ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ร่างพระราชบัญญัติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ. .... | สธ. | 08/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
(อสม.) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ อสม. เป็นกำลังสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพของประชาชนในชุมชนตามหลักการสาธารณสุขมูลฐาน
และยกระดับทักษะและขีดความสามารถของ อสม. ให้ดำเนินการตามหลักการดังกล่าวได้สัมฤทธิ์ผล
ตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายการประสานงานบริหารกิจการ อสม.
และดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพภายในชุมชนให้เป็นไปอย่างมีระบบ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน
ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และกรุงเทพมหานครไปประกอบการพิจารณาด้วย เช่น กระทรวงยุติธรรม เห็นว่าการกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน
จำนวน ๔ คณะ (คณะกรรมการระดับประเทศ ระดับเขตสุขภาพ ระดับจังหวัด และกรุงเทพมหานคร)
และคณะกรรมการอาสาสมัครสาธารณสุขอื่น
อาจต้องพิจารณาเหตุผลและความจำเป็นตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (๕ ตุลาคม ๒๕๖๔) เรื่อง
แนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลประกอบด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขควรใช้มาตรการทางการบริหารเป็นลำดับแรก
เช่น การปรับปรุงระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ครอบคลุมประเด็นการบูรณาการและขับเคลื่อนการทำงานระหว่างหน่วยงาน
คณะกรรมการภายในกระทรวงสาธารณสุข ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | ร่างกฎกระทรวง ที่อาศัยอำนาจตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ. 2550 รวม 9 ฉบับ | ดศ. | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง
ที่อาศัยอำนาจตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ. ๒๕๕๐ รวม ๙ ฉบับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
ร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. ....
เป็นการสำรวจตัวอย่างเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น รายได้ ค่าใช้จ่าย ภาวะหนี้สิน
ทรัพย์สิน ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างภาวะการทำงานของประชากร
พ.ศ. ....
เป็นการสำรวจตัวอย่างเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนและคุณลักษณะของกำลังแรงงานในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ๑.๓
ร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างการย้ายถิ่นของประชากร พ.ศ. .... เป็นการสำรวจตัวอย่างเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการย้ายถิ่นของประชากร ๑.๔
ร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างอนามัยและสวัสดิการ พ.ศ. .... เป็นการสำรวจตัวอย่างเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล
เช่น การได้รับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล การรับบริการทันตกรรม ๑.๕
ร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. ....
เป็นการสำรวจตัวอย่างเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสถานการณ์ผู้สูงอายุ ภาวะสุขภาพ
และข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับผู้สูงอายุ ๑.๖
ร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. ....
เป็นการสำรวจตัวอย่างเกี่ยวกับคุณลักษณะของครัวเรือน พัฒนาการของทารก สุขภาพของแม่
พัฒนาการของเด็ก ๑.๗
ร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร พ.ศ. ....
เป็นการสำรวจตัวอย่างเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น พฤติกรรมการสูบบุหรี่
การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ๑.๘
ร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .... เป็นการสำรวจตัวอย่างเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนและลักษณะต่าง
ๆ ของประชากรที่มีงานทำแต่ไม่ได้รับความคุ้มครอง ๑.๙.
ร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างความพิการ พ.ศ. .... เป็นการสำรวจตัวอย่างเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความพิการข้อมูลพื้นฐานทางประชากรและสวัสดิการจากภาครัฐ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงแรงงาน และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นว่าร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างประชากรสูงอายุในประเทศไทย
พ.ศ. .... ควรทบทวนบทนิยาม คำว่า “ผู้สูงอายุ” ให้สอดคคล้องกับมาตรา ๓
แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และร่างกฎกระทรวงการสำรวจตัวอย่างความพิการ
พ.ศ. .... ควรเพิ่มบทนิยาม คำว่า “คนพิการ” ให้สอดคล้องกับมาตรา ๔
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐
และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
และหน่วยงานสามารถนำข้อมูลจากการสำรวจไปดำเนินการวางแผนพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
รวมถึงการบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูลในระบบสารสนเทศของประเทศ
เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการต่อไป กระทรวงแรงงาน เห็นว่าการเปลี่ยนถ้อยคำ จาก “แรงงานนอกระบบ”"
เป็น “แรงงานอิสระ” เป็นการสอดคล้องกับลักษณะหรือสภาพการทำงานที่แท้จริงของแรงงานประเภทนี้
๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ที่เห็นควรมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บข้อมูล
เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ ควรคำนึงถึงความแตกต่างของชุมชน วิถีชีวิต วัฒนธรรม
และภูมิปัญญาของบริบทในแต่ละพื้นที่
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด ควรเพิ่มบทนิยาม คำว่า “ครัวเรือนสถาบัน”
“เด็ก” “การสูบบุหรี่” “แรงงานนอกระบบ” และควรเพิ่มเติมอายุขั้นต่ำของ “สมาชิกในครัวเรือน”
ที่มีอายุมากพอและเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับครัวเรือน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | ข้อเสนอเชิงนโยบาย "3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม" เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤตเป็นวาระแห่งชาติ | ศธ. | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอเชิงนโยบาย “๓ เร่ง
๓ ลด ๓ เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต และเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบาย
“๓ เร่ง ๓ ลด ๓ เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต
เป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือเอกชนที่มีสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยภายใต้การกำกับดูแลและรับผิดชอบ
หรือที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กปฐมวัย ร่วมกันขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบาย
“๓ เร่ง ๓ ลด ๓ เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต
ด้วยโครงการ/กิจกรรมของหน่วยงานอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายการพัฒนา เด็กปฐมวัย
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต
ซึ่งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดการ ส่งเสริม
และสนับสนุนการจัดการศึกษา รวมทั้งการจัดการหรือสนับสนุนการดูแลและพัฒนาเด็กเล็ก
ตามมาตรา ๔๕ (๗ ตรี) แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐
แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๐ (๖) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.
๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ และมาตรา ๖๗ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง
(ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรเพิ่มข้อมูลการดูแลสุขภาพเด็กโดยใช้มาตรการ
ด้านสุขภาพ 4D ประกอบด้วย ๑) Diet : ได้แก่ การส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีการเจริญเติบโตอย่างสมวัย
การรับประทานอาหารที่เหมาะสมตามวัย ๒) Development & Play : ได้แก่ การส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยทั้ง ๕ ด้าน
โดยบูรณาการผ่านการเล่น ๓) Dental : ได้แก่ มีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันเด็กปฐมวัยอย่างถูกต้อง
และ ๔) Disease : ได้แก่ ส่งเสริมให้เด็กมีสุขภาพที่ดีไม่เจ็บป่วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2567 | กค. | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๓ ปี
๒๕๖๗ ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังเห็นว่า การกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงินและการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน
กนง. ควรคำนึงถึงนโยบายแห่งรัฐ สภาวะทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
เพื่อให้แนวนโยบายการเงินและแนวนโยบายแห่งรัฐสามารถทำงานสอดประสานกันกับสภาวะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑) เศรษฐกิจโลก
ประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวที่ร้อยละ ๒.๘ และ ๒.๖ ในปี ๒๕๖๗ และปี ๒๕๖๘ ตามลำดับ
โดยมีแรงขับทางเศรษฐกิจหลักมาจากภาคบริการเป็นสำคัญ ๒) เศรษฐกิจไทย
มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ ๒.๗ และ ๒.๙ ในปี ๒๕๖๗ และปี ๒๕๖๘
ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น
การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวต่อเนื่อง การใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งขึ้นในช่วงครึ่งหลัง
ปี ๒๕๖๗ และการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวตามอุปสงค์สินค้าโลก และ ๓) ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้น
โดยสินเชื่อโดยรวมชะลอลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่
๓๔.๗๘ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 31 และถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจำปี 2567 | กค. | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๓๑ และถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจำปี ๒๕๖๗
เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู โดยผลการประชุมฯ
และถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินโลก ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะสามารถขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ
๓.๑ ใน ๕ ปีข้างหน้า โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ควรระมัดระวัง เช่น
การชะลอตัวของเศรษฐกิจหลัก ต้นทุนการขนส่ง และสถานการณ์หนี้สาธารณะ โดยผู้แทน IMF ได้เสนอแนะเชิงนโยบายแก่สมาชิกเขตเศรษฐกิจว่า
ควรรักษาพื้นที่เชิงนโยบายและเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
และใช้โอกาสนี้ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งนี้ ถ้อยแถลงร่วมฯ
มีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕
ตุลาคม ๒๕๖๗ โดยเป็นการเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ
ตลอดจนเน้นย้ำถึงแผนความเชื่อมโยงของเอเปค
ซึ่งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาความรู้ทางการเงิน
และให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการทางการคลังและการเงินที่ผสมผสานเพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ
ซึ่งสาระสำคัญของถ้อยแถลงร่วมฯ
จะเป็นประโยชน์ต่อไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มบทบาทของไทยในเวทีโลก
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ปี 2567 | นร. | 18/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
(GDP) ไตรมาสที่สี่ของปี
๒๕๖๗ ทั้งปี ๒๕๖๗ และแนวโน้มปี ๒๕๖๘ ไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ นั้น จะเห็นว่า
GDP ในไตรมาสที่สี่ของปี
๒๕๖๗ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ ๓.๒
เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าซึ่งขยายตัวร้อยละ ๓
สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ดำเนินการตลอดมาเกิดผลดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีหลายประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น
แต่จำนวนการใช้กำลังการผลิตในประเทศ (Capital Utilization) กลับลดลง
จึงขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเร่งดำเนินมาตรการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยด่วนที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | ผลการดำเนินการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรมแดน | นร. | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ (เรื่อง
การดำเนินการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรมแดน)
มอบหมายให้เร่งดำเนินการจัดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เพื่อพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องการใช้บริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า
น้ำประปา ระบบการสื่อสารโทรคมนาคมที่มีต้นกำเนิดจากฝั่งไทยของผู้ก่อปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่าง
ๆ เช่น การพนันออนไลน์ การหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ ให้ชัดเจนและรอบด้าน
แล้วพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อดำเนินการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรมแดนทุกประเภท
ในทุกพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยด่วน นั้น ในระยะเวลา ๕ วัน
หลังจากบังคับใช้มาตรการดังกล่าว มีผลการดำเนินการสรุปได้ ดังนี้ ๑.
การสนับสนุนการดำเนินมาตรการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ๑.๑ กระแสตอบรับจากสื่อสังคมออนไลน์
เช่น Facebook X TikTok พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว
และมีความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนจำนวนมาก ๑.๒ นายสี
จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ได้ให้การสนับสนุนของรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ
โดยระบุว่าจีนมีนโยบายปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานในเมียนมา และพร้อมให้ความร่วมมือในการดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่ ๒.
ความสามารถในการดำเนินกิจการของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ลดลง ๒.๑
นอกจากทางการไทยได้ระงับการให้บริการไฟฟ้าแล้ว ทางการลาวได้จำกัดการส่งกระแสไฟฟ้าให้จังหวัดท่าขี้เหล็ก
ประเทศเมียนมา จากเดิม ๓๐ เมกะวัตต์ เหลือเพียง ๑๓ เมกะวัตต์ ส่งผลให้ในพื้นที่ดังกล่าวเกิดภาวะขาดแคลนพลังงาน
โดยเฉพาะโรงแรม ห้องพัก บ้านเช่า และบ่อนการพนันที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจพนันออนไลน์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์
โดยสภาพแวดล้อมในจังหวัดท่าขี้เหล็กในช่วงกลางคืนมืดลงอย่างชัดเจน ๒.๒ ในระหว่างวันที่
๖ - ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายความมั่นคงของเมียนมาได้ระดมกำลังออกปราบปรามบ่อนการพนันออนไลน์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ลักลอบเปิดกิจการในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็กและหัวเมืองใกล้เคียง
โดยสามารถจับกุมเจ้าของและพนักงานได้จำนวนหนึ่ง ๒.๓
บ่อนการพนันออนไลน์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ลักลอบเปิดกิจการอยู่ในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็กได้ให้พนักงานจำนวนกว่า
๑๐๐ คน เดินทางกลับประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดนตรงข้ามอำเภอแม่สาย
จังหวัดเชียงราย เนื่องจากการขาดแคลนไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์และน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเป็นสำหรับเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้า ๓.
สถิติคดีหลอกลวงออนไลน์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายหลังการบังคับใช้มาตรการลดลง สถิติการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติลดลงจากเดิมเฉลี่ยวันละ
๑,๒๐๐ คดี เหลือวันละ ๑,๐๐๐ - ๑,๑๐๐ คดี แสดงให้เห็นว่าแนวทางและมาตรการที่ได้ดำเนินการส่งผลกระทบต่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์
และประชาชนมีความตื่นตัวต่อภัยอาชญากรรมออนไลน์มากขึ้น ๔.
ทางการเมียนมามีท่าทีตอบรับและดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมอย่างจริงจังมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ผลการพิจารณา เรื่อง ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล | มท. | 04/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง
ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่
๒ ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้ ๑. ในส่วนของแผนการจัดน้ำที่ดี กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับน้ำและกักเก็บน้ำเพิ่มเติมสำหรับแผนการจัดการน้ำในระยะกลางแล้ว
และมีแผนสร้างคันกั้นน้ำด้านตะวันออก และตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อการจัดการน้ำระยะยาวอีกด้วย ๒. ในส่วนของโครงสร้างการป้องกันชายฝั่ง กรุงเทพมหานครได้จัดทำโครงสร้างแบบแข็ง
(เขื่อนกันคลื่น/กำแพงกันคลื่น) และแบบอ่อน (เนินทราย/ป่าชายเลน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร
และกระทรวงคมนาคมได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยโดยเฉพาะระบบระบายน้ำ ๓. การย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดนครราชสีมา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า การสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล หรือดำเนินการเพิ่มเมืองศูนย์กลางระดับภาคและศูนย์กลางรองระดับภาคน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า ๔. การศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษาเพื่อวางแผนแก้ไขปัญหา เช่น การจัดทำ Sea barrier การขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาแนวทางการป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา
และการศึกษาการคาดการณ์อนาคต (Foresight) ระดับน้ำที่สูงขึ้นในแต่ละช่วงปี
เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาและควรศึกษาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ๕. ความเหมาะสมของจังหวัดนครราชสีมาที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย
โดยปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมืองและกระทรวงคมนาคม ได้ศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว
ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติและศึกษาแนวทางการย้ายเมืองหลวงของประเทศอื่น
เป็นแนวทางและเทียบเคียงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | สปสช. | 04/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ ภายในวงเงิน ๒๖๕,๒๙๕,๕๘๒,๑๐๐ บาท
สำหรับงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน ๒,๓๐๖,๔๙๘,๑๐๐ บาท
เห็นควรที่คณะรัฐมนตรีจะมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ตามความจำเป็นเหมาะสม
ประหยัดและสอดคล้องกับภารกิจการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการและบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งดำเนินการและให้ความสำคัญในการสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพให้กับประชาชนผ่านการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ
การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และการใช้บริการทางด้านสาธารณสุขอย่างมีเหตุผล
รวมถึงเฝ้าระวังและป้องกันโรคไม่ติดต่อและโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้น
เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน รวมถึงช่วยลดความจำเป็นในการใช้บริการทางการแพทย์และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระยะยาว
และพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกัน เป็นระบบ Service Data ที่เชื่อมโยงข้อมูลของผู้ป่วยในทุกสิทธิการรักษาพยาบาลอย่างครบถ้วนและทันสมัย
เพื่อช่วยลดความซ้ำซ้อนของบริการและเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามผลการรักษา เป็นต้น
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง
โดยให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประชาสัมพันธ์หน่วยบริการสถานพยาบาล
เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกสิทธิสามารถเข้าถึงการให้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
และการให้บริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนอย่างทั่วถึงและเกิดประโยชน์แก่ประชาชนคนไทยทุกสิทธิ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เห็นว่างบประมาณดังกล่าว
เป็นการยกระดับการดูแลสุขภาพของประชาชนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยการต่อยอดนโยบาย
๓๐ บาทรักษาทุกที่ ซึ่งมุ่งเน้นการลดปัจจัยเสี่ยงและโรคไม่ติดต่อที่สำคัญ
พร้อมทั้งการจัดบริการสุขภาพเชิงรุก รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพ
การควบคุมและป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพอย่างครบวงจร
อันจะส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในทุกมิติได้ครอบคลุมและทั่วถึงมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2567 | นร.11 สศช | 13/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๗
มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไทยไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๗ เช่น การจ้างงานค่อนข้างทรงตัว
โดยผู้มีงานทำจำนวน ๔๐ ล้านคน ลดลงจากไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๖ ที่ร้อยละ ๐.๑ จากการหดตัวอย่างต่อเนื่องของการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลง ร้อยละ ๓.๔
หนี้สินครัวเรือน มีมูลค่า ๑๖.๓๒ ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๑.๓ จากร้อยละ ๒.๓
ในไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ปรับลดลงจากร้อยละ
๙๐.๗ ของไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ ๘๙.๖ เป็นต้น ๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ เช่น ในปี ๒๕๖๖
มีอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๔๖.๕ จากปี ๒๕๖๕ ซึ่งร้อยละ ๘๑.๑
เกิดขึ้นจากความบกพร่องของผู้ขับขี่มากที่สุด และ ๓) บทความ “โรคไตเรื้อรัง :
บทเรียนการออกแบบนโยบายของระบบหลักประกันสุขภาพภาครัฐ”
รัฐบาลได้มีนโยบายให้ผู้ป่วยภายใต้สิทธิ์กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
สามารถเลือกวิธีการล้างไตได้ส่งผลให้ผู้ป่วยเปลี่ยนมาใช้บริการฟอกเลือดผ่านเครื่องไตเทียมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ
๘๘.๗๕ ภายในระยะเวลา ๑ ปี ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | สรุปผลการพิจารณาและผลการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและเสนอแนะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการประมงให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการประมงและกิจการประมงทั้งระบบ สภาผู้แทนราษฎร | กษ. | 07/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาและผลการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและเสนอแนะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการประมงให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการประมงและกิจการประมงทั้งระบบ
สภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
โดยสรุปผลการดำเนินการได้ ดังนี้ ๑. การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรม
ได้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการบังคับใช้พระราชกำหนดประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
พบว่ายังไม่สมควรยกเลิกพระราชกำหนดดังกล่าว
โดยได้ดำเนินการปรับปรุงและแก้ไขหลักเกณฑ์บางประการ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๒
พ.ศ. ๒๕๖๐)
อีกทั้งได้มีการออกกฎหมายลำดับรองให้สอดคล้องกับการทำประมงขึ้นมาใช้บังคับให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยแล้ว ๒. การแก้ไขปัญหาแรงงานประมง
ได้มีการออกกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีสัตยาบันในอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ
ฉบับที่ ๑๘๘ ว่าด้วยการทำงานในภาคประมง ค.ศ. ๒๐๐๗ เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในภาคประมง
พ.ศ. ๒๕๖๒ กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นต้น นอกจากนี้
ได้ใช้ระบบแจ้งเข้า-ออกเรือประมงไทยแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบการแจ้งขึ้นลงทำการในเรือสำหรับคนประจำเรือซึ่งมีการเก็บข้อมูลภาพถ่ายใบหน้าเพื่อใช้สำหรับตรวจสอบแรงงาน
ณ ท่าเทียบเรือ ๓.
แนวทางการรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและความมั่นคงทางทะเล
ได้มีการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับประเภทและชนิดของทรัพยากรธรรมชาติและจัดทำโครงการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนในอุทยานแห่งชาติ
ประกอบกับได้มีการกำหนดเขตกิจกรรมพิเศษในแผนบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติให้ครอบคลุมพื้นที่อนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้
เพื่อแก้ไขปัญหาการดำรงชีพตามวิถีชุมชนหรือวิถีชีวิตดั้งเดิมที่อยู่โดยรอบอุทยานแห่งชาติ
รวมทั้งได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิทยาศาสตร์ที่มีภารกิจเฉพาะด้านการประเมินสภาวะทรัพยากรสัตว์น้ำ
ในการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงทะเลไทย ๔. การส่งเสริมการส่งออก นำเข้า
และการตรวจสอบสินค้าประมง
ได้มีมาตรการควบคุมตรวจสอบสินค้าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์
โดยให้ความสำคัญในการเฝ้าระวังป้องกันการนำเข้าสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย
ซึ่งปัจจุบันได้มีการยกระดับมาตรการและกำหนดแนวทางในการควบคุมตรวจสอบการนำเข้าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำด้านต่าง
ๆ ให้เป็นไปอย่างเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | ร่างเอกสาร Guidelines and Minimum Standards ด้านโภชนาการระดับอาเซียน 5 ฉบับ | สธ. | 07/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสาร Guidelines and
Minimum Standards ด้านโภชนาการระดับอาเซียน จำนวน ๕ ฉบับ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว
ประกอบด้วย (๑) เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำด้านโภชนาการมารดาในอาเซียน (ASEAN
Guidelines and Minimum Standards for Maternal Nutrition) (๒)
เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำด้านการเสริมสารอาหารปริมาณมากที่จำเป็น (ASEAN
Guidelines and Minimum Standards for Implementation of Mandatory Large-scale
Food Fortification) (๓) เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำการจัดการปัญหาเด็กที่มีภาวะผอมในระบบสุขภาพแห่งชาติ
(ASEAN Regional Guidelines on Minimum Standards for Management of Child
Wasting in National Health Systems) (๔)
เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำด้านโภชนาการในโรงเรียนแบบองค์รวม
(Minimum Standards and Guidelines for the ASEAN School Nutrition Package) และ (๕)
เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำการปกป้องเด็กจากผลกระทบอันตรายของการตลาดเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในอาเซียน
(Minimum standards and guidelines on actions to protect children from the
harmful impact of marketing of food and non-alcoholic beverages in the ASEAN
region) ซึ่งเป็นเอกสารที่รวบรวมผลการศึกษาและการวิจัยด้านโภชนาการเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนนำไปใช้เป็นองค์ความรู้และแนวทางในการดำเนินการด้านโภชนาการภายในประเทศ
เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานโภชนาการระดับโลก (Global
Nutrition Target) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืน (Sustainable
Development Goals : SDGs) โดยจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของสำนักเลขาธิการอาเซียน
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า
ร่างเอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำการปกป้องเด็กจากผลกระทบอันตรายของการตลาดเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในอาเซียน
ในส่วนของการบังคับใช้หรือการปรับใช้ภายในประเทศ
อาจให้มีการพิจารณาในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องในเชิงนโยบายด้านอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิ
มาตรการทางการค้า มาตรการการคุ้มครองผู้บริโภค
และในการดำเนินการจัดทำร่างเอกสารดังกล่าวควรคำนึงถึงผลกระทบต่อการใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในทางการค้าของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
รวมถึงสิทธิทางการค้าที่อาจถูกจำกัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | ร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง. | 17/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทน ในกรณีสงเคราะห์บุตร
เพื่อช่วยบรรเทาภาระในการเลี้ยงดูบุตรของผู้ประกันตนจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
และเพื่อให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ผู้ประกันตนในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง
รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง
และระยะยาว
โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบและเหมาะสมในทุกมิติ
เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม รวมถึงภาระการเงินการคลังที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐในอนาคต
ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2567 | กค. | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2567 | กค. | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | การเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ | นร. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดอุทกภัยขึ้นในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัดและส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก
ซึ่งแม้ว่าในขณะนี้สถานการณ์จะได้เริ่มคลี่คลายลงแล้ว
แต่ก็ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานียังมีปัญหาเรื่องระบบไฟฟ้าและน้ำประปาเป็นอย่างมาก
ประกอบกับศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออกได้ประกาศแจ้งเตือนว่าตั้งแต่วันที่
๓ - ๕ ธันวาคม ๒๕๖๗
จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกและมีคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย
อาจทำให้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้เสี่ยงเกิดน้ำท่วมเฉียบพลันและน้ำป่าไหลหลากขึ้นอีก
ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ ดังนั้น
เพื่อให้การบริหารสถานการณ์และบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ภาคใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จึงขอมอบหมายให้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติที่มีรองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกรรมการ
เร่งประสานการดำเนินงานต่อเนื่องจากการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.)
โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นที่ปรึกษา
และให้เร่งปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กลไกตามกฎหมายในการบริหารจัดการและระดมความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อเร่งแก้ไขสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นให้คลี่คลายลงโดยเร็ว
รวมทั้งให้ดำเนินการสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว
ตลอดจนกำหนดแนวทางการช่วยเหลือฟื้นฟูให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต. | 29/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ของกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๔๕ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - บรูไนดารุสซาลาม ๒.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย ๓.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งนิวชีแลนด์ ๔. คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม วิชาการ เกษตรกรรม และวิทยาศาสตร์
ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ๕.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรบาห์เรน ๖. คณะกรรมการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย
- ตุรกี ๗.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน ๘.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
การค้าและวิชาการระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๙. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- ฟิลิปปินส์ (ฝ่ายไทย) ๑๐. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - มาเลเซีย ๑๑. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - อินโดนีเซีย ๑๒.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือไทย - อินเดีย ๑๓.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - ศรีลังกา ๑๔. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- เวียดนาม (ฝ่ายไทย) ๑๕.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ ๑๖.
คณะกรรมการนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการกับต่างประเทศ ๑๗. คณะกรรมการประสานงานด้านสหประชาชาติ
องค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ และองค์การต่างประเทศ ๑๘.
คณะกรรมการประสานงานช่วยเหลือคนไทยและประเทศที่ประสบภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉิน ๑๙. คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่างประเทศในระดับชาติ ๒๐. คณะกรรมการกฎหมายทะเลและเขตทางทะเลของประเทศไทย ๒๑.
คณะกรรมการเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับองค์การระหว่างประเทศ และการประชุมระหว่างประเทศภาครัฐในประเทศไทย ๒๒. คณะกรรมาธิการว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย -
รัสเซีย ๒๓.
คณะกรรมการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย - เยอรมัน ๒๔. คณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และวิชาการไทย
- จีน (คกร. ไทย - จีน ฝ่ายไทย) ๒๕. คณะกรรมการความร่วมมือไทย - สหภาพยุโรป ๒๖. คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ๒๗.
คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของไทยต่อประเด็นทะเลจีนใต้ ๒๘. คณะกรรมการหมู่ประจำชาติไทยในศาลอนุญาโตตุลาการ
ณ กรุงเฮก ๒๙. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา
(ฝ่ายไทย) ๓๐. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - ลาว (ฝ่ายไทย) ๓๑. คณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย -
มาเลเซีย (ฝ่ายไทย) ๓๒.
คณะกรรมการเพื่อวิเคราะห์คำพิพากษาและแนวทางการดำเนินการ ๓๓. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- ลาว (ฝ่ายไทย) (เดิม
คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - ลาว) ๓๔. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- กัมพูชา (ฝ่ายไทย) (เดิม
คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - กัมพูชา) ๓๕.
คณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย - อเมริกัน (ฟุลไบรท์)
ประจำปี ๒๕๖๖ - ๒๕๖๗ [เดิม คณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย
- อเมริกัน (ฟุลไบรท์)] ๓๖. คณะกรรมการพิเศษเพื่อพิจารณาอนุสัญญาต่าง ๆ ๓๗. คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเคนยา ๓๘.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ๓๙.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยสำหรับกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - บังกลาเทศ ๔๐.
คณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือไทย - เนปาล ๔๑.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจไทย - ปากีสถาน ๔๒.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอียิปต์ ๔๓.
คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับยูเครน ๔๔. คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - เมียนมา (ฝ่ายไทย) ๔๕. คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- เมียนมา (ฝ่ายไทย) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | มาตรการเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย | นร. | 19/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี
๒๕๖๗ และแนวโน้มปี ๒๕๖๗ – ๒๕๖๘ ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งปรากฏว่าในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๖๗ เศรษฐกิจไทยมีอัตราขยายตัวร้อยละ ๓.๐
โดยการลงทุนภาครัฐขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ ๖ ไตรมาส
การส่งออกสินค้าและบริการและการอุปโภคบริโภครัฐบาลขยายตัวในเกณฑ์สูง
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนชะลอตัว ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลง นอกจากนี้
มีประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ควรให้ความสำคัญ เช่น
การขับเคลื่อนภาคการส่งออกควบคู่กับการเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบจากการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น
นั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทาง/มาตรการในการส่งเสริมสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวมากยิ่งขึ้นในระยะต่อ
ๆ ไป รวมทั้งให้พร้อมรับมือกับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นในปี
๒๕๖๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2567 | นร.11 สศช | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี ๒๕๖๗
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ความเคลื่อนไหวทางสังคมไทยไตรมาสสอง ปี ๖๗ เช่น ๑)
การจ้างงาน ภาพรวมการจ้างงานปรับตัวลดลง โดยผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๕ ล้านคน
ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ ๐.๔ ซึ่งเป็นผลจากการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา
ที่ร้อยละ ๕.๐ จากปัญหาการขาดแคลนน้ำในบางพื้นที่ ๒) หนี้สินครัวเรือน มีมูลค่า
๑๖.๓๗ ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๒.๕ ของไตรมาสก่อนหน้า ๓) การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี
๒๕๖๖ ร้อยละ ๗๒.๑ หรือเพิ่มจาก ๑๑๗,๙๕๒ ราย เป็น ๒๐๒,๘๗๙ ราย
ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากโรคระบาด เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ๔)
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น ร้อยละ ๑.๐
โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการบริโภคแอลกอฮอล์ และ ๕) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินคดีอาญาไตรมาสสอง
ปี ๒๕๖๗ มีการรับแจ้งทั้งหมดจำนวน ๑๑๒,๙๒๑ คดี เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี
๒๕๖๖ ร้อยละ ๒๖.๗ ๒. สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ เช่น
ปัจจุบันการคุกคามทางเพศต่อเด็กและเยาวชนออนไลน์ที่เกิดขึ้นผ่านโซเชียลมีเดียมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อเด็กผู้ถูกกระทำหลายด้าน
เช่น ปัญหาด้านการปรับตัวเข้าสู่สังคม และภาวะซึมเศร้า การดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงจำเป็นต้องเริ่มต้นจากสถาบันครอบครัวที่จะต้องสอดส่องดูแลพฤติกรรมการใช้สื่อ
ในขณะที่ระดับชุมชนและภาครัฐต้องมีมาตรการในการลงโทษที่ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2567 และแนวโน้มปี 2567 | นร.11 สศช | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๗ และแนวโน้มปี
๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑) เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๗ มูลค่า GDP ขยายตัวร้อยละ ๒.๓
เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๖ ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๗ และ ๒)
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๗ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยการขยายตัวร้อยละ ๒.๓ - ๒.๘
ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่า ในปี ๒๕๖๗ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจในด้านต่าง
ๆ เช่น (๑) การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ (๒)
การปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม (๓)
การเตรียมการรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ (๔) การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบและใช้ประโยชน์จากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการค้าโลก
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|