ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 1095 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 12/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี) ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจร (Bio Hub) อย่างยั่งยืน (๒) ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร (๓) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๔) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และ (๕) ด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนการปรับปรุงสนามบินเกษตรนครสวรรค์เพื่อเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว แล้วรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประสานงานกับภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของภาค กลุ่มจังหวัด และจังหวัด ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมเพื่อนำมาเป็นข้อมูลหลักสำหรับจัดทำข้อเสนอในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด โดยข้อเสนอดังกล่าวต้องมีความเชื่อมโยงกับโครงการ/แผนงานตามนโยบายของรัฐบาลทั้งโครงการ/แผนงานที่รัฐบาลได้ดำเนินการแล้วหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | การจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในภาพรวม | นร04 | 28/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ให้กระทรวงคมนาคมเร่งจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในภาพรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้มีความเชื่อมโยงกันทั้งระบบขนส่งหลัก ระบบขนส่งเสริม (Feeder System) และการพัฒนาระบบการจัดการสินค้า บริการ และโลจิสติกส์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน รวมทั้งเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจร และรองรับการขยายตัวของเมืองต่าง ๆ ด้วย และให้นำแผนแม่บทดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนด้วย นั้น ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยในการจัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมดังกล่าว ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือเป็นหลักการในการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงาน การกำหนดรายละเอียด การกำหนดรูปแบบรายการของแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบ ให้ยึดหลักความประหยัด คุ้มค่า ครบถ้วน จำเป็น เหมาะสม และประโยชน์ใช้สอยในแต่ละกรณีเป็นสำคัญ โดยไม่นำข้อจำกัดด้านงบประมาณมาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องลดทอนภาระงานหรือปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานที่จำเป็นและควรต้องดำเนินการของแผนงาน/โครงการนั้น ๆ ออกไป ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบด้านต่าง ๆ และทำให้เกิดความไม่คุ้มค่าในการแก้ไขปรับปรุงการดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ ในภายหลัง เช่น การกำหนดแนวสายทางที่กีดขวางทางน้ำ การออกแบบทางแยก/ทางลอดของถนนที่ไม่เหมาะสมกับสภาพการจราจรและไม่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 และแนวทางการบริหารจัดการสับปะรดโรงงานในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2561 | กษ | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับสถานการณ์สับปะรด ปี ๒๕๖๑ และแนวทางการบริหารจัดการสับปะรดโรงงานในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๖๑ เช่น มาตรการนำสับปะรดส่วนเกินออกนอกระบบ มาตรการผลักดันการส่งออกและขยายตลาดต่างประเทศ และมาตรการรณรงค์การบริโภคสับปะรดผลสดเพิ่มขึ้น เป็นต้น รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ ต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมผลไม้ของสถาบันเกษตรกร เพื่อพิจารณาเงื่อนไขและวิธีการขอรับการสนับสนุนสินเชื่อจากโครงการดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการรวบรวมผลผลิตสับปะรดผ่านกลไกสถาบันเกษตรกร ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | รายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ 2 | มท | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ ๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การลงพื้นที่ ครั้งที่ ๒ (วันที่ ๒๑ มีนาคม-๑๐ เมษายน ๒๕๖๑) มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม ๗,๙๘๑,๑๔๕ คน และครั้งที่ ๓ (วันที่ ๑๑ เมษายน-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑) มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม ๗,๖๒๐,๕๐๑ คน และขณะนี้ทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบลอยู่ระหว่างลงพื้นที่ ครั้งที่ ๔ (วันที่ ๑๖ พฤษภาคม-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑) โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงพื้นที่ที่เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกับประชาชนแทนการบรรยายเพียงอย่างเดียว และเพิ่มประเด็นในการลงพื้นที่ ๒ เรื่อง คือ (๑) ให้ข้อมูลแก่เกษตรกรเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการปลูกข้าวให้มีมูลค่าสูงขึ้น และมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น การลดต้นทุนการผลิต และ (๒) ให้ตอบแบบสอบถามความเข้มแข็งและศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน ๑.๒ การวิเคราะห์แผนงาน/โครงการที่คาดว่าหมู่บ้าน/ชุมชนจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ณ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ มีโครงการที่คาดว่าจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณฯ รวม ๘๘,๔๐๐ โครงการ จาก ๗๘,๖๒๕ หมู่บ้าน/ชุมชน (คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๐๒ ของหมู่บ้าน/ชุมชนทั้งหมด) จำแนกได้ ๖ ประเภทโครงการ คือ (๑) สร้างอาชีพ สร้างรายได้ จำนวน ๑๒,๕๓๓ โครงการ (๒) แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร จำนวน ๔,๘๑๑ โครงการ (๓) สาธารณูปโภค จำนวน ๖๙,๒๒๔ โครงการ (๔) สาธารณสุข จำนวน ๑๑ โครงการ (๕) สิ่งแวดล้อม จำนวน ๖๕๓ โครงการ และ (๖) อื่น ๆ จำนวน ๑,๑๖๘ โครงการ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาและการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่หมู่บ้าน/ชุมชนเสนอขอภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนและความพร้อมของหมู่บ้าน/ชุมชนแต่ละแห่งเป็นสำคัญ เพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตนอย่างแท้จริง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... | ดศ | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หลักการเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีฐานะเป็นนิติบุคคล และไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานศาลยุติธรรม เกี่ยวกับความชัดเจนของคำนิยาม การบังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐ การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ การกำหนดวิธีการเกี่ยวกับการทำลายข้อมูลการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี ลักษณะต้องห้ามของประธาน กรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ เบี้ยประชุมอนุกรรมการและกรรมการผู้เชี่ยวชาญ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่มีมาตรฐานในการบังคับใช้เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การเตรียมความพร้อมรองรับของทุกภาคส่วนและประชาชน สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิอุทธรณ์ที่ไม่รับเรื่องร้องเรียนของเจ้าของข้อมูลต่อศาล และปัญหาการใช้สิทธิร้องเรียนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แล้วให้แจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เห็นว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยมีกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับเป็นการทั่วไป จึงควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่มีมาตรฐานในการบังคับใช้ดังกล่าว โดยในระยะเริ่มแรกจะต้องมีการเพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมรองรับของทุกภาคส่วนและประชาชนให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่มุ่งหวังจะแก้ไขปัญหาที่เกิดจากเรื่องดังกล่าวที่เพียงพอและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อดำเนินการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ) | กห | 24/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒,๓๓๘,๖๒๖,๑๐๐ บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกเพื่อดำเนินการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ ตามนโยบายของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง การเตรียมการเพื่อดำเนินนโยบายสำคัญของทางราชการ) โดยจัดซื้อวัตถุดิบจากน้ำยางพาราจากการยางแห่งประเทศไทย หรือสถาบันเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง และวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับการรับรองจากการยางแห่งประเทศไทยเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาต่อยอดงานวิจัยที่ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพาราในรูปแบบที่หลากหลาย และสามารถใช้ปริมาณน้ำยางได้เป็นจำนวนมาก เพื่อให้สามารถสนับสนุนการแก้ไขปัญหายางพาราของรัฐบาลได้อย่างเป็นรูปธรรม สำหรับการดำเนินโครงการปรับปรุงผิวจราจรลูกรังเป็นผิวจราจร Para Rubber Polymer Soil Cement ให้พิจารณาดำเนินการตามมาตรฐานงานทาง (ทล.-ม.) ข้อกำหนดพิเศษ สว.พิเศษ ๑/๒๕๖๐ ดินซีเมนต์ปรับปรุงคุณภาพด้วยยางธรรมชาติ (Para Soil Cement) ซึ่งจะช่วยให้การปรับปรุงผิวจราจรมีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานของกรมทางหลวง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) | กค | 17/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) ซึ่งประกอบด้วย ๓ แนวทางหลัก ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ (๒) การผลักดันหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ให้และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech และ (๓) การจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาระบบนนิเวศที่เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech ในประเทศไทย โดยจัดตั้งมูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และจัดตั้ง InFinIT ภายใต้มูลนิธิดังกล่าว รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการ InFinIT ขึ้นเพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับดูแลการดำเนินงานของ InFinIT ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะพิเศษ ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ดังต่อไปนี้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาถึงความเหมาะสมและรูปแบบในการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ที่จะดำเนินการในรูปแบบมูลนิธิ โดยอาจพิจารณาปรับปรุงกลไกที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้ดำเนินงาน เช่น มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังของกระทรวงการคลัง เป็นต้น ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังเห็นว่า ยังมีความจำเป็นต้องมีการจัดตั้งสถาบันขึ้นใหม่เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech อย่างเป็นรูปธรรม ก็ให้กำหนดบทบาทหน้าที่ของสถาบันที่จัดตั้งใหม่ให้มีความชัดเจน เหมาะสม เพื่อลดความซ้ำซ้อนกับกลไกเดิมที่มีอยู่ด้วย ๒.๒ ในกรณีที่มีการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) ขึ้นในอนาคต ให้สถาบัน InFinIT บูรณาการและประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่ทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้และสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อการประกอบกิจการ FinTech เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสมาคมฟินเทคประเทศไทย เป็นต้น เพื่อช่วยให้การดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๓. ในส่วนของการดำเนินการเพื่อการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจและสถาบัน InFinIT รวมทั้งการขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และการขอรับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากภาครัฐ เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการจัดตั้งสถาบัน InFinIT ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาสะพานเครื่องหนุนมั่น) | กห | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๗๘,๗๐๗,๓๐๐ บาท ให้กองทัพบกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) สนับสนุนหน่วยทหารช่าง จำนวน ๒ ชุด ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคกลาง | กค | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคกลาง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเร่งรัดดำเนินการเขตเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี โดยให้กรมธนารักษ์เร่งรัดดำเนินการเปิดประมูลให้เอกชนเช่าที่ดิน กรมธนารักษ์ได้เปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่มีความพร้อมตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ให้ความเห็นชอบแล้ว รวม ๓ พื้นที่ ประกอบด้วย จังหวัดตาก กาญจนบุรี และนครพนม โดยกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินการสรรหาและคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษฯ แล้ว ๑.๒ การขอรับการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์แปรรูปอาหารทะเลครบวงจรและจำหน่ายอาหารทะเล และขอยกเว้นระเบียบกรมธนารักษ์ในการเช่าที่ราชพัสดุ โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาลดค่าเช่าตามความเหมาะสม ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่า อาคารตลาดปลาและอาคารระบบบำบัดน้ำเสียปลูกสร้างบนที่ดินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสงคราม ดังนั้น ในกรณีดังกล่าวมิได้เป็นการเช่าที่ราชพัสดุแต่อย่างใด ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) หารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งรัดการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในศูนย์แปรรูปอาหารทะเลครบวงจรและจำหน่ายอาหารทะเล จังหวัดสมุทรสงคราม โดยดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | สธ | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ วงเงิน ๑๘๑,๕๘๔.๐๙ ล้านบาท จำแนกเป็น ๒ รายการหลัก คือ (๑) งบประมาณค่าบริการทางการแทพย์เหมาจ่ายรายหัว วงเงิน ๑๖๖,๔๔๕.๒๓ ล้านบาท และ (๒) งบประมาณค่าบริการทางการแพทย์อื่น วงเงิน ๑๕,๑๓๘.๘๖ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (ในคราวประชุมคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๐) เช่น ควรให้ความสำคัญกับความพร้อมและศักยภาพของผู้ให้บริการและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการจัดบริการที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และมีการติดตามประเมินผลตามตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ของนโยบายดังกล่าว ควรเร่งดำเนินการด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ประชาชนทั่วไปโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้มีการบริหารจัดการและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะการบริการผู้ป่วยในให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพตามมาตรฐาน ควรพิจารณาบริการที่มีแนวโน้มบริการเพิ่มขึ้นและอาจส่งผลต่องบประมาณที่ได้รับ รวมทั้งควรให้มีเกณฑ์การวัดคุณภาพบริการของหน่วยบริการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข สปสช. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการบูรณาการการดำเนินงานด้านการป้องกันโรคร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโครงการคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC) ซึ่งเป็นบริการเชิงรุกเพื่อเน้นการดูแลป้องกันก่อนการเจ็บป่วยเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการปฏิบัติงานและภาระงบประมาณด้านสาธารณสุขในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อลดภาระงบประมาณในระยะยาวต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการจัดบริการสาธารณสุขปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑) ๓. สำหรับกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ สปสช. ดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามปฏิทินงบประมาณ ตลอดจนแนวทางต่าง ๆ ตามที่สำนักงบประมาณกำหนด โดยให้ สปสช. ประสานงานกับสำนักงบประมาณอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การพิจารณางบประมาณเป็นไปด้วยความเหมาะสมและถูกต้องตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการของระบบหลักประกันสุขภาพ ตลอดจนภาระงบประมาณของภาครัฐในการดำเนินการดังกล่าวต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการจัดบริการสาธารณสุข ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | สธ | 06/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณ จำนวน ๕,๑๘๖.๑๓ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการบริการสาธารณสุขและเพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของหน่วยบริการ จำนวน ๒ รายการ ประกอบด้วย (๑) ค่าใช้จ่ายบริการสำหรับผู้ป่วยในสำหรับหน่วยบริการทุกสังกัด ภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน ๔,๑๘๖.๑๓ ล้านบาท และ (๒) ค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการบูรณาการการดำเนินงานด้านการป้องกันโรคร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโครงการคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC) ซึ่งเป็นบริการเชิงรุกเพื่อเน้นการดูแลป้องกันก่อนการเจ็บป่วย เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการปฏิบัติงานและภาระงบประมาณด้านสาธารณสุขในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อลดภาระงบประมาณในระยะยาวต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจัดทำข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับระบบการให้บริการสาธารณสุขของไทยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข็มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ครั้งที่ 4 | นร07 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ วงเงินทั้งสิ้น ๕,๕๔๗,๓๔๔,๙๐๐ บาท ให้แก่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จำนวน ๑๙ โครงการ ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯ ให้กับหน่วยงานภายใต้ทั้ง ๒ กระทรวงดังกล่าวต่อไป สำหรับวงเงินที่เหลืออยู่อีกจำนวน ๘๐๕,๓๑๐,๐๔๐ บาท สำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการในการขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จะได้พิจารณาอนุมัติต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | ร่างพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร01 | 13/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กรมศิลปากรถ่ายโอนอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการและดูแลบำรุงโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้รายได้และค่าธรรมเนียมจากการเข้าชมโบราณสถานเหล่านั้นตกเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับร่างมาตรา ๘/๑ ซึ่งกำหนดให้อธิบดีกรมศิลปากรมีอำนาจสั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระงับการดำเนินการใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อโบราณสถานอย่างร้ายแรงนั้น ควรพิจารณาอำนาจการดำเนินการดังกล่าวให้มีความสอดคล้องกับหลักการของการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร เช่น การกำหนดบทนิยามในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้สอดคล้องกับกฎหมายฉบับอื่น รวมทั้งการกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถขอรับการสนับสนุนบุคลากรและงบประมาณจากกรมศิลปากรและกองทุนโบราณคดีเพื่อดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และกรุงเทพมหานครที่เห็นว่า กรมศิลปากรควรมีแผนเตรียมความพร้อมให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ และต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและร่วมกันกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการตลอดระยะเวลาของการสร้างความพร้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2560 | อก | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งมีมติเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ความคืบหน้าและพิจารณาแผนกำหนดเวลาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) (๒) การอนุมัติให้โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (TG MRO Campus) เป็นโครงการใน EEC Project List (๓) การแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการใน EEC Project List (๔) การชักจูงนักลงทุนรายสำคัญและการเตรียมการรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (๕) การเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยีรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และโครงการระยะเร่งด่วน รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้ติดตามกรณีเอกชนขอรับการสนับสนุนการสร้างที่พักแรงงาน การสร้างคลังสินค้าและไซโลขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมในประเทศ และอุตสาหกรรมการต่อเรือเพิ่มเติม และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น รับไปดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายและรายงานผลการดำเนินการต่อสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเร่งดำเนินการจัดทำแผนแม่บทในการขับเคลื่อนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยกำหนดเป้าหมายของแผนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่สามารถดำเนินการและวัดผลสำเร็จที่ชัดเจน ส่วนโครงการใน EEC Project List ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนนั้น ควรแสดงแหล่งเงินและจำนวนเงินการลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนอย่างครบถ้วน ตลอดจนผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับประกอบการพิจารณาเพื่อจะได้ทราบถึงภาระงบประมาณภาครัฐที่ต้องใช้ในการลงทุนต่อไป นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐควรเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์กำหนดเวลาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ให้เป็นที่รับทราบโดยทั่วกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | ขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2559 | พม | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๓๙,๒๗๑,๓๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๙ โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ประเภทเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รายการค่าก่อสร้างที่อยู่อาศัยโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง โดยให้เบิกในงบรายจ่ายอื่นประเภทเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ สำหรับวงเงินที่เหลืออีกจำนวน ๑๗๘,๒๐๒,๙๐๐ บาท ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. เร่งจัดทำแผนการตลาดและการส่งเสริมการขายที่กระตุ้นให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๙ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ครั้งที่ 3 | นร07 | 30/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ วงเงิน ๒,๑๐๕,๙๖๗,๕๖๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จำนวน ๗ โครงการ ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯ ให้กับ ๗ โครงการดังกล่าวต่อไป สำหรับวงเงินที่เหลืออยู่อีก จำนวน ๖,๓๕๒,๖๕๔,๙๐๐ บาท สำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการในการขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จะได้พิจารณาอนุมัติต่อไป ๑.๒ รายการงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ดำเนินการตามแนวทางการขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๑๐ (๓) กำหนดว่ากรณีวงเงินเกินหนึ่งร้อยล้านบาท สำนักงบประมาณจะเสนอเรื่องต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว จะต้องนำเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 09/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแต่ละโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ๑.๒ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.) คณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คอต.) และคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำจังหวัด (คอจ.) รวมทั้งเห็นชอบในหลักการของการแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำอำเภอ (ทีม ปรจ.) ๑.๓ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้พัฒนาตนเอง โดยจะได้รับวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามแนวทางประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติม โดยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๙ จะได้รับวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๒๐๐ บาท/คน/เดือน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๙ จะได้รับวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๑๐๐ บาท/คน/เดือน ๑.๔ เห็นชอบในหลักการของมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรจะได้เสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งประสานธนาคารกรุงไทย เพื่อดำเนินการรับชำระค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อไป ๑.๕ เห็นชอบให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินมาตรการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม ๖ มาตรการ ๑๘ โครงการ และให้โครงการดังกล่าวเป็นโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) ๑.๖ อนุมัติงบประมาณเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๓๕,๖๗๙,๐๙๐,๗๙๑ บาท ซึ่งประกอบด้วยรายการ ดังนี้ ๑.๖.๑ งบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายของคณะกรรมการและคณะทำงาน เช่น ค่าเบี้ยประชุม ค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นต้น และค่าตอบแทนลูกจ้างชั่วคราวของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. เพื่อปฏิบัติงานในโครงการเป็นวงเงินไม่เกิน ๒,๙๙๙,๑๖๗,๗๒๓ บาท ๑.๖.๒ งบประมาณสำหรับโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เป็นวงเงินไม่เกิน ๖,๗๗๔,๔๐๙,๘๖๗ บาท และงบประมาณสำหรับธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ในการดำเนินงานเป็นวงเงินไม่เกิน ๑๒,๐๓๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินไม่เกิน ๑๘, ๘๐๗,๔๐๙,๘๖๘ บาท ๑.๖.๓ งบประมาณสำหรับค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด เป็นวงเงินไม่เกิน ๑๓,๘๗๒,๕๐๓,๒๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายภายใต้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ทั้งนี้ งบประมาณตามข้อ ๑.๖.๑-๑.๖.๓ ให้แต่ละหน่วยงานทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มารองรับกลุ่มเป้าหมายตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นลำดับแรกก่อน โดยควรชะลอการดำเนินการสำหรับกลุ่มเป้าหมายเดิมที่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รองรับไว้ หากไม่เพียงพอ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนพร้อมรายละเอียดประกอบให้ชัดเจน เพื่อขอทำความตกลงแหล่งเงินกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนและกระบวนการงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคฯ ให้ใช้จ่ายจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การดำเนินโครงการภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ควรให้ความสำคัญในเรื่องความพร้อมของโครงการ ระยะเวลาดำเนินโครงการ ความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมาย การติดตามและประเมินผล การสร้างความรับรู้และความเข้าใจของทุกภาคส่วนต่อการดำเนินมาตรการฯ และผลสัมฤทธิ์ที่คาดว่าจะได้รับทั้ง ๔ มิติของการดำเนินการ (มิติที่ ๑ การมีงานทำ มิติที่ ๒ การฝึกอบรมและการศึกษา มิติที่ ๓ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และมิติที่ ๔ การเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐาน) เพื่อลดความเสี่ยงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น และความซ้ำซ้อนของการดำเนินการในแต่ละโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประสานการทำงานกับคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค และร่วมกันพิจารณากำหนดนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อยในภาพรวมให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการซักซ้อมความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจของคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำอำเภอ หรือ ทีม ปรจ. รวมถึงผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer : AO) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวได้ถูกต้อง ชัดเจน ทั้งนี้ ในการพิจารณาคัดกรองผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทีม ปรจ. จะต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ และจะต้องจัดสรรเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอสำหรับการดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปริมาณที่เหมาะสมด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังเร่งเสนอร่างกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ๖. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2560 (ครั้งที่ 6/2560) | มท | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ตั้งแต่วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๖/๒๕๖๐) โดยมีผลงานสะสมที่ทำได้ ๓๙.๕๙ % ส่วนการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรส่งมอบพื้นที่ทั้งหมดให้ผู้รับจ้างแล้ว เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ คณะทำงานติดตามความก้าวหน้าโครงการอาคารรัฐสภาแห่งใหม่มีความเห็นว่า เมื่องานก่อสร้างอาคารรัฐสภาเสร็จแล้ว อาจจะไม่สามารถใช้อาคารได้เนื่องจากตามสัญญาหลักเดิมได้ตัดปริมาณงานบางส่วนออกไป ได้แก่ งานระบบสาธารณูปโภค ระบบประกอบอาคาร ที่ทางผู้ออกแบบ (กลุ่มกิจการร่วมค้า สงบ ๑๐๕๑) ได้ออกแบบไว้แล้ว แต่ยังไม่รวมอยู่ในสัญญาหลัก (งานนอกงบประมาณ) และมีงานบางส่วนซึ่งมีความจำเป็นต้องทำเพิ่มเติมให้ครบถ้วน จึงเห็นว่าอาจต้องพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมประมาณ ๕,๕๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากรัฐบาลต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานติดตามความคืบหน้าการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารโครงการอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อย่างใกล้ชิด และกำกับให้การดำเนินการเสนอของบประมาณเพิ่มเติมของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้การก่อสร้างอาคาร ตลอดจนระบบงานอื่น ๆ แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๒ ตามกำหนดเวลาที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๖ มิถุนายน ๒๕๖๐)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ 2 ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 (ด้านการผลิต) | กษ | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ ๒ ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) ทั้ง ๓ โครงการ กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๑,๖๘๗.๑๕๕๗ ล้านบาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในวงเงิน ๔๔.๐๐๕๗ ล้านบาท โดยส่วนที่เหลืออนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ แล้ว ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๖๔๓.๑๕๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้เพื่อให้เกษตรกรได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๓.๑ ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจในรายละเอียดและเงื่อนไขของโครงการฯ ให้เกษตรกรรับทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และกำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติงานโครงการฯ ด้วย ๓.๒ กำหนดให้พื้นที่สำหรับการดำเนินโครงการฯ ในครั้งนี้ต้องไม่ใช่พื้นที่เดียวกับโครงการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวรอบที่ ๒ ปี ๒๕๖๐/๖๑ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ [เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ และโครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ รวมทั้งจะต้องไม่ใช่พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไปประกอบกิจกรรมอื่นเป็นการถาวรไปแล้ว ได้แก่ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงแพะ โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการทำนาหญ้า โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ [เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม)] โครงการโคบาลบูรพา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ (เรื่อง ขอสนับสนุนงบกลางเพื่อดำเนินงานโครงการโคบาลบูรพา) และโครงการปลูกพืชอาหารสัตว์ทดแทนนาข้าว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชให้เหมาะสม ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต)] ๓.๓ ประสานงานกับโรงงานอาหารสัตว์ที่เป็นผู้รับซื้อเมล็ดข้าวโพดตามโครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี ๒๕๖๑ โดยให้ภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติตามเงื่อนไขในการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ด กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า ๘ บาท ในมาตรฐานคุณภาพข้าวโพดของสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ ข้าวโพดเบอร์ ๒ ความชื้นไม่เกินร้อยละ ๑๔.๕ ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ลดทอนตามชั้นคุณภาพ และระยะทางอย่างเป็นธรรมแก่เกษตรกร ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดียวกับเงื่อนไขโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ [เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) : การปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๙/๖๐ รอบที่ ๒ (มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปี ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการผลิต (เพิ่มเติม) : การปรับเปลี่ยนปลูกพืชหมุนเวียน)] ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามสถานการณ์การผลิตและการค้าอาหารสัตว์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งบริหารจัดการการนำเข้าอาหารสัตว์ทั้งในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสินค้าเกษตรอื่นที่ใช้ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เช่น ข้าวสาลี และกากข้าวโพดเอทานอล (Distillers Dried Grains with Solubles : DDGS) อย่างรัดกุม ๕. ในการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยผ่านบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นั้น กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. จะต้องดำเนินการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรโดยไม่หักเงินที่เกษตรกรพึงได้รับจากโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวรอบที่ ๒ ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ ไปใช้เพื่อการอื่นก่อน เช่น การชำระหนี้ที่เกษตรกรมีอยู่กับ ธ.ก.ส. เป็นต้น ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การกำหนดพื้นที่ในการดำเนินโครงการฯ ไม่ให้ทับซ้อนกัน การตรวจสอบเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ให้ซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน การเร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้เกษตรกรได้รับทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง การพิจารณาระยะเวลาดำเนินการให้มีความเหมาะสมและสามารถดำเนินการได้ในระยะเวลาที่กำหนด การติดตามการดำเนินโครงการฯ การกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน และการประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อรายงานให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่เกษตรกรในการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมไปปลูกพืชอื่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
180 | การสมทบเงินกองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสาม | กต | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้เบิกจ่ายงบประมาณ จำนวน ๓๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบเงินอุดหนุนของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อสมทบเงินอุดหนุนเข้ากองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสามเพิ่มเติม เพื่อใช้สำหรับส่งเสริมความร่วมมือในกรอบอาเซียนบวกสามต่อไป ๑.๒ อนุมัติการให้เงินสมทบเข้ากองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสามในครั้งต่อ ๆ ไป เมื่อมีการเรียกเก็บ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือคำนวณอัตราเงินสมทบกองทุนฯ ใหม่ จากที่ระบุไว้ในเอกสารข้อกำหนด (Terms of Reference) ของกองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสาม โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสามในระยะที่ผ่านมา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับรายละเอียดของหลักเกณฑ์การจัดทำและการพิจารณาข้อเสนอโครงการตามมาตรฐานอาเซียนให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ทั่วถึง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนความร่วมมืออาเซียนบวกสามในการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาประเทศในสาขาต่าง ๆ ต่อไป
|
.....