ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 954 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ปี 2567 และกลไกการบริหารจัดการ | นร.12 | 25/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ๑.๑
รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ ของสำนักงาน
ก.พ.ร.
โดยจังหวัดเป้าหมายที่สามารถกำหนดให้มีการประเมินตัวชี้วัดค่าเฉลี่ยรายปีของปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน
๒.๕ ไมครอน (PM2.5) ตามตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน
(Joint KPIs) ประเด็นที่ ๕ การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5
ได้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวนทั้งสิ้น ๓๙ จังหวัด
และจังหวัดเป้าหมายที่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะนำมากำหนดเป็นค่าเป้าหมาย
เนื่องจากมีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในระหว่างปี
หรือยังไม่มีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ
ซึ่งจะนำมากำหนดให้มีการประเมินตัวชี้วัดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๑๕ จังหวัด ๑.๒
เห็นชอบข้อเสนอแนะโดยมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเพิ่มเติม
สำหรับจังหวัดที่ยังไม่มีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดค่าเป้าหมายสำหรับใช้ประเมินในปีถัดไป ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ.ร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งการและสนับสนุนงบประมาณ
เครื่องมือ และบุคลากรสำหรับการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่อย่างเต็มขีดความสามารถ
ควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มกลไกการบริหารจัดการเชิงรุก
รวมทั้งกำหนดหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุนอย่างชัดเจน เพื่อการบูรณาการทำงานร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศได้ในระยะยาว
และควรคำนึงถึงสถานที่ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน | ศธ. | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีผลการดำเนินการ เช่น ๑) การกำชับให้หน่วยงานในสังกัดเคร่งครัดในการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๒) การยกเลิกการเปิดโอกาสให้สถานศึกษาในสังกัดกำหนดหลักเกณฑ์การรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียน
๓) การประกาศรายชื่อนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ ๔)
การสุ่มตรวจการดำเนินการรับนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดทั่วประเทศ และ ๕) การจัดทำแนวทางการดำเนินงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาและให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนำไปปฏิบัติ
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน | ปช. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขตามนัยมาตรา
๓๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.
๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ 15 มิถุนายน 2564 กรณีกระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าตามมาตรา 56 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560) | พน. | 28/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ ๑๕ มิถุนายน
๒๕๖๔ กรณีกระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าตามมาตรา ๕๖ วรรคสอง
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐)
และเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติกระทรวงพลังงานและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ
พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (PDP 2015)
ซึ่งปรับแผนใหม่เป็นแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ (PDP
2018) และฉบับปรับปรุง ครั้งที่ ๑ ต่อไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติกระทรวงพลังงานและแผน
PDP 2015 ซึ่งปรับแผนใหม่เป็น PDP 2018
และฉบับปรับปรุง ครั้งที่ ๑ เพื่อให้การดำเนินการตามแผนดังกล่าวมีความต่อเนื่อง
และให้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน และแผน PDP ดังกล่าวต่อไปตามที่เห็นสมควร
และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานแจ้งข้อสั่งการของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวให้ผู้ร้องเรียนทราบเพื่อประโยชน์สำหรับการใช้สิทธิของผู้ร้องเรียนตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๔๕ (๓) ไปดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 เรื่อง การรับรายงานผลดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต | ปปท. | 22/02/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ เรื่อง
การรับรายงานผลดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
(ศปท.) โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐได้รับรายงานจาก
ศปท. ทั้ง ๓๙ หน่วยงาน
ซึ่งได้รายงานผลการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในสังกัดหรือกำกับ ประกอบด้วย
ส่วนราชการ ๓๖๔ หน่วยงาน รวมรัฐวิสาหกิจ ๕๓ หน่วยงาน และองค์การมหาชน ๒๖ หน่วยงาน รวมทั้งสิ้น
๔๔๓ หน่วยงาน ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ รวม ๒,๔๒๓ เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ ๑,๐๕๓ เรื่อง (ร้อยละ ๔๓.๔๖) และอยู่ระหว่างดำเนินการ ๑,๓๗๐ เรื่อง (ร้อยละ ๕๖.๕๔)
และยังได้รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑
(ที่กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในกรณีที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบให้แล้วเสร็จภายใน
๗ วัน และให้ดำเนินการทางวินัยหรือทางอาญาโดยเร็ว ให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน)
โดยมีรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นไม่แล้วเสร็จภายใน ๗ วัน ๑,๑๒๙ เรื่อง รายงานผลการดำเนินการทางวินัยหรือทางอาญาไม่แล้วเสร็จภายใน ๓๐
วัน ๑,๐๐๕ เรื่อง
และมีหน่วยงานที่ดำเนินการเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑ คือ
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 2/2563 และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ฉบับ | นร.11 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ
(กบส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) เป็นประธาน มีผลการประชุมที่สำคัญ เช่น รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุม
กบส. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เกี่ยวกับการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) ซึ่งเป็นไปตามข้อ ๕ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ
พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่กำหนดให้ กบส. กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์และแผนแม่บท
และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ
กบส. และรายงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอ กบส.
ตามขั้นตอนต่อไป ตามที่ กบส. เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการนำเข้า
การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบ
อำนาจและหน้าที่ของ กบส. ให้ครอบคลุมถึงการกำกับดูแลการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ณ จุดเดียว และเป็นการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีอำนาจในการออกระเบียบ ประกาศ
หรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาต/ใบรับรองในการนำเข้าส่งออกสินค้า รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อมูลรายการสินค้าที่เป็นเหตุให้ต้องมีการแก้ไขปรับปรุงระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการพัฒนานโยบายและกำกับดูแลระบบ National
Single Window (NSW) ตามที่ กบส. เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ร่างข้อ ๓ และร่างข้อ ๕ ของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารฯ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะบทนิยาม “สำนักงาน”
และเพิ่มอำนาจหน้าที่ของ กบส. รูปแบบของการแก้ไขเพิ่มเติม
จึงอาจใช้วิธีการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะบทนิยามคำดังกล่าว และเพิ่มอำนาจหน้าที่ของ
กบส. โดยไม่จำเป็นต้องยกเลิกทั้งข้อ
และการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการพัฒนานโยบายและกำกับดูแลระบบ
National Single Window (NSW) ของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลฯ อาจเป็นการเพิ่มขั้นตอน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้ กบส.
รายงานผลการดำเนินการตามมติ กบส. ในเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรีภายในหนึ่งเดือน
และรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ
เพื่อให้การพัฒนาระบบการนำเข้า การส่งออก การนำผ่านและโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีประสิทธิภาพ
เป็นไปตามมาตรฐาน มีความเป็นเอกภาพและสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ
และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 (โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2) | กค. | 22/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบความเห็นและการดำเนินงานในโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๓๐/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓
ที่เสนอให้ใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ ๒.๑
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ที่เห็นควรเร่งดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของภาครัฐ
เพื่อรองรับการดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือแบบมุ่งเป้าหมายหรือระบบสวัสดิการแห่งรัฐ
ซึ่งจะทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 เกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business Continuity Plan : BCP) ของหน่วยงานของรัฐ และแนวทางการยกระดับประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ | นร.12 | 08/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ เกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business
Continuity Plan : BCP) ของหน่วยงานของรัฐ และเห็นชอบแนวทางการยกระดับประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ
โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้รับบริการภาครัฐอย่างต่อเนื่องแม้ในสภาวะวิกฤต
สามารถใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จผ่าน e-Service ภาครัฐ
โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปติดต่อ ณ สถานที่ราชการด้วยตนเอง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.
เสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณามาตรการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนากำลังคนในภาครัฐด้วยการอบรมระยะสั้นทั้งภาคทฤษฎี
ภาคปฏิบัติ และการให้บริการ e-Service แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ควรพิจารณารูปแบบการจัดทำแผน BCP ที่เปิดกว้างให้แต่ละหน่วยงานของรัฐสามารถจัดทำได้ในรูปแบบที่แตกต่างกันด้วยการนำแผนตัวอย่างของสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปประยุกต์ให้เหมาะสมตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ควรพิจารณาบูรณาการงานด้าน e-Service
ภาครัฐอย่างเป็นระบบ ควรมีแนวทางการดำเนินงานตามแผน BCP ที่เป็นแนวทางร่วม
และมีมาตรฐานที่ทุกส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติร่วมกันได้กรณีเกิดสภาวะวิกฤตในภาพรวมของประเทศ
และให้ส่วนราชการเร่งพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะด้านดิจิทัลให้แก่บุคลากรทุกระดับในหน่วยงานภาครัฐ
ควรจัดให้มีการฝึกซ้อมแผน BCP ทุกระดับ
โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และแผนประคองกิจการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ COVID-19 รวมทั้งควรให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน
โดยคำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณที่มีเพียงพอและสามารถนำมาใช้ได้
รวมถึงพิจารณาการปรับแผนการปฏิบัติงาน
แผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานเพื่อจัดหาทรัพยากรในสภาวะวิกฤติ
และจัดทำแผนดำเนินงานที่แสดงความเชื่อมโยงการบริหารจัดการเชิงบูรณาการในทุกมิติของทุกภาคส่วน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 | นร14 | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานการประชุม ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) แผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (๒) แผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ (๓) กรอบแนวทางเพื่อการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สอยทรัพยากรน้ำสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ (๔) ร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด ๒. เรื่องเสนอเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. (๒) ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรีสัญจร และงานนโยบายที่นายกรัฐมนตรีตรวจพื้นที่ (๓) ผลการดำเนินการของคณะกรรมการลุ่มน้ำ และ (๔) รายงานผลการดำเนินการตามมติ กนช. เมื่อคราวประชุม กนช. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทางและการควบคุุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ | ยธ | 10/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวส่วนใหญ่สามารถดำเนินการจนบรรลุผล เช่น ทบทวนและปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อตั้งสถานบริการ (Zoning) ครบถ้วนแล้ว ๗๗ จังหวัด และจัดทำโครงการจัดทำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่โซนนิ่งบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา และการกระทำผิดกฎหมายตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ เป็นต้น สำหรับปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ได้แก่ ปัญหาอุปสรรคในการส่งต่อข้อมูลจากตำรวจมายังกรมกิจการเด็กและเยาวชน (บ้านพักเด็กและครอบครัว) ในกรณีที่มีการจับกุมเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือมีพฤติการณ์ที่น่าจะนำไปสู่การแข่งรถในทาง และกรณีเด็กประพฤติตนไม่สมควรเข้าไปใช้บริการในสถานบริการหรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายกับสถานบริการ ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ได้แก่ (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจหน้าที่หรือที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ เข้ามาช่วยในการติดตามเยี่ยมบ้านเด็กและเยาวชน และ (๒) ให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) จัดทำฐานข้อมูลกลางของเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่มีพฤติกรรมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือมีพฤติการณ์ที่น่าจะนำไปสู่การแข่งรถในทาง หรือประพฤติตนไม่สมควร หรือเป็นแกนนำในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางการดำเนินการเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละประเภทพื้นที่เชิงบวกควบคู่กับการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควรกำหนดแนวทางและระยะเวลาในการส่งต่อข้อมูลให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่สุ่มเสี่ยง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่เพื่อส่งเสริมและสร้างภาพลักษณ์ของสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น การปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนมีจิตใจโอบอ้อมอารี ให้ความช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน การจัดตั้งด่านตรวจของเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในสายทาง/บริเวณที่เป็นจุดล่อแหลมหรือจุดเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุและอาชญากรรมขึ้น การตรวจค้นบุคคลหรือยานพาหนะที่มีความเสี่ยงในการกระทำผิดกฎหมายอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำผิดและสร้างความเชื่อมั่นในด้านการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | การปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง | นร10 | 01/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โดยที่กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการแต่ละประเภทยังคงมีบทบัญญัติที่กำหนดให้ข้าราชการอาจได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจได้ โดยกรณีศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และองค์กรอัยการ เมื่อองค์กรดังกล่าวพิจารณากำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวแล้ว จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งในขั้นตอนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี จะมีการสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาเหตุผลความจำเป็นและความเป็นธรรมในภาพรวม จึงเห็นควรให้คงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวในส่วนของศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และองค์กรอัยการไว้ก่อน ๒. เห็นควรแยกการกำหนดค่าตอบแทนของประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกจากร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มากำหนดเป็นกฎหมายเฉพาะ สำหรับกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมให้มีบทบัญญัติเพื่อให้มีอำนาจพิจารณากำหนดเงินเพิ่มในลักษณะเดียวกันกับศาลยุติธรรมและศาลปกครอง เห็นควรให้พิจารณาทบทวนบทบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในโอกาสต่อไป ๓. เห็นควรนำการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มากำหนดเพิ่มเติมไว้ในร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๔. เห็นควรรวมร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นฉบับเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า | พณ | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๗ มกราคม ๒๕๖๐) เรื่อง การรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกรัฐมนตรี และสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้องได้หารือแนวทางการจัดทำระเบียบการใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่าและตราสัญลักษณ์กลางสำหรับประทับรับรอง ซึ่งระเบียบดังกล่าวระบุให้สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ เป็นหน่วยงานกลาง โดยผู้ผลิตจะต้องขอจดทะเบียนตราผู้ผลิตและผู้จำหน่ายตามที่สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ กำหนด และการประทับตราชุดตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานจะประกอบด้วยตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน ๓ ตราประทับ คือ ตราสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ ตรารับรองชนิดและความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่า และตราผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย โดยจะประทับตราลงบนตำแหน่งบริเวณเนื้อโลหะของเครื่องประดับโลหะมีค่าชนิดนั้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | การทบทวนมาตรการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ | พณ | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการทบทวนมาตรการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรมปศุสัตว์ได้รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การบริหารจัดการการนำเข้าวัตถุดิบอื่นทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) โดยตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม-๒๗ เมษายน ๒๕๖๐ มีการอนุญาตนำเข้าข้าวสาลี รวม ๕๕ ราย จำนวน ๔๗๖,๔๕๔.๒๒๙ ตัน และปริมาณการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน ๑,๔๓๙,๗๐๕.๔๑๙ ตัน ๑.๒ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๐ มีมติให้ปรับอัตราการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ จากเดิมกำหนดอัตราส่วน ๑ : ๓ เป็นอัตราส่วน ๑ : ๒ เฉพาะผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่นำเข้าทั้งข้าวสาลีคุณภาพสูง และไม่มีบริษัทในเครือรองรับการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์อื่น ๆ และมอบหมายให้กรมปศุสัตว์ดำเนินการติดตามตรวจสอบปริมาณการใช้และปริมาณการนำเข้าข้าวสาลีของผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง และในการประชุม นบขพ. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ มีมติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลีแก่กลุ่มผู้ผลิตกุ้ง จำนวน ๖ ราย ตามปริมาณที่สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยเสนอ ปริมาณรวมไม่เกิน ๑๕๐,๔๒๓ ตัน/ปี ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับการดำเนินการตามมาตรการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาทบทวนความเป็นไปได้ในการกำหนดอัตราอากรข้าวสาลีที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรให้มีความเหมาะสมและเป็นปัจจุบัน ภายใต้พันธกรณีกับองค์การการค้าโลก (WTO) และ/หรือพันธกรณีระหว่างประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุ้มครองดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและพืชอื่นที่เกี่ยวข้องในประเทศ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 และวันที่ 14 มีนาคม 2560 | รง | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ เรื่อง การขยายระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการทำงานของแรงงานในกิจการประมงทะเลและกิจการแปรรูปสัตว์น้ำจนถึงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ มีจำนวนแรงงานในกิจการประมงทะเลและกิจการแปรรูปสัตว์น้ำที่ได้จดทะเบียนและได้รับอนุญาตทำงานแล้วทั้งหมด ๓๓,๘๖๗ คน และ ๕๙,๒๒๒ ตามลำดับ และโดยที่แรงงานที่ได้รับใบอนุญาตทำงานทั้งหมดจะต้องเข้ารับการตรวจสัญชาติภายในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งแรงงานที่ผ่านการตรวจสัญชาติจะได้รับอนุญาตทำงานต่อไปอีก ๒ ปี ถึงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เมื่อครบกำหนดการอนุญาตแล้ว แรงงานต้องกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหากประสงค์จะเข้ามาทำงานให้กลับเข้ามาทำงานตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MOU) ๒. ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ เรื่อง การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๕-๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ มีจำนวนแรงงานเดินทางออก(กลับภูมิลำเนา) จำนวน ๑๔๐,๖๕๕ คน และมีจำนวนแรงงานเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย จำนวน ๑๔๑,๕๒๐ คน ซึ่งผลสำรวจความพึงพอใจการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๐ ผลปรากฏว่าแรงงานต่างด้าวพอใจกับนโยบายและการอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับประเทศต้นทาง และกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 และขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง กรณีการเพิ่มทุนของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) | กค | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย)] ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังได้ดำเนินการจนได้ข้อยุติเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ไม่มีรัฐวิสาหกิจใดสนใจเข้าร่วมโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. รับทราบกรณีการเพิ่มทุนของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาลไทย (กระทรวงการคลัง) ตามข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement) จำนวน ๘๐,๓๙๗,๔๔๘.๙๘ บาท โดยงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของแผนการลงทุนของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) ก่อนการเพิ่มทุน ตามแผนการลงทุนของบริษัทดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ | ยธ | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานกรรมการอำนวยการศูนย์ประสานกำกับติดตามผลการดำเนินงานตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ๑.๒ อนุมัติให้ไม่ต้องกำหนดรูปแผนที่สำหรับสถานศึกษาในระดับอนุบาล เนื่องจากเด็กในวัยนี้มีอายุน้อยและไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการรวบรวมรายชื่อโรงเรียนกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับการจำแนกแล้วพบว่ามีความสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นแกนนำต่อการทะเลาะวิวาทในทุกภาคการศึกษาของแต่ละปี ส่งให้คณะกรรมการอำนวยการศูนย์ฯ ภายในระยะเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ โดยให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และกรมกิจการเด็กและเยาวชน ร่วมกันดำเนินการสนับสนุนและจัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพเชิงบวกด้านจิต-สังคมบำบัด สำหรับนักเรียนนักศึกษาในกลุ่มนี้ โดยให้ประมวลผลและรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการอำนวยศูนย์ฯ ทราบ ทุกรอบ ๖ เดือน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สถาบันการศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ และวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ในการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรง ให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน โดยให้กำหนดมาตรการและแนวทางในการลงโทษผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวให้เกิดความเหมาะสมและคำนึงถึงการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวดและจริงจัง รวมทั้งการสร้างจิตสำนึกให้นักเรียนนักศึกษารู้จักหน้าที่ของตนเองในการศึกษาหาความรู้และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น | มท | 29/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางดำเนินงานตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฯ โดยได้จัดทำหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการลงทุนด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๑ กรณีที่ อปท. แห่งใดมีเงินสะสมเหลืออยู่เพียงพอ ให้ อปท. พิจารณานำเงินสะสมที่มีอยู่ไปใช้ดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรัง เช่น สิ่งสาธารณประโยชน์ขาดแคลน ชำรุด เป็นต้น ๑.๒ กรณีที่ อปท. แห่งใดมีเงินสะสมไม่เพียงพอ อปท. อาจขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จากรัฐบาลตามมาตรการ Matching Fund ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ (กรอบวงเงินดำเนินการไม่เกิน ๑๙,๗๙๕ ล้านบาท) โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ เช่น (๑) โครงการต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการในข้อบัญญัติงบประมาณปี ๒๕๖๐ ของ อปท. และ (๒) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจ่ายสมทบและเงินสมทบของ อปท. ในสัดส่วน ๑ : ๑ เป็นต้น ๒. โครงการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ๒.๑ เป็นโครงการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น หรือโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส เด็กกำพร้า หรือผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เป็นต้น ๒.๒ โครงการที่จัดทำจะต้องไม่มีลักษณะเป็นการท่องเที่ยว ศึกษาดูงาน หรือการแจกวัสดุสิ่งของ ๒.๓ โครงการดังกล่าวใช้เงินสะสมของ อปท.
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 กรณีการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร10 | 25/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ กรณีการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของ ๗ หน่วยงาน เพื่อปฏิบัติภารกิจรวม ๑๓,๒๘๐ อัตรา แบ่งเป็น (๑) สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ๓๐๗ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๒๔๘ อัตรา (๒) กรมการปกครอง ๘๔๑ อัตรา อยู่ระหว่างดำเนินการสอบแข่งขัน (๓) กรมราชทัณฑ์ ๑,๗๙๔ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๒๐๐ อัตรา (๔) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ๓๒๕ อัตรา อยู่ระหว่างดำเนินการสอบแข่งขันและรับโอน (๕) กระทรวงการต่างประเทศ ๗ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๕ อัตรา (๖) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ๑๔๓ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๙ อัตรา และ (๗) กระทรวงสาธารณสุข ๙,๘๖๓ อัตรา บรรจุแต่งตั้งแล้ว ๘,๓๑๘ อัตรา รวมบรรจุแต่งตั้งแล้วทั้งสิ้น ๘,๗๘๐ อัตรา ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ ๒. ให้ คปร. และทุกส่วนราชการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ที่ให้ทุกส่วนราชการที่เสนอขอเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการต่อ คปร. พิจารณาทบทวนการเสนอขอเพิ่มอัตรากำลังโดยคำนึงถึงภาระงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและปริมาณภารกิจเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดจ้างผู้ที่มีคุณวุฒิพิเศษมาดำเนินภารกิจเฉพาะ รวมทั้งการจ้างพนักงานราชการเพื่อทดแทนการบรรจุข้าราชการด้วยโดยเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2559 (เรื่อง แนวทางเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ) | พณ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๙ (เรื่อง แนวทางเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขปัญหาเลขทะเบียนที่ซ้ำซ้อนกัน ได้แก่ (๑) กำหนดเลขทะเบียนใหม่ให้กับนิติบุคคล จำนวน ๑๓๘ ราย และมีหนังสือแจ้งไปยังนิติบุคคลทั้ง ๑๓๘ รายให้ทราบแล้ว (๒) ปรับปรุงข้อมูลเลขทะเบียนนิติบุคคลที่กำหนดให้ใหม่ในระบบบริการจดทะเบียนทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ถูกต้อง และ (๓) ออกประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง แก้ไขเลขทะเบียนนิติบุคคล ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ พร้อมเผยแพร่ประกาศดังกล่าวในเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ๒. ป้องกันการออกเลขซ้ำซ้อนกันในอนาคต กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้กำหนดเลขประจำตัวของนิติบุคคลประเภทต่าง ๆ จำนวน ๕,๑๗๑,๘๙๘ เลข และส่งให้กรมการปกครองทราบเพื่อป้องกันปัญหาของการออกเลขประจำตัวซ้ำกันในอนาคต โดยกรมการปกครองแจ้งว่า เลขทะเบียนนิติบุคคล จำนวน ๕,๑๗๑,๘๙๘ เลข ไม่มีเลขซ้ำกับเลขประจำตัวบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและได้กันเลขดังกล่าวไว้เพื่อไม่ให้มีการออกเป็นเลขประจำตัวประชาชนอีกในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่น้ำจืด) ( | กษ | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) อาทิ การจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ การกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ การกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มผู้แทนของส่วนราชการร่วมเป็นคณะผู้วิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในการจัดทำกรอบนโยบายของคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ทั้งนี้ ในระหว่างการจัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ และออกกฎกระทรวงกำหนดให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้ความเค็มในพื้นที่น้ำจืดเป็นกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ต้องมีการควบคุม ควรมีการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด โดยใช้คำสั่งจังหวัดระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดไปพลางก่อน รวมทั้งพิจารณาดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็น นอกจากนี้ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของรูปแบบการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรตามมาตรการรองรับและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตามแนวทางที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำไว้เพื่อลดภาระงบประมาณภาครัฐ ตลอดจนนำผลการติดตามประเมินผลการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดมาประกอบการจัดทำแผนแม่บทฯ และร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการกำหนดมาตรการฟื้นฟูระบบนิเวศที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดด้วย ภายหลังจากมีข้อมูลทางวิชาการด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม จากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดที่ชัดเจนแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการจัดทำแผนแม่บทในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๖ เดือน ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ๕. ให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดเขตพื้นที่น้ำจืดใหม่ และกำหนดเขตพื้นที่ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม ตามมาตรา ๗๗ ของพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน โดยให้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการหารือเกี่ยวกับความชัดเจนของกฎกระทรวงกำหนดกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควบคุม พ.ศ. ๒๕๕๙ ว่าสอดคล้องกับมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ หรือไม่ และรายงานแนวทางการยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๖/๒๕๕๓ เรื่อง มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓ เดือน
|