ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
181 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 13/2564 | นร.04 | 30/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
(ศบค.) ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๔ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ
ได้แก่ (๑) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 (๒) หลักการและแนวคิดการเปลี่ยนผ่านภาวะวิกฤตสู่การเปิดกิจกรรม/กิจการที่มีความพร้อมในแต่ละพื้นที่อย่างปลอดภัย
ภายใต้มาตรการควบคุมโรคแนวใหม่ (Smart Control and Living with Covid-19) (๓) มาตรการเปิดเรียนมั่นใจ ปลอดภัยไร้โควิด-19 ในโรงเรียนประจำ (Sandbox
Safety Zone in School : SSS) (๔) รายงานแนวโน้มสถานการณ์ความต้องการใช้ออกซิเจนทางการแพทย์
(๕) แผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 (๖) การปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19
และ (๖) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
182 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 | นร.11 สศช | 17/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๔
และแนวโน้มปี ๒๕๖๔ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.
ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๔ ขยายตัวร้อยละ ๗.๕ ปรับตัวดีขึ้น
จากการลดลงร้อยละ ๒.๖ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๔ ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๔ ร้อยละ ๐.๔ (QoQ_SA) รวมครึ่งแรกของปี ๒๕๖๔ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๐ ๒.
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๔ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๐.๗-๑.๒ ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ
จากการลดลงร้อยละ ๖.๑ ในปี ๒๕๖๓ แต่เป็นการปรับลดจากร้อยละ ๑.๕-๒.๕
ในการประมาณการครั้งก่อน ๓.
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๔
นโยบายการบริหารเศรษฐกิจมหาภาคในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๔ ควรให้ความสำคัญกับ (๑)
การควบคุมสถานการณ์การระบาดให้อยู่ในวงจำกัด (๒) การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน
แรงงาน
และภาคธุรกิจในช่วงที่การระบาดของโรคมีความรุนแรงและมีการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด
(๓) การดำเนินมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเมื่อสถานการณ์การระบาดผ่อนคลาย
(๔) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า (๕)
การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (๖)
การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน และ (๗) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
183 | ร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้) | ยธ. | 10/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้)
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหนี้ของลูกหนี้ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด
บริษัทมหาชนจำกัด หรือนิติบุคคลอื่นตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
ที่สามารถร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการได้ จาก จำนวนไม่น้อยกว่า ๑๐ ล้านบาท เป็น
ไม่น้อยกว่า ๕๐ ล้านบาท
กำหนดกระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่มีลักษณะเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
และกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการแบบเร่งรัด
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
โดยผลักดันให้กฎหมายที่ต้องปฏิรูปในระยะเร่งด่วน
เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-19)
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เช่น กระบวนการฟื้นฟูกิจการแบบเร่งรัดตามหมวด ๓/๓ ที่กำหนดให้องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่สามารถเข้าสู่กระบวนการได้
การกำหนดกระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของ SMEs ในหมวด ๓/๒ ซึ่งกฎหมายปัจจุบันรองรับไว้แล้ว
และการไม่กำหนดในบทนิยามของคำว่าลูกหนี้ให้ชัดเจนว่าหมายถึงลูกหนี้ที่มีลักษณะเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามกฎหมายใดอาจก่อให้เกิดปัญหาในการตีความเพื่อบังคับใช้กฎหมายในภายหลัง
ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา
ซึ่งช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาทางด้านหนี้สินของภาคประชาชนตามหลักการของพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช ๒๔๘๓ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
184 | ร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. .... | ดศ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ
พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบในการเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการให้มีความชัดเจนสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
สังคม และเทคโนโลยีการให้บริการของผู้ให้บริการในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่าควรจะกำหนดเงื่อนเวลาในการบังคับใช้ให้มีผลบังคับใช้ในอนาคตหรือการเพิ่มบทเฉพาะกาลเพื่อให้ผู้ให้บริการรายเดิมและผู้ให้บริการรายใหม่มีระยะเวลาในการปรับปรุงวิธีการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับร่างประกาศดังกล่าวด้วย
ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
185 | การประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.12 | 20/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และกรอบและแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่
๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงาน ก.พ.ร. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เห็นว่าควรมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาระบบบริการดิจิทัลแบบครบวงจร
(end-to-end Service) ที่สอดคล้องกับความต้องการพื้นฐานของประชาชน ความคุ้มค่าในการลงทุน
และออกแบบให้รองรับการเชื่อมต่อกระบวนงานและข้อมูลระหว่างบริการดิจิทัลที่เกี่ยวเนื่องในอนาคตด้วย
กำหนดรูปแบบ (Format) ของรายงานการปฏิบัติราชการให้เป็นรูปแบบเดียวกัน
เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานของส่วนของราชการ การปรับแนวทางการประเมินส่วนราชการฯ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของหลายส่วนราชการ
ทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ และแนวทางการประเมินส่วนราชการฯ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
จะทำให้ตัวชี้วัดระดับกระทรวงและกรมสอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมายระดับชาติในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนระดับชาติอื่นๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ในส่วนของการเชื่อมโยงการประเมินส่วนราชการกับการประเมินผลการปฏิบัติงานรายบุคคลในระดับหัวหน้าส่วนราชการ
(ปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า อธิบดีหรือเทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด) ให้สำนักงาน
ก.พ.ร. ร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติงานรายบุคคลให้ชัดเจนและเหมาะสม
เพื่อถือปฏิบัติต่อไป
โดยอาจพิจารณากำหนดตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นถึงภาวะความเป็นผู้นำ มีการทำงานเชิงรุกสามารถบริหารงานและแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสภาวะวิกฤตให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
อาจพิจารณาหลักเกณฑ์และแนวทางดังกล่าวไปใช้ในการประเมินเพื่อเลื่อนระดับหรือพิจารณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับประเด็นการปรับปรุงพัฒนาเว็บไซต์ของส่วนราชการให้เป็นปัจจุบัน
มีความทันสมัย สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการนำเสนอที่น่าสนใจ
และง่ายต่อการเข้าถึงของประชาชน
เพื่อพิจารณากำหนดเป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดในการประเมินส่วนราชการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
186 | องค์ประกอบและท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 44 | ทส. | 13/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบองค์ประกอบและท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ ๔๔ ประกอบด้วย ๑)
รายงานสถานการณ์การอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยดำเนินการชี้แจงและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก
ศูนย์มรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษาให้เห็นถึงการดำเนินการของราชอาณาจักรไทยในการให้ความสำคัญต่อการดูแลและอนุรักษ์พื้นที่
๒) การขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ให้คณะผู้แทนไทย
ชี้แจงทำความเข้าใจ และโน้มน้าว คณะกรรมการมรดกโลก องค์กรที่ปรึกษา และศูนย์มรดกโลก
เกี่ยวกับสถานการณ์และวิถีชีวิตชุมชนในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ๓) รายงานสถานการณ์การอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก
นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยดำเนินการชี้แจงและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก
ศูนย์มรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษาให้เห็นถึงการดำเนินการให้ความสำคัญต่อการดูแลและอนุรักษ์มรดกโลก
และการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของแหล่ง
กรณีประเด็นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นที่ปรึกษา
และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ทำหน้าที่กรรมการในคณะกรรมการมรดกโลกและหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และคณะทำงาน
เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในการดำรงตำแหน่งกรรมการมรดกโลก วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าให้พิจารณาดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
และคำนึงถึงความสัมพันธ์หว่างประเทศด้วย
ควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจนที่เป็นข้อห้ามไม่ให้มีการดำเนินการใด ๆ
ที่ส่งผลกระทบต่อมรดกโลก หรือส่งผลให้พื้นที่มรดกโลกกลายเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตรายหรือมีประเด็นสุ่มเสี่ยง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
187 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ. | 13/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพรายปีแก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการสปาและกิจการนวดเพื่อสุขภาพหรือเพื่อเสริมความงามออกไปอีก เป็นระยะเวลา ๑ ปี และกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการแก่การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงแก่ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงออกไปอีก เป็นระยะเวลา ๒ ปี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าว รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้อง และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
188 | การพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 (ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ....) | นร.09 | 06/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. .... ของกระทรวงยุติธรรม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
โดยให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่าร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. .... ของกระทรวงยุติธรรมที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ได้มีการเพิ่มเติมบัญชีลักษณะความผิดท้ายร่างพระราชกฤษฎีกาซึ่งแตกต่างจากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษที่ผ่านมา
เพื่อให้ผู้ต้องราชทัณฑ์ซึ่งต้องโทษตามความผิดดังกล่าวได้รับพระราชทานอภัยโทษเพิ่มขึ้น
โดยได้ตัดลักษณะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและลักษณะความผิดตามกฎหมายอื่นบางประการออกจากบัญชีท้ายร่างพระราชกฤษฎีกา
เช่น ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
และกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีในด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
การปกป้อง รักษา ฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า และการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
ไปพิจารณา แล้วส่งผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องลับมาก ห้ามมิให้เสนอข่าว
ให้ข่าว
หรือให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้จนกว่าพระราชกฤษฎีกาจะประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่เห็นว่าการปล่อยตัวผู้ต้องโทษที่มีภาวะติดเตียงหรือโรคที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่ต้องรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องหรือที่ไม่อาจรักษาในเรือนจำให้หายได้
ต้องพิจารณาด้วยว่าจะเป็นผลดีแก่ผู้ต้องโทษดังกล่าวหรือไม่
เพราะจะขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจะตกเป็นภาระแก่ญาติของผู้ต้องโทษซึ่งได้รับการปล่อยตัวดังกล่าวในการดูแลรักษาพยาบาล
ซึ่งอาจถูกโต้แย้งได้ว่าไม่สอดคล้องกัน หากปล่อยตัวผู้ต้องโทษดังกล่าว
สมควรที่จะจัดระบบรองรับการรักษานอกเรือนจำ
เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
189 | สรุปผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน : การบริหารและการจัดการภาวะแล้ง ของคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา | สว. | 06/07/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
ข้อเสนอเชิงนโยบายแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน :
การบริหารและการจัดการภาวะแล้ง ของคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ
วุฒิสภา ซึ่งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้รวบรวมผลการดำเนินงาน
รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคและแนวทางการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
(๑) ข้อเสนอเชิงนโยบาย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้จัดทำแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๕ แผนจัดสรรคน้ำฤดูแล้งปี ๖๓/๖๔ เป็นต้น
แต่การใช้น้ำและเพาะปลูกพืชไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้จึงไม่สามารถควบคุมแผนการจัดสรรน้ำได้
จึงเห็นควรประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับผู้ใช้น้ำ (๒)
ข้อเสนอแนะเชิงบริหารจัดการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้เตรียมพร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรและองค์กรผู้ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า
แต่ข้อมูลเชิงสถิติมีความคลาดเคลื่อนส่งผลต่อการคาดการณ์สถานการณ์น้ำ
จึงเห็นควรปรับปรุงการคาดการณ์พยากรณ์โดยอาศัยปัจจัยด้านพื้นที่มาร่วมในการวิเคราะห์
(๓) ข้อเสนอแนะเชิงการขับเคลื่อน สร้าง Thailand team ปัจจุบันสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รายงานว่า
มีกลไกการบริหารจัดการน้ำอยู่ ๒ ระดับ คือ ระดับประเทศ
คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และระดับพื้นที่ ได้แก่
คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัดและคณะกรรมการลุ่มน้ำ
แต่กลไกระดับพื้นที่ยังไม่มีอำนาจผลักดันแผนวงานในพื้นที่ได้ทั้งหมด
จึงเห็นควรผลักดันให้มีการจัดทำแผนแม่บท/แผนปฏิบัติการลุ่มน้ำ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
190 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2564 | นร.11 | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๔
ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๔ เช่น
สถานการณ์แรงงานและหนี้สินครัวเรือน (๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ จำนวน ๓ เรื่อง
ได้แก่ สังคมไร้เงินสดในบริบทของไทย กัญชา : โอกาสใหม่ที่ต้องควบคุมอย่างเหมาะสม
การคืนเด็กดีสู่สังคม : แนวทางการสร้างโอกาส และการยอมรับ และ (๓) บทความเรื่อง
“การพัฒนาวัคซีน COVID-19 ของไทย”
ซึ่งได้เสนอแนะแนวทางการพัฒนา/ผลิตวัคซีน เพื่อให้สามารถพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
191 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2564 | กค. | 22/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่
๑ ปี ๒๕๖๔ ประกอบด้วย (๑) เศรษฐกิจโลก
มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาประกอบกับการส่งออกเอเชียที่ฟื้นตัวดีขึ้นเป็นสำคัญ
และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการกระจายวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ที่เร่งตัวมากขึ้นในหลายประเทศ
และการมีแรงสนับสนุนจากมาตรการการคลังที่ออกมาอย่างต่อเนื่องและนโยบายการเงินที่ยังผ่อนคลาย
(๒) เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทยในปี ๒๕๖๔ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ต่ำลงจากการประเมินครั้งก่อนเนื่องจากได้รับผลกระทบของโควิด-๑๙
ระลอกใหม่ ส่วนเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๕ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๗
โดยประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี ๒๕๖๔ และ ๒๕๖๕ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๒ และ ๑.๐
ตามลำดับ สำหรับเสถียรภาพระบบการเงินไทย ยังมีเสถียรภาพแต่เปราะบางมากขึ้นจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้า
และ (๓) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๖๔ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน
เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ และ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ
๐.๕ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
192 | (ร่าง) แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2564 - 2570 | ศธ. | 15/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
(ร่าง) แผนพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐ ซึ่งเป็นแผนที่กำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ
ดำเนินการร่วมกันเชิงบูรณาการ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (๒๕๖๑-๒๕๘๐)
และแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา
เพื่อให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้านเต็มตามศักยภาพเป็นพื้นฐานของความเป็นพลเมืองคุณภาพ
ภายใต้ปรัชญา “เด็กปฐมวัยทุกคนต้องได้รับการดูแล พัฒนา และเรียนรู้อย่างรอบด้าน
ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย อย่างมีคุณภาพ
และเท่าเทียม ตามศักยภาพ ตามวัย และต่อเนื่อง
บนพื้นฐานของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีที่สุดสอดคล้องกับหลักการพัฒนาศักยภาพและความต้องการจำเป็นพิเศษของแต่ละบุคคล
โดยคำนึงถึงความสุข ความเป็นอยู่ที่ดี การคุ้มครองสิทธิ
และความต้องการพื้นฐานของเด็กปฐมวัย
รวมทั้งการปฏิบัติต่อเด็กทุกคนโดยยึดหลักศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การมีส่วนร่วม
การเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้องกับเด็ก
และการกระทำทั้งปวงเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ”
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น ขอแก้ไขจาก
“ภาวะโภชนาการเกิน (อ้วน)” เป็น “ภาวะน้ำหนักเกิน(อ้วน)” ขอแก้ไข “ดีเด่น (Good Practices)” เป็น “ดีเด่น (Best
Practices)” “วิธีปฏิบัติดีเด่น (Good Practices)” เป็น “ดีเด่น (Best Practices)” เป็น
“วิธีปฏิบัติดีเด่น (Best Practices)” สร้างความรู้ความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
รวมทั้งการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานในภาพรวมทั้งระบบ
และควรจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นและเพียงพอกับภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อให้การพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และข้อเสนอแนะของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร ๑๑๐๘/๑๐๒๒ ลงวันที่
๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
193 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่ อ. 338/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 85/2564 ระหว่าง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร | อส. | 15/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่
อ. ๓๓๘/๒๕๕๘ คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๘๕/๒๕๖๔ ระหว่าง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน
ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖) เรื่อง
คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
โดยศาลปกครองสูงสุด (ศาลปกครองกลาง) ได้มีคำพิพากษายกฟ้อง
และต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาแล้ว
มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
194 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2564 | ศอบต. | 08/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
(กพต.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑)
เรื่องเพื่อทราบ (๑ เรื่อง) ได้แก่ ความคืบหน้าการช่วยเหลือและการพัฒนาแรงงานไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กลุ่มที่เดินทางกลับจากต่างประเทศภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) (๒) เรื่องเพื่อพิจารณา (๔ เรื่อง) ได้แก่ ๑. การแก้ไขการระบาดของโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพาราในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
๒. การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อความยั่งยืน ๓.
ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาสุขภาวะและภาวะโภชนาการต่ำของเด็กเล็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
และ ๔. ขอทบทวนมติ กพต. เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เรื่อง แผนการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส
ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
195 | หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม | อื่นๆ | 08/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเสนอ ทั้งนี้
ในการกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการดังกล่าว
เห็นควรที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมพิจารณาเทียบเคียงกับองค์การมหาชนในกลุ่มเดียวกันในตำแหน่งดังกล่าวอย่างเหมาะสมและคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจด้วย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมใช้จ่ายจากงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ หรือหากไม่เพียงพอขอให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการ
หรือพิจารณาจากแหล่งเงินอื่นมาสมทบก่อนเป็นอันดับแรก
พร้อมทั้งขอให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามนัยของกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
196 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2563 | สช. | 25/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑๓ พ.ศ. ๒๕๖๓ ใน ๒ มติ ได้แก่ (๑) ความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤต เช่น
การดำเนินการเรื่อง “สิทธิในอาหาร” การจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการระดับชาติ
และการพัฒนาระบบอาหารให้พร้อมรับภาวะวิกฤต เป็นต้น และ (๒)
การบริหารจัดการวิกฤตสุขภาพแบบมีส่วนร่วม กรณีโรคระบาดใหญ่ เช่น
การบูรณาการด้านการบริหารจัดการ การบริหารจัดการด้านการสื่อสารและระบบข้อมูล
และการจัดให้มีกำลังคนและโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณสุขที่จำเป็นให้เพียงพอ เป็นต้น
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม
ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น
เห็นควรให้มีหน่วยงานกลางประสานงานและติดตามผลการดำเนินงาน เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการตามแผนปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข
(พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐) และหากมีภาระค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
เห็นควรให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ มาดำเนินการในโอกาสแรก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเสนอตามขั้นตอนต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
197 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 | นร.11 | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๔ และแนวโน้มปี
๒๕๖๔ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๔ ลดลงร้อยละ ๒.๖ ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ
๔.๒ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๔ ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๓ ร้อยละ ๐.๒ (QoQ_SA) โดยด้านการใช้จ่าย
มีแรงสนับสนุนสำคัญจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชน
รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายของรัฐบาลและการขยายตัวเร่งขึ้นของการลงทุนภาครัฐ
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙
ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาครัฐบาล การลงทุนรวมโดยการลงทุนภาคเอกชน การส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัวในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น
เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ รถยนต์นั่ง และลดลงในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าลดลง
ได้แก่ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ส่วนด้านการผลิต สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม
และสาขาก่อสร้าง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้และประมง สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
สาขาการเงิน ขยายตัว การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
สาขาการไฟฟ้าและก๊าซ สาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ ลดลงต่อเนื่อง ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี
๒๕๖๔ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๕-๒.๕ ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการลดลงร้อยละ ๖.๑
ในปี ๒๕๖๓ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (๑) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (๒)
แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ และ (๓) การปรับตัวตามมาตรฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี
๒๕๖๓ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. จะขยายตัวร้อยละ ๑๐.๓
ขณะที่การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ ๑.๖ และร้อยละ ๔.๓
ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๙.๓
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๑.๐-๒.๐ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ
๐.๗ ของ GDP ๓.
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๔ ควรให้ความสำคัญกับ (๑)
การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเพื่อให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและอยู่ในวงจำกัดโดยเร็ว
และการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงในระลอกใหม่ (๒)
การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน
และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดและมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ (๓)
การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า (๔) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (๕)
การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (๖)
การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (๗) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
198 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2563) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี
(กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๓) ชองธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.
ภาวะเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๓ หดตัวร้อยละ ๕.๒
จากระยะเดียวกันของปีก่อน (ปรับตัวดีขึ้นจากที่หดตัวร้อยละ ๖.๙
ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓) ซึ่งเป็นการทยอยฟื้นตัวจากการผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ การลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวสูงเนื่องจากผู้ประกอบการมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่มาก
การใช้จ่ายภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญผ่านทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน
อย่างไรก็ตาม การส่งออกบริการหดตัวรุนแรงและฟื้นตัวช้าตามกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ๒.
เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศปรับตัวดีขึ้นแต่ยังเปราะบาง
โดยตลาดแรงงานทยอยฟื้นตัว
แต่ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวช้า
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบน้อยลงตามราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ
ส่วนอัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานปรับลดลงจากกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ปรดกอบการ
ขณะที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดีและสามารถรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในภาพรวมมีทิศทางแข็งค่า ๓.
การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน
แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน
และแนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
199 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2563 | กค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (๑)
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ๒๕๖๓ ติดลบร้อยละ ๐.๘๕ ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่ร้อยละ
๑-๓ (๒) เป้าหมายนโยบายการเงิน สำหรับปี ๒๕๖๔ กำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ
๑-๓ (๓) การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงินและแนวโน้ม เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ ๓ ปี
๒๕๖๓ หดตัวร้อยละ ๖.๔
จากระยะเดียวกันของปีก่อนและปรับตัวดีจากไตรมาสก่อนที่หดตัวสูงร้อยละ ๑๒.๑
ตามการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-๑๙ ส่วนไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๓
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง กนง. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๔ จะขยายตัวร้อยละ ๓.๒
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๕ มีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ ๔.๘
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๓ เฉลี่ยติดลบที่ร้อยละ ๐.๕๖
ติดลบลดลงจากครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๓ ซึ่งติดลบร้อยละ ๑.๑๓ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วยครึ่งปีหลังของปี
๒๕๖๓ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๕ ลดลงจากครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓ ที่ร้อยละ ๐.๓๓ กนง.
ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่ขอบล่างของกรอบเป้าหมายในช่วงกลางปี
๒๕๖๔ ตามแรงสนับสนุนเงินเฟ้อด้านอุปสงค์และอุปทานที่ทยอยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กนง.
คาดว่าในปี ๒๕๖๔ และ ๒๕๖๕ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปี ๒๕๖๔ และปี ๒๕๖๕ อยู่ที่ร้อยละ ๐.๓ และ ๐.๔ ตามลำดับ และ (๔) การดำเนินนโยบายการเงิน
มีการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน
และการสื่อสารนโยบายการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
200 | การเร่งรัดการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) | นร. | 11/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๓
กำหนดให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นวาระแห่งชาติ
เพื่อให้การบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ไปแล้ว นั้น
เพื่อให้การดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเกิดผลเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ในปัจจุบัน
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักเร่งบูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน
กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อให้การจัดหา
การกระจาย และการฉีดวัคซีน เป็นไปอย่างรวดเร็ว เหมาะสม ทั่วถึง
ตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วน โดยให้ร่วมกันรณรงค์สร้างการรับรู้
ความเข้าใจที่ถูกต้อง
และความเชื่อมั่นแก่ประชาชนให้เข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด
เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต รวมทั้งให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ
ซึ่งจะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาและยุติการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ได้โดยเร็วอันจะเป็นผลให้สามารถดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เข้าสู่ภาวะปกติได้ต่อไป
|