ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 954 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 | กษ | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 ระหว่างวันที่ ๑ พฤษภาคม ถึง ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดกรอบแนวทางรูปแบบการดำเนินการจัดงาน พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงาน โครงการ งบประมาณ และกิจกรรม ตามที่คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเสนอ สนับสนุน กำกับ ดูแล ติดตามการจัดงานต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 มีนายโอฬาร พิทักษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานอนุกรรมการ มีหน้าที่กำหนดกรอบแนวทาง รูปแบบการดำเนินการจัดงาน พิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องการจัดตั้งงบประมาณ กิจกรรมการจัดงาน และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. การจัดตั้งสำนักงานประสานงานโครงการ Universal Exhibition Milano 2015 ขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อทำหน้าที่สนับสนุน กำกับ ดูแล และติดตามการจัดงานด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ๓. การจัดส่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมที่องค์กรผู้จัดงาน ได้แก่ การประชุม Building Together Expo Milano 2015 เมื่อวันที่ ๒-๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นการประชุมเพื่อชี้แจงหลักเกณฑ์การก่อสร้างแก่ผู้เข้าร่วมงานที่จะดำเนินการก่อสร้างเอง และการประชุม International Participants Meeting ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๓-๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นการประชุมเพื่อชี้แจงความก้าวหน้าในการเตรียมพื้นที่และแผนการดำเนินงานขององค์กรผู้จัดงาน ๔. การกำหนดแผนปฏิบัติงาน โครงการ Universal Exhibition Milano 2015 ระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ที่สอดคล้องกับกรอบเวลาที่องค์กรผู้จัดงานกำหนด เพื่อจะได้ประสานผู้เกี่ยวข้องและกำกับ ติดตามการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ให้เสร็จทันตามกำหนด ๕. การดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการดูแล ควบคุมงานออกแบบ ก่อสร้าง และการจัดการนิทรรศการในการเข้าร่วมงาน โดยวิธีการคัดเลือก ซึ่งบริษัทที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเป็นที่ปรึกษาได้เสนอวงเงินงบประมาณในการจัดจ้างทั้งสิ้น ๓๘,๔๙๙,๐๐๐ บาท ต่ำกว่าวงเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ จำนวน ๕๔๖,๖๐๐ บาท โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงนามในสัญญาจ้างที่ปรึกษาเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ ระยะเวลาการดำเนินงานของที่ปรึกษาเริ่มตั้งแต่วันถัดจากวันลงนามในสัญญาจ้างจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ๖. การจ้างออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งอาคาร จัดนิทรรศการ รื้อถอน และการจัดการนิทรรศการ อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดจ้าง โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่างข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) จ้างออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งอาคารจัดนิทรรศการ รื้อถอน และการจัดการนิทรรศการในงาน และขณะนี้คณะกรรมการฯ ได้จัดทำข้อกำหนดขอบเขตงานจ้างดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว การจัดจ้างจะดำเนินการโดยวิธีพิเศษ เนื่องจากเป็นงานที่ต้องจ้างผู้ที่มีฝีมือโดยเฉพาะ มีความชำนาญและประสบการณ์เป็นพิเศษ อีกทั้งเป็นงานที่ต้องปฏิบัติงานในต่างประเทศ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒๔ (๑), (๓) และข้อ ๒๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | กษ | 07/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้แก่ การสุ่มตรวจ การจัดประชาคมว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ การตรวจสอบพื้นที่การปลูกข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ที่ผ่านประชาคม และการตรวจสอบการดำเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและการออกใบรับรอง ๒. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มโครงการฯ ได้แก่ การตรวจสอบการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของโครงการฯ ของโรงสีข้าว/คลังสินค้ากลาง การตรวจสอบปริมาณข้าวเปลือก/ข้าวสารในความครอบครองของเกษตรกร การตรวจสอบข้าวเปลือกที่รับฝากจากเกษตรกร การตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องชั่งน้ำหนักและเครื่องวัดความชื้นข้าวเปลือก ณ จุดรับจำนำ ๓. ขั้นตอนการรับจำนำข้าวของเกษตรกร ได้แก่ การสุ่มตรวจความถูกต้องของเอกสารหลักฐานการรับจำนำเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ การสุ่มตรวจปริมาณข้าวของเกษตรกรที่นำมาจำนำ การตรวจสอบเอกสารใบรับรองเกษตรกรและหลักฐานการเป็นลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร การสุ่มตรวจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ จุดรับจำนำตลอดระยะเวลาโครงการฯ การตรวจสอบการบริหารจัดการของหน่วยรับฝาก/คลังสินค้ากลาง การตรวจสอบการควบคุมวงเงินค้ำประกันสัญญาและประกันภัยสินค้าให้ครอบคลุมปริมาณสินค้า ณ วันที่เข้าตรวจ การสุ่มตรวจการใช้ระบบสารสนเทศในการปฏิบัติงาน การตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนของเกษตรกร การตรวจสอบปริมาณข้าวเปลือก/ข้าวสารที่รับฝากในโครงการฯ และการตรวจสอบเทียบน้ำหนักกับเอกสารใบชั่งน้ำหนักและการจดค่าความชื้นข้าวเปรียบเทียบกับเอกสารหลักฐานทางบัญชี ๔. ขั้นตอนการสีแปรสภาพและการส่งมอบข้าวสาร ได้แก่ การตรวจสอบเร่งรัดการสีแปรสภาพและการส่งมอบข้าวสารของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ตลอดระยะเวลาโครงการฯ ๕. ขั้นตอนการรับมอบและการเก็บรักษาข้าวสารในคลังสินค้ากลาง ได้แก่ การตรวจสอบการแปรสภาพข้าว ปริมาณการรับมอบสินค้าของคลังสินค้ากลางและการดูแลรักษาทรัพย์สินมิให้เกิดความสูญหายหรือความเสียหายใด ๆ การตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวย์) และการสุ่มตรวจปริมาณข้าวสารตามโครงการฯ ระยะสิ้นสุดโครงการฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าข้าว | กษ | 07/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาสินค้าข้าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะทำงานประสานงานวิจัยและพัฒนาข้าว โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เป็นประธาน ทำหน้าที่ประสานการจัดทำข้อมูล กำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าข้าว เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายการพัฒนาสินค้าข้าวตลอดห่วงโซ่คุณค่าการผลิต พิจารณากำหนดหัวข้อวิจัยผลิตภัณฑ์ข้าวที่มีเป้าหมายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถจำหน่ายได้เป็นจำนวนมาก มีมูลค่าสูง มีคุณภาพได้มาตรฐานสูง สามารถเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตได้ รวมทั้งพิจารณากำหนดหัวข้อวิจัยในแต่ละห่วงโซ่คุณค่าการผลิตข้าวตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ผลักดันให้มีการนำผลงานวิจัยด้านข้าวที่มีแล้วและการวิจัยใหม่ ๆ ไปใช้ในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนา การส่งเสริมและแก้ไขปัญหาในกิจการสินค้าข้าว ๒. ทิศทางการวิจัยและพัฒนาสินค้าข้าวของประเทศไทย และข้อเสนอโครงการวิจัยด้านข้าว (นำร่อง) ปี ๒๕๕๗ ๒.๑ กรอบยุทธศาสตร์การวิจัย ได้มีการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์การวิจัยเรื่องข้าวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ โดยต้นน้ำ ประกอบด้วย ๒ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การปรับปรุงพันธุ์ และยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตข้าว กลางน้ำ ประกอบด้วย ๑ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการหลังจากเก็บเกี่ยวและโลจิสติกส์ และปลายน้ำ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการแปรรูป ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและการตลาดข้าว และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี ๒.๒ ผลงานตามกรอบยุทธศาสตร์ที่พร้อมจะนำไปขยายผล แยกเป็น ต้นน้ำ จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ ด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าว ด้านเทคโนโลยีการผลิตข้าว ด้านลดความสูญเสียจากโรคและแมลงศัตรูข้าว ด้าน Zoning/ภาพถ่ายดาวเทียม กลางน้ำ จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ ด้านการเก็บรักษาข้าว การลดความชื้น และการตรวจวิเคราะห์ข้าว และปลายน้ำ จำนวน ๑๒ เรื่อง ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อเป็นยา และการติดตามสถานการณ์ด้านการผลิตและการตลาด (Rice Watch) ๒.๓ แผนงานดำเนินการวิจัยที่สำคัญ ปี ๒๕๕๗ ได้มีการกำหนดหัวข้องานวิจัยด้านข้าวที่สำคัญที่จะดำเนินการ จำนวน ๑๔ หัวข้อ แบ่งเป็น ต้นน้ำ มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาข้าวคุณภาพสูงเพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวน ๔ หัวข้อ กลางน้ำ มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยว จำนวน ๔ หัวข้อ และปลายน้ำ มุ่งเน้นการแปรรูปและผลิตภัณฑ์จากข้าวเพื่อเพิ่มมูลค่าและการเพิ่มขีดความสามารถในการขยายตลาดข้าวไทย จำนวน ๔ หัวข้อ รวมทั้งมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร จำนวน ๒ หัวข้อ ๒.๔ ข้อเสนอโครงการวิจัยด้านข้าวนำร่อง ปี ๒๕๕๗ มีจำนวน ๒ โครงการ วงเงินงบประมาณรวม ๑๖๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขยายผลโรงอบแห้งข้าวเปลือกเพื่อลดความชื้นและการกำจัดศัตรูข้าวหลังการเก็บเกี่ยว วงเงิน ๖๐ ล้านบาท และโครงการขยายผลเครื่องต้นแบบในการกำจัดแมลงในข้าวสารโดยเทคโนโลยีจากคลื่นความถี่วิทยุเพื่ออาหารที่สะอาดและปลอดภัยระดับชุมชนและอุตสาหกรรม วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ๓. โครงการสนับสนุนให้ชาวนารายใหญ่ที่มีผลผลิตส่วนเกินไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกได้ (เกินวงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาทต่อฤดู) มาเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยกำหนดให้มีการจัดทำโครงการส่งเสริมชาวนาที่มีศักยภาพให้เป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์เชิงธุรกิจ โดยชาวนาสามารถเลือกที่จะประกอบธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวในกรณีต่าง ๆ ได้แก่ เป็นผู้ผลิต รวบรวม และจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวเอง เป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้กับหน่วยงานและผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจด้านนี้อยู่แล้ว เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวร่วมกับเครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าว รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชนกรณีชาวนาที่มีพื้นที่มากและมีศักยภาพอยู่รวมกันในชุมชนหลายรายประสงค์จะรวมกลุ่มกันผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ๔. การผลิตเอทานอลจากข้าว ได้มีการศึกษาแนวทางการนำข้าวไปผลิตเอทานอล ได้แก่ กระบวนการผลิตเอทานอล การประเมินต้นทุนการผลิตเอทานอล และโรงงานที่ผลิตเอทานอลในประเทศไทย ๕. ในการดำเนินการตามข้อ ๑-๓ จะใช้งบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ของหน่วยงานในการดำเนินงาน สำหรับข้อเสนอโครงการวิจัยด้านข้าวนำร่อง ปี ๒๕๕๗ จำนวน ๒ โครงการ อยู่ระหว่างการพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณ ซึ่งหากมีการดำเนินงานทั้ง ๒ โครงการจะทำให้เกิดการขยายผลในเชิงพาณิชย์และมีความคุ้มค่าที่จะดำเนินโครงการวิจัย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปโภค มหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งที่ 1 | ศธ | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปโภค มหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างรายการก่อสร้าง ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ จัดหาภายในวงเงินไม่เกินราคากลาง ๒,๒๙๙,๙๙๙,๗๖๑.๗๐ บาท โดยใช้วิธีการประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ประกาศประกวดราคาเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ยื่นเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ มีจำนวนผู้เข้ายื่นเอกสารประกวดราคาฯ จำนวน ๖ ราย ดำเนินการประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ ๒. การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยมีคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้ดำเนินการ เริ่มดำเนินการศึกษาข้อมูลตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นมา และส่งรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๓. การดำเนินการด้านครุภัณฑ์การแพทย์ ได้วางแผนดำเนินการตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อป ๔. การดำเนินการด้านบุคลากร ได้วางแผนดำเนินการตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยบริหารจัดการเชิงบูรณาการในภาพรวมของมหาวิทยาลัยมหิดล และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การนำระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2008 มาใช้ในทุกสายการเดินรถ ปัจจุบัน ขสมก. ได้รับใบรับรองคุณภาพ ISO 9001 : 2008 จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) ทุกสายเดินรถ ๒. การดำเนินการตามโครงการขันน็อตของกระทรวงคมนาคม ๒.๑ โครงการซ้ายตลอดจอดทุกป้าย สร้างวินัยจราจร วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการ ลดจำนวนเรื่องร้องเรียน และการกระทำผิดกฎหมายจราจรของพนักงานขับรถโดยสาร ๒.๒ โครงการบริการดีมีน้ำใจ สร้างความพึงพอใจให้ประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบริการของพนักงานเก็บค่าโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพ กล่าวคำ “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๓ โครงการสายตรวจลดอุบัติเหตุ เป็นมิตรกับประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพกล่าวคำว่า “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๔ โครงการรักษ์ท่า รักษ์สะอาด รักษ์ความปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงท่าปล่อยรถทุกสายให้อยู่ในสภาพดี สะอาด เป็นระเบียบ ปลอดภัย จำนวน ๑๓๖ ท่า และให้พนักงานมีส่วนร่วมในการรักษาความสะอาดและปลอดภัยตามคู่มือระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2008 ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน ๒.๕ โครงการสร้างวินัยจราจร สร้างความปลอดภัยที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง วัตถุประสงค์เพื่อกำหนดป้ายรถโดยสารประจำทางที่มีผู้ใช้บริการมากในแต่ละถนน โดย ขสมก. ได้จัดผู้บริหาร พนักงานตรวจการ นายตรวจ และเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานให้บริการประชาสัมพันธ์ตามป้ายที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ตามถนนสายหลัก สายรอง และป้ายรถโดยสารประจำทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะขึ้น-ลง และรอรถโดยสารประจำทาง ๒.๖ โครงการบริการดี ขับขี่ปลอดภัยไปกับรถเมล์ฟรี วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจในการใช้บริการรถเมล์ฟรี เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์การ และหันมาใช้บริการรถโดยสารประจำทางเพิ่มขึ้น ๒.๗ โครงการนายท่า IT วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับนายท่าจัดทำข้อมูลในการบริหารการเดินรถ ระบบปล่อยรถ รวมทั้งลดขั้นตอนและเวลาการทำงานของพนักงานในกลุ่มของนายท่าและพนักงานจัดทำสารสนเทศด้านการเดินรถ ๓. การปรับปรุงการปล่อยรถโดยสารประจำทางทุกช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขสมก. ได้จัดทำแผนการปล่อยรถโดยสารประจำทางรายสายจำแนกตามเขตการเดินรถที่ ๑-๘ และได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. นำรถออกวิ่งในช่วงเวลา ๑๖.๐๐-๒๐.๐๐ น. ให้ครบร้อยละ ๑๐๐ ของทุกสายการเดินรถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนในช่วงเย็น ๔. การกำกับดูแลบริษัทเหมาซ่อมรถโดยสารดำเนินการซ่อมบำรุงรถโดยสารประจำทางให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรงและสามารถออกวิ่งให้บริการมากที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ | อก | 29/10/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยประชาชนศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์) เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการบริหารจัดการโลจิสติก์ทั้งระบบซึ่งเชื่อมโยงและเป็นประโยชน์ต่อการส่งออก รวมทั้งเป็นช่องทางในการขยายตลาดสินค้าของไทยในศรีลังกาและประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ เช่น อินเดีย ซึ่งในการดำเนินการตามติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีปัญหาและอุปสรรค และแนวทางการแก้ไข สรุปได้ ดังนี้
๑. ปัญหาและอุปสรรค ผลจากการดำเนินการพบว่า ปัจจุบันการบริหารจัดการโลจิสติก์ในสถานประกอบการของภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing logistics) ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่าในอนาคต เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์ในสถานประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในศรีลังกาและประเทศใกล้เคียงอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการต่าง ๆ ของแผนแม่บทการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหรรม (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ซึ่งปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ทั้งระบบฯ ในขณะนี้ คือ ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านโลจิสติกส์ (Logistics Infrastructure) โดยเฉพาะการขาดท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ฝั่งทะเลอันดามันที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งและขนถ่ายสินค้าทางทะเลจากประเทศไทยไปยังเอเชียใต้โดยตรง รวมทั้งศูนย์ขนถ่ายและการกระจายสินค้าในพื้นที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายฝั่งทะเลตะวันตก ๒. แนวทางการแก้ไข กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการเพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว ได้แก่ ๒.๑ โครงการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่เพื่อประกอบการกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมในพื้นที่ชายแดนด่านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง และพื้นที่อื่น ๆ ที่เหมาะสมในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชายแดน (ด่านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง และพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี) ในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งสินค้าผ่านแดนและเชื่อมโยงกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายสำหรับนิคมอุตสาหกรรมทวายในสหภาพเมียนมาร์ ๒.๒ โครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการ กลยุทธ์และข้อเสนอแนะในเชิงลึกที่เหมาะสมต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงการผลิต การค้า การลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน และเสนอแนะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ ศึกษาและกำหนดรูปแบบทางเทคนิคและวิศวกรรม (Conceptual Design) ของเขตการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่โครงการที่บ่งบอกถึงการใช้ที่ดินและระบบกิจกรรมภายในพื้นที่ (Land Use) ๒.๓ โครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ฝั่งตะวันตกตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economics Corridor EWEC) เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยสอดคล้องและเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งจะเป็นการสร้างโอกาสสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนภายในประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 เรื่อง แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร | นร11 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดประชุมหารือการปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้หน่วยงานพิจารณาทบทวนแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ใน ๓ กรณี ได้แก่ การเพิ่มเติมโครงการที่สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และมติคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ การเพิ่มเติมโครงการอื่นสมควรดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เพื่อให้การแก้ไขปัญหามาบตาพุดมีความครบถ้วนสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการทบทวนโครงการเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ ภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร โดยหากยังไม่ได้รับงบประมาณและยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการ ให้ปรับปรุงรายละเอียดโครงการและแผนการใช้งบประมาณเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เพื่อให้เป็นปัจจุบัน ๒. การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๖๔/๒๕๕๖ แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานกรรมการ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอแนะแนวทางและมาตรการในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกต่อคณะรัฐมนตรี และกำกับดูแล ประสานงาน และเร่งรัดติดตามการดำเนินงานของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 12 | ศธ | 27/08/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ ๑๒ สรุปผลการดำเนินโครงการ ณ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ร้อยละของการดำเนินการก่อสร้างทั้งโครงการตามเป้าหมาย ได้แก่ อาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล อาคารศูนย์วิจัย อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย งานภายนอกอาคารและงานภูมิสถาปัตยกรรม และหมวดงาน Accessories และ Commissioning ดำเนินการได้ร้อยละ ๑๐๐ ๒. การส่งมอบงาน ตามเงื่อนไขรูปแบบรายละเอียดและสัญญา (As-Built Drawing, Building User Manual & Training) ตามงวดงานที่ ๕๓-๕๖ (งวดสุดท้าย) อยู่ระหว่างดำเนินการ ๓. จำนวนเงินงบประมาณที่เบิกจ่าย ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๖ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๙๖๙,๑๐๔,๙๒๘.๐๑ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงอุตสาหกรรม | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผล และเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จต่อไป ดังนี้ ๑.๑ เรื่อง แผนการยกเลิกการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายแร่ใยหินไครโซไทล์และผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ จำนวน ๕ ผลิตภัณฑ์ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ยกร่างแผนแล้วเสร็จ แต่ยังมีผู้รับผลกระทบคัดค้านและเสนอความเห็นเพิ่มเติมอยู่ จึงได้ปรับปรุงแผนดังกล่าวโดยคำนึงถึงผลกระทบและผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชมาประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๒ เรื่อง แผนจัดการมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ยกร่างแผนเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างจะนำเสนอแผนดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยโครงการและงบประมาณต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นเพิ่มเติมก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ เรื่อง โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินการเอง ๖ แห่ง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างจัดประกวดราคาการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำ รอบที่ ๒ ตามขอบเขตการดำเนินงาน (Term of Reference TOR) ที่ปรับปรุงใหม่ เนื่องจากกรมบัญชีกลางได้ปรับเปลี่ยนราคากลางตาม TOR ของเดิม และปรับปรุงระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างใหม่ ๑.๔ เรื่อง การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ชาวไร่อ้อย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) ครบถ้วนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพิจารณากำหนดมาตรฐานความช่วยเหลือสำหรับปีต่อไป ๒. ส่วนที่เหลืออีก ๑๙ เรื่อง ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานเจ้าภาพทราบและพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย พ.ศ. 2554 - 2558 | ทก | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้นำแผนพัฒนาสถิติรายสาขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการของกระทรวง กรม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานและบูรณาการการจัดทำข้อมูลสถิติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน มีมาตรฐานและรอบระยะเวลาการเก็บข้อมูลที่สอดคล้องกันและทันต่อสถานการณ์ สามารถนำไปใช้ในการบริหารและวางแผนเพื่อการพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบควรมีโครงสร้างความก้าวหน้าในสายวิชาชีพของบุคลากรด้านสถิติและข้อมูลสารสนเทศที่ชัดเจน ควรมีแนวทางหรือกลไกในการประสานข้อมูลในภาพรวม ตลอดจนการประสานความต้องการข้อมูลระหว่างสาขาหรือข้อมูลที่อาจจะต้องมีการพัฒนาขึ้นใหม่ ควรให้ความสำคัญกับมาตรฐานการจำแนกรายการทางสถิติ และมาตรฐานการสำรวจและจัดเก็บข้อมูล โดยส่งเสริมและสนับสนุนหน่วยงานที่มีการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ใช้การจำแนกมาตรฐานที่เป็นสากล และเหมาะสมกับประเภทของสถิตินั้น ๆ และมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือและกำหนดมาตรฐานในการสำรวจและการจัดเก็บข้อมูลให้แก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งวางแผนบริหารจัดการงานมาตรฐานสถิติของประเทศ และส่งเสริมการใช้มาตรฐานสถิติให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามแผนพัฒนาสถิติรายสาขา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการให้คงกรอบอัตรากำลังด้านสถิติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยหากกระทรวง กรมใดเห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้ตำแหน่งด้านสถิติทั้งที่มีอยู่แล้ว หรือจะกำหนดเพิ่มเติม ให้เสนอ อ.ก.พ. กระทรวงเพื่อพิจารณาตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖)] ต่อไป และเพื่อให้การดำเนินงานตามแผนพัฒนาสถิติรายสาขาบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมทั้งสอดรับกับการพัฒนาระบบสถิติตามแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๘ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางในการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มทักษะ (skill) ในการวิเคราะห์/ประมวลผลด้านสถิติและข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งความก้าวหน้าในสายงานวิชาชีพ (career path) ดังกล่าวต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายในการจัดทำข้อมูลสถิติตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาสถิติรายสาขา ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรมาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่น้ำจืด) | กษ | 19/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับการจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ การกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ และการกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้ได้ข้อยุติโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน 4 ภาค (ครั้งที่ 5) | กษ | 19/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค (ครั้งที่ ๕) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค (ครั้งที่ ๕) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ จนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๑ รับคำเสนอขายที่ดิน จำนวน ๒๒ จังหวัด เนื้อที่ ๓๔,๐๖๖-๓-๖๔ ไร่ ๑.๒ เกษตรกรมาตรวจสอบสิทธิ จำนวน ๑,๗๔๘ ราย (ปัจจุบันเสียชีวิต ๓๐ ราย คงเหลือ ๑,๗๐๑ ราย) มีคุณสมบัติครบ ๑,๔๙๑ ราย ๑.๓ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด (คปจ.) เห็นชอบแผนการจัดซื้อที่ดิน จำนวน ๑๘ จังหวัด เกษตรกร จำนวน ๑,๐๓๔ ราย เนื้อที่ ๑๕,๔๕๔-๑-๗๐ ไร่ จำแนกเป็น ๑.๓.๑ ที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน คปจ. เห็นชอบแผนการจัดซื้อ จำนวน ๙๓๕ ราย เนื้อที่ ๑๔,๐๑๙-๐-๒๘ ไร่ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ ส.ป.ก. แล้ว จำนวน ๘๓๒ ราย เนื้อที่ ๑๒,๕๗๖-๐-๕๒ ไร่ จัดทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินกับเกษตรกรแล้ว จำนวน ๕๗๙ ราย เนื้อที่ ๘,๐๑๖-๑-๙๘ ไร่ ๑.๓.๒ ที่ดินตั้งอยู่นอกเขตปฏิรูปที่ดิน คปจ. เห็นชอบแผนการจัดซื้อ จำนวน ๓ จังหวัด เกษตรกร ๙๙ ราย เนื้อที่ ๑,๔๓๕-๑-๔๒ ไร่ ส.ป.ก. จัดทำแผนพัฒนาพื้นที่การเกษตรในแปลงที่ดินที่ได้จัดซื้อแล้วโดยใช้งบประมาณของ ส.ป.ก. จำนวน ๖ จังหวัด ขุดบ่อบาดาล ๓ บ่อ ขุดสระเก็บน้ำขนาดต่าง ๆ จำนวน ๗๙ สระ งบประมาณ ๔,๔๓๓,๔๗๕ บาท ๒. ปัญหาอุปสรรค ๒.๑ เกษตรกรที่ได้รับความช่วยเหลือไม่มาแสดงตนเพื่อขอรับการจัดที่ดิน ส่วนเกษตรกรที่แสดงตนแล้ว แต่ยังไม่ดำเนินการคัดเลือกแปลงที่ดินที่พึงพอใจเพื่อให้ ส.ป.ก. ดำเนินการจัดซื้อ ๒.๒ เกษตรกรที่คัดเลือกแปลงที่ดินแล้ว และ คปจ. ได้เห็นชอบแผนการจัดซื้อที่ดินแล้วต่อมาได้เปลี่ยนใจและประสงค์จะไปจัดหาที่ดินแปลงใหม่ที่จังหวัดอื่น ๒.๓ การจัดซื้อที่ดินที่อยู่นอกเขตปฏิรูปที่ดินต้องดำเนินการหลายขั้นตอน ต้องใช้เวลานาน เจ้าของที่ดินหลายรายไม่สามารถรอได้ จึงขอยกเลิกการเสนอขาย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติขยายวงเงินค่าก่อสร้างและระยะเวลาก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก - อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี | กษ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติขยายวงเงินค่าก่อสร้างและระยะเวลาก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และอาคารประกอบ สัญญาที่ ๑ กรมชลประทานได้ดำเนินการแก้ไขสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงวงเงินค่าก่อสร้าง จากสัญญาเดิม ๑,๙๗๘,๒๙๕,๙๑๔.๕๐ บาท เป็นวงเงินตามสัญญาใหม่ ๒,๒๗๐,๑๒๖,๑๒๑.๕๐ บาท กำหนดสิ้นสุดสัญญาในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ รวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น ๑,๐๔๕ วัน ปัจจุบันมีผลงานก่อสร้างสะสมทั้งสัญญาร้อยละ ๖๐.๑๑๘ และมีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๙๑,๑๗๔,๔๑๒.๗๓ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๖.๐๒ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒. รายการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และอาคารประกอบ สัญญาที่ ๒ อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขสัญญา โดยหลังจากกรมชลประทานแก้ไขสัญญาก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยจะมีผลให้วงเงินค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นจาก ๒,๑๑๖,๘๙๗,๙๗๗.๑๔ บาท เป็น ๒,๓๔๗,๑๑๕,๗๗๖.๓๕ บาท และมีระยะเวลาก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก ๑๒๐ วัน ส่งผลให้สัญญาก่อสร้างสิ้นสุดประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ปัจจุบันมีผลงานก่อสร้างสะสมทั้งสัญญาร้อยละ ๘๕.๓๗๙ และมีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปแล้ว เป็นเงิน ๒๗,๒๒๗,๔๙๒.๔๗ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๕.๐๗ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓. กรมชลประทานได้จัดเตรียมข้อมูลประกอบการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อรองรับแผนการดำเนินงานก่อสร้างตามกำหนดระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และได้แจ้งให้ผู้รับจ้างเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ รวมทั้งได้ประสานกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ก่อสร้าง (กรมทางหลวง) และหน่วยงานเจ้าของระบบสาธารณูปโภคที่แนวท่อของกรมชลประทานวางผ่าน [กรมทางหลวง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค] เพื่อขอดำเนินการวางท่อเรียบร้อยแล้วทั้งหมด ๔. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน ผู้รับจ้างมีชุดทำงานในการดำเนินงานดันท่อลอดไม่เพียงพอ ส่งผลให้การดำเนินงานก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และอาคารประกอบ สัญญาที่ ๒ ไม่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งนี้ กรมชลประทานได้แจ้งให้ผู้รับจ้างเพิ่มการจัดหาเครื่องจักร เครื่องมือ และเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงานให้มากขึ้น เพื่อเร่งรัดงานก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และแล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการร่วมงานแสดงพืชสวนโลก Floriade 2012 ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ | กษ | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการร่วมงานแสดงพืชสวนโลก Floriade 2012 ณ เมืองเวนโล ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ ๕ เมษายน-๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ โดยมีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานโครงการและเข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการและจัดกิจกรรมในงานดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดตั้งศูนย์แสดงสินค้าและบริการข้อมูลพืชสวนไทยภายในอาคาร Villa Flora เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดแสดงสินค้าและบริการข้อมูลพืชสวนของไทย ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวประเทศไทย และจัดแสดงสินค้าและข้อมูลด้านการแพทย์แผนไทย โดยมีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนแสดงสินค้าและบริการข้อมูลพืชสวนไทย จำนวน ๑๔ ครั้ง ตลอดการจัดงาน ๒. จัดกิจกรรมสัปดาห์ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ประกอบด้วย การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย การนวดแผนไทย การจัดแสดงสินค้าพืชสวน กล้วยไม้และผลไม้ไทย เป็นต้น ๓. จัดสัมมนาเจรจาธุรกิจและศึกษาตลาดสินค้าพืชสวน ระหว่างวันที่ ๒-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ มีเกษตรกร ผู้ส่งออก และผู้นำเข้าร่วมเจรจาธุรกิจและศึกษาดูงาน จำนวน ๕ บริษัท รวม ๑๒ คน ๔. งานแสดงพืชสวนโลก Floriade 2012 มีพิธีปิดในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ นิทรรศการประเทศไทยได้รับประกาศนียบัตร Certificate of Winner พร้อมเงิน ๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปี 2555 | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปี ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ๑.๑ การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชหลังนา รวม ๓,๑๗๘.๖๗๔ ตัน ประกอบด้วย ถั่วเขียว ผลิตได้ ๒,๘๗๔.๑๓๗ ตัน จัดส่งแล้ว ๒,๗๑๙.๑๓๖ ตัน พืชไร่หลังนาชนิดอื่นๆ ๓ ชนิด รวม ๓๐.๙๘๕ ตัน พืชปุ๋ยสด จำนวน ๒๗๓.๕๕๒ ตัน ๑.๒ ผลการปลูกพืชหลังนา ดำเนินการปลูกถั่วเขียวหลังนา ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกำแพงเพชร ๑๘๔,๓๙๖ ไร่ และปลูกในช่วงเดือนกันยายน ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ พื้นที่ ๑๔๘,๖๔๗ ไร่ รวมจำนวน ๓๓๓,๐๔๓ ไร่ ตามเป้าหมาย สำหรับพืชไร่หลังนาชนิดอื่นๆ และพืชปุ๋ยสดอยู่ระหว่างดำเนินการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกร คาดว่าจะเริ่มปลูกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๑.๓ การติดตามประเมินผลโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปีเพาะปลูก ๒๕๕๔/๕๕ ๑.๓.๑ เกษตรกรที่ร้อยละ ๙๕ เลือกปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา ๑.๓.๒ เกษตรกรที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไปปลูกระบุว่าเพียงพอ และเมล็ดพันธุ์มีความงอกดี ๑.๓.๓ จากดำเนินงานโครงการฯ มีการใช้น้ำชลประทานลดลง ๙๗๙ ล้านลูกบาศก์เมตร จากเป้าหมาย ๑,๒๐๐-๒,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๓.๔ ผลผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก ๗๑๑ กิโลกรัมต่อไร่ เป็น ๗๕๖ กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้น ๔๕ กิโลกรัมต่อไร คิดเป็นร้อยละ ๖.๓๒ จากเป้าหมายทั้งโครงการฯ ๓ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗) คือ ร้อยละ ๒๐ ๑.๓.๕ พื้นที่ปลูกข้าวนาปรังในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ มีพื้นที่ระบาดเป็นบางจุดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลลดลงเหลือร้อยละ ๒๘ จากร้อยละ ๕๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓/๕๔ ๑.๓.๖ เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยลดลงจาก ๗,๓๐๙ บาทต่อตัน เหลือ ๖,๙๐๒ บาทต่อตัน ลดลง ๔๐๗ บาทต่อตัน คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๗ เนื่องจากปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีเฉลี่ยของเกษตรกรลดลง มูลค่าการใช้สารเคมีเฉลี่ยของเกษตรกรลดลง รวมทั้งปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเฉลี่ยของเกษตรกรลดลง ๑.๓.๗ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ร้อยละ ๙๖ มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการจัดระบบการปลูกข้าวในปีต่อไป เนื่องจากเกษตรกรเห็นว่าการจัดระบบปลูกข้าวสามารถแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรม ลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น และแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ ๒. ปัญหาอุปสรรค เนื่องจากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ข้าวนาปีของเกษตรกรเสียหายมีผลประทบต่อการจัดระบบการปลูกข้าว ปี ๒๕๕๕ ประกอบกับเกษตรกรมีการเปลี่ยนแผนการปลูกพืชหลังนา (ถั่วเขียว) รวมทั้งถั่วเขียวที่ปลูกช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๕๕ ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง ฝนตกน้ำท่วม จึงต้องไถกลบ เป็นต้น สำหรับแนวทางแก้ไข ได้มีการกำหนดช่วงเวลาการปลูกข้าวใหม่เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วม มีการเลือกชนิดพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ ตลอดจนทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด หรือเว้นปลูก และการบริหารจัดการน้ำใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่ส่งผลทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายเนื่องจากไม่สามารถเก็บเกี่ยวหนีน้ำได้ รวมทั้งคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการจัดระบบการปลูกข้าวระดับจังหวัดควรมีการจัดประชุมเพื่อทราบความก้าวหน้าโครงการและการเตรียมการในเรื่องของการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554 - 2559 ปีงบประมาณ 2555 | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย แผนงานเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดส่งออก แผนงานส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้คุณภาพ แผนงานพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม แผนงานพัฒนาองค์กร และแผนงานส่งเสริมการใช้และสนับสนุนการส่งออก ๑.๒ ผลกระทบจากการดำเนินการ ๑.๒.๑ ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกของไทยในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม ๒๕๕๕ ลดลงร้อยละ ๑๙.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๑๕,๓๕๐.๓๓ ตัน และ ๑๒,๓๘๑ ตัน ตามลำดับ) คิดเป็นมูลค่าลดลง ร้อยละ ๘.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๑,๔๕๑.๖ ล้านบาท และ ๑,๓๓๑.๐ ล้านบาท ตามลำดับ) ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ต้นของไทยลดลง ร้อยละ ๙.๑ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๒๑.๙ ล้านต้น และ ๑๙.๙ ล้านต้น ตามลำดับ) แต่เมื่อคิดเป็นมูลค่าแล้วส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๓.๔ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๓๗๑.๒ ล้านบาท และ ๓๘๓.๗ ล้านบาท ตามลำดับ) ๑.๒.๒ เกิดการดำเนินการแบบบูรณาการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน สมาคมต่าง ๆ และสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกล้วยไม้ เพื่อร่วมกันพัฒนาและแก้ไขปัญหาทำให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม สหกรณ์ และคลัสเตอร์กล้วยไม้ ทำให้เกิดความเข้มแข็งในองค์กรเกษตรกร ๑.๒.๔ มีแผนยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยกล้วยไม้ ๑.๒.๕ มีระบบเครือข่ายข้อมูลกล้วยไม้ (เว็บไซต์ Orchid Net) ๑ ระบบ ซึ่งจะพัฒนาไปสู่เว็บไซต์ระดับโลก (World Orchid Net) ในอนาคต ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรรายงานให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาที่พบและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย เช่น ควรระบุปัญหาอุปสรรคกรณีที่หน่วยงานไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ การส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศกับต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักทั้งในด้านการผลิต การบริหารจัดการ และการตลาด การส่งเสริมให้มีการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับภาคเอกชนท้องถิ่นในตลาดใหม่ที่นิยมกล้วยไม้ไทย และเพิ่มการประชาสัมพันธ์จุดเด่นของกล้วยไม้ไทย การส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้และการประกวดกล้วยไม้นานาชาติ การเร่งสร้างความตระหนักรู้แก่เกษตรกรเรื่องการประกอบการตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี และการทำเกษตรอย่างยั่งยืน การรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกรเห็นความสำคัญและสนใจในมาตรการควบคุมคุณภาพปัจจัยการผลิต และนำมาตรฐานสินค้าเกษตรมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อจูงใจให้เข้าสู่ระบบการจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agricultural Practice ; GAP) การจัดทำโรดแมป (roadmap) และเป้าหมายรายทางของผลลัพธ์ที่จะเกิดในแต่ละช่วงเวลา การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลสินค้ากล้วยไม้เชิงเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งและคู่ค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายตลาดใหม่ ๆ ให้มากขึ้นเพื่อทดแทนตลาดส่งออกเดิมที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ การส่งเสริมให้มีตลาดกลางในการประมูลกล้วยไม้เพื่อพัฒนากลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนใช้ดอกกล้วยไม้ของไทยอย่างแพร่หลายในการจัดงานและพิธีการต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ 8 | ศธ | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ ๘ (การดำเนินโครงการสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๑ การโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุน ในส่วนของทุนในประเทศ ได้ประสานสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสถาบันฝ่ายผลิตให้จัดส่งรายละเอียดพร้อมหลักฐานของนักเรียนทุนทุกระดับเพื่อโอนเงินในภาคการศึกษาที่ ๒/๒๕๕๓ และภาคการศึกษาที่ ๑/๒๕๕๔ สำหรับทุนต่างประเทศ ได้ประสานสำนักงาน ก.พ. และโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนผูกพันปีการศึกษา ๒๕๕๓ ปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๔ และทุนใหม่ปีการศึกษา ๒๕๕๔ โดยแบ่งเป็นนักเรียนทุนที่เดินทางไปศึกษาตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐๔ คน และที่เดินทางไปศึกษาตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) จำนวน ๕๖ คน ๑.๒ การนำงบประมาณที่เหลือจัดสรรทุนเป็นทุนปีการศึกษา ๒๕๕๔ จากการสอบแข่งขันเพื่อรับทุนโครงการฯ จำนวน ๓ ครั้ง มีผู้ผ่านการสอบแข่งขัน จำนวน ๑๗๘ คน และมีทุนเหลือจำนวนหนึ่งจากที่บางสาขาวิชาไม่มีผู้สอบผ่าน บางสาขาวิชาที่ขาดแคลนแต่ไม่มีผู้สมัคร คณะอนุกรรมการบริหารโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์จึงได้นำทุนที่เหลือดังกล่าวมายุบรวมเพื่อจัดสรรทุนใหม่ในปีการศึกษา ๒๕๕๔ โดยใช้แนวการพัฒนาบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาและแสวงหานักเรียนทุนจากผู้ที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยที่อยู่ในการจัดลำดับที่ดีและไม่มีภาระทุนผูกพัน และดำเนินการพิจารณาคัดเลือกเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ มีผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน ๗๗ ทุน ทั้งนี้ สกอ. ได้ประกาศผลการคัดเลือกผู้รับทุนและจัดปฐมนิเทศนักเรียนทุน เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๒. ผลการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๑ การโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุน ในส่วนของทุนในประเทศ ได้ประสานสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสถาบันฝ่ายผลิตให้จัดส่งรายละเอียดพร้อมหลักฐานของนักเรียนทุนทุกระดับ เพื่อโอนเงินในภาคการศึกษาที่ ๒/๒๕๕๔ และภาคการศึกษาที่ ๑/๒๕๕๕ สำหรับทุนต่างประเทศ ได้ประสานสำนักงาน ก.พ. และโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนผูกพันปีการศึกษา ๒๕๕๓ ปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๔ และปีการศึกษา ๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔) และทุนใหม่ปีการศึกษา ๒๕๕๕ ที่เดินทางไปศึกษาตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๖๙ คน ๒.๒ การนำงบประมาณที่เหลือจัดสรรทุนเป็นทุนปีการศึกษา ๒๕๕๕ จากการที่ สกอ. ได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่เป็นไปตามแผนงานโครงการฯ คณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ จึงมีมติเห็นควรนำงบประมาณที่คาดว่าจะเหลือจากการโอนเงินเบิกจ่ายให้แก่นักเรียนทุนผูกพันของโครงการฯ เรียบร้อยแล้ว มาจัดสรรเป็นทุนใหม่ปีการศึกษา ๒๕๕๕ และดำเนินการคัดเลือกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ๒๕๕๕ มีผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน ๑๐๐ ทุน จำแนกเป็นนักเรียนทุนลำดับสำรองปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๔ จำนวน ๑๙ ทุน ผู้ผ่านการพิจารณาในเบื้องต้นปีการศึกษา ๒๕๕๔ จำนวน ๘ ทุน และผู้ผ่านการคัดเลือกตามที่มหาวิทยาลัยและสถาบันขอรับการจัดสรรทุน จำนวน ๗๓ ทุน ทั้งนี้ สกอ. ได้ประกาศผลการคัดเลือกผู้รับทุนและจัดปฐมนิเทศนักเรียนทุน เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๓. ร้อยละของการดำเนินการตามเป้าหมาย ผลการดำเนินการคัดเลือกเพื่อรับทุนโครงการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นทุนระดับปริญญาตรี ปริญญาโท-เอก และปริญญาเอก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน ๑๗๗ ทุน (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗๗ ทุน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๐๐ ทุน รวมนักเรียนทุนสะสม จำนวน ๓๕๘ ทุน จาก ๑,๑๖๐ ทุน) คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๘๖ ๔. จำนวนเงินงบประมาณที่ใช้จ่าย ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๕๔,๔๓๓,๔๐๐ บาท แต่มีงบประมาณที่ได้อนุมัติขยายกันเงินเบิกเหลื่อมปี จำนวน ๖๐,๖๒๑,๗๕๑.๗๕ บาท (ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๓๑๑,๐๒๕.๖๐ บาท และปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๖๐,๓๑๐,๗๒๖.๑๕ บาท) รวมเป็นเงิน ๒๑๕,๐๕๕,๑๕๑.๗๕ บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒๘๗,๔๐๐,๐๐๐ บาท รวมกับงบประมาณที่โอนมาพร้อมจำนวนทุนปี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๔๓,๘๒๙,๖๘๒.๔๓ บาท รวมเป็นเงิน ๔๓๑,๒๒๙,๖๘๒.๔๓ บาท ๕. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ อาทิ ความหลากหลายของสาขาวิชาทำให้การพิจารณาจัดสรรทุนต้องใช้เวลาและจัดหาข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา การกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครสอบแข่งขันเพื่อรับทุนมีความแตกต่างกันตามสาขาวิชาที่หลากหลาย การกำหนดให้ผู้รับทุนในระดับปริญญาตรีต้องผูกพันชดใช้ทุนในสถาบันอุมดมศึกษาทำได้ยาก เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรี อัตรากำลังรองรับที่จะบรรจุเข้าทำงานจึงต้องเป็นระดับปริญญาเอก และอาจมีบางสาขาที่จำเป็นต้องรับในระดับปริญญาโท รวมทั้งระยะเวลาการศึกษาของผู้รับทุนในบางสาขาวิชาไม่สามารถสำเร็จการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในโครงการฯ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 11 | วท | 04/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ครั้งที่ ๑๑ (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. จำนวน ๓ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๕) รวม ๑๙ ห้องเรียน ใน ๗ โรงเรียน ประกอบด้วย ๑.๑ โรงเรียนนำร่อง ๔ แห่ง โรงเรียนละ ๓ ห้องเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๑.๒ โรงเรียนที่ขยายเพิ่ม ๓ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จำนวน ๓ ห้องเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน-มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน ๒ ห้องเรียน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์)-มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๒ ห้องเรียน ๒. การจัดกิจกรรมร่วมระหว่างมหาวิทยาลัย-โรงเรียนในโครงการ วมว. ๒.๑ กิจกรรม “2th SCiUs Forum” ระหว่างวันที่ ๑-๓ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ (รุ่นที่ ๓) นำเสนอผลงานทางวิชาการ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักเรียนโครงการ วมว. เกี่ยวกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒.๒ กิจกรรม “ค่ายวิทยาศาสตร์สานสัมพันธ์ฉันท์ วมว. ครั้งที่ ๔” ระหว่างวันที่ ๑-๔ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ (รุ่นที่ ๔) ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งทำกิจกรรมเสริมต่าง ๆ ร่วมกันกับเพื่อนนักเรียน วมว. ต่างโรงเรียน ๒.๓ การตรวจเยี่ยมมหาวิทยาลัย-โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ วมว. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑ แห่ง คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น-โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (ศึกษาศาสตร์) เพื่อติดตามการดำเนินงานห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. ๒.๔ การจัดนิทรรศการโครงการ วมว. เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการแก่นักเรียนกลุ่มเป้าหมายและผู้ปกครอง รวมทั้งประชาชนทั่วไปให้รับทราบถึงความเป็นมา วัตถุประสงค์ และเป้าหมายการดำเนินโครงการ ๒.๕ การศึกษาดูงานการจัดการศึกษาพิเศษสำหรับห้องเรียนวิทยาศาสตร์ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๙-๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ ณ สถาบันการศึกษาทั้งระดับมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และโรงเรียนที่เกี่ยวข้อง ประเทศสหรัฐอเมริกา ๓. การดำเนินการตามข้อ ๑-๒ ได้ใช้งบประมาณโครงการ วมว. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๑๑๕,๐๕๔,๙๓๒.๑๙ บาท และใช้เงินกันเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๘๘๑,๐๖๕.๙๒ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร การขอความเห็นหน่วยงานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี | นร | 04/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การนำเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร และการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยเหมาะสม จึงขอกำหนดแนวทางปฏิบัติในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร การขอความเห็นหน่วยงานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี และให้หน่วยงานของรัฐ รวมทั้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป ดังนี้
๑. การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร ให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร ให้รัฐมนตรีเจ้าของเรื่องแจ้งข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นการภายในล่วงหน้าโดยด่วนก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรีและให้เสนอเรื่องอย่างเป็นทางการโดยส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายในเวลา ๐๙.๐๐ น. ของวันจันทร์ (กรณีการประชุมคณะรัฐมนตรีตามปกติในวันอังคาร) หากล่วงเลยกำหนดวันเวลาดังกล่าว มิให้เสนอเรื่องเป็นวาระจร ทั้งนี้ ยกเว้นเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ผู้บริหาร ประธานกรรมการ กรรมการในหน่วยงานของรัฐ และเรื่องที่มีผลกระทบหรือมีความอ่อนไหว (sensitive) ที่ไม่อาจเปิดเผยล่วงหน้าได้ หรือเรื่องที่เป็นความลับของทางราชการ ๒. การขอความเห็นหน่วยงานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างเคร่งครัด ๒.๑ กรณีเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งขอความเห็นหรือข้อเสนอแนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานหลัก เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๗ วันทำการ (ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือแจ้ง) เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๒.๒ กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และยังไม่มีความเห็นหรือข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำคัญ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ประกอบการเสนอเรื่องมาด้วย ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กรณีมิได้เป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่อง) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๕ วันทำการ (ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะมีหนังสือแจ้งไป) เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๒.๓ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามกรณีในข้อ ๒.๑ หรือข้อ ๒.๒ แล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องยังมิได้เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเร่งรัดทวงถามความเห็นหรือข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดังกล่าว และหากครบกำหนด ๑๔ วันนับแต่วันที่ได้แจ้งให้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะครั้งแรก ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมเรื่อง และรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องที่ยังไม่ได้เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. การติดตามและรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๓.๑ กรณีเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดระยะเวลาให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจน ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีตามกำหนดเวลาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓.๒ กรณีเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี แต่มิได้กำหนดระยะเวลาไว้อย่างชัดเจน ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทุกสามเดือน เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓.๓ มติคณะรัฐมนตรีตามข้อ ๓.๑ และข้อ ๓.๒ กรณีมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ให้ระบุหน่วยงานเจ้าภาพหลักที่จะต้องรายงานผลการดำเนินการให้ชัดเจน และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมรายชื่อเรื่องที่ค้างการดำเนินการซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมิได้จัดทำรายงานให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดและนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบและพิจารณาสั่งการหรือนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามแต่กรณีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง (เพิ่มเติม) | อก | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง (เพิ่มเติม) สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันอุบัติภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการป้องกันและบรรเทาภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย พร้อมเสนอแนวทางให้ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติทราบในการประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ แนวทางดังกล่าวประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ ๑.๑ มาตรการที่ ๑ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากสารเคมีและวัตถุอันตราย ๑.๑.๑ การปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการด้านความปลอดภัย มอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลัก สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด กรมควบคุมโรค และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเป็นหน่วยงานสนับสนุน ๑.๑.๒ การจัดทำสรุปบทเรียน (Lesson Learned) ของการเกิดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายครั้งสำคัญที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการในอนาคต มอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลัก และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมควบคุมโรค กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นต้น เป็นหน่วยงานสนับสนุน ๑.๑.๓ การเสริมสร้างความรู้และความตระหนักแก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และเยาวชน ให้เป็นไปตามบทบาทหน้าที่และแผนงานของหน่วยงาน โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ๑.๒ มาตรการที่ ๒ การบูรณาการเตรียมพร้อมรับเหตุภาวะฉุกเฉินจากโรงงานอุตสาหกรรม และการเตรียมพร้อมแผนฉุกเฉินชุมชน ๑.๒.๑ การจัดทำ “แผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินของโรงงาน” และ แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับพื้นที่ (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) ซึ่งเชื่อมโยงและสนับสนุนแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด โดยโรงงานอุตสาหกรรมสามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของโรงงานที่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งแผนงาน/โครงการที่สอดคล้องมาบรรจุไว้ในแผนฯ ระดับพื้นที่ โดยการประสานอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินของโรงงาน และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับพื้นที่ให้มีความเชื่อมโยง เกื้อกูล และสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๑.๒.๒ การฝึกซ้อมแผนร่วมกันระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนบริเวณใกล้เคียงเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามขั้นตอนและเป็นแนวทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีโครงการที่จะพัฒนาระบบการเตือนภัยและการจัดการสารเคมีและวัตถุอันตรายที่มีอยู่ยกระดับขึ้นเป็นศูนย์เฝ้าระวังและป้องกันภัยระดับโรงงานอุตสาหกรรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด
|