ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
61 | การแก้ปัญหาภาวะฝนทิ้งช่วง | นร. | 07/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนในช่วงที่ผ่านมาพบว่า
หลายพื้นที่ประสบภาวะฝนทิ้งช่วงและขาดแคลนน้ำดิบสำหรับการผลิตน้ำประปา จึงขอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำดังกล่าวโดยด่วน
สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ขอให้กระทรวงมหาดไทยเร่งประสานงานกับกระทรวงกลาโหม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานทหารในพื้นที่
เพื่อให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการลำเลียงน้ำจากแหล่งอื่นมาใช้ในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาไปพลางก่อน
รวมทั้งขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) เร่งดำเนินการเจาะน้ำบาดาลในพื้นที่ที่สามารถดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
62 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2566 | กค. | 09/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๖
ของคณะกรรมการกองทุนนโยบายการเงิน (กนง.) สรุปได้ ดังนี้ (๑)
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มขยายตัว โดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวตามแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชน
ขณะที่เศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นในปี ๒๕๖๗
ในภาพรวมเศรษฐกิจโลกจึงอยู่ในทิศทางฟื้นตัว (๒) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว
โดยได้รับแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชน แรงสนับสนุนจากการจ้างงาน
และรายได้แรงงานที่ปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด (๓)
ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นเล็กน้อย จากต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนที่สูงขึ้นตามการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา
และ (๔) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๖ ในการประชุมเมื่อวันที่
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ ๒.๕๐
ต่อปี เนื่องจาก กนง.
ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับปัจจุบันเหมาะสมกับบริบทที่เศรษฐกิจกำลังทยอยฟื้นตัวกลับสู่ระดับศักยภาพและเอื้อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
63 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | สปสช. | 09/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ภายในวงเงิน ๒๓๕,๘๔๒,๘๐๐,๙๐๐ บาท สำหรับงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
วงเงิน ๒,๒๓๘,๘๓๖,๒๐๐ บาท นั้น ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ตามความจำเป็น
เหมาะสม ประหยัดและสอดคล้องกับภารกิจการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการและบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
ในด้านบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
บริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน
บริการสาธารณสุขร่วมกับกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด
และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
สำหรับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรครายบุคคลและครอบครัว ตามมาตรา ๑๘ (๑๔)
แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ และควบคุมดูแลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้บริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นไปตามการมอบหมายดังกล่าว
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย
และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น จัดทำตัวชี้วัดการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
(P&P) ในกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เช่น ข้าราชการและบุคคลในครอบครัว ผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม เป็นต้น
และให้มีการรายงานผลทุกครั้งที่เสนอขอรับงบประมาณจากคณะรัฐมนตรี การค้นหาประชาชนผู้ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้
เช่น คนไร้ที่พึ่ง คนไร้บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น
โดยอาจขอความร่วมมือกับหน่วยงาน
ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเครือข่ายระบบสุขภาพให้แก่ประชาชนคนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างครอบคลุม
สอดรับกับการได้รับสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะก่อให้เกิดความครอบคลุมแก่ประชากรทุกกลุ่ม
และนำไปสู่ความเข้มแข็งของการได้รับการคุ้มครองสิทธิและมีหลักประกันทางสังคมที่เพิ่มขึ้น
และให้ดำเนินการตามนัยมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข
ตลอดจนปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
64 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2566 | นร.11 สศช | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้ (๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสาม
ปี ๒๕๖๖ เช่น ๑) ด้านแรงงาน การจ้างงาน มีจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น ๔๐.๑ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๑.๓
จากการขยายตัวของการจ้างงานทั้งในภาคเกษตรกรรม ร้อยละ ๒.๐
และนอกภาคเกษตรกรรมร้อยละ ๑๐ ๒) หนี้สินครัวเรือน โดยไตรมาสสอง ปี ๒๕๖๖ มีมูลค่า
๑๖.๐๗ ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๖ จากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๕ ๓)
การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙๙.๙ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ ๔)
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒ ๕)
คดีอาญาโดยรวมลดลงร้อยละ ๑๓.๗ จากการลดลงของคดียาเสพติดที่ร้อยละ ๒๐.๕ และ ๖) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ
๔.๓ โดยได้รับการร้องเรียนด้านการขายตรงและตลาดแบบตรงมากที่สุด (๒)
สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ เช่น บริการผ่อนชำระที่เรียกว่าซื้อก่อนจ่ายทีหลัง
ซึ่งเป็นความนิยมในการเข้าถึงสินเชื่อยุคใหม่ โดยพบว่า
บริการดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยแต่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงจากพฤติกรรมการใช้จ่ายเกินตัวของผู้บริโภคและก่อให้เกิดหนี้เสียตามมา
และ (๓) ข้อมูลงบประมาณด้านสังคม (Social Budgeting) โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเครื่องมืองบประมาณด้านสังคม
ซึ่งช่วยให้เห็นกระแสการเงินของงบประมาณที่ใช้ในการจัดสวัสดิการสังคมให้มีประสิทธิภาพ
และพบว่าภาครัฐต้องใช้จ่ายในโครงการด้านสังคมเพิ่มขึ้น ขณะที่การจัดเก็บรายได้ยังทำได้ไม่เต็มศักยภาพ
ซึ่งจะส่งผลให้ช่องว่างทางการคลังมีแนวโน้มแคบลง
และรายจ่ายของโครงการด้านสังคมที่เป็นตัวเงินนอกเหนือจากการเกษียณและเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ดังนั้น เพื่อรักษาสถานะทางการคลังไม่ให้ตึงตัวมากเกินไป
และสร้างสมดุลระหว่างการจัดสวัสดิการแต่ละด้าน ภาครัฐต้องตระหนักถึงปัจจัยต่าง ๆ
เช่น เน้นการดำเนินนโยบายในรูปแบบร่วมจ่ายมากขึ้น
และปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
65 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอการสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิตรองรับสังคมสูงวัย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สธ. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
ข้อเสนอการสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิตรองรับสังคมสูงวัย
ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ
และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วสรุปผลการพิจารณาว่ากระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายสถานชีวาภิบาล
รองรับผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงติดบ้านติดเตียง
ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง
เป็นการดูแลต่อเนื่องตั้งแต่ระยะแรกจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
รวมถึงการดูแลผู้ป่วยแบบ Hospital at Home/Home Ward
ด้วยการดูแลอย่างเป็นระบบ อีกทั้งมี caregiver care manager ทีมสหวิชาชีพ จิตอาสาในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
และมีการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรที่ไม่ใช่บุคลากรด้านสุขภาพที่ทำงานเกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคองในสถานรับดูแลต่าง
ๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้อภิบาลผู้สูงอายุ
ผู้ให้คำแนะนำปรึกษา อาสาสมัคร เพื่อให้ระบบการดูแลแบบประคับประคอง
มีบุคลากรที่มีศักยภาพ มีความรู้ ความสามารถ และขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
66 | ขออนุมัติงบประมาณอุดหนุนค่าอาหารกลางวันของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา | ศธ. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการอนุมัติงบประมาณอุดหนุนค่าอาหารกลางวันของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๑-๓ ของโรงเรียนขยายโอกาส
สำหรับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และกรุงเทพมหานคร
ระยะเวลา ๒๐๐ วัน/ปีการศึกษา ให้มีผลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
โดยใช้อัตราตามขนาดของโรงเรียนเช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน
๒๕๖๕ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยในกรณีที่เป็นโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอน
ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓
ขอให้คำนวณจำนวนนักเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนของทั้งโรงเรียนเพื่อกำหนดเป็นขนาดของโรงเรียน
ในการประมาณการค่าอาหารกลางวันดังกล่าว ทั้งนี้
ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงการนำเงินนอกงบประมาณมาสมทบ
ตลอดจนมีการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการงบประมาณที่มีอยู่อย่างเพียงพอและเกิดประโยชน์สูงสุด
ให้สอดคล้องกับขนาดของโรงเรียนและจำนวนนักเรียนอย่างเหมาะสมและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกมิติในการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว
รวมถึงการกำหนดมาตรการ กลไกและกระบวนการติดตามประเมินผลให้มีความชัดเจน
โปร่งใสและตรวจสอบได้ เกิดผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงสาธารณสุขและกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ที่เห็นควรให้ความสำคัญและกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าว ให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ในอนาคตอาจมีการพิจารณาปรับเพิ่มงบประมาณอุดหนุนค่าอาหารกลางวันของเด็กนักเรียนให้มีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
เพื่อให้เด็กนักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีความหลากหลาย เหมาะสม
และมีคุณค่าครบถ้วนตามหลักโภชนาการ รวมถึงลดความกังวลของผู้ปกครองที่มีรายได้น้อยให้ได้มีโอกาสที่เท่าเทียมในระบบการศึกษา
และเด็กนักเรียนได้รับการพัฒนาศักยภาพตามช่วงวัยอย่างเหมาะสมต่อไป ควรพิจารณาแนวทางในการส่งเสริมให้เกิดการระดมทรัพยากรและความร่วมมือจากภาคส่วนอื่น
ๆ
โดยเฉพาะการนำรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อมมาสนับสนุนและสมทบการดำเนินการ
ผ่านการหารือและปรับปรุงข้อกฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบติดตามประเมินผลลัพธ์การดำเนินการที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางภาวะโภชนาการของนักเรียนเพื่อประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และจัดสรรเงินอุดหนุนในระยะต่อไป
ควรให้หน่วยงานต้นสังกัดของโรงเรียนขยายโอกาส
ติดตามการจัดอาหารกลางวันที่มีคุณภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการให้เพียงพอตาม “มาตรฐานอาหารกลางวันโรงเรียนไทย”
และควรทำการประเมินภาวะโภชนาการที่ถูกต้องให้กับนักเรียนขยายโอกาส
เพื่อที่จะนำผลการประเมินงานดังกล่าวไปปรับปรุงพัฒนาในโอกาสต่อไป และติดตามพัฒนาการทางร่างกายและการเรียนรู้ของนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
เพื่อเป็นมาตรการป้องกันภาวะทุพโภชนาการและความเสี่ยงอื่น ๆ
รวมทั้งป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
67 | รายงานประจำปีกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | กค. | 03/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ส่วนที่ ๑ ข้อมูลทั่วไป กองทุนฯ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยกำหนดให้ตั้งไว้ที่สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายในการจัดประชารัฐสวัสดิการที่เป็นการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย
หรือเพื่อสนับสนุนโครงการที่ให้บริการทางสังคมที่เป็นการช่วยเหลือประชาชนในภาวะลำบาก
ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประกอบด้วยการจัดรัฐสวัสดิการให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
รวม ๒ รูปแบบ ได้แก่ สวัสดิการที่ไม่กำหนดระยะเวลา
ซึ่งจะช่วยบรรเทาค่าครองชีพโดยเป็นวงเงินสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค
และสวัสดิการที่กำหนดระยะเวลา ซึ่งเป็นสวัสดิการตามมาตรการต่าง ๆ
ที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละช่วงเวลา เช่น
มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา ส่วนที่ ๓
ผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการใช้จ่ายของกองทุนฯ มีบทบาทอย่างมากต่อการบรรเทาภาระค่าครองชีพโดยช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
จำนวนกว่า ๑๓.๒ ล้านคน (เฉลี่ย ๑,๓๓๓ บาทต่อคนต่อเดือน) และส่วนที่ ๔ รายงานของผู้สอบบัญชี
และรายงานการเงินของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจรากและสังคม
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรายงานการเงินของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมแล้วรายงานว่ามีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
68 | ร่างแผนงานความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ ประจำปี ค.ศ. 2024-2025 (Joint Work Programme between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the International Energy Agency 2024-2025) | พน. | 13/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ
ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๕ (Joint Work Programme between the Ministry of
Energy of the Kingdom of Thailand and the International Energy Agency
2024 - 2025) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือผู้ทีได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างแผนงานฯ โดยร่างแผนงานฯ
มีสาระสำคัญมุ่งเน้นการผลักดันให้เกิดกิจกรรมความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานและ
IEA เพื่อให้เกิดการพัฒนาภาคพลังงานของไทยอย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะการพัฒนานวัตกรรม/เทคโนโลยีพลังงานสะอาด การอนุรักษ์พลังงาน
การลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน
และการพัฒนามาตรการรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและเครือข่ายนักวิชาการในระดับนานาชาติ
ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางนโยบายด้านพลังงานของไทยในการส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน
และการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนงานฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
(สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน) รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณที่ขอให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
69 | มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/2567 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2567 | นร.14 | 06/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบรับทราบมาตรการรองรับฤดูแล้ง
ปี ๒๕๖๖/๒๕๖๗ (๙ มาตรการ)
และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง
ปี ๒๕๖๗ มอบหมายหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยรายงานให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ
พร้อมทั้งสรุปผลการดำเนินงานรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และสำนักงบประมาณ โดยขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมยินดีให้การสนับสนุนและเร่งรัดดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง และควรให้ความสำคัญ
พร้อมทั้งเน้นย้ำหน่วยงานที่รับผิดชอบแผนงาน/โครงการให้ตรวจสอบแผนงาน/โครงการที่เสนอกับแผนงาน/โครงการตามแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และสอดรับกับความต้องการของประชาชนกลุ่มผู้ใช้น้ำ
รวมทั้ง ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่และโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน
เพื่อให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ตรงตามความต้องการและทันต่อสถานการณ์
รวมทั้งนำผลการดำเนินการ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการต่าง ๆ ตามมาตรการรองรับฤดูแล้งในปีที่ผ่านมา
มาใช้ประกอบการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
70 | แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 12 ปี 2560-2564 (ฉบับปรับปรุง) และโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ 13 ส่วนที่ 1 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท. | 09/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายไฟฟ้า
ฉบับที่ ๑๒ ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุนรวม
๗๓,๐๘๖.๙ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๔๖,๘๐๐.๐
ล้านบาท เงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวง จำนวน ๒๖,๒๐๖.๒ ล้านบาท และเงินอุดหนุนจากรัฐบาล จำนวน ๘๐.๗
ล้านบาท และโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ ๑๓ ส่วนที่ ๑
วงเงินลงทุนรวม ๗,๔๐๓.๕ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ
จำนวน ๕,๖๐๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวง จำนวน
๑,๘๐๓.๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง) บริหารจัดการค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า
ระยะที่ ๑๓ ส่วนที่ ๑ ให้อยู่ภายในกรอบวงเงินตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
เพื่อไม่ให้เกิดภาวะค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่ากรอบวงเงินงบประมาณ (Cost Overrun)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง) กระทรวงพลังงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงคมนาคม เช่น ให้การไฟฟ้านครหลวงใช้แหล่งเงินทุนจากเงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวงเป็นลำดับแรก
และหากมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อสมทบรายได้ ให้การไฟฟ้านครหลวงใช้เงินกู้ในประเทศเพื่อลงทุนตามแผนดังกล่าว
โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ ควรปรับแผนการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
และให้การไฟฟ้านครหลวงเร่งเสนอเรื่องดังกล่าวให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาโดยเร็ว
ควรกำหนดแนวทางการบริหารความสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ควรมีมาตรการควบคุมและเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
71 | สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ 5 จังหวัด (จังหวัดสตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) | นร. | 02/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในขณะนี้ภาพรวมสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้
๕ จังหวัด (จังหวัดสตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) มีระดับน้ำลดลง การระบายน้ำเป็นไปด้วยดี
และใกล้เข้าสู่ภาวะปกติเกือบทุกพื้นที่แล้ว
โดยระยะต่อไปจะเป็นช่วงการดำเนินการซ่อมแซม และฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย
จึงขอให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นศูนย์กลางในการประสานงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อช่วยกันระดมกำลังคน อุปกรณ์ และเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือและซ่อมแซมบ้านเรือนของประชาชนให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
72 | การดำเนินการเพื่อรับมือสภาพอากาศในพื้นที่ภาคใต้ | นร. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในช่วงนี้ภาคใต้ของประเทศมีสภาพอากาศแปรปรวน
ฝนตกหนัก และเกิดสภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๑. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กรมอุตุนิยมวิทยา)
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแจ้งให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทราบถึงสภาพอากาศที่เป็นปัจจุบัน
รวมทั้งแจ้งเตือนให้รวดเร็วเพื่อให้สามารถอพยพจากพื้นที่เสี่ยงภัยได้อย่างทันท่วงที ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง
ๆ แก่ประชาชนที่ประสบภัยให้รวดเร็วและทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
73 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2566 | กค. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๖๖
ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สรุปได้ ดังนี้ (๑) เศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราร้อยละ ๒.๗ และร้อยละ ๒.๕ ในปี ๒๕๖๖
และ ๒๕๖๗ ตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าการส่งออกสินค้าของเอเชียจะทยอยฟื้นตัวในช่วงต้นปี
๒๕๖๗ ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์สินค้าโลก การทยอยระบายสินค้าคงคลัง
และการฟื้นตัวของตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (๒)
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ ๒.๘ และร้อยละ ๔.๔ ในปี ๒๕๖๖ และ ๒๕๖๗
ตามลำดับ สำหรับปี ๒๕๖๖
การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยชะลอลงจากภาคการส่งออกสินค้าและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า แต่ในปี ๒๕๖๗ จะขยายตัวสูงกว่าที่คาด
จากทั้งอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศ (๓) ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นเล็กน้อย
จากต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
โดยค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๕.๑๑ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนค่าลงจากค่าเฉลี่ยไตรมาสก่อน
(๔) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๖๖ ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ
๒.๕๐ ต่อปี สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า กนง.
จะพิจารณาให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่อาจได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากนโยบายภาครัฐ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
74 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2566 และแนวโน้มปี 2566 - 2567 | นร.11 สศช | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๖
และแนวโน้มปี ๒๕๖๖-๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ (๑) เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๖
มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ขยายตัวร้อยละ ๑.๕ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ
๑.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเมื่อรวม ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๖๖ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ
๑.๙ โดยด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์สูง การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง
ส่วนการส่งออกสินค้าการอุปโภคของรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สำหรับด้านการผลิต
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวในเกณฑ์สูง
สาขาเกษตรกรรม สาขาการขายส่งและการขายปลีก และสาขาการก่อสร้างขยายตัว
ส่วนสาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่อง (๒) แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๖ และ
๒๕๖๗ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๖ คาดว่า GDP จะขยายตัวร้อยละ
๒.๕ ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๖ ในปี ๒๕๖๕ อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ
๑.๔ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑.๐ ของ GDP สำหรับปี
๒๕๖๗ คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๒.๗-๓.๗ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังนำข้อมูลในเรื่องนี้ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปตรวจสอบและวิเคราะห์ให้ถูกต้อง
ชัดเจน เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสม และรวดเร็วมากยิ่งขึ้นต่อไป ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติวิเคราะห์ข้อมูลอื่น ๆ
เพิ่มเติมด้วย เช่น หนี้ภาคครัวเรือน รายได้ของประชาชน
หนี้และศักยภาพในการประกอบธุรกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น
และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
75 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน | พน. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า
ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการที่ดำเนินการในช่วงเดือนกันยายน
๒๕๖๖-ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๖
เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการพื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ให้กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
เร่งรัดดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ความพร้อม และความสามารถทางการเงินของภาครัฐ รวมถึงปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
รวมทั้งเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ควรติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้สามารถบริหารจัดการราคาพลังงานของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อไป
และควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางในการพัฒนาแหล่งพลังงานอื่นเพื่อใช้ทดแทน
Fossil Fuel เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประชุม
COP 28 อันจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่พึ่งพา Fossil Fuel อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. เห็นชอบการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน
๓๐๐ หน่วยต่อเดือน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
76 | ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล | สผ. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่
๒ ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล เกี่ยวกับการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ ๒
และมาตรการในการแก้ไขปัญหาเมืองกำลังจะจมบาดาล โดยควรปรับผังเมืองให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการขยายตัวของเมือง
เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในกรุงเทพมหานคร ควรมีโครงสร้างการป้องกันชายฝั่ง
และการศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับญัตติพร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักงบประมาณ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
77 | ข้อเสนอแนะกรณีการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิด | สม. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะกรณีการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิด เพื่อแก้ไขปัญหาในประเด็นสิทธิอนามัยอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิเด็กและอุปสรรคที่ทำให้การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อประเด็นภาวะความพิการแต่กำเนิดยังไม่อาจบรรลุผลได้ตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายอย่างแท้จริง
จึงมีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอันเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิด
เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรี
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๗ (๓) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๖ (๓) ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
78 | (ร่าง) แผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด พ.ศ. 2566 - 2570 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 | สธ. | 14/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐
ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นแผนต่อเนื่องฉบับที่ ๓
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบการดำเนินงาน ป้องกัน
และควบคุมโรคติดต่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในระดับประเทศและในระดับพื้นที่
โดย (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย (๑) การพัฒนานโยบาย มาตรการกฎหมาย
และกลไกการบริหารจัดการการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ (๒) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
และยกระดับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคติดต่อ (๓) การยกระดับการจัดการภาวะฉุกเฉินจากโรคติดต่อ
(๔) การพัฒนากำลังคนและเครือข่ายความร่วมมือระดับชาติและนานาชาติ และ (๕)
การพัฒนาการสื่อสารความเสี่ยงและระบบสนับสนุนการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเสนอ
และให้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ เช่น ขอให้พิจารณาแก้ไขข้อมูลหน้า
๓๕ หัวข้อนโยบายการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อ ข้อ ๓. และหน้า ๑๐๕
ข้อ ๓๑. โดยแก้ไขจากคำว่า “โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน” เป็น “โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน”
เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่กล่าวถึงโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนในส่วนอื่น ๆ ของ
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามภารกิจความจำเป็นและเหมาะสม
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และ/หรือพิจารณาเงินนอกงบประมาณ รวมถึงรายได้ หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานมีอยู่
หรือสามารถนำมาใช้จ่ายสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ในการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ระยะต่อไป ควรพิจารณาผนวกรวมกับแผนปฏิบัติการด้านเตรียมความพร้อม
ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ และแผนต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน
และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาดไว้เป็นแผนเดียวกัน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือ ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาดให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน
รวมทั้งอาจพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของระบบการเฝ้าระวังโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน
(vaccine preventable diseases) ในประเทศไทย
รวมถึงการเคลื่อนย้ายของแรงงานจากประเทศใกล้เคียงปกติ และในสถานการณ์การระบาด
เนื่องจากการติดตามประวัติการฉีดวัคซีน และสถานะสุขภาพอาจจะต้องมีระบบเพื่อรองรับ
และควรให้ความสำคัญในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy)
เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อหรือโรคระบาดในภาคประชาชนและในภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะภาคการศึกษา เน้นพัฒนาเครื่องมือและสารสนเทศที่ใช้ในการสื่อสารที่มีความหลากหลายและเหมาะสมกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในการป้องกันควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
79 | รายงานการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 16 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 20 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | นร.02 | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๖ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๒๐ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
และรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ (นางสุดฤทัย เลิศเกษม)
เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ กันยายน ๒๕๖๖ ณ นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปได้
ดังนี้ (๑) การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๖
โดยที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับหัวข้อ “สื่อ : จากข้อมูลสู่ความรู้เพื่ออาเซียนที่ยืดหยุ่นและพร้อมตอบสนอง”
โดยได้เน้นย้ำการยกระดับการดำเนินงานของสื่อ
ในการปรับตัวใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างสังคมแห่งความรู้ ซึ่งไทยได้เสนอแนวคิด
3I (Informative Intelligent และ Inclusive) เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาประชาคมอาเซียน นอกจากนี้
ที่ประชุมได้ให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์อย่างเป็นทางการ จำนวน ๕ ฉบับ ได้แก่ ๑)
แถลงการณ์วิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน อาเซียน ๒๕๗๘ : มุ่งสู่นิเทศอาเซียนที่พร้อมเปลี่ยนแปลง พร้อมตอบสนอง และยืดหยุ่น ๒)
ปฏิญญาดานังว่าด้วย “สื่อ : จากข้อมูลสู่ความรู้เพื่ออาเซียนที่ยืดหยุ่นและพร้อมตอบสนอง”
๓) แนวทางการจัดการข้อมูลภาครัฐเพื่อต่อต้านข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนในสื่อ ๔)
แผนปฏิบัติการคณะทำงานเฉพาะกิจอาเซียนด้านการรับมือข่าวลวง และ ๕)
แถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๖
และการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+๓ ครั้งที่ ๗ (๒)
การประชุมทวิภาคีระหว่างไทย-สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด) ได้หารือร่วมกับนายเหวียน แม็ง ห่ม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสารสนเทศและการสื่อสารเวียดนาม
ในประเด็นความร่วมมือด้านการต่อต้านข่าวปลอม
โดยเสนอให้แลกเปลี่ยนการข่าวอาเซียนให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วนและน่าเชื่อถือทั้งในห้วงปกติและภาวะวิกฤติ
และ (๓) การประชุมทวิภาคีระหว่างไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด)
ได้หารือร่วมกับนายเนตร พักตรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารกัมพูชา
ในประเด็นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์
ซึ่งไทยได้เสนอให้ใช้กลไกความร่วมมือด้านสื่อ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทั้งสองประเทศมีความรู้เท่าทันสื่อและมีแนวทางในการรับมือจากภัยหลอกลวงทางออนไลน์
ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
80 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 23 | พณ. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC Council) ครั้งที่ ๒๓ เมื่อวันที่
๓ กันยายน ๒๕๖๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์)
เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในการประชุมฯ
ได้มีการพิจารณารับรองและเห็นชอบเอกสาร จำนวน ๘ ฉบับ
ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๒๓
สิงหาคม ๒๕๖๖ เช่น (๑) ยุทธศาสตร์อาเซียนเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน (๒)
ปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยกรอบการดำเนินงานสำหรับโครงการพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม และ (๓)
ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการในการตอบสนองต่อภาวะวิกฤต
รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ปัจจุบันอาเซียนให้ความสำคัญกับประเด็นเศรษฐกิจดิจิทัล
โดยได้เริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน
ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าภายในอาเซียนให้เอื้อกับการค้ายุคใหม่ที่ปรับเปลี่ยนไปสู่รูปแบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น
เช่น การอำนวยความสะดวกในการค้าข้ามพรมแดนทางดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การชำระเงิน
และความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|