ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
141 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2565 | กค. | 07/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่
๑ ปี ๒๕๖๕ ประกอบด้วย (๑)
การดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๖๕ คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
และมีนาคม ๒๕๖๕ ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๐.๕๐ (๒) การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินเพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงิน
โดยเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้เนื่องจากผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย
และภาวะการเงินและเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยรวมยังผ่อนคลาย
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๖๕
ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวก่อนที่จะปรับอ่อนค่าลงหลังเกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพแต่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเปราะบางขึ้นในบางกลุ่มจากผลกระทบของโรคโควิด-๑๙
ค่าครองชีพ และต้นทุนที่สูงขึ้น และ (๓) แนวโน้มและเงินเฟ้อของไทย เช่น
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๓.๒ ปี ๒๕๖๕ ส่วนปี ๒๕๖๖
มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๔.๔ มูลค่าการส่งออกของสินค้าไทยปี ๒๕๖๕ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ
๗ ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิม ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี ๒๕๖๕ อยู่ที่
๕.๖ ล้านคน ตามประมาณการเดิม ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี ๒๕๖๕ และปี ๒๕๖๖
คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๔.๙ และ ๑.๗ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
142 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 | นร.11 สศช | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๕
และแนวโน้มปี ๒๕๖๕ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.
ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ ปรับตัวดีขึ้น เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ
๑.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๕ ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๔ ร้อยละ ๑.๑ (QoQ_SA) ๒.
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๕ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๕-๓.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ
การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการส่งออกสินค้า ขยายร้อยละ
๗.๓ การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๓.๙ และร้อยละ ๓.๕ ตามลำดับ
ขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ ๓.๔
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ ๔.๒-๕.๒
และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มขาดดุลร้อยละ ๑.๕ ของ GDP ๓. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี
๒๕๖๕ ควรให้ความสำคัญกับ (๑) การรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน
(๒) การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง (๓) การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า
(๔) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (๕) การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (๖)
การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร และ (๗) การติดตาม เฝ้าระวัง
และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
143 | (ร่าง) แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว (พ.ศ. 2565 - 2580) | นร.11 สศช | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรตาม (ร่าง) แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว
(พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๘๐) มีประเด็นสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการไปพร้อมกันด้วย
ดังนี้ ๑.๑.
ปรับปรุงโครงสร้างระบบภาษีให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่แรงงานในระบบจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะภาษีเงินได้ ๑.๒.
จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กองทุนสวัสดิการสังคมต่าง ๆ
ที่มีอยู่และที่อาจจะตั้งขึ้นในอนาคตมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นในขณะที่มีเงินกองทุนเท่าเดิมหรือน้อยลงซึ่งจะส่งผลต่อภาระด้านการเงินการคลังของรัฐในระยะยาว
จึงต้องปรับปรุงระบบสวัสดิการให้เหมาะสม ๑.๓.
จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลต่อการรักษาความมั่นคงของชาติในภาพรวมเนื่องจากจำนวนกำลังพลจะน้อยลง
หน่วยงานด้านความมั่นคงและกองทัพจึงต้องพัฒนาให้ทันการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย ๒
เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๘๐ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ประกอบด้วยยุทธศาสตร์สำคัญ ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การสร้างครอบครัวที่มีคุณภาพ
และพัฒนาระบบที่เอื้อต่อการมีและเลี้ยงดูบุตร (๒) การพัฒนายกระดับผลิตภาพประชากร
(๓) การยกระดับความมั่นคงทางการเงิน (๔) การสร้างเสริมสุขภาวะ
เพื่อลดการตายก่อนวัยอันควรและมีระบบดูแลระยะยาวและช่วงท้ายของชีวิต (๕)
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพกับทุกกลุ่มวัย และ (๖)
การบริหารจัดการด้านการย้ายถิ่นฐาน ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และกระทรวงมหาดไทย เช่น
ควรกำหนดตัวชี้วัดของการพัฒนาในแต่ละยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาที่ ๗
การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ ในประเด็นการปรับลดกำลังคนภาครัฐ
สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาพัฒนางานให้มากขึ้น
ควรมุ่งเน้นประเด็นความเหมาะสมและสมดุลของโครงสร้างประชากรทุกกลุ่มวัยให้ชัดเจน เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
144 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2565 | นร.11 สศช | 10/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๕
เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๕ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.)
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาศักยภาพระบบบริการสุขภาพ
รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โรคโควิด ๑๙) (A001) ของหน่วยงานส่วนภูมิภาค
สป.สธ.โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดเดือนมีนาคม ๒๕๖๕ เป็นสิ้นสุดเดือนมิถุนายน
๒๕๖๕ (๒) อนุมัติให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการตลาดวิถีอินทรีย์โรงพยาบาลอุตรดิตถ์สู่การสร้างสุขภาวะที่ดีให้ประชาชนโดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
จากเดิมสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ เป็นสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ๒๕๖๕ (๓) อนุมัติให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการคนละครึ่ง โครงการคนละครึ่ง
ระยะที่ ๒ และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ ๓ โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ
เป็นสิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๖๕ (๔) อนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ
(๑ ตำบล ๑ มหาวิทยาลัย) โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ จากเดิม
สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๕เป็น สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ๒๕๖๕ (๕) อนุมัติให้จังหวัดเชียงใหม่
จังหวัดราชบุรี จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดสกลนคร จังหวัดชัยนาท
และจังหวัดสุพรรณบุรี เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญและยกเลิกโครงการภายใต้โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
โดยในกลุ่มโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ
จำนวน ๓ โครงการ เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งดำเนินการเบิกจ่ายโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม
๒๕๖๕ และกลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างการประกวดราคา ก่อสร้างหรือส่งมอบวัสดุครุภัณฑ์
จำนวน ๖๓ โครงการ
เห็นควรให้กำหนดเงื่อนไขว่าในกรณีที่จังหวัดไม่สามารถลงนามและผูกพันสัญญาได้ภายในเดือนพฤษภาคม
๒๕๖๕ ให้จังหวัดเสนอขอยกเลิกการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน
เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถบริหารเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
(พระราชกำหนดฯ พ.ศ. ๒๕๖๓) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๖)
มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการตามข้อ ๑-.๕ เร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบ eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ และปฏิบัติตามข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ พ.ศ. ๒๕๖๓
(ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯพ.ศ. ๒๕๖๓ พ.ศ. ๒๕๖๓) รวมทั้งรับความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ไปดำเนินการโดยเคร่งครัดต่อไป
(๗) มอบหมายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาหารือถึงแนวทางการจัดหาแหล่งเงินสำหรับรองรับการปฏิบัติตามกระบวนการตรวจสอบ/การติดตามผู้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
และวินิจฉัยการกระทำที่ผิดเงื่อนไขของโครงการ
รวมถึงโครงการใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ พ.ศ. ๒๕๖๓
ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับโครงการคนละครึ่งเพื่อให้สามารถกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินการเกี่ยวกับการกู้เงินตามพระราชกำหนดฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (๘) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กำกับให้จังหวัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ เร่งดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าของโครงการเศรษฐกิจฐานรากเหลืออีกประมาณ
๔๐๗ โครงการ
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยเคร่งครัด
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแลให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
และติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปฏิบัติตามข้อ ๑๙ และ ข้อ ๒๐
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้อีก หากมีเงินเหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลังโดยเร็ว
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ให้ทันต่อสถานการณ์
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้
เร่งปฏิบัติตามข้อ ๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
145 | ข้อเสนองบประมาณการดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป ตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 และวันที่ 19 เมษายน 2565 | มท. | 10/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย
(การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่
๒๙ มีนาคม ๒๕๖๕ และวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๕ ในมาตรการให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร
(ค่า Ft) ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและประเภทกิจการขนาดเล็ก
(ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน ๓๐๐ หน่วยต่อเดือน
เป็นระยะเวลา ๔ เดือน (เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๖๕) โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ในกรอบวงเงินจำนวนทั้งสิ้น ๑,๗๒๔,๙๕๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด
ที่ นร ๐๗๒๗/๗๑๐๗ ลงวันที่ ๓ พฤษภาคม
๒๕๖๕) ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
พิจารณาปรับปรุงหรือควบคุมการดำเนินงานให้มีต้นทุนที่เหมาะสมและยืดหยุ่นได้ตามความสภาวะการเปลี่ยนแปลง
เพื่อไม่ให้กระทบกับสภาพคล่องในการดำเนินงานในระยะสั้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
146 | รายงานการถอดบทเรียนการดำเนินการของส่วนราชการและจังหวัดในการรับมือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2564 | นร.12 | 19/04/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานการถอดบทเรียนการดำเนินการของส่วนราชการและจังหวัดในการรับมือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ โดยเป็นการสรุปบทเรียนในการบริหารจัดการผลกระทบจากโควิด-๑๙
ในภาพรวมของส่วนราชการและจังหวัด
ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการบริหารงานและให้บริการประชาชนได้ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพหากเกิดสภาวะวิกฤตในอนาคต
โดยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญ เช่น
การขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลเพื่อเป็นกลไกที่สำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของภาครัฐในการให้บริการภาครัฐในรูปแบบดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มบริการแบบเบ็ดเสร็จ
และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการทำธุรกรรมกับภาครัฐ
การจัดทำและทบทวนแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต
การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการออกแบบ การให้บริการผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ๒.
เห็นชอบข้อเสนอแนะการบริหารงานและการให้บริการประชาชนกรณีเกิดสภาวะวิกฤตในอนาคต
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้สำนักงาน
ก.พ.ร. ติดตามความคืบหน้าและรายงานต่อคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
147 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดทุนทรัพย์การไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่งอื่น พ.ศ. .... | นร.12 | 19/04/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดทุนทรัพย์การไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่งอื่น
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ของการไกล่เกลี่ย
และประนอมข้อพิพาททางแพ่งอื่นที่มิใช่ข้อพิพาททางแพ่งเกี่ยวกับที่ดิน มรดก
จากเดิมที่กำหนดจำนวนทุนทรัพย์ไว้ไม่เกินสองแสนบาท เป็น จำนวนไม่เกินสองล้านบาท
ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์การไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่งอื่นของประชาชน
เพื่อให้การไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่งอื่นมีความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ ตามที่สำนักงาน
ก.พ.ร. เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม ที่เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาประโยชน์ในกรณีนำพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
พ.ศ. ๒๕๖๒ มาพิจารณาประกอบการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวข้างต้น
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
148 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | นร.09 | 12/04/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรน้ำ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการของกรมทรัพยากรน้ำ โดยเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงานจากสำนักและศูนย์เป็นกอง
และปรับปรุงหน้าที่และอำนาจให้สอดคล้องกับโครงสร้างของกรมทรัพยากรน้ำที่ภารกิจบางส่วนได้โอนไปจัดตั้งเป็นสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ เช่น
ให้สำนักงานเลขานุการกรมมีภารกิจด้านการสนับสนุนการตรวจราชการและภารกิจด้านงานกฎหมาย
ปรับหน้าที่และอำนาจของกองการจัดสรรน้ำให้รองรับการควบคุมกำกับการดำเนินการและส่งเสริมเกี่ยวกับสัมปทานประกอบกิจการประปา
เพิ่มหน้าที่และอำนาจของกองยุทธศาสตร์และแผนงานให้มีหน้าที่และอำนาจในการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับประเทศด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรสาธารณะ
ปรับภารกิจของกองวิเคราะห์และประเมินสถานการ์น้ำให้รองรับการจัดทำข้อมูล
บูรณาการข้อมูลทรัพยากรน้ำ การติดตาม ควบคุมดูแล การจัดสรรน้ำ และการวิเคราะห์
คาดการณ์สภาวะวิกฤตน้ำ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
149 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2564 | กค. | 29/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๔ สรุปสาระสำคัญได้
ดังนี้ (๑) เป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับปี ๒๕๖๕ คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ ธันวาคม
๒๕๖๔) อนุมัติให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑-๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงิน
(๒) การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงินและแนวโน้ม โดยเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ ๓ (กรกฎาคม-กันยายน)
ปี ๒๕๖๔ หดตัวร้อยละ ๐.๓ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๖๓ และในไตรมาสที่ ๔
(ตุลาคม-ธันวาคม) ปี ๒๕๖๔ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๔
คาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ ๐.๙ และจะขยายตัวต่อเนื่องในปี ๒๕๖๕ และ ๒๕๖๖
ที่ร้อยละ ๓.๔ และ ๔.๗ ตามลำดับ และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวยังอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน
อย่างไรก็ตามเสถียรภาพระบบการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๔
ยังคงเปราะบางจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ หลายระลอก (๓) การดำเนินนโยบายการเงิน
ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๔ กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ
๐.๕ ต่อปี ส่วนการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน กนง.
เห็นควรผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้มีการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กนง.
ได้ดำเนินงานเกี่ยวกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน เช่น
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการพักชำระหนี้สำหรับลูกหนี้ SMEs
และรายย่อย และ (๔) ที่ประชุม กนง.
ครั้งที่ ๘/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๔ มีมติให้ปรับจำนวนการประชุม กนง. จาก ๘ ครั้งต่อปี
เป็น ๖ ครั้งต่อปี
เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของของเศรษฐกิจและลดความผันผวนจากการคาดการณ์ของตลาดการเงินต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
150 | มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป | นร.11 สศช | 29/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป
โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน
กำกับและติดตามให้หน่วยงานในสังกัดที่มีอำนาจและหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปตามข้อ
๓.๑ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
และธนาคารแห่งประเทศไทย
ร่วมกันพิจารณาติดตามและปรับปรุงมาตรการการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของราคาพลังงานในตลาดโลก
โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ
ความพร้อมและความสามารถทางการเงินของภาครัฐภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวบรวมข้อเสนอแนวทางหรือมาตรการผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการจากสถานการณ์ราคาพลังงานอันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรปที่มีลักษณะมุ่งเป้าของกระทรวงต่าง
ๆ เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่ควรให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมของโครงการ
วิธีการดำเนินการเพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิ์
เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ
รวมถึงปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน
เร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
151 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2564 | นร.11 สศช | 22/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม
ปี ๒๕๖๔ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสี่และภาพรวม ปี
๒๕๖๔ เช่น ภาพรวมการจ้างงาน ลดลงร้อยละ ๑.๐ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อัตราการมีงานทำ อยู่ที่ร้อยละ ๙๘.๑ หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส ๓ ปี ๒๕๖๔ มีมูลค่า
๑๔.๓๕ ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๒ แต่ชะลอลงจากไตรมาสก่อน คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๓
ของ GDP การเจ็บป่วยในไตรมาสสี่และภาพรวม
ปี ๒๕๖๔ ลดลง แต่ยังคงเฝ้าระวังการติดเชื้อโควิด-๑๙ ในเด็ก ผู้สูงอายุ
กลุ่มเปราะบาง (๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑) โรคเสมือน
(Metaverse) กับโอกาสใหม่ของประเทศไทย ๒) คนไร้บ้าน : ต่อแนวทางการยกระดับความเป็นอยู่ให้พึ่งพาตนเองได้ในสังคม
และ ๓) ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยจากมุมมองของบัญชีกระแสเงินโอนประชาชาติ
และ (๓) บทความเรื่อง “เสียง SMEs ภาคการท่องเที่ยว :
การปรับตัวและความเห็นต่อการช่วยเหลือของรัฐ” พบผลการสำรวจที่สำคัญ เช่น
รายได้ผู้ประกอบการลดลงในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน
และเทคโนโลยีมีความจำเป็นต่อความอยู่รอดในการประกอบธุรกิจ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
152 | ขอความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีต่อร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี Abu Dhabi Dialogue ครั้งที่ 6 (The Joint Declaration of the Abu Dhabi Dialogue Sixth Consultation) | รง. | 08/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี
Abu Dhabi Dialogue ครั้งที่ ๖ (The Joint Declaration of the Abu Dhabi Dialogue
Sixth Consultation) โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือที่สำนักเลขาธิการการประชุมระดับรัฐมนตรี
Abu Dhabi Dialogue (ADD) จะให้ความสำคัญต่อไปในอนาคต ได้แก่
(๑) การพัฒนาการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของแรงงานที่มีสัญญาจ้างชั่วคราว (๒)
การอำนวยความสะดวกและยกระดับการเคลื่อนย้ายฝีมือแรงงานและการเทียบคุณวุฒิแรงงานระหว่างประเทศผู้รับและประเทศผู้ส่งแรงงาน
เพื่อตอบสนองต่อภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของงาน (๓)
การแก้ไขปัญหาข้อท้าทายที่เกิดจากการระบาดของเชื้อโควิด ๑๙ (๔)
การบูรณาการเพศภาวะในนโยบายด้านการส่งเสริมการจ้างงาน และ (๕)
การส่งเสริมความร่วมมือภายในภูมิภาค ระหว่างภูมิภาค และระหว่างประเทศ
รวมถึงข้อเสนอแนะในการดำเนินงานตามความร่วมมือดังกล่าว เช่น
ให้มีการศึกษาและการประเมินผลการดำเนินงานตามความร่วมมือที่สำคัญดังกล่าวด้วย
เป็นต้น (เป็นการเวียนเอกสารให้ประเทศสมาชิกรับรองโดยไม่มีการลงนามและไม่ได้กำหนดเวลา)
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
153 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร.01 | 08/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๑.
รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น ๒.
มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน
การบริหารจัดการเรื่องร้องทุกข์
และการประสานความร่วมมือเป็นเครือข่ายระหว่างส่วนราชการในระยะต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ด้านการให้บริการ ๒.๑.๑
ขอให้ปรับปรุงและพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนตามมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก
โดยเฉพาะการให้บริการผ่านระบบ Online หรือทางโทรศัพท์ที่สามารถให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
ชัดเจน ไม่รอสายเป็นเวลานาน และผู้ให้บริการมีจิตบริการ ๒.๑.๒
ขอให้ปรับปรุงและพัฒนาการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
และการประชาสัมพันธ์ให้มีความรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ด้วยช่องทางและสื่อที่มีความหลากหลายให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ๒.๑.๓
ขอให้ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็นหรือเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการให้บริการประชาชน
ซึ่งอาจนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับภารกิจ
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ๒.๒ ด้านโครงสร้าง/อัตรากำลัง ขอให้ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดตั้งส่วนงานรับและบริหารจัดการเรื่องร้องทุกข์
โดยกำหนดให้เป็นโครงสร้างขององค์กร มีกรอบอัตรากำลังที่ชัดเจน เพื่อให้ภารกิจการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์มีเจ้าภาพผู้รับผิดชอบ
เกิดการรวมศูนย์ข้อมูล ง่ายต่อการประสานเร่งรัดติดตามเรื่อง
และเกิดความร่วมมือเป็นเครือข่ายในการแก้ไขปัญหา ๒.๓ ด้านการเฝ้าระวัง/เตือนภัย ๒.๓.๑
ขอให้มีการจัดตั้งทีมตรวจสอบและตอบโต้ข่าวปลอมที่รวดเร็ว
และควรเป็นข้อมูลชุดเดียวกันจากผู้รับผิดชอบโดยตรง ๒.๓.๒
ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องควรวางแนวทางในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังเตือนภัย
ระบบป้องกันภัยพิบัติที่มีความถูกต้องแม่นยำ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
รวมถึงการวางแผนรองรับภาวะวิกฤติหรือแผนเผชิญเหตุต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เช่น ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาไฟไหม้/ไฟป่า หรือปัญหาฝุ่นและหมอกควัน
รวมถึงปัญหาสุขภาพอนามัยและโรคระบาดฉุกเฉิน เป็นต้น ๒.๔
ด้านการเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการเรื่องร้องทุกข์ ขอความร่วมมือให้เชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลการจัดการเรื่องร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ในฐานะศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล
เพื่อให้เกิดระบบฐานข้อมูลเรื่องร้องทุกข์เดียวกันในภาพรวมของประเทศ
สอดคล้องกับการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนแบบเบ็ดเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงช่องทางการรับเรื่องร้องทุกข์ได้อย่างสะดวก
รับรู้ขั้นตอน ความคืบหน้า และรับทราบผลการดำเนินการได้อย่างรวดเร็วในจุดเดียว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
154 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2564 ทั้งปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 | นร.11 สศช | 01/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี
๒๕๖๔ ทั้งปี ๒๕๖๕ และแนวโน้มปี ๒๕๖๔ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่
๔ ขยายตัวร้อยละ ๑.๙ และภาพรวมทั้งปี ๒๕๖๔ ขยายตัวร้อยละ ๑.๖ ปรับตัวดีขึ้นจากปี
๒๕๖๓ ที่ปรับตัวลดลงร้อยละ ๖.๒ ๒.ด้านค่าใช้จ่าย เช่น การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
ขยายตัวร้อยละ ๐.๓ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ขยายตัวร้อยละ ๘.๑
และการลงทุนรวมลดลงร้อยละ ๐.๒ ด้านการต่างประเทศ
การส่งสินค้าออกขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ ๒๑.๓ และการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ
๒๐.๖ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๖๔
ต่ำกว่าไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีจำนวนร้อยละ ๒.๒๕ ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ
๒.๔ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ คิดเป็นร้อยละ ๕๙.๖ ของ GDP ๓. เศรษฐกิจไทยปี
๒๕๖๔ ขยายตัวร้อยละ ๑.๖ และภาพรวมทั้งปี ๒๕๖๔ GDP อยู่ที่ ๑๖.๒
ล้านล้านบาท และ GDP ต่อหัวของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ ๒๓๒,๑๗๖ บาทต่อคนต่อปี ๔.
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๕ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕-๔.๕
โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ประกอบด้วย (๑) การปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ
(๒) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (๓) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า
และ (๔) แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ ๕.
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๕
ควรให้ความสำคัญในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
(๒) การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลภาคเศรษฐกิจ (๓) การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภายในประเทศ
และ (๔) การติดตาม
เฝ้าระวังและเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของภาคเศรษฐกิจต่างประเทศ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
155 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ 8) | สธ. | 01/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์
วิธีการ
และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ ๘) โดยมีการปรับอัตราค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน
เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินที่อยู่ในสภาวะอันตรายได้รับสิทธิที่จำเป็นและเหมาะสมต่อการรักษาพยาบาล
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และกำกับ ติดตาม ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข อัตราที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
พร้อมกับดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายของกระทรวงการคลังด้วย นอกจากนี้
การปรับลดหลักเกณฑ์ดังกล่าวควรคำนึงถึงคุณภาพการให้บริการเป็นสำคัญ
เพื่อไม่ให้กระทบต่อการรับบริการและการให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลของประชาชนที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
156 | แผนปฏิบัติการด้านระบบสุขภาพปฐมภูมิ (พ.ศ. 2564 - 2575) | สธ. | 22/02/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านระบบสุขภาพปฐมภูมิ
(พ.ศ. ๒๕๖๔–๒๕๗๕) จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบทิศทาง เป้าหมาย และกลไกการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิให้มีประสิทธิภาพ
เน้นการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน และภาคเอกชน
ครอบคลุมการพัฒนาในมิติต่าง ๆ
ทั้งในเรื่องการเพิ่มศักยภาพบริการสุขภาพปฐมภูมิที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และประชากร
ระบบบริหารจัดการกำลังแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและคณะผู้ให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ การสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง
ๆ การสร้างความรู้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชนให้แก่ประชาชน
รวมถึงการพัฒนาระบบสารสนเทศและนวัตกรรมเพื่อการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ
ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
เพื่อนำไปสู่การมีสุขภาวะที่ดีของคนไทยทุกคนได้อย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงบประมาณ
ที่ควรมีระบบการส่งเสริมสนับสนุนการสืบทอดและต่อยอดการนวดไทยที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้จัดสรร
หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
หรือค่าใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ แล้วแต่กรณี โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า
ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่จะได้รับเป็นสำคัญ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายปี
เพื่อเสนอขอตั้งบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
157 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง แยกเป็นรายจังหวัด 23 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 24 ฉบับ | กษ. | 15/02/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง
พ.ศ. ๒๕๖๐ กฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๓ และกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๓
เพื่อบังคับใช้กับกฎกระทรวงฉบับใหม่ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง แยกเป็นรายจังหวัด ๒๓ จังหวัด
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตทะเลชายฝั่งของจังหวัดที่มีแนวเขตติดทะเลชายฝั่ง รวม ๒๓ จังหวัด โดยกำหนด
“เป็นเส้นตรงลากผ่านจุดพิกัด” เพื่อให้ทราบถึงเขตทะเลชายฝั่งที่ชัดเจน
เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้อยู่ในภาวะที่สมดุลและเหมาะสม รวม ๒๔
ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควรแก้ไขข้อความในข้อ
๒ ของร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง แยกเป็นรายจังหวัด ๒๓ จังหวัด เป็นดังนี้
“ในกรณีที่เขตทะเลชายฝั่งทับซ้อนกับเขตอุทยานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
เขตพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติตามกฎหมายอื่นใด
ตามนัยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
พ.ศ. ๒๕๕๘ การทำประมงหรือการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเขตทะเลชายฝั่ง
หรือการดำเนินการใด ๆ
ที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้ด้วย”
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น
ตรวจสอบรายละเอียดความถูกต้องของค่าพิกัดและแผนที่แสดงแนวเขตบริเวณที่กำหนดแนบท้ายกฎกระทรวงของจังหวัดดังกล่าวกับกรมอุทกศาสตร์
กองทัพเรือด้วย หากมีการดำเนินการใด ๆ ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ
ทะเล หรือบนชายหาดของทะเล
กรมประมงและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ประชาสัมพันธ์ให้ชาวประมงในพื้นที่ทราบด้วยว่า แม้พื้นที่ดังกล่าวจะถูกกำหนดเป็นเขตทะเลชายฝั่ง
แต่ในการจะเข้าทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องหรือได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน
และการกำหนดทะเลชายฝั่งของจังหวัดที่มีพื้นที่ทางทะเลติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ควรดำเนินการอย่างรอบคอบ
โดยคำนึงถึงมิติด้านความมั่นคงและมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
158 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2564 | กค. | 08/02/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่
๔ ปี ๒๕๖๔ ประกอบด้วย (๑)
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๔ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน
เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน และ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ
๐.๕๐ ต่อปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๖๔
และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง (๒) การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินเพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงิน ประเมินว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
แต่ชะลอตัวลงจากการระบาดของโรควิด-๑๙ และภาวะการเงินและเสถียรภาพระบบการเงินไทย
โดยรวมยังผ่อนคลาย
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐและดัชนีค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากไตรมาสก่อน
และเสถียรภาพระบบการเงินยังเปราะบาง โดยเฉพาะฐานะทางการเงินของภาคครัวเรือน
และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และ (๓)
แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย คาดว่าในปี ๒๕๖๔ เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ ๐.๙ ส่วนปี
๒๕๖๕ คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ ๓.๔ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
สายพันธุ์โอไมครอน ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
และมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยปี ๒๕๖๔ มีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ ๑๘
โดยเป็นผลจากปริมาณขยายตัวดีและราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าโลกและต้นทุนการขนส่งสินค้า
ส่วนปี ๒๕๖๕ มีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ ๓.๕ ต่ำกว่าประมาณการเดิม
เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ สายพันธุ์โอไมครอน ประมาณจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี
๒๕๖๔ กลับมาฟื้นตัวจากที่คาดการณ์ไว้ ๑.๕ แสนคน เป็น ๒.๘ แสนคน
เนื่องจากนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว ส่วนปี ๒๕๖๕
คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว ๕.๖ ล้านคน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี ๒๕๖๔ และ ๒๕๖๕
ปรับเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ ๑.๒ และ ๑.๗ ตามลำดับ
เนื่องจากเงินเฟ้อหมวดพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้นชั่วคราวตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
159 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | สปสช. | 01/02/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ภายในวงเงิน ๒๐๔,๑๔๐,๐๒๗,๘๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าบริการทางการแพทย์ เหมาจ่ายรายหัว
ค่าบริการสุขภาพผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน
ค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เป็นต้น สำหรับงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
วงเงิน ๑,๙๕๐,๘๓๘,๙๐๐ บาท นั้น
เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีจะมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ให้ตามความจำเป็นเหมาะสม
ประหยัดและสอดคล้องกับภารกิจการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข
(มติคณะกรรมการควบคุมคุณภาพฯ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๕
พฤศจิกายน ๒๕๖๔) และข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ควรเร่งประชาสัมพันธ์การให้บริการดังกล่าวให้แก่ประชากรไทยทุกคน
โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีสวัสดิการรักษาพยาบาลของหน่วยงานอื่น เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างทั่วถึง
และควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของวงเงินที่เสนอขอ
โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการงบประมาณให้มีความคุ้มค่าและคำนึงถึงความจำเป็นของการใช้จ่ายงบประมาณ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
160 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2565 | นร.11 สศช | 24/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติและเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๕ ดังนี้ (๑)
อนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการทัวร์เที่ยวไทย
โดยปรับลดจำนวนสิทธิโครงการฯ จากเดิม ๑,๐๐๐,๐๐๐ สิทธิ เป็น ๒๐๐,๐๐๐
สิทธิ ทำให้กรอบวงเงินลดลงจาก ๕,๐๐๐ ล้านบาท เป็น ๑,๐๐๐ ล้านบาท และขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ จากเดิม
สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เป็น สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๕ พร้อมทั้งเห็นควรมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พิจารณากำหนดแนวทางในการบริการจัดการเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการฯ
อย่างเคร่งครัด
(๒) อนุมัติให้จังหวัดน่านและจังหวัดสตูลเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการฯ
โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการพัฒนาอัตลักษณ์น่าน มุ่งสู่เมืองสร้างสรรค์ (Creative City) และโครงการการฝึกอบรมราษฎร
(ชาวเล) เกาะหลีเป๊ะ หมู่ ๗, ๘
ในการเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพไลฟ์การ์ดเพื่อยกระดับความปลอดภัยเกาะหลีเป๊ะ
จากเดิม สิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ เป็น สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เพื่อให้หน่วยงานสามารถเบิกจ่ายงบประมาณเงินกู้ของโครงการฯ
ได้แล้วเสร็จ (๓) อนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ
(๑ ตำบล ๑ มหาวิทยาลัย) โดยปรับลดกรอบวงเงินในกิจกรรมการพัฒนา Platform การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล จากเดิม ๒๐
ล้านบาท เป็น ๑๙,๐๒๗,๔๒๐ บาท และขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
จากเดิม สิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ เป็น สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ (๔) อนุมัติให้กรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า
และพันธุ์พืชเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ด้านสัตว์ป่า
โดยขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ เป็น
สิ้นสุดเดือนมีนาคม ๒๕๖๕ (๕) อนุมัติให้วิทยาลัยสารพัดช่างตรังเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการส่งเสริมการฝึกอาชีพระยะสั้นเพื่อเพิ่มทักษะและการประกอบอาชีพเสริม
ของวิทยาลัยสารพัดช่างตรัง วงเงิน ๕ ล้านบาท โดยขยายระยะเวลาโครงการฯ จากเดิม
สิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๖๔ เป็น สิ้นสุดเดือนมกราคม ๒๕๖๕ (๖)
อนุมัติให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น
เพื่อดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จากเดิม
สิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ เป็น สิ้นสุดภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ (๗)
อนุมัติให้จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดยโสธร จังหวัดราชบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี
และจังหวัดสกลนครเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (๘)
มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการตามข้อ (๑)-(๗) เร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบ eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ และปฏิบัติตามข้อ ๑๙ และ ๒๐
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ พ.ศ. ๒๕๖๓
รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ไปดำเนินการโดยเคร่งครัดต่อไป ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรกำกับ ติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด และในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ให้เร่งปฏิบัติตามขั้นตอนข้อ
๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|