ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 5 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 81 - 100 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
81 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอการสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิตรองรับสังคมสูงวัย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ข้อเสนอการสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิตรองรับสังคมสูงวัย
ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ
และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการฯ
มีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการกำหนดทิศทางการพัฒนาระบบการดูแลแบบประคับประคองและการแสดงเจตนาไม่รับการรักษาพยาบาลในระยะสุดท้ายของชีวิต
การจัดทำนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิต
รวมทั้งแผนมาตรการ และแนวทางการพัฒนาครอบคลุมทุกมิติให้ชัดเจนและเป็นระบบ
การจัดตั้งหน่วยบริการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative
Care Unit) และการพัฒนากฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม
Opioids เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดการเข้าถึงยาจำเป็นสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย
ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ไปพิจารณาร่วมกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
แพทยสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
82 | ข้อเสนอแนะ กรณีปัญหามลภาวะทางอากาศในพื้นที่ 8 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน | สม. | 24/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะ กรณีปัญหามลภาวะทางอากาศในพื้นที่
๘ จังหวัด ภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน
น่าน แพร่ และพะเยา เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๗ (๓)
และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๒๖ (๓) ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
83 | รายงานการประชุมคณะกรรมการเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ (El Nino) และ ลานีญา (La Nina) ของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 | ดศ. | 24/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมคณะกรรมการเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ
(El Nino) และ ลานีญา (La
Nina) ของประเทศไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่
๒๙ กันยายน ๒๕๖๖ ซึ่งจะเป็นแนวทางการดำเนินการและกลไกในการพิจารณาเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ปริมาณน้ำฝนและน้ำต้นทุนของประเทศไทยจะน้อยกว่าปกติ
มีแนวโน้มที่จะประสบสภาวะแห้งแล้งยาวนานถึง ๓ ปี
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบผลการประชุมและพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานเร่งรัดจัดทำมาตรการ
ทบทวน แผนงาน โครงการ และงบประมาณ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัยแล้ง
โดยพิจารณาจัดทำโครงการขนาดเล็กและแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กให้กระจายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศให้มากที่สุด
และขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นการเร่งด่วน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการบรรเทาผลกระทบที่มีต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจ
รวมทั้งการจัดทำแผนการปรับตัว (Adaptation)
เพื่อรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องมากกว่า ๓ ปี ตามที่คณะกรรมการเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ
(El Nino) และ ลานีญา (La Nina)
ของประเทศไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
84 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2566 | กค. | 10/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้ (๑) เป้าหมายนโยบายการเงิน ปี
๒๕๖๖ คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๕
อนุมัติให้ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงร้อยละ ๑-๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงิน (๒)
ภาวะแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๖
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่การส่งออกฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น
สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (๓) การดำเนินนโยบายการเงิน กนง.
ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราร้อยละ ๑.๒๕ ไปเป็นร้อยละ ๒.๐ เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง
ส่วนการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี
๒๕๖๖ เคลื่อนไหวผันผวนตามความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา
การอ่อนค่าของเงินหยวน และความกังวลต่อปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
85 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2566 | นร.11 สศช | 03/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี ๒๕๖๖ ได้แก่ (๑)
ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสอง ปี ๒๕๖๖ เช่น สถานการณ์ด้านแรงงาน
มีผู้มีงานทำจำนวน ๓๙.๗ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๑.๗
หนี้สินครัวเรือนในไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๖ มีมูลค่า ๑๕.๙๖ ล้านล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๖ คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ ๙๐.๖ การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นจากโรคที่มากับฝน
ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่และไข้เลือดออก การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้นร้อยละ
๒.๗ คดีอาญาโดยรวมลดลงร้อยละ ๑๗.๘ และการรับแจ้งอุบัติเหตุทางถนนลดลงร้อยละ ๑๒
และการร้องเรียนผ่าน สคบ. เพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๓.๑ โดยเป็นเรื่องสัญญามากที่สุด
ในขณะที่การร้องเรียนผ่าน กสทช. ลดลงร้อยละ ๔๐.๕
โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่มากที่สุด (๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ
จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ การย้ายถิ่นฐานของประชากรช่วง COVID-19 ความท้าทายของตลาดแรงงาน การจัดการซากรถยนต์เมื่อรถ EV มาแทนที่รถยนต์สันดาป และ LGBTQ+ : หลากหลายที่ไม่แตกต่างเพื่อเปิดกว้างสู่ความเสมอภาคทางเพศ
และ (๓) บทความ “หนี้สินคนไทย : ภาพสะท้อนจากข้อมูลเครดิตบูโร”
สะท้อนให้เห็นว่า มีหนี้จำนวนมากที่ไม่ได้นำเข้าระบบข้อมูลเครดิตบูโร
ส่งผลให้เจ้าหนี้ไม่สามารถตรวจสอบสถานะหนี้สินและรายได้สุทธิหลังหักภาระหนี้ของลูกหนี้ได้
หนี้เสียที่เกิดจากผู้ให้สินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนสูงกว่าหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์
กลุ่มลูกหนี้ที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ
กลุ่มวัยแรงงานตอนต้นและกลุ่มผู้สูงอายุ และหนี้สินครัวเรือนอื่น ๆ
ที่ไม่สามารถจำแนกประเภทได้อาจเป็นหนี้สินที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
86 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค. | 13/09/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้ขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปอีก
๑ ปี โดยตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ ๖๔๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๘๐ แห่งประมวลรัษฎากร
โดยให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๗
(รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี
ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินงานทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าว
เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้
ซึ่งรวมถึงการขยายฐานภาษีให้มีความครอบคลุมมากขึ้นควบคู่ไปกับการทยอยปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ
เพื่อลดแรงกดดันต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและลดข้อจำกัดต่อการพัฒนาประเทศในระยะถัดไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
87 | การดำเนินการเพื่อรองรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ | นร. | 29/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า
ตามที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อ “กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม” เป็น
“กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ตั้งแต่วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๖
เป็นต้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการ
เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
นั้น เนื่องจากปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศของโลก (Climate
Change) หรือภาวะโลกร้อน
กำลังเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่ทั่วโลกเร่งดำเนินการสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์การสหประชาชาติได้แจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่บ่งชี้ว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงจากภาวะโลกร้อน
(Global Warming) เข้าสู่ภาวะโลกเดือด (Global
Boiling) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น
เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของประเทศไทยเป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จึงเห็นควรให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญในการดำเนินงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างพร้อมเพรียงกัน
โดยให้แต่งตั้งคณะทำงานหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแลการดำเนินงานต่าง
ๆ รวมทั้งการประสานการดำเนินการกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจนและมีความต่อเนื่องต่อไปด้วย
และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
88 | องค์ประกอบและท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ที่ขยายออกมา | ทส. | 29/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๑.
เห็นชอบการกำหนดท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ ๔๕ ที่ขยายออกมา ดังนี้ ๑.๑ หากคณะผู้แทนไทยเห็นว่า (ร่าง) ข้อมติ
วาระการประชุมที่ 7B รายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก
พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ (7B.19) และพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน
(7B.88) ไม่เป็นผลดีต่อไทย หรือสุ่มเสี่ยงต่อการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตราย
เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก
องค์กรที่ปรึกษา และศูนย์มรดกโลก เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และการดำเนินการของราชอาณาจักรไทยในการให้ความสำคัญต่อการดำเนินการเพื่อดูแลและอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าฯ
ให้คงคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลอย่างยั่งยืน
รวมทั้งจัดให้มีการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชนต่าง ๆ และองค์กรต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องในการอนุรักษ์ ปกป้อง คุ้มครอง และบริหารจัดการพื้นที่กลุ่มป่าฯ
ร่วมกัน และขอปรับแก้ (ร่าง) ข้อมติที่จะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของไทยในอนาคต ๑.๒ กรณีมีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
หรือได้รับการร้องขอจากรัฐภาคีสมาชิก ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
ในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ ทั้งนี้
ให้คณะผู้แทนไทยพิจารณาร่วมกันระหว่างการประชุมฯ โดยคำนึงถึงหลักการขออนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
และข้อมูลด้านเทคนิคและวิชาการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรที่ปรึกษา ๒.
รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๕
ที่ขยายออกมา ได้แก่ (๑) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เป็นที่ปรึกษา (๒) นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว
ทำหน้าที่กรรมการในคณะกรรมการมรดกโลกและหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และ (๓)
ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม
กระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนที่เกี่ยวข้อง
ในคณะทำงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในการดำรงตำแหน่งกรรมการมรดกโลก วาระปี พ.ศ.
๒๕๖๒-๒๕๖๖ |
|||||||||||||||||||||||||||
89 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2566 และแนวโน้มปี 2566 | นร.11 สศช | 23/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี
๒๕๖๖ และแนวโน้มปี ๒๕๖๖ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๖ ขยายตัวร้อยละ ๑.๘
ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๖ ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๖ (%YoY)
และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๖
ขยายตัวจากไตรมาสแรกปี ๒๕๖๖ ร้อยละ ๐.๒ (%QoQ)_SA) รวมครึ่งแรกของปี
๒๕๖๖ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๒ ๒.
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๖ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๐
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุโภคบริโภคภาคเอกชน
การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนรวมจะขยายตัวร้อยละ
๕.๐ และร้อยละ ๑.๖ ตามลำดับ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ
๑.๗-๒.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑.๒ ของ GDP ๓.
ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๖ ควรให้ความสำคัญกับ (๑) การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ
รวมทั้งการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและติดตามป้องกันผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก
(๒) การักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (๓)
การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง (๔) การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร
(๕) การขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้า และ (๖) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
90 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของประเทศไทยของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 08/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
ระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของประเทศไทยของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม
และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เกี่ยวกับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดสู่การปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุในภาวะพึ่งพิงให้เหมาะสม
มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมผู้สูงอายุอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้นต่อไป สรุปได้ ดังนี้
(๑) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เช่น การให้ความสำคัญในการกำกับดูแลผู้สูงอายุในชุมชน
การส่งเสริมสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนโดยจตุพลังในตำบล
การพัฒนาระบบการจัดการบริการผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เป็นต้น และ (๒)
ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติการ ได้แก่ ด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ
และด้านการให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
91 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2566 | กค. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่
๒ ปี ๒๕๖๖ ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑.
การประเมินภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๖ โดยเศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๒.๗ ในปี
๒๕๖๖ และ ๒๕๖๗ ตามลำดับ จากแรงส่งภาคบริการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกลุ่มยุโรป
ขณะที่เศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มขยายตัวภายหลังจากเปิดประเทศ
และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยขยายตัวที่ร้อยละ ๓.๖ และ ๓.๘ ในปี
๒๕๖๖ และ ๒๕๖๗ ตามลำดับ การบริโภคของภาคเอกชน ปี ๒๕๖๖ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๔.๔
และมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทย ปี ๒๕๖๖ มีแนวโน้มหดตัวลงเล็กน้อย
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕ และร้อยละ ๒.๔ ในปี ๒๕๖๖ และ
๒๕๖๗ ตามลำดับ ๒.
ภาวะการเงินโดยรวมผ่อนคลายลดลงจากต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๔.๔๐ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากค่าเฉลี่ยไตรมาสก่อน ๓.
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๖ กนง.
มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นร้อยละ ๒ ต่อปี
โดยเห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
และประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน
ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
92 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วธ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
รวมทั้งปรับปรุงบัญชีรายชื่อโบราณสถานทีได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่จะเรียกเก็บค่าเข้าชมได้
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาปรับปรุงอัตราค่าเข้าชมสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเฉพาะบุคคลสัญชาติอื่นตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมศิลปากร)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณานำเงินรายได้จากการจัดเก็บค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นดังกล่าวไปใช้เร่งรัดการพัฒนามาตรฐานและการอำนวยความสะดวกของโบราณสถานและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อาทิ การอำนวยความปลอดภัย การรักษาความสะอาด การพัฒนาห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว
และการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
93 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 56 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน + 3 ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 11/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย
(Asian Development Bank : ADB) ครั้งที่
๕๖ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖
และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
ครั้งที่ ๒๖ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ สาธารณรัฐเกาหลี
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมประชุม
สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (๑) การประชุม AFMGM+3 ครั้งที่ ๒๖
มีสาระสำคัญ เช่น IMF คาดการณ์ว่าในปี ๒๕๖๖ เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ
๒.๘ และเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวที่ร้อยละ ๔.๖
โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน
การพัฒนากลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแบบเร่งด่วนเพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินได้มากขึ้น
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ได้เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม
AFMGM+3 ในรูปแบบแถลงการณ์ร่วมฯ โดยมีการปรับปรุงถ้อยคำเพื่อให้มีความเหมาะสมและสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น
แต่ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ (๒) การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ
ADB ครั้งที่ ๕๖ ผู้ว่าการของแต่ละประเทศสมาชิกใน ADB
ได้เรียกร้องให้ ADB
ให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-๑๙
ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และภาวะเงินเฟ้อ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้ว่าการของไทยใน ADB ได้เสนอแนะให้ ADB ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
(๓) การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน-ญี่ปุ่น
ในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เสนอให้อาเซียน-ญี่ปุ่นขยายบทบาทและยกระดับความร่วมมือทางการเงินระหว่างกันให้ครอบคลุมประเด็นการใช้เทคโนโลยีทางการเงินและการเงินที่ยั่งยืน
และ (๔) งานเปิดตัวรายงาน เรื่อง “แนวทางการจัดหาเงินทุนใหม่ ๆ
เพื่อเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นในอาเซียน+๓” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการจัดทำนโยบายและมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของไทย
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
94 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2566 | นร.11 สศช | 20/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้
(๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๖
มีการจ้างงาน จำนวน ๓๙.๖ ล้านคน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒.๔
และอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐๕ ปรับตัวดีขึ้นเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสี่
ปี ๒๕๖๕ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๕ แต่ชะลอตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา
ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนทรงตัว
นอกจากนี้ จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒๔.๕
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ
๒๐๓.๔ จากไตรมาสที่ผ่านมา (๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ
เช่น มูเตลู : โอกาสในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงความเชื่อ
โดยการท่องเที่ยวมูเตลู สามารถเป็น soft power เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวได้
ซึ่งภาครัฐควรกำหนดนโยบายและแนวทางพัฒนาที่ชัดเจน
และวิสาหกิจเพื่อสังคมกับการรองรับสังคมสูงวัย องค์กรภาคประชาสังคมต่าง ๆ
ได้เข้ามาช่วยดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะวิสาหกิจเพื่อสังคม
ซึ่งเป็นกลไกที่มีความยั่งยืนเนื่องจากสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองและเกิดความร่วมมือของคนในพื้นที่
และ (๓) บทความ “ คุณธรรมในสังคมไทย”
คนไทยส่วนใหญ่มีคุณธรรมอยู่ในระดับพอใช้และระดับคุณธรรมวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง
ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศคุณธรรมในสังคมไทยและส่งเสริมให้คนไทยมีการดำเนินชีวิตสู่วิถีชีวิตแห่งคุณธรรม
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
95 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.01 | 20/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนในไตรมาสที่
๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ (เดือนมกราคม - มีนาคม ๒๕๖๖) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
ในไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น
รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ ผ่านช่องทางการร้องทุกข์
๑๑๑๑ รวมทั้งสิ้น ๑๔,๔๔๙ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ ๑๑,๙๑๒ เรื่อง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์ฯ
มากที่สุด (๑,๔๕๔ เรื่อง) สำหรับเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนยื่นเรื่องมากที่สุด คือ
เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน (๑,๖๕๘ เรื่อง) และปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์
เช่น (๑) ปัญหากรณีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนทางโทรศัพท์ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) (๒)
ปัญหาการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ (๓) ปัญหาที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางเสียง ๒.
ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน เช่น (๑)
ควรกำหนดแนวทางพัฒนาการให้บริการประชาชน โดยมุ่งเน้นให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความเข้าใจในองค์ความรู้ด้านต่าง
ๆ (๒) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการแก้ไขปัญหาที่กระทบกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ทันท่วงที
และ (๓) หน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของประชาชน
ควรบูรณาการฐานข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันและปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
96 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2566 | กค. | 13/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่
๑ ปี ๒๕๖๖ ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. การประเมินภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๖๖ โดยเศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราร้อยละ ๒.๕ และร้อยละ ๒.๙ ในปี ๒๕๖๖
และ ๒๕๖๗ ตามลำดับ และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของประเทศเศรษฐกิจยังสูงกว่ากรอบเป้าหมาย
ส่วนเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยขยายตัวที่ร้อยละ ๓.๖ และ ๓.๘ ในปี ๒๕๖๖
และ ๒๕๖๗ ตามลำดับ การบริโภคของภาคเอกชน ปี ๒๕๖๖ มีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ ๔.๐
และมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทย ปี ๒๕๖๖ มีแนวโน้มหดตัวลงเล็กน้อย
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๒.๙ และ ๒.๔ ในปี ๒๕๖๖ และ ๒๕๖๗
ตามลำดับ ๒. ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลาย โดยตึงตัวขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น
ส่วนค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๓.๙๓ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งแข็งค่าขึ้นจากไตรมาสก่อน ๓. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๖๖ กนง.
มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากร้อยละ ๑.๒๕ เป็นร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี
และจากร้อยละ ๑.๕๐ เป็นร้อยละ ๑.๗๕ ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
97 | รายงานประจำปี 2565 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา | กสศ. | 06/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๕ ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาประจำปี ๒๕๖๕
เช่น มาตรการเร่งด่วนในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ และการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจไทย การดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริม พัฒนา
และช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น กลุ่มเด็กปฐมวัย
เด็กในระดับการศึกษาภาคบังคับ กลุ่มเยาวชนในระดับการศึกษาสูงกว่าภาคบังคับ
การดำเนินงานเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนากลไกสำหรับการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่
ครอบคลุม ๑๒ จังหวัด ทั่วประเทศ และ (๒) รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน
มีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
98 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2566 และแนวโน้มปี 2566 | นร.11 สศช | 16/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๖
และแนวโน้มปี ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๖ ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๔
ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๖ ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๕ ร้อยละ ๑.๙ (%QoQ_SA ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๖ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๒.๗-๓.๗
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภค
บริโภคภายในประเทศ และการขยายตัวของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ คาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ
๑.๙ และร้อยละ ๒.๗ ตามลำดับ และมูลค่าส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ
๑.๖ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ
๑.๔ ของ GDP ๓.
ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๖ ควรให้ความสำคัญกับ
(๑) การขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้า การติดตามและดูกลไกตลาดเพื่อให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต
(๒) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (๓)
การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง (๔) การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้
(๕) การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศในช่วงหลังการเลือกตั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
99 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาตใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2566 | นร.52 | 09/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาตใต้
(กพต.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๔
เรื่อง เช่น (๑) การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ภายใต้แผนบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
มิติงานด้านการพัฒนาและการขับเคลื่อนภารกิจของส่วนราชการตามมติ กพต. และ (๒)
การแก้ไขปัญหาแรงงานคนไทยที่เดินทางไปประกอบอาชีพในสถานประกอบการร้านอาหารไทยในประเทศมาเลเซีย ๒. เรื่องการติดตามความก้าวหน้าตามมติ กพต. จำนวน ๖ เรื่อง เช่น (๑) รายงานความก้าวหน้ากิจกรรมโคบาลชายแดนใต้ภายใต้โครงการเมืองปศุสัตว์ตามกรอบระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลจังหวัดชายแดนภาคใต้
ระยะ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๑) (๒)
รายงานความก้าวหน้าโครงการนำเรือออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
(๓)
รายงานความก้าวหน้าแก้ไขปัญหาสุขภาวะและภาวะโภชนาการต่ำของเด็กเล็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
และ (๔)
รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฟื้นฟูการท่องเที่ยวหาดใหญ่-สงขลา
ระยะที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๐) ๓. เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๑๐ เรื่อง เช่น (๑) ขอความเห็นชอบหลักการโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสตูล
พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๒ (ระยะเวลา ๗ ปี) (๒)
ขอความเห็นชอบหลักการกรอบแนวทางการยกระดับและพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดสตูลให้เป็น
World Class Southern
Border, Thailand. The Rivera of South East Asia และ (๓)
ขอทบทวนมติ กพต. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕ เรื่อง
ขออนุมัติหลักการโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัมของมาเลเซียเพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษอำเภอสะเดา
จังหวัดสงขลา
|
|||||||||||||||||||||||||||
100 | การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน | นร. | 09/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีพิจารณาเห็นว่า
สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีผลให้ประชาชนจำนวนมากต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำรงชีวิต
การประกอบอาชีพการทำงานเพื่อหารายได้สำหรับตนเองและครอบครัว
นอกจากมีประชาชนจำนวนมากต้องตกงานแล้ว
นักเรียน/นักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาทั้งในระดับอุดมศึกษาและระดับที่ต่ำกว่า
ทั้งในสายสามัญและวิชาชีพก็มีแนวโน้มที่จะตกงานเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งอาจเนื่องมาจากปริมาณและคุณภาพของผู้จบการศึกษาไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและแนวทางการทำงาน/การประกอบอาชีพในปัจจุบันซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก
รวมทั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบันก็มีผลทำให้ความต้องการแรงงานและประเภทของแรงงานมีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้นด้วย
ดังนั้น ๆ หน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องควรต้องศึกษาและตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนผู้จบการศึกษาในแต่ละสาขาวิชา
ภาวะการว่างงานและการมีงานทำของประชาชนให้ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นปัจจุบัน
รวมทั้งพิจารณาทบทวนแนวทางการจัดการศึกษา การเรียนการสอน การฝึกอบรม
และการฝึกฝีมือแรงงาน เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาและผู้ใช้แรงงาน
ตามแต่กรณีมีความรู้ความสามารถ คุณวุฒิ ทักษะ และประสบการณ์ในสาขาวิชาที่สอดคล้องกับความถนัดและตอบสนองในการพัฒนาประเทศในภาพรวมด้วย
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามแนวทางข้างต้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้างต้นรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|