้แก่มันสำปะหลังและสินค้าเกษตรอื่น ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้แก่มันสำปะหลัง รวมทั้งพืชผลการเกษตรชนิดอื่นที่กำลังประสบปัญหาการตลาด เช่น หอมแดง กระเทียม โดยมีมาตรการดำเนินการในภาพรวม ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับสินค้ามันสำปะหลัง โดยส่งเสริมเกษตรกรและลานมัน แปรรูปสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด การสร้างรายได้เสริมจากการขายผลิตผลพลอยได้จากมันสำปะหลัง (By product) และการส่งเสริมให้มีการแปรรูปและส่งออกในรูปของสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ๑.๒ ส่งเสริมวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยสนับสนุนเงินวิจัยและพัฒนาผ่านกองทุน FTA สำหรับสินค้าเกษตร เช่น ส้ม ลำไย กระเทียม ฯลฯ โดยสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโดยสนับสนุนเงินวิจัยผ่านกองทุน FTA ๑.๓ จัดหาตลาดให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะสินค้าที่ประสบปัญหา เช่น ส้ม หอมแดง/กระเทียม ลำไยและน้ำผึ้ง โดยให้เกษตรกรสามารถนำผลิตผลไปจำหน่ายให้กับผู้บริโภคได้โดยตรงในงานธงฟ้า หรืองานอื่น ๆ ของหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๔ ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการส่งออก เช่น อำนวยความสะดวกด้านการออกหนังสือรับรองให้รวดเร็วและถูกต้อง (one stop service) ติดตามข้อมูลสถานการณ์ทางการค้าของประเทศคู่ค้า/คู่แข่ง และแจ้งให้กับผู้ส่งออกทราบเป็นระยะ ๆ จัดคณะผู้แทนร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องไปพบปะเจรจากับผู้นำเข้าและหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลนโยบายการนำเข้าสินค้าเกษตรสำคัญ เป็นต้น ๑.๕ จัดระเบียบและบริหารการนำเข้า - ส่งออก โดยเฉพาะสินค้าที่อาจมีผลกระทบกับสินค้าเกษตรที่ผลิตได้ในประเทศ เช่น มันสำปะหลัง หอมแดง กระเทียม เป็นต้น โดยให้มีมาตรการกำกับดูแลการนำเข้าสินค้าที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เช่น ให้ขึ้นทะเบียนผู้นำเข้า และให้รายงานปริมาณการนำเข้า เป็นต้น ๒. จัดทำร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดมาตรการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... ครอบคลุม ๑๕ กลุ่มสินค้า โดยมีสินค้ามันสำปะหลังและสินค้าเกษตรที่สำคัญเกือบทุกประเภทรวมอยู่ด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา หากเรียบร้อยแล้วจะดำเนินการออกระเบียบและจัดระบบมาตรการส่งออกและนำเข้าสินค้าดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||||||||
73 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 และวันที่ 14 มีนาคม 2554 เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด | กษ | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ กรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ชะลอโครงการศึกษาวิจัยผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดไว้ก่อน ดังนั้น จึงยังไม่สามารถนำข้อเท็จจริงทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงกุ้งขาวและผลกระทบของการใช้ความเค็มที่เกิดขึ้นไปชี้แจงให้เกษตรกรเข้าใจจนเกิดการยอมรับมาตรการเยียวยาได้ ส่วนการจัดเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด สำหรับการกำหนดพื้นที่ จำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และกรอบวงเงินงบประมาณที่ภาครัฐจะต้องใช้ในการเยียวยาเกษตรกร นั้น เนื่องจากขณะนี้ร่างหลักเกณฑ์การกำหนดพื้นที่น้ำจืด ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ จึงมีผลทำให้ยังไม่มีความชัดเจนของจำนวนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และกรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ในการเยียวยาได้ ๑.๒ ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับการพิจารณาความเหมาะสมของข้อกำหนดที่กรมพัฒนาที่ดินเคยใช้ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑ กับสภาพของดินและสภาพพื้นที่ กรมประมงและกรมพัฒนาที่ดินได้ร่วมกันร่างหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ และนำเสนอในการประชุม ๕ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงมหาดไทย กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสถาบันการศึกษา) เพื่อพิจารณา แต่การประชุมไม่สามารถสรุปความเห็นได้อย่างเป็นเอกฉันท์ ซึ่งขณะนี้ร่างหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี สำหรับการออกคำสั่งระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดของผู้ว่าราชการจังหวัด ขณะนี้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ๓๔ จังหวัด มีเพียง ๓ จังหวัดเท่านั้นที่มีการเลี้ยงกุ้งขาวในพื้นที่น้ำจืด คือ จังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และนครสวรรค์ ซึ่งมีเกษตรกรขึ้นทะเบียนกับกรมประมง จำนวน ๑๒๕ ราย พื้นที่เลี้ยง ๙๑๙ ไร่ ส่วนบางจังหวัดที่ยังไม่ได้ออกคำสั่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ทำหนังสือขอหารือแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนในการออกคำสั่งดังกล่าวว่า จะต้องเข้าเงื่อนไขตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือไม่ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ และให้รายงานความคืบหน้าในการรายงานครั้งต่อไป ในประเด็นเกี่ยวกับการจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ การกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ และการกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
74 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (ครั้งที่ 10) | วท | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) (ครั้งที่ ๑๐) ช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ - มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. จำนวน ๔ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔) รวม ๑๖ ห้องเรียน ใน ๗ โรงเรียน ประกอบด้วย ๑.๑ โรงเรียนที่เป็นมหาวิทยาลัย - โรงเรียนนำร่อง ๔ แห่ง โรงเรียนละ ๓ ห้อง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๑.๒ โรงเรียน - มหาวิทยาลัยที่ขยายเพิ่มเติม ๓ แห่ง ประกอบด้วย โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จำนวน ๒ ห้องเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน ๑ ห้องเรียน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) - มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๑ ห้องเรียน ๒. จัดสัมมนาการดำเนินโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ เพื่อระดมความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงาน และนำผลที่ได้มาจัดทำข้อเสนอโครงการ วมว. ระยะที่ ๒ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการต่อไป ๓. การติดตามและประเมินผลโครงการ วมว. ในส่วนของผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการบรรลุเป้าหมายของโครงการ พบว่า ผลสัมฤทธิ์โครงการ วมว. ในภาพรวมมีความโดดเด่นในด้านความร่วมมือของมหาวิทยาลัยกับโรงเรียน โดยสามารถใช้ทรัพยากรที่มีคุณค่าจากมหาวิทยาลัยในการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และแต่ละมหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแตกต่างกันไป ๔. งบประมาณในการบริหารโครงการ วมว. ได้ใช้งบประมาณจากการบริหารโครงการ วมว. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๔๓๓,๖๔๐ บาท และใช้เงินกันเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๕๑๒,๖๖๕ บาท และจะดำเนินการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแก่มหาวิทยาลัยในโครงการ วมว. จำนวน ๑๑๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท ในช่วงเปิดภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕)
|
||||||||||||||||||||||||||||||
75 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 | กษ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๒/๕๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การค้ำประกันเงินกู้ตามประกันเงินกู้โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๒/๕๓ อยู่ระหว่างการดำเนินการลงนามในหนังสือเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาค้ำประกันออกไปถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการฯ ให้แก่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จำนวน ๑๒๑,๖๑๙,๙๘๑.๑๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย จากเดิมครบกำหนดชำระภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นครบกำหนดชำระภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๓ อ.ต.ก. ได้รับจัดสรรเพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๑๒๖,๐๒๔,๙๐๐ บาท ซึ่ง อ.ต.ก. ได้นำไปชำระหนี้เงินกู้ (บางส่วน) จำนวน ๑๒๑,๒๓๔,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน ๔,๗๙๐,๖๕๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว คงเหลือหนี้เงินกู้จำนวน ๓๘๕,๗๓๑.๑๘ บาท (๑๒๑,๖๑๙,๙๘๑.๑๘ - ๑๒๑,๒๓๔,๒๕๐) ๑.๔ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ซึ่ง อ.ต.ก. ไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการฯ ได้ทันในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่ง อ.ต.ก. จะได้ขอตั้งงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพิ่มเติมในส่วนที่ขาดเพื่อชำระหนี้เงินกู้คืนให้แก่ ธ.ก.ส. เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๔๐๙,๗๖๔.๗๖ บาท (หนี้เงินกู้จำนวน ๓๘๕,๗๓๑.๑๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยจ่าย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๔,๐๓๓.๕๘ บาท) ๑.๕ การดำเนินการตามโครงการฯ ของ อ.ต.ก. สรุปผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดย อ.ต.ก. รับซื้อข้าวเปลือกได้จำนวน ๔๖,๔๖๑.๑๑๑๘๐๗ ตัน มูลค่า ๔๑๔,๖๒๙,๒๙๗.๔๓ บาท จำนวนเกษตรกร ๕,๙๐๔ ราย จำนวนจุดรับซื้อ ๒๔ จุดใน ๑๐ จังหวัด รับมอบข้าวสารเข้าคลังสินค้าจำนวน ๒๖,๖๔๘.๑๗๕๐๑๕ ตัน เก็บรักษาข้าวสารในคลังสินค้า ๔ คลังใน ๓ จังหวัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย อ.ต.ก. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาการชำระหนี้เงินกู้ที่เหลือของ อ.ต.ก. การเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายระยะเวลาการค้ำประกันเงินกู้สำหรับโครงการฯ การเร่งดำเนินการระบายข้าวสารที่เหลืออยู่ของ อ.ต.ก. เพื่อไม่ให้ข้าวเสื่อมสภาพมากขึ้น และช่วยลดภาระงบประมาณในการเก็บรักษา การจัดทำแผนธุรกิจและแผนการชำระหนี้เพื่อใช้ประกอบการวางแผนชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวให้ชัดเจน การเร่งรัดการระบายข้าวในคลังสินค้าภายใต้โครงการฯ และการให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน พัฒนาคุณภาพและค่าของข้าวไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
76 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554) | กษ | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย ดินโคลนถล่ม คลื่นลมแรงเกิดคลื่นเซาะชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) โครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้รับเงินงบกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๗,๕๓๐,๔๐๐ บาท เพื่อดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลในเขตพื้นที่อนุญาตบริเวณอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ไชยา ดอนสัก และท่าฉาง พื้นที่รวม ๑๔,๘๖๑.๔๖ ไร่ จำแนกเป็นพื้นที่เลี้ยงหอยแครง ๑๒,๘๕๕.๘๖ ไร่ พื้นที่เลี้ยงหอยนางรม ๑,๘๕๒.๔๐ ไร่ และพื้นที่เลี้ยงหอยแมลงภู่ ๑๕๓.๒๐ ไร่ โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ๒. รายละเอียดของการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีดังนี้ ๒.๑ ทำความสะอาดแปลงหอยโดยใช้จุลินทรีย์ในการบำบัดดินบริเวณเลี้ยงหอยในเขตพื้นที่อนุญาต และเก็บซากหอยตายและวัสดุเจือปนอันเนื่องจากภาวะอุทกภัยในบริเวณพื้นที่อนุญาต จำนวน ๑๔,๙๖๑.๔๖ ไร่ ๒.๒ เฝ้าระวังคุณภาพน้ำและดินในแหล่งเลี้ยงหอยทะเล โดยเก็บตัวอย่างน้ำและดินเพื่อตรวจวิเคราะห์ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังฟื้นฟู ครอบคลุมพื้นที่ ๔ อำเภอ คือ อำเภอกาญจนดิษฐ์ ๖ จุด อำเภอไชยา ๔ จุด อำเภอดอนสัก ๒ จุด และอำเภอท่าฉาง ๔ จุด ๒.๓ จัดสร้างแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยทะเล ๒.๔ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยแครง โดยคราดทำความสะอาดแปลงเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หอยแครง จัดซื้อลูกพันธุ์หอยแครง จำนวน ๑๐,๐๐๐ กิโลกรัม หว่านหอยแครงพร้อมทั้งทำป้ายห้ามทำการประมงและแนวเขตพ่อแม่พันธุ์หอยแครง ๒.๕ จัดทำแหล่งพ่อแม่พันธุ์หอยนางรม โดยจัดซื้อลูกพันธุ์หอยนางรม จำนวน ๓๐,๐๐๐ ตัว พร้อมทั้งติดตาหอยและปักแนวเขต
|
||||||||||||||||||||||||||||||
77 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 ครั้งที่ 3 | กษ | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ณ หอคำหลวง โดยมีนายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลรายงาน และนายชุมพล ศิลปะอาชา รองนายกรัฐมนตรี ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือที่ระลึก โดยในวันเปิดงานมีผู้เข้าชมงานรวม ๓๑,๖๒๐ คน ๒. จำนวนผู้เข้าชมงามมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ผู้เข้าชมงานก่อนเปิดงาน ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ - ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีจำนวนทั้งสิ้น ๙๔,๗๒๓ คน และผู้เข้าชมงานตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๒๖๙,๑๘๓ คน ๓. การเข้าร่วมงานของต่างประเทศ มีประเทศเข้าร่วมจัดสวนนานาชาติ จำนวน ๓๒ ประเทศ/องค์กร และมีการแสดงวัฒนธรรม จำนวน ๙ ประเทศ ๔. ด้านนิทรรศการ กิจกรรม และสวนเฉลิมพระเกียรติฯ ได้แก่ การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ในหอคำหลวง โดยนำเสนอพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และในอาคารนิทรรศการ ๑ จัดแสดงนิทรรศการโดยใช้แนวคิด “ตามรอยพ่อ เกษตร คือทางออกเพื่อชีวิตที่ยั่งยืน” และจัดสวนเฉลิมพระเกียรติฯ โดยมีหน่วยงานจากภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมจัดสวน จำนวน ๒๓ สวน และหน่วยงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมจัดสวน จำนวน ๑๗ หน่วยงาน ๕. ด้านนิทรรศการ กิจกรรมวิชาการพืชสวนและสมุนไพร มีการจัดนิทรรศการในส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วย นิทรรศการหมุนเวียนในอาคารนิทรรศการ ๒ ซึ่งมีหัวข้อนิทรรศการจัดแสดง ๑๑ นิทรรศการ นิทรรศการและกิจกรรมในสวนสมุนไพร ใช้แนวคิด “เลิศล้ำค่าสมุนไพรไทย ก้องกังวานไกลในแหล่งหล้า รวมศาสตร์รวมศิลป์ที่พัฒนา ผสมผสานภูมิปัญญาค่าเลิศล้ำ” ยึดหลัก 3Gs และ 3Rs การจัดนิทรรศการบัว ใช้แนวคิด “บัวไทยไปไกลทั่วโลก” จัดแสดงนิทรรศการพันธุ์บัวประดับทั้งของไทยและต่างชาติ นิทรรศการกล้วยไม้ ใช้แนวคิด “3Gs 3Rs Orchid Academy : ศูนย์การเรียนรู้แห่งกล้วยไม้ 3Gs 3Rs” จัดนิทรรศการสวนสัตว์กล้วยไม้แบบเทียม สัณฐานวิทยากล้วยไม้ และนิทรรศการในอาคารโลกแมลง ใช้แนวคิด “ภุมราพรั่งพฤกษาไพร โลกนี้ไซร้ฤาจักร้อน” ซึ่งแบ่งออกเป็นส่วนของแมลงมีชีวิตและไม่มีชีวิต ๖. การประเมินความพึงพอใจและความคิดเห็นของผู้เข้าชมงาน โดยในส่วนของความพึงพอใจของผู้เข้าชมงานที่มีต่อสถานที่จัดงานและการบริการของฝ่ายจัดงาน ผู้เข้าชมงานมีความพึงพอใจ ในด้านความสุภาพ/การให้คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ในระดับดี รองลงมาเป็นเรื่องของคู่มือชมงาน และสิ่งที่ควรปรับปรุงคือ ควรมีถังขยะให้เพียงพอ และดูแลความสะอาดของห้องน้ำ สำหรับความพึงพอใจในส่วนจัดแสดงภายในงาน ผู้เข้าชมงานมีความพึงพอใจในหอคำหลวงมากที่สุด รองลงมาเป็นการแสดงม่านน้ำ กระเช้าราชพฤกษ์ลอยฟ้า และสวนเฉลิมพระเกียรติประเภทองค์กร ตามลำดับ |
||||||||||||||||||||||||||||||
78 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล | ศธ | 28/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล (ครั้งที่ ๖) ข้อมูล ณ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้ศูนย์การศึกษาพิเศษร่วมมือกับโรงพยาบาลจัดศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล จำนวน ๔๓ ศูนย์การเรียน สามารถให้บริการทางการศึกษาแก่เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ - กันยายน ๒๕๕๔ เฉลี่ยเดือนละประมาณ ๒,๓๐๐ คน โดยได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แผนงานขยายโอกาสและพัฒนาการศึกษา ผลผลิตที่ ๔ เด็กพิการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการพัฒนาสมรรถภาพ เป็นค่าตอบแทนครูศูนย์การเรียนฯ จำนวน ๑๑๒ อัตรา จำนวนเงิน ๖,๔๔๙,๑๘๔ บาท และการประชุมสัมมนาโครงการศูนย์การเรียนฯ จำนวนเงิน ๓๙๑,๐๗๖ บาท ส่วนการนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล และสื่อการเรียนการสอน จำนวนเงิน ๓,๒๒๖,๔๖๐ บาท ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
79 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่าง ประเทศ | วท | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม IAEA/RCA Final Progress Review Meeting ภายใต้โครงการภูมิภาค RAS/8/111 “Diagnosing Industrial Multiphase System by Process Visualization using Radiotracers and Sealed Sources (RCA)” [การใช้เทคโนโลยีด้านรังสีติดตามวินิจฉัยให้เห็นภาพกระบวนการผลิตแบบมัลติเฟสของอุตสาหกรรมภายใต้โครงการความร่วมมือทางวิชาการระดับภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (อาร์ซีเอ)] ร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) เสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงการต่างประเทศยืนยันความเห็นเกี่ยวกับร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพฯ ว่า หนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพฯ เป็นเพียงการอำนวยความสะดวกในการจัดการประชุมระหว่างประเทศ ซึ่งมีพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นกฎหมายรองรับ ดังนั้น ร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพฯ จึงมิได้เป็นหนังสือสัญญาที่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือพื้นที่นอกราชอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญา หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ๒. กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่าร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพฯ ของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติมีเนื้อความไม่แตกต่างจากร่างหนังสือตอบรับฯ ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งได้รวมความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไว้ด้วยแล้ว และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติในหลักการแล้ว จึงไม่มีข้อขัดข้องต่อร่างหนังสือตอบรับฯ ดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
80 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ปี 2554 | กษ | 31/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินโครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินงานโครงการฯ ในแหล่งผลิตสำคัญ ๔๖ จังหวัด พื้นที่ดำเนินการ ๔,๐๗๒,๐๒๕ ไร่ ซึ่งมีกิจกรรมหลักที่สำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดงานรณรงค์การควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง เพื่อให้เกษตรกรมีการปลูกมันสำปะหลังอย่างถูกวิธีตั้งแต่การเตรียมดิน การแช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังด้วยสารเคมีก่อนปลูกให้กับเกษตรกร และการสนับสนุนศัตรูธรรมชาติควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง จำนวน ๒ ชนิด คือ แมลงช้างปีกใส และแตนเบียนเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง (Anagyrus lopezi) ๒. จัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน จำนวน ๓๗๗ ศูนย์ เพื่อใช้ในการถ่ายทอดความรู้และเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน รวมทั้งการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ๓. เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ให้กับเจ้าหน้าที่และเกษตรกร โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรได้ตระหนักถึงภัยของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังและดำเนินการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังตามคำแนะนำของทางราชการ ๔. สนับสนุนการดำเนินงานและบริหารจัดการโครงการฯ ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด อำเภอ การประชุมประธานศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนเพื่อวางแผนการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน การนำร่องการใช้ภูมิสารสนเทศในการติดตามสถานการณ์เพลี้ยแป้งมันสำปะหลังใน ๓ จังหวัด และการติดตามการดำเนินงานโครงการฯ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๕. การดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับสารเคมีแช่ท่อนพันธุ์ก่อนปลูกให้กับเกษตรกรทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภออย่างชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ การถ่ายทอดความรู้ในการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการเฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง และวางแผนการพัฒนาศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนให้เกิดความยั่งยืน รวมทั้งการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตขยายศัตรูธรรมชาติ และแบ่งพื้นที่รับผิดชอบในการปล่อยศัตรูธรรมชาติเพื่อควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง ๖. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ได้ใช้งบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๘๐.๖๔ ล้านบาท จากงบประมาณทั้งสิ้น ๔๘๙.๐๒ ล้านบาท ๗. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ เนื่องจากในช่วงระยะเวลาดำเนินการมีฝนตกเร็วกว่ากำหนดและกระจายในหลายพื้นที่ทำให้มีสภาพอากาศเหมาะสมต่อการเพาะปลูก เป็นผลให้เกษตรกรประมาณร้อยละ ๕๐ ของพื้นที่เป้าหมายในโครงการปลูกมันสำปะหลังก่อนฤดูการปลูกถึง ๓ เดือน ๘. แนวทางแก้ไขปัญหา ได้แก่ การสนับสนุนเคมีแช่ท่อนพันธุ์มันสำปหลังก่อนปลูกอย่างต่อเนื่อง การรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ และถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรให้ตระหนักถึงความเสียหายที่เกิดจากการทำลายของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง การให้ความสำคัญของการสำรวจแปลงปลูกมันสำมันปะหลังอย่างสม่ำเสมอ และการส่งเสริมให้เกษตรกรดูแลต้นมันสำปะหลังให้สมบูรณ์ แข็งแรง มีการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังโดยวิธีผสมผสาน รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการควบคุมเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังของกรมส่งเสริมการเกษตร
|
.....