ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 55 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 08/11/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๕
และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามนัยสรุปประเด็นสำคัญสำหรับการติดตามผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
เพื่อนำไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป โดยมีรองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) เข้าร่วมประชุมฯ
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (๑) การสร้างประชาคมอาเซียน เช่น
การสนับสนุนข้อริเริ่มของกัมพูชาตามหัวข้อหลัก “ASEAN
A.C.T. : Addressing Challenges Together” และการเตรียมความพร้อมความร่วมมือกับประเทศที่เป็นที่ตั้งสำนักงานของศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่
และการรับรองเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม จำนวน ๑๑ ฉบับ (๒)
ประเด็นด้านความมั่นคงในภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น สถานการณ์ในเมียนมาและช่องแคบไต้หวัน
และ (๓) ความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาและภาคีภายนอก เช่น
ไทยได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามตราสารภาคยานุวัติ TAC
โดยเดนมาร์ก กรีซ เนเธอร์แลนด์ โอมาน กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (รวม ๖ ฉบับ)
โดยในส่วนของยูเครนยังมิได้มีการลงนามตราสารฯ เนื่องจากเมียนมายังดำเนินกระบวนการภายในไม่แล้วเสร็จ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เช่น ควรดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ควรมีการยกระดับการดำเนินงานด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการฟื้นฟูภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในประเด็นการบริหารจัดการขยะติดเชื้อ
ขยะมูลฝอย และขยะพลาสติก
และประเด็นความมั่นคงในบางกรอบการประชุมอาเซียนที่ไม่ได้มอบหมายให้มีการติดตาม
อาทิ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-ออสเตรเลีย ซึ่งสำนักงานฯ พร้อมที่จะให้ความร่วมมือประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
122 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 55 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 25/10/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย
(Asian Development Bank : ADB) ครั้งที่ ๕๕ และการประชุมอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๗-๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ณ สำนักงานใหญ่ ADB กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะ
และผู้แทนกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุมฯ โดยในที่ประชุมฯ
ได้มีการมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการรับมือและแก้ไขปัญหาที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19)
และผู้ว่าการของประเทศสมาชิกได้แลกเปลี่ยนความเห็นและแนวนโยบายการดำเนินงานของ ADB
ภายใต้แนวคิด “Positioning Climate Resilient Green Economy
for the Post COVID-19 World” ซึ่งได้เรียกร้องให้ ADB ให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวจากผลกระทบของ
COVID-19 ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งเสนอให้
ADB สนับสนุนประเทศสมาชิกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสหภาพภูมิอากาศ
และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
123 | การประเมินการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศโดยผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกของประเทศไทย ครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-4 พฤศจิกายน 2565 | สธ. | 25/10/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประเมินการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศโดยผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกของประเทศไทย
ครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม-๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
มีสาระสำคัญที่ครอบคลุมที่อยู่ในอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของกรมต่าง ๆ
เป็นจำนวนมาก ในการปฏิบัติงาน และการรายงานประจำปีตามมาตรา ๕๔ (๑)
ของกฎอนามัยระหว่างประเทศฯ รวมทั้งการขอรับการประเมินจากองค์การอนามัยโลกในทุก ๕
ปี โดยการประเมินครั้งที่ ๒ นี้ ประเทศไทยจะได้รับการประเมิน โดยใช้คู่มือการประเมินขององค์การอนามัยโลกฉบับปรับปรุงใหม่
ครั้งที่สาม ประกอบด้วยตัวชี้วัดต่าง ๆ ตามประเด็นทางเทคนิค ๑๙ ด้าน ซึ่งจัดเป็น ๔
กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มป้องกัน (P) ๘
ด้าน กลุ่มตรวจจับ (D) กลุ่มตอบโต้ (R) ๕ ด้าน และกลุ่มเฉพาะภาวะอันตราย ๓ ด้าน โดยข้อเสนอแนะจากการประเมินจะเป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะตามข้อกำหนดของกฎอนามัยระหว่างประเทศของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง
ๆ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
124 | การส่งเสริมการแต่งกายด้วยชุดผ้าไทย | นร.01 | 27/09/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๖ กันยายน ๒๕๖๓ ๔ มกราคม ๒๕๒๖ และ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๕) เห็นชอบให้เสื้อชุดไทยหรือชุดไทยพระราชทานเป็นเครื่องแบบราชการและสามารถใช้แทนเสื้อสากลได้
เพื่อเป็นการประหยัดและเหมาะสมกับสภาวะอากาศของประเทศไทย
รวมทั้งได้มีการรณรงค์และเชิญชวนให้รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ
ตลอดจนประชาชนทั่วไปแต่งกายด้วยชุดผ้าไทยอันแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ไทยมาจนถึงปัจจุบัน
นั้น โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยประสบกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ของโลก
ส่งผลให้อุณหภูมิในภาพรวมของประเทศสูงขึ้น
ทำให้ต้องมีการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อปรับอากาศในอาคารสถานที่ต่าง ๆ ให้เย็นมากขึ้น
ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net
Zero Greenhouse Gas Emission) ให้ได้ภายในหรือก่อนหน้าปี ค.ศ. ๒๐๖๕
ดังนั้น การแต่งกายด้วยชุดผ้าไทยของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ
รวมทั้งประชาชนทั่วไป
จึงถือเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถตอบสนองต่อการดำเนินนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นของไทย สวมใส่สบาย คลายร้อน แต่อาจต้องพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดของรูปแบบและวิธีการตัดเย็บให้สามารถระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศในปัจจุบันและสามารถใช้สวมใส่ในวาระ/โอกาสต่าง ๆ
ได้อย่างเหมาะสม สวยงามและยังคงความเป็นเอกลักษณ์ไทยไว้ดังเดิม
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับเรื่องนี้ไปพิจารณาแนวทางการดำเนินการในรายละเอียดต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกันกับกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเน้นย้ำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐแต่งกายด้วยผ้าไทย
รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนในทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือดำเนินการในทำนองเดียวกันตามความเหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
125 | การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ระบบหักลบหน่วยไฟฟ้า | นร. | 27/09/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ตามที่รัฐมนตรีได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทนแสงอาทิตย์เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
รวมทั้งลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศที่มีราคาผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนและทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้เห็นชอบให้ดำเนินโครงการโซลาร์ภาคประชาชน
เพื่อบรรเทาและลดภาระค่าใชจ่ายด้านค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนไปแล้ว
เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลดังกล่าวเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง)
เร่งรัดการดำเนินโครงการดังกล่าวในระยะต่อไปให้ขยายตัวและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา
(Sola Rooftop) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองภายในครัวเรือนเป็นหลักและส่งไฟฟ้าส่วนที่เหลือจากการใช้เข้าระบบ
เพื่อให้หักลบจากหน่วยไฟฟ้าที่ประชาชนใช้ไฟฟ้าในเดือนถัดไป
โดยให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
126 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2565 | กค. | 27/09/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๕ สรุปได้ ดังนี้ (๑) เป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับปี
๒๕๖๕ คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔)
อนุมัติให้ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑-๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงิน (๒)
การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงินและแนวโน้ม โดยเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๖๕
ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๕
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๕ และปี ๒๕๖๖
มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยจะขยายตัวที่ร้อยละ ๓.๓ และ ๔.๒ ตามลำดับ
และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๕ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๕.๖
ซึ่งสูงกว่ากรอบเป้าหมายและคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยลดลงและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในปี
๒๕๖๖ ที่ร้อยละ ๒.๕ และเสถียรภาพทางระบบการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๕
โดยรวมมีเสถียรภาพแต่ยังมีความเปราะบางในบางจุด โดยเฉพาะภาคครัวเรือนและบางภาคธุรกิจที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
(๓) การดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๖๕
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๐.๕ ต่อปี
เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง
และเห็นควรผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้มีการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และ (๔)
การสื่อสารนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๕ กนง.
ได้เน้นการสื่อสารเกี่ยวกับเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลาง
และประเด็นที่มีนัยสำคัญต่อการตัดสินนโยบายการเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ
เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อนโยบายการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
127 | ขอความเห็นชอบในการรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรี Regional Cooperative Agreement (RCA) | อว. | 20/09/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรี Regional Cooperative Agreement (RCA) มีกำหนดจัดขึ้น ในวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๕ ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย
และมอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรี RCA ร่วมลงนามรับรองร่างปฏิญญาดังกล่าว โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ (๑)
การตระหนักถึงบทบาทของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่จะช่วยแก้ปัญหาและจัดการกับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนการรับมือกับภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(๒)
การตระหนักถึงบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม
และเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (๓)
การตระหนักถึงความสำเร็จภายใต้กรอบความร่วมมือ RCA ในการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในด้านต่าง
ๆ อันส่งผลให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (๔)
การตระหนักถึงบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายใต้กรอบความร่วมมือฯ
ทั้งในระดับบุคคล คณะทำงาน และองค์กร (๕) การเน้นย้ำถึงบทบาทของ IAEA ในการสนับสนุนด้านเทคนิคและงบประมาณสำหรับการดำเนินกิจกรรมภายใต้กรอบความร่วมมือฯ
และ (๖)
การส่งเสริมความร่วมมือและการรมีส่วนร่วมของรัฐสมาชิกเพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการของภูมิภาคและสร้างความยั่งยืนให้กับกรอบความร่วมมือฯ
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรี
RCA ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||
128 | กรอบการวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2566-2569 | ยธ. | 20/09/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรม
พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๙
ซึ่งถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทสังคมและแนวทางการจัดทำข้อเสนอวิจัยตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมวิทยาศาสตร์
การวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) กรอบการวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญา
เพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมและการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมอย่างสงบสุข (๒)
กรอบการวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง ปกครอง
เพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมและการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมอย่างสงบสุข (๓)
กรอบการวิจัยเพื่อพัฒนากฎหมายให้กฎหมายมีความทันสมัยสอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและภาวะวิกฤติ
(๔) กรอบการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในกระบวนการยุติธรรม
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรม ทันสมัยสอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
และภาวะวิกฤติ และ (๕) กรอบการวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
ให้มีระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัยสอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
และภาวะวิกฤติ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ
และให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานศาลปกครอง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
129 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2565 | นร.11 สศช | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง
ปี ๒๕๖๕ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสอง ปี ๒๕๖๕
เช่น สถานการณ์แรงงานมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและอัตราการว่างงานลดลงต่ำสุดตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) หนี้สินครัวเรือนในไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๕ มีมูลค่า ๑๔.๖๕
ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ ๓.๖ ซึ่งลดลงจากไตรมาสก่อน ส่วนด้านความสามารถในการชำระหนี้ทรงตัว
และการเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นจากโรคที่มาจากฤดูฝน
นอกจากนี้ควรติดตามและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงอย่างใกล้ชิดและกำชับประชาชนให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลป้องกันตนเองจากโควิด-๑๙
(๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑) รู้จักรู้ทันผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
๒) พฤติกรรมการลงทุนของคนรุ่นใหม่ในตลาด Cryptocurrency
และ ๓) การทำงานของผู้สูงอายุตอนต้น กลุ่มที่ต้องการให้ความสำคัญ
และประเด็นที่ต้องการคำนึงถึง และ (๓) บทความเรื่อง “วิกฤติความมั่นคงทางด้านอาหาร
: มาตรการและแนวทางยกระดับให้ไทยมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน”
มีประเด็นที่ไทยต้องให้ความสำคัญ เช่น การมีอาหารเพียงพอ การเข้าถึงอาหาร
การใช้ประโยชน์จากอาหาร ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
130 | ร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ | ทส. | 13/09/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้และทรัพยากรป่าไม้
ตลอดจนพัฒนาระบบบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ
มีเป้าหมายคือเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศอย่างน้อยร้อยละ ๔๐ ของพื้นที่ประเทศ
ประกอบด้วย ป่าอนุรักษ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ ป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชนไม่น้อยกว่าร้อยละ
๒๕ ระยะเวลาของแผนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๘๐ โดยร่างแผนแม่บทฯ ได้กำหนดมาตรการไว้ ๓
ด้าน ตามนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ได้แก่ ด้านการจัดการป่าไม้
ด้านการใช้ประโยชน์ผลิตผลและการบริการจากป่าไม้และอุตสาหกรรมป่าไม้
และด้านการพัฒนาระบบบริหารและองค์กรเกี่ยวกับการป่าไม้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น
ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรใช้ประโยชน์จากการจัดทำและการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ต่อยอดมิติเศรษฐกิจด้านภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของไทยที่ได้มาตรฐาน
มีธรรมาภิบาล ตอบโจทย์ความยั่งยืนทั้งห่วงโซ่อุปทาน
เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในภาวะตลาดโลกที่มีเงื่อนไขและการแข่งขันสูงในปัจจุบัน
การดำเนินบทบาทตามยุทธศาสตร์ต่าง ๆ
ควรกำหนดหน่วยงานหรือคณะบุคคลผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน และเหมาะสม
รวมถึงควรบูรณาการฐานข้อมูลสารสนเทศในภาพรวมทั้งในระดับประเทศ และระดับพื้นที่
ตลอดจนการดำเนินการระหว่างหน่วยงานภาครัฐให้ประสานสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
ควรเพิ่มการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในประเด็นเรื่องของ
“การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน” เพิ่มเติมนอกจากการอนุรักษ์
การจัดการและการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน ในส่วนที่ ๕ ข้อ ๕.๑ ประการที่ ๖
และควรคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่ครอบครองและใช้ประโยชน์อยู่เดิม
โดยอาจมีมาตรการเยียวยาหรือช่วยเหลือที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อภาคประชาชน ในส่วนที่
๕ ข้อ ๕.๑ ประการที่ ๙ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้แต่ละประเภทให้มีความเหมาะสม
ชัดเจน สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
แล้วให้จัดทำเป็นคู่มือการปฏิบัติงาน (Handbook)
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการขอทบทวน
ปรับปรุงหรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่อาจมีความซ้ำซ้อนหรือไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
131 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 3/2565 | ศอบต. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
(กพต.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๕
ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) ผลการขับเคลื่อนสนามบินเบตงให้เปิดบริการเชิงพาณิชย์
และ (๒) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ไตรมาส ๑ ปี ๒๕๖๕ ๒.
เรื่องการติดตามความก้าวหน้าตามมติ กพต. จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑)
รายงานผลการดำเนินโครงการยกระดับการพัฒนาพื้นที่เมืองเบตง จังหวัดยะลา “Amazean Jungle
Trail” (๒) รายงานความคืบหน้าการขับเคลื่อนโครงการตำบลมั่นคง
มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ภายใต้ระบบ ๑ ข้าราชการ ๑ ครัวเรือนยากจน ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
(๓) รายงานความคืบหน้าโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็นกรณีเร่งด่วน และการจัดทำปะการังเทียมพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดชายแดนภาคใต้
และ (๔) ผลการจัดกิจกรรมมหกรรมการอ่านแห่งชาติ “มหัศจรรย์สร้างสรรค์
และการอ่านเพื่อเด็กปฐมวัยชายแดนใต้” ภูมิภาษา วิถีพหุวัฒนธรรม
นวัตกรรมเพื่อสุขภาวะเด็กปฐมวัย ๓.
เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) ขออนุมัติกรอบแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
หาดใหญ่-สงขลา ระยะ ๖ ปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๐ (๒) ขออนุมัติกิจกรรมโคบาลชายแดนใต้
ภายใต้โครงการเมืองปศุสัตว์ ภายใต้กรอบระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล จังหวัดชายแดนภาคใต้
และ (๓) ขอความเห็นชอบกรอบข้อเสนอโครงการส่งเสริมและพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนด้านการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
|
||||||||||||||||||||||||
132 | การกู้เงินเพื่อบริหารภาระค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ตามนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ 2566 | พน. | 06/09/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกู้เงินเพื่อบริหารภาระค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
ตามนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ภายใต้กรอบวงเงินไม่เกิน ๘๕,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย สัญญากู้ยืมเงิน (Term Loan) กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม
(Call
Loan) หรือรูปแบบอื่นที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ โดยขอให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น ในกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับชำระหนี้
เพื่อให้เกิดความเหมาะสมตามสภาพคล่องของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยตามสภาวะตลาดการเงินในขณะนั้น
และประโยชน์ในการบริหารจัดการภาระหนี้ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เช่น การกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
การเร่งสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในประเด็นสถานการณ์พลังงาน
การประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือก
และควรเร่งเตรียมความพร้อมสำหรับการระดมทุนในรูปแบบใหม่ ๆ
เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการระดมทุนสำหรับการลงทุนในโครงการ ควรบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และพิจารณาเบิกเงินกู้เท่าที่จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดภาระดอกเบี้ยต่อองค์กรในระยะยาว
โดยการดำเนินการกู้เงินดังกล่าวต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ภายใต้วัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอย่างถูกต้องครบถ้วน
การกู้ยืมเงินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะต้องได้รับอนุมัติไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะและกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐก่อนการเริ่มดำเนินการด้วย
ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยพิจารณาก่อหนี้ตามความจำเป็นที่เกิดขึ้นจากการบริหารภาระค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ
(Ft) ตามนโยบายรัฐบาล
และประสานกับกระทรวงการคลังในการบริหารจัดการภาระหนี้ให้มีต้นทุนทางการเงินต่ำที่สุด
พร้อมทั้งร่วมกับสำนักงานกำกับกิจการพลังงานพิจารณาแนวทางการชำระคืนตามหลักการวินัยทางการเงินการคลังและมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าในอนาคตต่ำที่สุด
ควรคำนึงถึงหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งภาระทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
133 | รายงานตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ประจำปี 2564 | สสส. | 23/08/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
พ.ศ. ๒๕๔๔ ประจำปี ๒๕๖๔ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา มีผลการดำเนินการที่สำคัญ
ประกอบด้วย (๑) ผลงานเด่นในปี ๒๕๖๔ เช่น การทำงานสร้างเสริมสุขภาวะในสถานการณ์
“โควิด-๑๙” และการพัฒนาเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลงสุขภาวะ” (๒)
ผลการดำเนินงานตามเป้าประสงค์ ๖ ประการ เช่น เป้าประสงค์ที่ ๑ ลดปัจจัยเสี่ยงหลัก
โดยพัฒนาคู่มือ สำหรับผู้ปฏิบัติงานควบคุมยาสูบตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ
พ.ศ. ๒๕๖๐ เป้าประสงค์ที่ ๒ พัฒนากลไกที่จำเป็นเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพอื่น ๆ
โดยพัฒนาองค์ความรู้เพื่อขับเคลื่อนกลไกงานคุ้มครองผู้บริโภคในช่วงการระบาดของโควิด-๑๙
และช่วยสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้แก่ประชาชน และ (๓) การตรวจสอบ
ติดตามและประเมินผลการทำงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำหรับปีสิ้นสุด
ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้วเห็นว่า
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
134 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 | นร.11 สศช | 16/08/2565 | |||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||
135 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2565 | กค. | 02/08/2565 | |||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||
136 | รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2564 | สวช. | 26/07/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ซึ่งคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ได้ประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ เมื่อวันที่
๓ มีนาคม ๒๕๖๕ มีมติรับทราบด้วยแล้ว โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑)
สรุปผลการดำเนินงานฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ ภายใต้ ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ ๑
พัฒนาระบบและบริหารจัดการงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้มีประสิทธิภาพทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยพัฒนา
และการผลิตวัคซีนรองรับความต้องการในการป้องกันโรคของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ ๓
ส่งเสริม สนับสนุนอุตสาหกรรมวัคซีนภายในประเทศให้มีความเข้มแข็งและส่งออกได้
ยุทธศาสตร์ที่ ๔
พัฒนาศักยภาพบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีนของประเทศให้รองรับภารกิจความมั่นคงด้านวัคซีนได้อย่างเหมาะสม
และยุทธศาสตร์ที่ ๕
เสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรภาคีเครือข่ายด้านวัคซีนของประเทศ และ (๒)
ปัญหา/อุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและข้อเสนอแนะในการดำเนินงานด้านวัคซีน
ได้แก่ ปัจจัยภายนอก เช่น จากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระดมทรัพยากรต่าง ๆ
เพื่อตอบโต้การระบาดทำให้การดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ต้องล่าช้าออกไป
และปัจจัยภายใน เช่น ด้านการบริหารจัดการ ด้านงบประมาณ และด้านบุคลากร ตามที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
137 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 25 | กค. | 05/07/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๒๕ (ASEAN+3 Finance Ministers’ and
Central Bank Governors’ Meeting AFMGM+3) ผ่านการประชุมรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุม
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. สรุปผลการประชุม AFMGM+3 ประกอบด้วย ๑.๑
พัฒนาการและแนวโน้มเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาค เช่น
ที่ประชุมรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน+๓
ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าในปี ๒๕๖๕ เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ
๓.๖ และเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวร้อยละ ๔.๙ ส่วนในปี ๒๕๖๖
เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ ๓.๖ และเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวร้อยละ
๕.๑ ๑.๒
การเสริมสร้างความร่วมมือทางการเงินของภูมิภาค เช่น
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าของการเฝ้าระวังเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓
ข้อสรุปร่วมของประเทศสมาชิกในประเด็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงใหม่และกระบวนการการนำเงินสกุลท้องถิ่นมาสมทบในมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี
และทิศทางความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+๓ ในอนาคต ๑.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างครอบคลุมและยั่งยืน
รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาตลาดพันธบัตรของภูมิภาคอาเซียน+๓
และสนับสนุนความคิดริเริ่มในการหารือประเด็นเทคโนโลยีทางด้านการเงินและการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
มีความสอดคล้องกับประเด็นสำคัญของกรอบการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๕ ในวาระที่ไทยดำรงตำแหน่งเจ้าภาพเอเปค ๒.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
ได้เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมในรูปแบบแถลงการณ์ร่วม
และมีการปรับปรุงถ้อยคำเพื่อให้มีความเหมาะสมและสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น
โดยไม่กระทบหรือขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม
๒๕๖๕ เช่น
การเพิ่มข้อความเพื่อแสดงการสนับสนุนโครงการกองทุนประกันภัยพิบัติของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
138 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2565 | นร.11 สศช | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๕
ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๕ เช่น ภาพรวมการจ้างงาน
(๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ ภาวะการณ์เรียนรู้ถดถอย :
โอกาสการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ความท้าทายของตลาดคาร์บอนไทยและประเด็นที่ต้องคำนึงถึง
และ (๓) บทความเรื่อง “สภาพปัญหาการหลอกลวงยุคดิจิทัลและแนวทางแก้ไข” พบผลการศึกษาที่สำคัญ
ได้แก่ คนไทยประมาณครึ่งหนึ่งมีประสบการณ์ถูกหลอกลวงทางโทรศัพท์และข้อความ SMS
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
139 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 14 พ.ศ. 2564 | สช. | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑๔ พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๓ มิติ ได้แก่
มิติ ๑ การสร้างเสริมสุขภาวะสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในวิกฤตโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) มติ ๒
การคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพของกลุ่มประชากรเฉพาะในภาวะวิกฤตอย่างเป็นธรรม
มิติ ๓ การจัดการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมในวิกฤติสุขภาพ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติฯ
ที่เกี่ยวข้อง ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์)
คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของกระทรวงศึกษาธิการ
ข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณ เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ
ควรมุ่งเน้นให้เกิดเครือข่ายพลเมืองตื่นรู้และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบูรณาการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ปรับห้วงเวลาของแผนปฏิบัติการฯ จาก พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙ เป็น พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐
เพื่อให้สอดคล้องกับที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการฯ
ไปแล้วเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ แล้วแต่กรณี
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
140 | การขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง | นร.11 สศช | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการมอบหมายศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
(ศจพ.) ทุกระดับ ทีมปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
หน่วยงานเจ้าภาพหลักตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และภาคีการพัฒนาที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยบนฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์
ตามมติคณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
(คจพ.) และแนวทางการดำเนินการในระยะต่อไปอย่างเคร่งครัด
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ และให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
รวมถึงความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น (๑) ควรเน้นการสร้างงานและสร้างรายได้
โดยสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรม ตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ (๒)
ควรมีแนวทางหรือมาตรการการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับภาวะวิกฤตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
(๓) การดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลจากระบบบริหารจัดการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
(๔) ควรให้ฝ่ายเลขานุการ คจพ.
พิจารณาจำแนกแบบสอบถามเพื่อการพัฒนาคนทุกช่วงวัยในระดับครัวเรือนและบุคคลตามหมวดหมู่/ภารกิจหน้าที่ของแต่ละกระทรวงเพื่อมอบหมายให้กระทรวงที่มีภารกิจอำนาจหน้าที่สอดคล้องตามแบบสอบถามดำเนินการจัดเก็บข้อมูลต่อไป
และควรพิจารณาจ้างจัดเก็บข้อมูลตามแบบสอบถามเพื่อการพัฒนาคนทุกช่วงวัยในระดับครัวเรือนและบุคคล
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับ ศจพ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการข้อมูลต่าง ๆ
รวมทั้งข้อมูลของโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๕ (เรื่อง
การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เพื่อดำเนินงานโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG)
เพื่อให้ฐานข้อมูลระบบ TPMAP มีความถูกต้องและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น |