ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2566) ของธนาคารแห่งประเทศไทย และรายงานการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินสำหรับปี 2567 | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานประจำครึ่งปี
(กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๖) ของธนาคารแห่งประเทศไทย
และรายงานการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินสำหรับปี
๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๖ ขยายตัวที่ร้อยละ ๑.๖
ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ ในช่วงครึ่งแรกของปี
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและดัชนีค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยอ่อนค่าลง
แต่เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี
ซึ่งสะท้อนจากสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งดีกว่าเกณฑ์สากล
๑.๒ การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการดำเนินนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ
๒.๕ และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาจนถึงสิ้นปี ๒๕๖๖
ส่วนการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน คณะกรรมการนโยบายการเงินเห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
รวมทั้งผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสากลมากขึ้น
๑.๓ การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่ง
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว
การคงอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งสำหรับปี ๒๕๖๗ ที่อัตราร้อยละ ๐.๔๖
ต่อปีเช่นเดิมจะช่วยให้หนี้ที่เหลืออยู่ลดลงได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้
คาดว่าการชำระหนี้จะเสร็จสิ้นภายในปี ๒๕๗๔ ๒. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า
เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลังมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
โดยเฉพาะการให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and
Medium Enterprises : SMEs) ในภาคธุรกิจที่มีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการเกษตร เป็นต้น สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้เพิ่มขึ้น
เพื่อให้มีสภาพคล่องที่เพียงพอต่อการประกอบกิจการ
และเป็นการใช้สภาพคล่องของสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงเห็นควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาร่วมกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลพิจารณาจัดทำมาตรการที่เหมาะสม
เพื่อลดปัญหาอุปสรรคของการให้สินเชื่อดังกล่าว นอกจากนี้
เห็นควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาร่วมกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดภาระหนี้สินของลูกหนี้อย่างเข้มข้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | นโยบาย "ค่าโดยสารราคาเดียว" ตลอดสาย (ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท) | นร. | 15/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า นโยบาย “ค่าโดยสารราคาเดียว”
ตลอดสาย เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
และเพิ่มการเข้าถึงการใช้บริการรถไฟฟ้าของประชาชน รวมทั้งเกิดประโยชน์ในด้านสังคม เนื่องจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางของประชาชน
และลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนตัวมาใช้รถขนส่งมวลชนสาธารณะ
รวมทั้งยังช่วยลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมในเขตเมืองอีกด้วย
จึงขอให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาแนวทางการดำเนินนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า
๒๐ บาท ตลอดสายให้ครอบคลุมสายทางต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น
โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ความเหมาะสมคุ้มค่าด้านการเงินและงบประมาณ
และแหล่งที่มาของเงินงบประมาณ แล้วดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ. 664/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 1054/2566 ระหว่าง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 309 คน ผู้ฟ้องคดี กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่ 1 กับพวกรวม 5 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร | อส. | 15/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคณะรัฐมนตรี
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ในคดีหมายเลขดำที่ อ. ๖๖๔/๒๕๕๘ ระหว่าง
สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ ๑ กับพวกรวม ๓๐๙ คน ผู้ฟ้องคดี
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่ ๑ กับพวกรวม ๕ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ.
๑๐๕๔/๒๕๖๖ และคดีถึงที่สุดแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลา การลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค. | 17/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะครบกำหนดวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๗ ต่อไปอีก เป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ โดยยังคงจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๖.๓
(ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาทยอยปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ
ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและขยายฐานภาษีให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
เพื่อลดข้อจำกัดทางการคลัง และรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงินโลก
การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น สำนักงบประมาณ เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 3 | กค. | 17/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗ ครั้งที่ ๓ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่
๒/๒๕๖๗ เมื่อ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑) แผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่ม ๑๑๒,๐๐๐ ล้านบาท จากเดิม ๑,๐๓๐,๕๘๐.๗๑ ล้านบาท เป็น ๑,๑๔๒,๕๘๐.๗๑
ล้านบาท โดยเป็นแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล (รัฐบาลกู้มาใช้โดยตรง) ปรับเพิ่ม ๑๑๒,๒๐๐ ล้านบาท และ ๒) แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับลด ๑๒,๖๐๓.๘๗
ล้านบาท จากเดิม ๒,๐๔๒,๓๑๔.๐๖ ล้านบาท
เป็น ๒,๐๒๙,๗๑๐.๑๙ ล้านบาท
เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรปรับลดแผนการบริหารหนี้เดิมจาก ๔๙,๐๕๔.๐๐ ล้านบาท เป็น ๓๖,๔๕๐.๑๓ ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง สำนักงบประมาณ เห็นควรกำกับ ติดตาม
และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างแท้จริง ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าภายใต้ภาวะตลาดการเงินที่อาจมีความผันผวนสูงขึ้น
รัฐบาลควรมีการบริหารจัดการเครื่องมือในการระดมทุนให้เหมาะสม
กระจายการระดมทุนไม่ให้กระจุกตัว ควบคู่กับการสื่อสารกับตลาดอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอ
เพื่อลดผลกระทบที่จะมีต่อตลาดการเงิน และต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐและเอกชน และให้ความสำคัญกับการชำระคืนต้นเงินกู้
เนื่องจากหากมีการชำระหนี้ในระดับที่ต่ำเกินไปอาจทำให้ความเสี่ยงทางการคลังในระยะต่อไปเพิ่มขึ้นได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | แนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 170 (4) | นร.05 | 15/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี
กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๐ (๔) ดังนี้ ๑. สถานะของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ๑.๑
คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง แต่ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป (ไม่เรียกว่า
รักษาการ และได้รับเงินเดือนแต่ยังไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน) ๑.๒
คณะรัฐมนตรียังคงมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศเท่าที่จำเป็นทุกประการ
กรณีมีสถานการณ์คุกคามความมั่นคงของชาติ ย่อมมีอำนาจหน้าที่ที่จะประกาศมาตรการเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติได้
เช่น ประกาศภาวะฉุกเฉินหรือประกาศกฎอัยการศึก เป็นต้น ๑.๓
การลงชื่อตำแหน่งของรัฐมนตรี ยังคงลงชื่อในตำแหน่งเดิม
มิใช่เป็นการรักษาการหรือรักษาการในตำแหน่ง ๒. หลักการเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ๒.๑
เรื่องที่เป็นนโยบายใหม่ซึ่งมีผลผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ไม่ควรพิจารณา ๒.๒
เรื่องที่จำเป็น เร่งด่วน หรือเรื่องที่ต้องให้พิจารณาดำเนินการเป็นเรื่อง ๆ ไป
ทั้งนี้ ข้าราชการการเมืองที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง
พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ผู้แทนการค้าไทยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งตามมาตรา
๑๑ (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.
๒๕๓๔และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย
ซึ่งหากจะให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ให้ดำเนินการแต่งตั้งตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | การป้องกันและปราบปรามธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย | นร. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากมีข้อร้องเรียนจากภาคธุรกิจเอกชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เกี่ยวกับธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์
ที่ได้เข้ามาค้าขายอย่างผิดปกติในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อโอกาสและความอยู่รอดในการผลิตและการทำธุรกิจของคนไทย
จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดมาตรการ/แนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตและผู้ประกอบการชาวไทยให้ชัดเจน
เป็นรูปธรรม ครบถ้วนในทุกมิติ เช่น ๑.
การตรวจสอบความถูกต้องของการจดทะเบียนการค้าและใบอนุญาตต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจของต่างประเทศและดำเนินคดีกับผู้ประกอบการต่างประเทศที่กระทำการผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด ๒.
การตรวจสอบคุณภาพสินค้าจากต่างประเทศว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือได้รับการตรวจสอบรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยแล้วหรือไม่
เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
และมาตรฐานอาหารและยา (อย.) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิและสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค
โดยให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นเจ้าภาพ
ประสานการดำเนินการกับกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาตามแต่กรณีต่อไป ๓. การตรวจสอบใบอนุญาตนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศและการชำระอากรขาเข้าของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ๔.
การตรวจสอบความถูกต้องของการได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง. 4) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ในการพิจารณากำหนดมาตรการ/แนวทางในการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น
ให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับความตกลงการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ควบคู่ไปกับการรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการของไทยอย่างสมดุล
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางการสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ของไทย
ให้สามารถปรับตัวและแข่งขันได้กับต่างชาติในสภาวะการค้าขายของโลกในปัจจุบันด้วย
แล้วให้จัดทำสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการในภาพรวม เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วภายในเดือนสิงหาคม
๒๕๖๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงการประชุมระดับสูงเอเปคว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 14 | สธ. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงการประชุมระดับสูงเอเปคว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑๔ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงฯ
โดยร่างถ้อยแถลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนให้เขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคเสริมสร้างระบบสุขภาพให้มีความเข้มแข็งครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม
โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น การเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาด
การส่งเสริมบทบาทและความเท่าเทียมทางเพศภาวะ
การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบสุขภาพปฐมภูมิกับการเสริมสร้างการศักยภาพของกำลังคนด้านสุขภาพในระบบสุขภาพ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าร่างถ้อยแถลงฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่โดยที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย กระทรวงสาธารณสุขควรเสนอร่างถ้อยแถลงฯ
ให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 | นร.11 สศช | 06/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบภาวะสังคมไทยโตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๗
มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความเคลื่อนไหวทางสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง
ปี ๒๕๖๗ เช่น ๑) การจ้างงาน โดยผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๖ ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ร้อยละ ๐.๑ ซึ่งเป็นผลจากการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลงกว่าร้อยละ ๕.๗ ในช่วงนอกฤดูการทำเกษตรกรรม
๒) หนี้สินครัวเรือน มีมูลค่า ๑๖.๓๖ ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ซึ่งลดลงจากร้อยละ
๓.๔ ของไตรมาสก่อนหน้า ๓) การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี
๒๕๖๖ ร้อยละ ๘๐.๑ หรือเพิ่มจาก ๑๔๔,๑๘๗ ราย เป็น ๒๕๙,๖๗๒ ราย
ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากโรคระบาด เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ๔)
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น ร้อยละ ๔.๕
โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการบริโภคแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๗ และ ๕)
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน คดีอาญาไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๗
มีการรับแจ้งทั้งหมดจำนวน ๑๑๒,๐๙๔ คดี เพิ่มขึ้น จากไตรมาสเดียวกันของปี
๒๕๖๖ ร้อยละ ๗.๙ ๑.๒ สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ
เช่น ปัญหาสุขภาพจิตที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสังคมไทย
ควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดย ๑) การป้องกัน
โดยสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว ๒) การรักษา
เร่งเพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอ และขยายบริการการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสถาบันบำบัดรักษา
๓) การติดตามและฟื้นฟูเยียวยา
โดยจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจิตที่ครอบคลุมผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อความรุนแรงให้ได้รับการรักษาต่อเนื่อง ๑.๓ มุมมองการยื่นและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของคนไทย
โดยส่วนใหญ่มองว่าระบบการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปัจจุบันมีความเป็นธรรมในระดับปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ
สาเหตุมาจากระบบการตรวจสอบยังไม่ครอบคลุมทำให้มีผู้ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเสียภาษี
ขณะที่ผู้มีรายได้สูงบางกลุ่มมีการหลบเลี่ยงภาษี โดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย
เพื่อให้มีภาระในการใช้จ่ายน้อยลง
ซึ่งแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อาจดำเนินการได้ เช่น การตรวจสอบและลงโทษผู้ที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องอย่างเข้มงวด
เป็นต้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
โดยที่จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังของคนไทยยังคงเพิ่มขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง
จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทาง/มาตรการในการดำเนินการเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยด่วน
รวมทั้งเพื่อป้องกันโรคระบาดต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ๓.
ในส่วนของการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคผ่านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ซึ่งมีอัตราการร้องเรียนลดลง นั้น
ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามและเฝ้าระวังปัญหาการถูกหลอกลวงให้รับหรือจ่ายบิลออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน
การขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งผู้ซื้อสินค้ามีความเสี่ยงต่อการถูกหลอกให้โอนเงินไปให้โดยไม่ได้รับสินค้าหรือได้รับสินค้าไม่ตรงกับที่ได้เสนอขายไว้
หรือถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ซื้อไปใช้ประโยชน์อื่นในทางที่ไม่ถูกต้อง
จึงขอมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)
รับเรื่องนี้ไปพิจารณาในคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่
มอก. ๓๐๑๗ - ๒๕๖๓ โดยเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล
รวมทั้งให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง”
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิด | สธ. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิด ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปได้ว่า ๑)
มาตรการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิดก่อนการตั้งครรภ์ ในระยะสั้นและระยะกลาง
มีการเสนอขอเพิ่มสิทธิประโยชน์การป้องกันความพิการแต่กำเนิดด้วยยาเม็ดกรดโฟลิก
เสนอขออนุมัติสิทธิประโยชน์เพื่อให้ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิ ทั้งนี้
การเข้ารับบริการกรดโฟลิกสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ได้ ๒)
มาตรการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิดระหว่างการตั้งครรภ์ ในระยะสั้นและระยะยาว โดยตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕
ได้เริ่มดำเนินการคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย ทุกสิทธิ
มีการขอเพิ่มการคัดกรองดาวน์ซินโดรมด้วยวิธี NIPT และให้เป็นสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตนต่างด้าวเหมือนคนไทย
โดยให้เบิกจากกองทุนประกันสังคมแรงงานต่างด้าว และ ๓)
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม เห็นด้วยกับหลักการที่จะส่งเสริมการผสมกรดโฟลิกในส่วนผสมอาหาร
กรมอนามัยเห็นว่า การบริโภคผัก ผลไม้ให้ได้ ๔๐๐ กรัมต่อวัน
ปริมาณโฟเลตที่ได้รับจะเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย กระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
มีการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ประโยชน์
และความจำเป็นต่อการบริโภคกรดโฟลิกของหญิงวัยเจริญพันธุ์การตรวจคัดกรองดาวน์ชินโดรมของหญิงตั้งครรภ์
กระทรวงศึกษาธิการมีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑
ที่ให้สถานศึกษานำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติและเนื้อหาประโยชน์และความจำเป็นต่อการบริโภคกรดโฟลิกของหญิงวัยเจริญพันธุ์อยู่ในสาระที่
๔ การสร้างเสริมสุขภาพสมรรถภาพและการป้องกันโรค ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | การจัดทำเอกสาร National Commitment สำหรับการประชุมสุดยอดว่าด้วยกีฬาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sport for Sustainable Development Summit: S4SD Summit) ในห้วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส | กต. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำเอกสาร
National Commitment สำหรับการประชุมสุดยอดว่าด้วยกีฬาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
(Sport for Sustainable Development Summit : S4SD Summit) ในห้วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน
๒๐๒๔ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมีสาระสำคัญ รวม ๓ ประเด็น ได้แก่ ๑)
สุขภาวะสำหรับเยาวชน ๒) เป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านการศึกษาสุขภาวะ
และโภชนาการ และ ๓) การใช้กีฬาเป็นเครื่องมือเสริมสร้างสันติภาพฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสาร National Commitment ของประเทศไทยสำหรับการประชุมสุดยอดว่าด้วยกีฬาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sport
for Sustainable Development Summit : S4SD Summit) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 | กษ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี
(โครงการฯ) ปีการผลิต ๒๕๖๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน
Tier 1)
และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน ๒๑
ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม ๒,๓๐๒.๑๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ยกเว้นในส่วนของการกำหนดผู้รับผลประโยชน์กรณีเกษตรกรเป็นลูกค้าสินเชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) ให้เกษตรกรที่ประสบภัยที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส.
เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ
ควรได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน หากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน
อาจทำให้มีเงินทุนลดลงสำหรับการเพาะปลูกรอบใหม่และไม่สามารถพ้นจากภาวะหนี้สินได้
รวมทั้งเห็นควรขยายระยะเวลาการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัย
เพื่อให้เกษตรกรในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคเหนือ
และภาคตะวันตก รวม ๖๓ จังหวัด ซึ่งสิ้นสุดการจำหน่ายกรมธรรม์ในวันที่ ๗ กรกฎาคม
๒๕๖๗ มีโอกาสเข้าร่วมโครงการฯ ได้เพิ่มมากขึ้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควรเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรในวงกว้างให้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีหลักประกันภัยเพื่อผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
ร่วมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยทางการเกษตรให้แตกต่างหลากหลายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรได้ตรงจุด
และเร่งรัดพัฒนาระบบการบริหารจัดการและเทคโนโลยีด้านการประกันภัยสินค้าเกษตรให้สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้อย่างถูกต้องและจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ทันต่อความต้องการใช้จ่ายของเกษตรกรเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตหรือการวางแผนเพาะปลูกในรอบการเพาะปลูกต่อไปได้อย่างทันต่อสถานการณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2566 | กค. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้ม : เศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว โดยเฉพาะการใช้จ่ายในหมวดบริการ
สำหรับภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยว
แต่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อคนปรับลดลงจากจำนวนวันพักที่ลดลงและสัดส่วนนักท่องเที่ยวระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาคการส่งออกสินค้ายังคงฟื้นตัวช้า ๑.๒ เสถียรภาพระบบการเงินและภาวะการเงิน : ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ
แต่ต้องติดตามพัฒนาการของคุณภาพสินเชื่อที่อาจได้รับแรงกัดดันจากความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงของผู้ประกอบการ
SMEs และครัวเรือนบางส่วนที่ยังเปราะบางจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นและรายได้ที่ฟื้นตัวช้า
รวมถึงติดตามความสามารถในการระดมทุนของภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ๑.๓ การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย : กนง. มีมติ (๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ และ ๒๗ กันยายน
๒๕๖๖) ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕
และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาจนถึงสิ้นปี ๒๕๖๖ ๑.๔ การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน : ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนค่าในไตรมาสที่
๔ ของปี ๒๕๖๖ แข็งค่าขึ้นหลังธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ๑.๕
การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน : กนง.
ได้สนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน
โดยเฉพาะมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมแก่ลูกหนี้
รวมทั้งสนับสนุนแนวทางการดูแลหนี้ครัวเรือนเพิ่มเติมที่จะดำเนินการควบคู่ไปด้วยในอนาคต ๒. ให้
กนง. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า กนง.
ควรคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชนที่สูงขึ้น
รวมถึงความเปราะบางที่เกิดจากภาระหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการ
SMEs ตลอดจนแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยของต่างประเทศ
เพื่อนำไปใช้ในการพิจารณาดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป
เพื่อให้ทิศทางการส่งผ่านนโยบายการเงินสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและผลักดันให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่ และภาพรวม ปี 2566 | นร.11 สศช | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่
และภาพรวม ปี ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสี่ และภาพรวม ปี ๒๕๖๖ เช่น (๑) การจ้างงาน
มีจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น ๔o.๓
ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๑.๗
จากการขยายตัวของการจ้างงานทั้งในภาคเกษตรกรรม ร้อยละ ๑.๐ และนอกภาคเกษตรกรรม
ร้อยละ ๒.๐ (๒) หนี้สินครัวเรือน โดยไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๖ มีมูลค่า ๑๖.๒ ล้านล้านบาท
ขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (๓)
การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗o โดยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สูงสุด
(๔) การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๘ (๕)
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน คดีอาญาโดยรวมลดลงร้อยละ ๑๐.๕
จากการลดลงของคดียาเสพติดที่ร้อยละ ๑๖.๗ (๖) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสินค้าและบริการลดลงร้อยละ ๑๕.๒ และร้อยละ ๑๔.๑
ตามลำดับ ๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ เช่น
การไม่มีกฎระเบียบสำหรับกลุ่ม Influencer อย่างชัดเจน
การเจาะเหตุพฤติกรรมเพื่อป้องกันความรุนแรงจากการกระทำผิดของเด็ก
และการเพิ่มประสิทธิภาพข้าวไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ๓) ปัจจัยที่กระทบต่อคุณภาพการศึกษาและคุณภาพชีวิตของเด็กไทย
ซึ่งทำให้ไทยมีคะแนนเฉลี่ย PISA ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
ของ OECD ได้แก่ (๑)
ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ (๒)
การกระจายทรัพยากรทางการศึกษามีความแตกต่างกันตามขนาดโรงเรียนและสังกัด (๓)
บทบาทของครอบครัวที่น้อยลง (๔) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็กลดลง (๕)
ความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่โรงเรียน และ (๖)
บรรยากาศในการเรียนที่ไม่เหมาะสมและไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2566 ทั้งปี 2566 และแนวโน้มปี 2567 | นร.11 สศช | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี
๒๕๖๖ ทั้งปี ๒๕๖๖ และแนวโน้มปี ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑) เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๖ มูลค่า GDP ขยายตัวร้อยละ ๑.๗
เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๔ ในไตรมาสที่สาม ๒) เศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๖ ขยายตัวร้อยละ ๑.๙
ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๕ ในปี ๒๕๖๕ อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ ๑.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ
๑.๓ ของ GDP และ ๓) แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๗
คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๒.๒ - ๓.๒
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้า การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนและการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐ และร้อยละ ๓.๕
ตามลำดับ ส่วนการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหาภาคในปี ๒๕๖๗
รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เช่น (๑)
การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพิ่มขึ้น (๒)
การเร่งรัดผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี ๒๕๖๔ -
๒๕๖๖ (๓) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และ (๔)
การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2567 และแนวโน้มปี 2567 | นร.11 สศช | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๗ และแนวโน้มปี ๒๕๖๗
สรุปได้ ดังนี้ ๑) เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๗ มูลค่า GDP ขยายตัวร้อยละ ๑.๕
ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๗ ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๖ และ ๒)
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๗ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๐ - ๓.๐
ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการขยายตัวร้อยละ ๑.๙ ในปี ๒๕๖๖ ส่วนการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ในปี ๒๕๖๗ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เช่น (๑)
การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
(๒)
การขับเคลื่อนการส่งออกควบคู่ไปกับการเร่งรัดปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ
และ (๓) การติดตาม เฝ้าระวัง
และเตรียมมาตรการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | มาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) | กสศ. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์
(Thailand Zero Dropout)
และเห็นชอบร่างมาตรการฯ จำนวน ๔ มาตรการ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สรุปได้ ดังนี้ ๑) มาตรการค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาผ่านการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การค้นพบเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ๒) มาตรการติดตาม
ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา
โดยบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนแต่ละรายทั้งด้านการศึกษา
สุขภาวะ พัฒนาการ สภาพความเป็นอยู่ และสภาพสังคม ๓)
มาตรการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพ
และเหมาะสมกับศักยภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละราย มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาและพัฒนาเต็มศักยภาพของตนเอง
และ ๔) มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษาหรือเรียนรู้
มีเป้าหมาย เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ในลักษณะ
Learn to Earn ให้เด็กและเยาวชนอายุ ๑๕-๑๘ ปี
ได้พัฒนาทักษะการทำงานที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน เหมาะสม ตามศักยภาพและมีรายได้เสริมระหว่างการศึกษา
ตามที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเสนอ ทั้งนี้
ให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาควรเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนและมีแผนการดำเนินการของมาตรการดังกล่าวที่ชัดเจน
เพื่อกระทรวงการคลังจะได้นำมาพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของมาตรการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรณีปัญหามลภาวะทางอากาศในพื้นที่ 8 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน | ทส. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
กรณีปัญหามลภาวะทางอากาศในพื้นที่ ๘ จังหวัด ภาคเหนือตอนบน ซึ่งได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในเรื่องดังกล่าวมีความเหมาะสมในหลักการ
และเป็นการศึกษาที่ครอบคลุมในหลายมิติ
ส่วนใหญ่สอดคล้องกับการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ
“การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน | พน. | 07/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน
เป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ดำเนินการในช่วงเดือนมกราคม
ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๖๗ และมาตรการด้านไฟฟ้า ที่ดำเนินการในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม
๒๕๖๗
เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่
๑) มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน ๓๓
บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๗
ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗ และตรึงราคาขายปลีก LPG ที่ระดับ ๔๒๓ บาทต่อถังขนาด ๑๕ กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน
๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๗ และ ๒) มาตรการด้านไฟฟ้า ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า
(ก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม) แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน ๓๐๐
หน่วยต่อเดือน จำนวน ๑๙.๐๕ สตางค์ต่อหน่วย ตั้งแต่พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายและแหล่งงบประมาณในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์
รวมทั้งพิจารณาราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการใช้พลังงาน
รวมถึงเร่งศึกษาการกำหนดมาตรการระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ
เร่งรัดดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ
ความพร้อมและความสามารถทางการเงินของภาครัฐ ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน
รวมทั้งเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
และให้มีการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อให้การดำเนินมาตรการดังกล่าวบรรลุผลสัมฤทธิ์และมีความคุ้มค่าอย่างแท้จริง
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และโดยที่ในปัจจุบันราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันและไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะคงตัวอยู่ในระดับสูงโดยผลของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศในภูมิภาคต่าง
ๆ หาก Subsidize มากเกินไปก็อาจกระทบต่อการเคลื่อนไหวของกลไกตลาด
และอาจทำให้มีการใช้พลังงานโดยไม่คุ้มค่า
สมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมกันพัฒนาแหล่งพลังงานอื่นเพื่อใช้ทดแทน Fossil
Fuel ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|