ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 6 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 101 - 120 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
101 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2565 | นร.11 สศช | 04/04/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี ๒๕๖๕
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสี่และภาพรวม ปี ๒๕๖๕
เช่น สถานการณ์แรงงานไตรมาสสี่ การจ้างงานมีการขยายร้อยละ ๑.๕
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๙ จากร้อยละ
๓.๕ ของไตรมาสก่อน
เป็นผลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังไตรมาสสี่และภาพรวม ปี
๒๕๖๕ เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคโควิด-๑๙
จากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและการหามาตรการป้องกันมลพิษทางอากาศที่ยั่งยืน
(๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑) อินเทอร์เน็ต : โอกาสและข้อจำกัดในการยกระดับการศึกษาของเด็กไทย ๒) เรียนรู้การกำหนดค่าจ้างจากต่างประเทศ
และ ๓) การพัฒนาทักษะแรงงานไทย ทันหรือไม่ต่อการเปลี่ยนแปลง (๓) บทความเรื่อง
“ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา : แหล่งรายได้รัฐและเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำ”
มีประเด็นที่ควรดำเนินการ ได้แก่ ๑) นำคนทุกกลุ่มเข้ามาอยู่นระบบภาษี โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบ
๒) ทบทวนการยกเว้นภาษีให้แก่รายได้บางประเภท ๓)
ทบทวนสิทธิประโยชน์การหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน และ ๔) สื่อสารให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการจ่ายภาษี
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
102 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2566 | กษ. | 21/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์
๒๕๖๖ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีในโควตาตามพันธกรณีตามความตกลงว่าด้วยการเกษตรภายใต้
WTO สำหรับสินค้ามะพร้าวและมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมะพร้าวและแฟรกชันของน้ำมันมะพร้าว
สำหรับปี ๒๕๖๖-๒๕๖๘ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ฯ เดิมของปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕ เช่น
กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับการจัดสรร การจัดสรรปริมาณน้ำเข้า
และการออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีฯ
และได้มีการปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรกรณีปริมาณที่ขอรับการจัดสรรทุกรายรวมเกินกว่าปริมาณที่จัดสรร
โดยให้จัดสรรแก่ผู้ขอรับการจัดสรรแต่ละรายที่เท่ากันโดยวิธีหารเฉลี่ย
(๒)การบริหารปริมาณการนำเข้ามะพร้าวผล พิกัดฯ ๐๘๐๑.๑๒.๐๐ พิกัดฯ ๐๘๐๑.๑๙.๑๐
และพิกัดฯ ๐๘๐๑.๑๙.๙๐ ตามกรอบความตกลง AFTA ปี ๒๕๖๖
ในช่วงแรก (เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖) โดยผู้ประกอบการ/ผู้นำเข้าจะชะลอการนำเข้ามะพร้าวผลพิกัดฯ
ดังกล่าวในช่วงแรก (เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖) ออกไปก่อน
และได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ/ผู้นำเข้าชะลอการนำเข้ามะพร้าวผลภายใต้กรอบความตกลง
WTO กะทิสำเร็จรูปและกะทิแช่แข็งออกไปก่อนด้วย จนกว่าราคา
มะพร้าวผลภายในประเทศจะกลับสู่ภาวะปกติ ตามที่คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
103 | ร่างเอกสารการขยายระยะเวลาของความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน (Instrument of Extension of the ASEAN Petroleum Security Agreement) | พน. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างเอกสารการขยายระยะเวลาของความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน
(Instrument of Extension of the ASEAN
Petroleum Security Agreement) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม โดยร่างเอกสารฯ
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาของความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน
(ASEAN Petroleum Security Agreement) ที่จะสิ้นสุดลงในวันที่
๒๒ มีนาคม ๒๕๖๖ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘ ซึ่งความตกลงฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกช่วยเหลือของประเทศสมาชิกอาเซียนในภาวะฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่มีการขาดแคลนด้านพลังงาน
โดยมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ให้ภาคีต้องปฏิบัติ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
104 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2565 | กค. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๕ (๑ กรกฎาคม-๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
เป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับปี ๒๕๖๖ คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๕)
อนุมัติอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑-๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงิน ๒.
ภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๕
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และ กนง.
ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยจะขยายตัวที่ร้อยละ ๓.๗ และ
๓.๙ ในปี ๒๕๖๖ และ ๒๕๖๗ ตามลำดับ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๖.๕
ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๕ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๕.๖
และระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพแต่ยังมีความเปราะบางในบางจุด โดยระบบธนาคารพาณิชย์ยังมั่นคง
แต่ต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ๓.
การดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๕ กนง.
ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวม ๓ ครั้ง จากร้อยละ ๐.๕๐ เป็นร้อยละ ๑.๒๕
เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน
เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๕ เคลื่อนไหวผันผวนตามทิศทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา
โดยเริ่มปรับแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๕
หลังมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะชะลอการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ทั้งนี้ กนง. เห็นควรผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
105 | การขยายอายุมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (ระยะเวลา 1 ปี) | กค. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายอายุมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ
(วงเงิน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ออกไปอีก ๑ ปี (เดิมระยะเวลาดำเนินการ ๒ ปี) เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือแก่ภาคธุรกิจภายใต้
(๑) มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู เพื่อให้ความช่วยเหลือและเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(Small and Medium Enterprises : SMEs) ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ แต่ยังประกอบธุรกิจและมีศักยภาพในการแข่งขัน
แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูธุรกิจ และ (๒) มาตรการสินเชื่อเพื่อการปรับตัว (Transformation
Loan) เพื่อเป็นแหล่งทุนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ที่มีความพร้อม
และต้องการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อรองรับบริบทใหม่และการเปิดประเทศหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ๑.๒
ไม่ขยายอายุมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (วงเงิน
๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน
โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ
ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องนำหลักประกันมาเข้าโครงการ ๑.๓
โอนวงเงินคงเหลือของมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ภายหลังสิ้นสุดมาตรการ
ณ วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๖
มารวมไว้เป็นวงเงินภายใต้มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ
เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
โดยคาดว่าจะมีวงเงินคงเหลือตามมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้สูงสุด
จำนวน ๒๙,๐๐๐ ล้านบาท
เมื่อนำมารวมกับมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจจะทำให้มีวงเงินคงเหลือรวมทั้งสิ้นประมาณ
๖๑,๕๐๐ ล้านบาท หลังจากการต่ออายุมาตรการดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างครอบคลุมเป็นธรรม
และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
106 | การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 300,000,000.00 บาท (สามร้อยล้านบาทถ้วน) | พม. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ จำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (สำนักงานธนานุเคราะห์)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันตามนัยมาตรา
๙ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยกู้เงินตามความจำเป็นและพิจารณาเงื่อนไขการกู้เงินให้สอดคล้องกับภาวะตลาด
รวมทั้งการกู้เงินดังกล่าวต้องกระทำด้วยความรอบคอบ และคำนึงถึงความคุ้มค่า
ความสามารถในการชำระหนี้ รวมทั้งการกระจายภาระการชำระหนี้
เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.
๒๕๖๑ และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกมิติ
ตลอดจนความสามรถในการชำระหนี้ รวมถึงการกระจายภาระชำระหนี้ที่เหมาะสม ตามนัยมาตรา
๔๙ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
107 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2565 | กค. | 28/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
108 | รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 [เรื่อง การตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดเพื่อป้องกันภาวะปัญญาอ่อนที่เกิดจากโรคหายาก (Newborn Screening)] | สผผ. | 21/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด
๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ [เรื่อง
การตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดเพื่อป้องกันภาวะปัญญาอ่อนที่เกิดจากโรคหายาก (Newborn
Screening)] โดยผู้ตรวจการแผ่นดินรายงานว่า
กลุ่มโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก
เป็นโรคหายากที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและพิการในเด็ก
ส่งผลให้เด็กไม่สามารถดูแลตนเองได้ต้องมีผู้ดูแลตลอดชีวิต
และมีค่าใช้จ่ายสูงในการรักษา
รวมถึงต้องกินนมพิเศษซึ่งไม่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด
ต่อมาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้การตรวจคัดกรองโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกในทารกแรกเกิดด้วยเครื่อง
Tandem Mass Spectrometry (TMS) เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
(บัตรทอง) ซึ่งจะเป็นการขยายการตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก
อย่างไรก็ตาม จากการแสวงหาข้อเท็จจริงพบว่า การขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการตรวจคัดกรองดังกล่าวด้วยเครื่อง
TMS ยังไม่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมเนื่องจากสาเหตุสำคัญ
เช่น (๑) ยังไม่มีการกำหนดนโยบายตลอดจนแนวทางในการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวที่ชัดเจนและไม่มีคู่มือแนวทางในการปฏิบัติงานให้ครอบคลุมทุกด้าน
(๒) ไม่มีความพร้อมในการรองรับการตรวจคัดกรองด้วยเครื่อง TMS เนื่องจากมีราคาสูง (๓)
ไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดเก็บฐานข้อมูล (๔)
กุมารแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการตรวจกรองทารกแรกเกิดและวินิจฉัยโรคดังกล่าวยังมีจำนวนไม่เพียงพอ
และ (๕) การสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกแก่ผู้ปกครอง
ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ ๒.
รับทราบสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินในเรื่องดังกล่าว
โดยกระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงาน ก.พ. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสภาการพยาบาล โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า
ได้มีการดำเนินการตามข้อเสนอแนะแล้ว เช่น
ได้บรรจุการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดแบบเพิ่มจำนวนโรคกลุ่มโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกด้วยเครื่อง
TMS ลงในประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
และได้มีการจัดทำคู่มือปฏิบัติงานการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดทางห้องปฏิบัติการ
(ทั้งรูปแบบพิมพ์เล่มและอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ รวมถึงแผ่นพับประชาสัมพันธ์)
แจกจ่ายให้หน่วยบริการครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งนี้ มีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ
เช่น
การให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพิ่มหน่วยบริการคัดกรองให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
นั้น ควรนำระบบการคัดกรองทางไกลผ่านสื่อออนไลน์มาใช้
ซึ่งจะสอดรับกับแผนพัฒนาระบบบริการของกระทรวงสาธารณสุขมากกว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงาน
และแจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
109 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2565 ทั้งปี 2565 และแนวโน้มปี 2566 | นร.11 สศช | 21/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
110 | รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2565 | นร.11 สศช | 14/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี ๒๕๖๕ สรุปสาระสำคัญ
ดังนี้ (๑) การประเมินผลการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ๒๓ ประเด็น
๓๗ เป้าหมาย และเป้าหมายระดับแผนแม่บทย่อย ๑๔๐ เป้าหมาย ได้แก่
การประเมินผลในภาพรวม ๖ มิติ เช่น ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยและสังคมไทย
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ภาพรวมมีทิศทางที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการเข้าถึงการให้บริการของภาครัฐ
มีการพัฒนาที่ดีขึ้น เป็นต้นการประเมินผลการพัฒนายุทธศาสตร์ ๖ ด้าน เช่น
ภาพรวมการพัฒนาในช่วง ๕ ปีแรก (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) เช่น ความมั่นคงมีการพัฒนาค่อนข้างคงที่จากความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
และการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
โดยการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงเล็กน้อยจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
และผลการประเมินสถานการณ์บรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๓ ประเด็น
พบว่า สถานะการบรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ระดับประเด็นมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี
๒๕๖๔ โดยบรรลุค่าเป้าหมายที่กำหนด ๑๒ เป้าหมาย ต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนด ๙
เป้าหมาย ระดับต่ำกว่าค่าเป้าหมายระดับเสี่ยง ๖ เป้าหมาย
และระดับต่ำกว่าค่าเป้าหมายขั้นวิกฤต ๑๐ เป้าหมาย (๒)
ประเด็นท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ เช่น
ข้อมูลขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติไม่เพียงพอและไม่ครอบคลุมประเด็นการพัฒนาในด้านต่าง
ๆ และ (๓) ข้อเสนอแนะในการดำเนินการระยะต่อไป เช่น
หน่วยงานของรัฐต้องปรับกระบวนทัศน์และมองเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ
เป็นเป้าหมายการทำงานร่วมกัน ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
111 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2564 | พม. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามมติคณะกรรมการผู้สูงอายุ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนในเชิงนโยบายต่อไป
โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญ เช่น สถานการณ์ผู้สูงอายุของโลกและสถานการณ์ในประเทศไทย
สถานการณ์ผู้สูงอายุกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ปี ๒๕๖๔
การปรับตัวและการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงอายุในช่วงโควิด-๑๙
การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุในไทย งานวิจัยเพื่อสังคมผู้สูงอายุ
และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่า
ในประเด็นข้อเสนอการมุ่งพัฒนาระบบบำนาญให้ครอบคลุมผู้สูงอายุอย่างถ้วนหน้า
รวมทั้งการปรับปรุงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เหมาะสมกับค่าครองชีพหรือภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ควรคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในอนาคตอันเนื่องมาจากการปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและแนวทางเพื่อลดภาระผูกพันงบประมาณดังกล่าว
ให้ความสำคัญเรื่องการสูงวัยในถิ่นเดิม นอกเหนือจากการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะด้านร่างกายและจิตใจ
ควรมุ่งเน้นด้านระบบการบริหารจัดการ การดูแลและช่วยเหลือผู้สูงอายุ
และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
112 | มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้น | พน. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบการขอแก้ไขข้อเสนอของกระทรวงพลังงานตามหนังสือกระทรวงพลังงาน
ด่วนที่สุด ที่ พน ๐๖๐๕/๘๒ ลงวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๖ โดยขอตัดข้อ ๔.๒
ที่เสนอขอให้เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
วงเงิน ๓,๒๐๐ ล้านบาทออก
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์
พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติม ๒. เห็นชอบในหลักการสำหรับมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้น
และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยกำกับและติดตามให้หน่วยงานในสังกัดที่มีอำนาจและหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๓. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องการเตรียมความพร้อมของโครงการ
วิธีดำเนินงาน เพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิ์ และเร่งศึกษาการกำหนดมาตรการระยะยาว
เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการ
เร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ
ความพร้อม และความสามารถทางการเงินของภาครัฐ รวมถึงปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนถูกขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
113 | มาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ | กค. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการทางภาษีและค่าธรรรมเนียมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-๑๙)
และจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวให้สามารถดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
โดยการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
สำหรับเงินได้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นใบทรัสต์
และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
สำหรับมูลค่าของฐานภาษีรายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการโอนหรือก่อทรัพย์สิทธิหรือสิทธิใด
ๆ ในทรัพย์สิน อันเนื่องมาจากการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑
ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) ดำเนินการตามร่างกฎหมายกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ....
และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารชุดสำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ
ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
114 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2565 | นร.11 สศช | 17/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม
ปี ๒๕๖๕ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๕ เช่น
สถานการณ์แรงงานที่มีการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๑
เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม หนี้สินครัวเรือนชะลอตัวร้อยละ
๓.๕ เนื่องจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ
และการเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๗๕.๔ เช่น โรคมือ เท้า ปาก
และโรคไข้หวัดใหญ่ ๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) ภาวะโลกร้อนโดยความท้าทายของไทย
เช่น การขาดทิศทางการวิจัยด้านการเกษตร
เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการขาดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อน
ดังนั้น ไทยต้องให้ความสำคัญในประเด็นต่าง ๆ เช่น การปรับรูปแบบการทำเกษตรกรรมให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนให้กับประชาชน
(๒) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) : การส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทยให้ยั่งยืน กยศ. มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาให้กับนักเรียนและนักศึกษาผ่านการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา พบว่า ผู้กู้ยืมจาก
กยศ. ที่ผิดนัดชำระหนี้กว่าร้อยละ ๖๕ สาเหตุการผิดนัดชำระหนี้ เช่น
การขาดวินัยทางการเงิน กลไกการชำระหนี้ และกฎเกณฑ์ไม่เอื้อต่อการปรับโครงสร้างหนี้
ดังนั้น ควรนำลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ และ (๓) เสรีกัญชา
โดยไทยต้องให้ความสำคัญในการควบคุมการผลิตการเพาะปลูกกัญชา
และกำหนดปริมาณกัญชาที่สามารถซื้อขายหรือถือครองได้ เป็นต้น และ ๓) บทความเรื่อง “มองคนจนหลายมิติ
ปี ๒๕๖๔ ปัญหาที่มิใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น” โดยความจนมีหลายมิติ เช่น
มิติด้านการศึกษา พบว่า มีการหลุดออกนอกระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น
มิติด้านการใช้ชีวิตในแบบที่ดีต่อสุขภาพ พบว่า มีการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดที่จำกัด
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาความยากจน เช่น การพัฒนาระบบข้อมูลระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ให้มีการบูรณาการร่วมกันและการจัดทำมาตรการในรูปแบบชุดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
115 | (ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2570) | กก. | 03/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติ (ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยว ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวตาม
(ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยว ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
อันเป็นกรอบทิศทางพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมในอนาคต
มุ่งเน้นการดำเนินการเพื่อพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้มีความเข้มแข็ง
ต่อยอดการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอุตสาหกรรมให้สอดรับกับภาวะความปกติถัดไป
รวมถึงให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม
และเกิดการบูรณาการการทำงานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข
เช่น ควรให้สถาบันอุดมศึกษาได้รับการสนับสนุนให้มีส่วนร่วมในการนำศักยภาพ
องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญและทรัพยากรในด้านต่าง ๆ
มาใช้เพื่อการดำเนินงานตามกลยุทธ์และแนวทางในการพัฒนาของ (ร่าง) ดังกล่าว
สำหรับค่าใช้จ่ายและงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
และควรมีการกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัด
และการให้ความสำคัญกับการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการบูรณาการการท่องเที่ยวและการแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน
เพื่อสร้างสรรค์การท่องเที่ยวใหม่ ๆ
ที่สามารถดึงดูดความสนใจแก่นักท่องเที่ยวรวมทั้งสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนเพิ่มมากขึ้น
เช่น การประกวดและการแข่งขันสัตว์เลี้ยงประเภทต่าง ๆ ของชุมชน เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
116 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 4/2565 | ศอบต. | 20/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
(กพต.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕
ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๗ เรื่อง ได้แก่ (๑) รายงานความก้าวหน้ากิจกรรมโคบาลชายแดนใต้ภายใต้โครงการเมืองปศุสัตว์กรอบระเบียบฮาลาล
จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๒) รายงานความก้าวหน้าโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและประวัติศาสตร์อุโมงใหญ่ “ต้าสวุ่ยต้อ”
ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา (๓)
รายงานความคืบหน้าการพัฒนาศักยภาพด่านศุลกากรชายแดนไทย-มาเลเซีย
เพื่อยกระดับการค้าชายแดนและความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส
(ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ด่านศุลกากรตากใบ และด่านศุลกากรบูเก๊ะตา) (๔)
รายงานความก้าวหน้าโครงการพลังงานไฟฟ้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๕) รายงานความก้าวหน้าโครงการพลังงานไฟฟ้า (๖)
รายงานความก้าวหน้าการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาของน้ำทุกระบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
และ (๗) ผลการเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของนาย ยูซุฟ อัล-ดูเบอี ผู้ช่วยเลขาธิการฝ่ายการเมือง
องค์การความร่วมมืออิสลามและคณะระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ ๒. เรื่องการติดตามความก้าวหน้าตามมติ กพต. จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่
(๑) โครงการเสริมสร้างคนดีตามหลักการทางศาสนาเพื่อสืบสานและรักษาสังคมพหุวัฒนธรรมที่ดีงามของจังหวัดชายแดนภาคใต้
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐ (๒) กิจกรรมมหกรรมการอ่านแห่งชาติ “มหัศจรรย์สร้างสรรค์
และการอ่านเพื่อเด็กปฐมวัย ชายแดนใต้”
ภูมิภาษา วิถีพหุวัฒนธรรม นวัตกรรม สุขภาวะเด็กปฐมวัย และ (๓)
การแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเด็กเล็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ (๔
จังหวัด และ ๔ อำเภอ ในจังหวัดสงขลา) ๓. เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) ขออนุมัติหลักการโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและบูรณปฏิสังขรณ์วัดและโบราณสถานทางพระพุทธศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
(๒) ขออนุมัติหลักการส่งเสริมอัตลักษณ์ทางภาษา ประเพณี วัฒนธรรม
เพื่อสร้างความเข้มแข็งของสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๓) ขออนุมัติหลักการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเชิงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส
ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (๔) ขออนุมัติหลักการการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
และ (๕) ขอทบทวนมติ กพต. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เรื่อง
การสนับสนุนสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
117 | โครงการของขวัญปีใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2566 กระทรวงสาธารณสุข | สธ. | 20/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๖ เพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่ประชาชน ของกระทรวงสาธารณสุข ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ดังนี้ ๑.
โครงการออกแบบคัดกรองและประเมินสุขภาพผู้สูงอายุทั้งร่างกายและจิตใจ ๒.
โครงการคัดกรองผู้สูงอายุโดย อสม. ๓.
โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุในสถานบริการสุขภาพ
แต่ละระดับเพื่อผู้สูงอายุได้รับการดูแลรักษาส่งต่ออย่างความเหมาะสม ๔.
โครงการสนับสนุนการตรวจคัดกรองสายตาและปัญหาด้านการมองเห็นสำหรับผู้สูงอายุ ๕.
โครงการสนับสนุนผ้าอ้อมผู้ใหญ่สำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงหรือบุคคลมีภาวะปัญหากลั้นปัสสาวะอุจาระไม่อยู่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างทั่วถึง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
118 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 | กค. | 06/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่
๓ ปี ๒๕๖๕ ประกอบด้วย (๑) การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินเพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงิน
โดยเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
และดอกเบี้ยธนาคารโลกทั่วไปปรับตัวสูงขึ้นเพื่อชะลอเงินเฟ้อ
และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น
อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง ในปี ๒๕๖๖
เนื่องจากราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม
ราคาอาหารและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามการผลักภาระต้นทุนให้แก่ผู้บริโภค
ส่วนการส่งออกของไทยมีแนวโน้มขยายตัวในปี ๒๕๖๕ และคาดว่าจะชะลอตัวลงในปี ๒๕๖๖
ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า (๒) ภาวะการเงินและเสถียรภาพระบบการเงิน
มีแนวโน้มผ่อนคลายเพียงเล็กน้อยเนื่องจากยังคงมีความกังวลจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
ค่าเงินบาทในไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๖๕ ยังคงอ่อนค่าลงจากไตรมาสที่ ๒
เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
และระบบการเงินของไทยยังคงมีเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม
ผู้ประกอบการ SMEs
ในบางสาขาธุรกิจยังคงฟื้นตัวช้าและครัวเรือนรายได้น้อยยังคงได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น
และ (๓) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๖๕
คณะกรรมการนโยบายการเงินได้มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ย ๒ ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ ๑ มติคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่
๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๕ ปรับขึ้นดอกเบี้ยจากร้อยละ ๐.๕๐ ต่อปี เป็นร้อยละ ๐.๗๕ ต่อปี
และครั้งที่ ๒ มติคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๕
ปรับขึ้นดอกเบี้ยจากร้อยละ ๐.๗๕ ต่อปี เป็นร้อยละ ๑ ต่อปี
โดยปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
119 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 30/2565 | นร.11 สศช | 29/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติ เห็นชอบ และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๓๐/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ที่มีมติเกี่ยวกับการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๕ (๑ สิงหาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๕) เกี่ยวกับการอนุมัติให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-๑๙
ChulaCov19 mRNA เพื่อทำการทดสอบทางคลินิกระยะที่สาม
และการผลิตเพื่อขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉิน อนุมัติให้จังหวัด เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
เช่น ยกเลิกการดำเนินโครงการ จำนวน ๒๒ โครงการ ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน สระบุรี
ฉะเชิงเทรา อำนาจเจริญ และปราจีนบุรี กรอบวงเงิน ๓๕.๕๔๔๘ ล้านบาท ทั้งนี้
รวมโครงการก่อสร้างเส้นทางศึกษาธรรมชาติเขาแบนะ ของจังหวัดตรัง วงเงิน ๔.๓๔๔๐
ล้านบาท เนื่องจากอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมยังไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ
จำนวน ๗๘ โครงการ ของจังหวัดฉะเชิงเทราสมุทรสาคร ตรัง สิงห์บุรี กาฬสินธุ์ บึงกาฬ
พัทลุง และนครนายก กรอบวงเงิน ๑๕๒.๔๐๔๗ ล้านบาท เป็นสิ้นสุดเดือนมีนาคม ๒๕๖๖
ซึ่งเป็นกลุ่มโครงการที่ได้ผู้รับจ้างและอยู่ระหว่างผูกพันสัญญาและลงนามสัญญาแล้ว และรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๕ (๑ สิงหาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๕)
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลังสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนากยกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม
พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้อ ๒ และ ๒๓
สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลื่อจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังในโอกาสแรก
เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
120 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565-2566 | นร.11 สศช | 22/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๕
และแนวโน้มปี ๒๕๖๕-๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๕ ขยายตัวร้อยละ ๔.๕ (%YoY) เร่งขึ้นจากร้อยละ ๒.๓ และร้อยละ
๒.๕ ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๖๕ ตามลำดับ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๕ ขยายตัวร้อยละ ๑.๒ จากไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๖๕
(%QoQ)_SA) รวม ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๖๕ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ
๓.๑ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๕ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๒
เร่งขึ้นจากร้อยละ ๑.๕ ในปี ๒๕๖๔ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๖.๓
และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๓.๖ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐-๔.๐
โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจาก (๑) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (๒)
การขยายตัวของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ (๓)
การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และ (๔)
การขยายตัวในเกณฑ์ดีของภาคเกษตร ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายร้อยละ
๓.๐ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๒.๔
ตามลำดับ และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ ๑.๐
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ
๑.๑ ของ GDP
|