ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 1095 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | การสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งเลขาธิการองค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian-African Legal Consultative Organization-AALCO) | กต | 08/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ นายกมลินทร์ พินิจภูวดล เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งจากประเทศไทยเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian-African Legal Consultative Organization-AALCO) ระหว่างปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗ เนื่องจากเลขาธิการ AALCO คนปัจจุบัน [ศาสตราจารย์ ดร. เคนเนดี แกสธอร์น (Professor Dr. Kennedy Gastorn)] จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการรณรงค์หาเสียงเพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐสมาชิก ก่อนการเลือกตั้งในคราวการประชุมสมัยพิเศษสำหรับการเลือกตั้งเลขาธิการ AALCO คนใหม่ ที่จะจัดขึ้นภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ ณ สาธารณรัฐอินเดีย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
122 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวัด เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) | นร | 02/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนวัด เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่เหมาะสมโดยให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงการให้ความช่วยเหลือแก่ศาสนสถานของศาสนาอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบูรณาการร่วมกับจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสำรวจจำนวนวัดและพระภิกษุ สามเณร ที่ประสบปัญหาความขาดแคลน และไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ได้รับเงินอุปถัมภ์นิตยภัต ตลอดจนวัดที่มีศักยภาพเพียงพอที่สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยคำนึงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งความสอดคล้องกับระยะเวลาที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว เห็นควรให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และใช้จ่ายจากงบประมาณที่เหลือจ่ายจากการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์แล้ว หรือรายการที่หมดความจำเป็นมาดำเนินการก่อนในลำดับแรก หากไม่เพียงพอ ขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดทำแผนการใช้จ่ายเพื่อขอรับการสนับสนุนจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ในลำดับต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการลดภาระค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าให้แก่ศาสนสถานต่าง ๆ ในแนวทางเดียวกับการดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานสำหรับประชาชนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
123 | การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 ค.ศ. 2021 | กก | 17/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ ๖ ค.ศ. ๒๐๒๑ โดยมีกำหนดการแข่งขัน จำนวน ๑๐ วัน ในช่วงปลายเดือนเมษายน ๒๕๖๔ ณ จังหวัดชลบุรี และกรุงเทพมหานคร คาดการณ์ว่าจะมีการแข่งขันทั้งหมด จำนวน ๒๑ ชนิดกีฬา จากผู้เข้าแข่งขัน ๔๖ ประเทศ โดยใช้งบประมาณจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการจัดการแข่งขัน จำนวน ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล จำนวน ๑,๒๔๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ในการจัดการแข่งขันรวมทั้งสิ้น ๑,๔๘๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายหากมีความจำเป็นต้องนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีก็ให้ดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดทำแผนการบริหารจัดการให้มีแหล่งรายได้อื่นและกระจายผลประโยชน์ภายในประเทศ อาทิ การสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนการจัดการแข่งขัน และการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ รวมถึงการวางแผนจัดกิจกรรมเสริมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศแก่กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้าร่วมชมการแข่งขัน ตลอดจนมีการติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ที่อาจส่งผลต่อการจัดการแข่งขันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับแผนรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
124 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | พม | 11/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๒,๐๕๖,๕๑๖,๔๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
125 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ 5 รายการ | กก | 21/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ ๕ รายการ ประกอบด้วย (๑) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว ๒๐๒๐) (๒) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน ๒๐๒๐) (๓) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว (ปักกิ่ง ๒๐๒๒) (๔) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน (ตาการ์ ๒๐๒๒) และ (๕) การแข่งขันมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ (หางโจว ๒๐๒๒) ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาแล้วเห็นควรซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฯ ทั้ง ๕ รายการ จากบริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้บริหารจัดการลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดและการตลาด มูลค่ารวม ๔๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (รวมภาษีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ไม่รวมค่าดำเนินการด้านเทคนิคการออกอากาศ) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติแล้ว ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มาสมทบในวงเงิน ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้การกีฬาแห่งประเทศไทยดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณการถ่ายทอดสดการแข่งขันดังกล่าวให้สอดคล้องกับมติคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ และในการขอรับการสนับสนุนงบประมาณการจัดซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬาดังกล่าวจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ นั้น จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๒๗ (๒๑) และมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดสรรองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
126 | ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ไปพลางก่อน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการจัดเที่ยวบินพิเศษของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจำปี พ.ศ. 2562 | คค | 02/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายก่อนได้รับเงินจัดสรร โดยให้ใช้จ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๖,๔๗๖,๙๑๙ บาท ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการจัดเที่ยวบินพิเศษของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จากท่าอากาศยานนราธิวาสไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย เที่ยวบินขาไป เส้นทางนราธิวาส-มะดีนะห์ จำนวน ๙ เที่ยวบิน และเที่ยวบินขากลับ เส้นทางเจดดาห์-นราธิวาส จำนวน ๙ เที่ยวบิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
127 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเพิ่มกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน 2,247 อัตรา | มท | 11/12/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้มีการปรับเพิ่มกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้แก่กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน) พิจารณาเกี่ยวกับการคัดกรองสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน โดยคำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของบุคลากรให้สอดคล้องกับภารกิจงานที่เกี่ยวข้องด้วยเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เช่น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในเรื่องดังกล่าว โดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่และบริหารอัตรากำลังที่มีอยู่เดิมให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อควบคุมงบประมาณด้านบุคลากรภาครัฐ หรืออาจเกลี่ยอัตรากำลังหรือการมอบหมายให้ช่วยปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีความจำเป็น รวมทั้งควรติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานหลังจากเพิ่มกรอบอัตรากำลังด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรจุสั่งใช้กำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน เห็นควรให้ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มอัตรากำลังในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้ใช้จ่ายจากกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้เสนอตั้งไว้ในขั้นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ มีผลบังคับใช้หรือเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เท่าที่จำเป็นอย่างประหยัดตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
128 | การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำ ร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 | นร09 | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ ๑.๑.๑ ร่างอนุบัญญัติ จำนวน ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างแนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ร่างแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ร่างกฎกระทรวงกำหนดรอบระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดกฎหมายตามมาตรา ๒๙ (๖) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการไม่เผยแพร่ข้อมูลในระบบกลาง พ.ศ. .... และให้ดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบิกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อไป ๑.๑.๒ ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย จำนวน ๔ ฉบับ เพื่อให้หน่วยงานถือปฏิบัติ ได้แก่ ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การใช้ระบบอนุญาตในกฎหมาย ร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การใช้ระบบคณะกรรมการในกฎหมาย และร่างคำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การนำโทษอาญามาใช้ในกฎหมาย ๑.๑.๓ มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการ (๑) โดยที่มาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่ากฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติว่า เมื่อแนวทางเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ตามหมวด ๕ การประเมินผลสัมฤทธิ์ มีผลใช้บังคับแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นอันยกเลิก ดังนั้น หากกฎกระทรวงกำหนดกฎหมายตามมาตรา ๒๙ (๖) กฎกระทรวงกำหนดรอบระยะเวลาการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย มีผลใช้บังคับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงอาจแจ้งเวียนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐทราบถึงการสิ้นผลของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และภารกิจหน้าที่ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ แทนการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ และ (๒) ในกรณีแนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายมีผลใช้บังคับ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาแก้ไขระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย เพื่อไม่ให้หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการในเรื่องดังกล่าวซ้ำซ้อนกัน ๑.๑.๔ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง แนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๑.๑.๕ ให้หน่วยงานดำเนินการขับเคลื่อนงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ และจัดการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ในสังกัด โดยหน่วยงานของรัฐอาจขอรับการสนับสนุนวิทยากรจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๑.๒ รับทราบ ๑.๒.๑ การดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒.๒ การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำร่างหลักเกณฑ์การจัดทำคำอธิบายสรุปสาระสำคัญของกฎหมาย และร่างหลักเกณฑ์การจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลในระบบกลางเพื่อให้ประโยชน์ในการให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้อย่างทั่วถึง ๑.๒.๓ การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำระบบกลาง (ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายเชื่อมโยงที่จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ รวมทั้งการเข้าถึงบทบัญญัติของกฎหมายของประชาชน) เพื่อรองรับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒.๔ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเกิดข้อสงสัยหรือความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ อาจหารือมายังคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป โดยในส่วนของการจัดทำหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) ให้ใช้รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แทนการจัดทำคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติท้ายระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
129 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4/2562 | นร11 | 22/10/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวระยะสั้น และระยะกลาง-ยาว เพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของไทยในปี ๒๕๖๒ (รวม ๑๗ กิจกรรม) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยมอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการดำเนินมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวให้เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ สำหรับมาตรการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณหรือมาตรการที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานรัฐ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๒ ที่ประชุมรับทราบเรื่องสำคัญ ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒) (๒) สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๒ และ (๓) สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในมุมมองของภาคเอกชนและข้อเสนอแนะ ซึ่งที่ประชุมฯ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๒ และปี ๒๕๖๓ (ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน) รวมถึงการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจด้วย และมอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ๒. มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวระยะสั้น และระยะกลาง-ยาวดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับหน่วยงานความมั่นคงเพื่อประเมินและมีมาตรการรองรับผลกระทบด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
130 | ร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย | อก | 22/10/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการในการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการอบรมการยกระดับการพัฒนานโยบายอุตสาหกรรมสำหรับประเทศในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Training on Enhancement of Industrial Policy Development for Lancang-Mekong Countries) ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอรับการสนับสนุนเงินทุนจากกองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Special Fund) ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) จำนวนเงิน ๔๕๐,๐๐๐ หยวน (๖๕,๓๘๕ ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒ ล้านบาท) โดยโครงการดังกล่าวเป็นการอบรมเจ้าหน้าที่/ข้าราชการระดับกลางจากประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เนื้อหาการอบรมที่สำคัญ เช่น สถานะด้านอุตสาหกรรมของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือฯ นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สำคัญ แนวทางส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น และจะเป็นกลไกในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างกันของประเทศสมาชิกในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง รวมทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหน่วยงานปฏิบัติอันจะเป็นประโยชน์ต่อการประสานงานด้านอุตสาหกรรมระหว่างกันในอนาคต ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งฝ่ายจีนขอให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเกี่ยวกับการดำเนินโครงการอบรมการยกระดับการพัฒนานโยบายอุตสาหกรรมสำหรับประเทศในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Training on Enhancement of Industrial Policy Development for Lancang-Mekong Countries) กระทรวงอุตสาหกรรมควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงการพัฒนานโยบายอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศกับโอกาสและประโยชน์จากการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของไทย เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาร่วมกันภายในภูมิภาค ทั้งการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตระหว่างกันและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ mainland ASEAN ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
131 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีอุทกภัย) (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย) | มท | 24/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้เบิกจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๕,๕๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่อันเนื่องมาจากสาธารณภัย (กรณีอุทกภัย) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้แก้ไขข้อเสนอ จากเดิม ที่กำหนดให้ดำเนินการจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล เป็น จัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลที่ประสบภัยพิบัติที่ได้รับการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีฉุกเฉิน ทั้งนี้ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับเงินอุดหนุนแห่งละไม่เกิน ๕ ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอเพิ่มเติม และให้เร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าวโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวนัที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
132 | ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา | ยธ | 17/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๑๗๖,๗๘๘,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
133 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ | กห | 09/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกดำเนินโครงการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ เป็นจำนวน ๖๗๐ เส้นทาง ระยะทางรวม ๑,๗๔๔.๑๓๘ กิโลเมตร ปริมาณการใช้ยางพารา จำนวน ๑๗,๔๓๕.๐๔๐ ตัน งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๒,๕๖๘,๗๘๓,๔๐๐ บาท และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑,๖๔๕,๒๑๖,๑๐๐ บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
134 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | ยธ | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมราชทัณฑ์จ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายก่อนได้รับเงินจัดสรร และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ชำระหนี้ค่าวัสดุ อาหารผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักขัง และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๖๕๓.๗๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์พิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อลดภาระงบประมาณที่ต้องจัดสรรเป็นค่าวัสดุอาหารของเรือนจำ/ทัณฑสถาน/สถานกักขังต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กรมราชทัณฑ์ติดตามประเมินผลการดำเนินการดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงงประมาณในปีต่อ ๆ ไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
135 | ขออนุมัติแผนหลักการฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก และแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ | นร | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ ๑.๑ เห็นชอบแผนหลักการฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก รวม ๔ ด้าน ระยะเวลาดำเนินการ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๙) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑,๔๕๖.๙๘ ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการแผนงานเร่งด่วนที่มีความพร้อม จำนวน ๑๑ โครงการ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงินงบประมาณ ๗๕๔.๕๖ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ รวม ๖ ด้าน ระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๒) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๕,๗๐๑.๕ ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการแผนงานเร่งด่วนที่มีความพร้อม จำนวน ๙ โครงการ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ วงเงินงบประมาณ ๑,๕๑๓.๕ ล้านบาท ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันทีในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการสนับสนุนตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๔ มอบหมายให้ สทนช. อำนวยการและกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนหลักที่วางไว้ทั้ง ๒ แผน รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๒ อย่างเคร่งครัด ดังนี้ ๑.๔.๑ การฟื้นฟูบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก (๑) ให้หน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเร่งด่วน จำนวน ๑๑ โครงการ โดยให้ดำเนินการเตรียมความพร้อมให้ชัดเจน พร้อมทั้งวางแผนเยียวยาในเรื่องการจัดหาที่อยู่ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อไปด้วย และ (๒) ให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้ กนช. ทราบเป็นระยะต่อไป ๑.๔.๒ การฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ (๑) ต้องสร้างความเข้าใจและการรับรู้ให้กับประชาชน (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเตรียมความพร้อมและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแผนที่กำหนด และ (๓) ให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้ สนทช. ทราบเป็นระระต่อไป ๒. ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดของแผน และการบริหารจัดการแผน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นให้เพื่อขับเคลื่อนแผนหลักดังกล่าว เห็นควรให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมและจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้จัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการ และให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามแผนให้ถูกต้อง ทั่วถึงโดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับของส่วนรวม พร้อมทั้งให้จัดเตรียมมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
136 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | มท | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย โดยการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินไม่เกิน ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นการดำเนินงานในลักษณะของรายการปีเดียว และไม่มีผลเป็นการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ อันจะเป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต โดยขอให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ เห็นควรที่กระทรวงมหาดไทยจะรายงานผลการดำเนินงานต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในโอกาสแรก และจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการ รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศน์โดยรวมเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการดำเนินโครงการต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานของรัฐ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการกำหนดรูปแบบของฝายชะลอน้ำตามโครงการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เพื่อให้มีการจ้างแรงงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแล โครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
137 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร | กษ | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร เพื่อชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ระยะเวลา ๑ ปี (๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒) ภายในกรอบวงเงิน ๑,๒๓๒,๕๙๕,๖๔๐ บาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งรัดปรับปรุงข้อมูลมูลหนี้รายสัญญาให้เป็นปัจจุบันยิ่งขึ้น เนื่องจากการลดลงของจำนวนมูลหนี้ที่เสนอในการพิจารณาครั้งนี้ยังไม่สอดคล้องกับจำนวนสมาชิกที่ลดลง และดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบความถูกต้องของมูลหนี้รวมกับระยะเวลาสัญญาเงินกู้ วัตถุประสงค์ของการกู้ยืมเพื่อการเกษตรและความซ้ำซ้อนกับโครงการของภาครัฐที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน และมีความจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือให้จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณากลุ่มเป้าหมาย และประโยชน์ที่ได้รับอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด การกำกับดูแลการดำเนินตามโครงการฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และผลประโยชน์ตกถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ การกำหนดวิธีการจัดลำดับความสำคัญของเกษตรกรสมาชิก สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไว้คู่มือการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้ได้ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วน และสอดคล้องกับกรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการคลังมากเกินความจำเป็น รวมทั้งการติดตามประเมินผลโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
138 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยที่ไม่มียุ้งฉางหรือสถานที่จัดเก็บพืชผลทางการเกษตรเป็นของตนเองได้รวมกลุ่มกันและจัดให้มียุ้งฉางกลางหรือสถานที่จัดเก็บพืชผลทางการเกษตรร่วมกันหรือขอรับการสนับสนุน/ช่วยเหลือด้านต่าง ๆ จากภาครัฐ ทั้งนี้ ให้นำกรณีการรวมกลุ่มของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในโครงการธนาคารข้าวมาเป็นแนวทางประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีที่ภาครัฐดำเนินมาตรการที่เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชชนิดต่าง ๆ แต่ความช่วยเหลือดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงเกษตรกรรายย่อย เกษตรกรที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกษตรกรที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เพาะปลูก รวมทั้งเกษตรกรที่บุกรุกพื้นที่ของทางราชการ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเร่งประสานงานและบูรณาการการบริหารจัดการน้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับสถานการณ์น้ำในฤดูแล้ง โดยเร่งดำเนินการบูรณะฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ ในพื้นที่ ให้สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก รวมทั้งให้ควบคุมดูแลการบริหารจัดการปริมาณน้ำเพื่อการเกษตรอย่างเหมาะสม นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยด่วนเพื่อให้การแก้ไขปัญหาภัยแล้งเกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๒ เดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่นอกเขตชลประทานที่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งน้ำในเขตชุมชนให้มากขึ้น เช่น การขุดเจาะน้ำบาดาล ระบบประปาหมู่บ้าน ๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับการดำเนินการเพื่อให้บุคลากรที่มีศักยภาพเข้าสู่ระบบราชการ ดังนี้ ๒.๒.๑ ให้สำนักงาน ก.พ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเกี่ยวกับการสรรหาและคัดเลือกบุคคลที่มีศักยภาพเข้าสู่ระบบราชการให้สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจสังคม และเทคโนโลยีในอนาคต โดยกำหนดสัดส่วนการบรรจุอัตรากำลังสำหรับบุคคลที่มีศักยภาพดังกล่าวกับระบบการสรรหาปกติให้มีความเหมาะสม ตลอดจนกำหนดมาตรการจูงใจ ทั้งด้านค่าตอบแทนและความก้าวหน้าในสายอาชีพสำหรับบุคคลที่จะเข้ามาสู่ระบบการสรรหาและเลือกสรรดังกล่าว รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อให้ผู้เกษียณอายุราชการที่มีศักยภาพสามารถปฏิบัติงานในสาขาที่ยังมีความต้องการผู้มีทักษะหรือความสามารถเฉพาะด้านอีกทางหนึ่งด้วย ๒.๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการจูงใจสำหรับสถาบันการศึกษาในการผลิตนักศึกษาให้รองรับกับความต้องการบุคลากรในแต่ละสาขาให้สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วย ๒.๓ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานกลางรับไปประสานงานกับทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเพื่อรวบรวมผลงานสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการตามแนวพระราโชบายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร หรือโครงการที่ส่วนราชการดำเนินการเพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เช่น การปรับปรุงสภาพลำน้ำ คูคลอง การปรับภูมิทัศน์ของสายทางต่าง ๆ รวมทั้งการจัดระเบียบที่อยู่อาศัยของประชาชนริมฝั่งคลองต่าง ๆ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
139 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | นร10 | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน ๕,๙๗๐ อัตรา เพื่อปฏิบัติงานรองรับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๔,๗๐๐ อัตรา และภารกิจด้านการถวายความปลอดภัย จำนวน ๑,๒๗๐ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คปร. เสนอ สำหรับการจัดสรรข้าราชการตำรวจตั้งใหม่เพื่อปฏิบัติภารกิจด้านการถวายความปลอดภัย ให้เปลี่ยนชื่อกองบังคับการ จากเดิม “กองบังคับการถวายความปลอดภัยและปฏิบัติการพิเศษ” เป็น “กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ๙๐๔” ตามนัยกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ.๒๕๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมที่จะต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการสนับสนุนงบกลางต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน โดยคำนึงถึงลำดับความจำเป็นและความเร่งด่วนในการบรรจุประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาของบุคลากรควบคู่กับการเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตำรวจดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
140 | การเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของไทยในองค์กร Asian Forest Cooperation Organization (AFoCO) | ทส | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกองค์กร Asian Forest Cooperation Organization (AFoCO) โดยกรมป่าไม้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน และเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยานุวัติสารและดำเนินการมอบภาคยานุวัติสารให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีในฐานะผู้เก็บรักษาหรือผู้อำนวยการบริหารของสำนักเลขาธิการฯ (Executive Director of the Secretariat) แล้วแต่กรณี ตามนัยข้อ ๑๘ ของข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรความร่วมมือด้านป่าไม้แห่งเอเชีย (AFoCO) รวมทั้งอนุมัติในหลักการจัดสรรงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนรายปีให้แก่กรมป่าไม้ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กร AFoCO ปีละประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตลอดระยะเวลาที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่เป็นเงินอุดหนุนรายปีในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กร AFoCO โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ กรมป่าไม้ได้รับการจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑,๐๒๒,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป กรมป่าไม้ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามนัยกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กรมป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกองค์กร AFoCO ทั้งโครงการทางวิชาการด้านการป่าไม้และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และกำหนดกรอบประเด็นความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ของประเทศไทยให้ชัดเจน การประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชนได้ทราบและสามารถขอรับการสนับสนุนได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงมากขึ้น ตลอดจนการจัดการองค์ความรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ได้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและสาธารณะอย่างกว้างขวาง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....