ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 6 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 102 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ข้อเสนอแนะในการแก้ไขนิยาม "ป่า" และการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ของไทยเพื่อป้องกันการถูกกีดกันทางการค้าของสหภาพยุโรป | สม. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะในการแก้ไขนิยาม “ป่า”
และการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ของไทยเพื่อป้องกันการถูกกีดทางการค้าของสหภาพยุโรป เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการ ดังนี้
(๑)
แต่งตั้งแต่งตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อศึกษาผลกระทบจากกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (๒) แก้ไขนิยาม “ป่า” ให้สอดคล้องกับนิยามสากล และ (๓) ปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ให้มีความสมบูรณ์ชัดเจนอยู่ในฉบับเดียว
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมาย | นร15 | 26/07/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมาย
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมาย
โดยแบ่งการพิจารณาเป็น ๔ ลักษณะ ได้แก่ (๑) การห้ามดำรงตำแหน่งสำคัญ (๒)
การห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน (๓)
การห้ามรับราชการ และ (๔) การห้ามประกอบอาชีพอื่น ๆ เพื่อให้ส่วนราชการต่าง ๆ
นำหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาการจัดทำร่างกฎหมายและการตรวจพิจารณาร่างกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบ
ตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดองเสนอ
และให้ส่วนราชการนำไปใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำร่างกฎหมายและการตรวจพิจารณากฎหมายต่อไป ๒.
ให้ส่วนราชการต่าง ๆ
นำหลักเกณฑ์การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมายไปตรวจสอบกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบ
หากเห็นว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ยังมีความไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้เสนอร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขหรือยกเลิกบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องนั้นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในโอกาสแรก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศและการจัดทำกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ | นร. | 19/10/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า แผนการปฏิรูปประเทศ รวม ๑๓ ด้าน
ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ ลงวันที่ ๖ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๖๑ และแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง การประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
มีระยะเวลาการใช้บังคับ ๕ ปี นับแต่วันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
ซึ่งจะครบกำหนดใช้ในวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๕ แต่โดยที่ยังมีกิจกรรมปฏิรูป
และข้อเสนอในการมีหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ
ซึ่งหน่วยงานของรัฐยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จจึงมีมติ ๑. ให้ทุกหน่วยงานของรัฐที่จะต้องดำเนินการตามข้อเสนอภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศที่ผ่านมา
รวมทั้งพิจารณาความสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศกับสถานการณ์ของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปว่ามีความจำเป็นเหมาะสมที่จะดำเนินการให้บรรลุผลหรือไม่
อย่างไร หากเห็นว่าการดำเนินการกิจกรรม/โครงการ/การดำเนินงานใดมีความสำคัญจำเป็นเร่งด่วนนั้น
เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | รายงานความคืบหน้าการพัฒนาความร่วมมือด้านกฎระเบียบระหว่างประเทศ (International Regulatory Cooperation) ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา | นร.09 | 24/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการพัฒนาความร่วมมือด้านกฎระเบียบระหว่างประเทศ
(International Regulatory Cooperation) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของคณะกรรมการนโยบายกฎระเบียบ
(Regulatory Policy Committee) ของ OECD และการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของคณะกรรมการนโยบายกฎระเบียบจะส่งผลให้ประเทศไทยมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการดำเนินนโยบาย
OECD
เกี่ยวกับการพัฒนามาตรฐานการมีกฎหมายที่ดีที่มีผลโดยตรงต่อการดำเนินนโยบายด้านกฎหมายของประเทศสมาชิก
การเป็นประเทศสมาชิกในคณะกรรมการนโยบายกฎระเบียบและการดำเนินการให้สอดคล้องกับคำแนะนำของ
OECD ในเรื่องนโยบายกฎระเบียบและธรรมาภิบาล
จะส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคจาก OECD
และสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้แก่ภาคส่วนต่าง ๆ
โดยเฉพาะนักลงทุนจากต่างประเทศเกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐบาลในการปฏิรูปกฎหมายให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลเกี่ยวกับกฎหมายที่ดีตามบทบัญญัติไว้ในมาตรา
๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | การประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของรัฐบาล | นร. | 25/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โดยที่ปัจจุบันรัฐบาลได้ขับเคลื่อนประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่หลากหลายและสอดคล้องกับประชาชนทุกกลุ่ม
เช่น
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมในภาครัฐเพื่อยกระดับสู่รัฐบาลดิจิทัล
การวางรากฐานเพื่อพัฒนามาตรฐานการศึกษาให้เด็กและเยาวชนเป็นประชากรแห่งศตวรรษที่ ๒๑
การวางรากฐานและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการปฏิรูปกฎหมายให้มีความทันสมัย
โปร่งใส และอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน
รวมถึงการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลผลสัมฤทธิ์และความก้าวหน้าของการดำเนินงานที่ผ่านมาและแนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไปของรัฐบาลในเรื่องสำคัญต่าง
ๆ ที่อยู่ในความสนใจหรือมีผลกระทบต่อสาธารณชนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึง
เพื่อให้เกิดการรรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน
ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผลการดำเนินงานในความรับผิดชอบตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง ผลการสำรวจการมีส่วนร่วมของประชาชนตามแผนปฏิรูปประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๔) อย่างต่อเนื่อง จริงจัง และให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้
ในระดับจังหวัด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง
ๆ โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) และสื่อท้องถิ่นของจังหวัดและพื้นที่
รวมถึงในกรณีที่พบว่าเรื่องใดมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่เป็นจริง หรือไม่เป็นปัจจุบันก็ให้เร่งรัดชี้แจง
ทำความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องในทุกช่องทางการสื่อสารที่สามารถดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น พ.ศ. .... | นร.09 | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันหรือมีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่ตราขึ้นในภายหลัง
รวม ๗ ฉบับ ได้แก่ (๑) พระราชบัญญัติจัดการฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก พุทธศักราช ๒๔๗๙
(๒) พระราชกำหนดควบคุมและดำเนินงานภารธุระการทำเหมืองแร่ทองคำ พุทธศักราช ๒๔๘๓ (๓)
พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการไฟฟ้า พุทธศักราช ๒๔๘๔ (๔)
พระราชบัญญัติกำหนดวิธีปฏิบัติแก่บุคคลซึ่งเผยแพร่ข่าวอันเป็นการทำให้เสียสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศที่มีสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศไทย
ในภาวะสงคราม พุทธศักราช ๒๔๘๘ (๕)
พระราชบัญญัติกำหนดวิธีการระงับการค้ากำไรเกินสมควรจากราชการ พ.ศ. ๒๔๙๑ (๖)
พระราชบัญญัติจัดการฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๑ และ (๗)
พระราชบัญญัติการผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายดังกล่าวจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน
รวมทั้งลดอุปสรรคในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และยังเป็นการลดภาระต่อรัฐในเรื่องงบประมาณในการบังคับใช้กฎหมายและลดภาระต่อประชาชนผู้อยู่ภายใต้บังคับกฎหมาย
ตลอดจนเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับบทบัญญัติในมาตรา ๗๗
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
๒.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงมหาดไทยรับข้อเสนอของคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนที่ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติสำหรับรักษาช้างป่า
พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ และพระราชบัญญัติสำหรับรักษาช้างป่า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๓
ไปประกอบการพิจารณาในคราวเดียวกันด้วย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | การปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในที่หรือทางสาธารณะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร | นร15 | 02/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน
เรื่อง
การปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในที่หรือทางสาธารณะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ซึ่งความเห็นและข้อเสนอแนะเรื่องดังกล่าวเป็นผลการพิจารณาที่ได้ดำเนินการศึกษาภายใต้คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน
ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๑/๒๕๖๐
ซึ่งมีรายละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์และได้มีการปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้เสียอย่างครอบคลุมแล้ว
พร้อมนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองเสนอ ๒.
มอบหมายให้กรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานหลักรับความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนในเรื่องนี้ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ
เครืองาม) ที่ให้รับประเด็นการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ใต้ทางด่วน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดองรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรให้มีการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม ได้แก่
นโยบายการบริหารจัดการในที่หรือทางสาธารณะที่ชัดเจนที่เกี่ยวข้องกับผู้ค้าหาบเร่แผงลอยและผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ
ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมการขนส่งทางบก
ซึ่งพร้อมให้ความร่วมมือสนับสนุนตามที่กฎหมายให้อำนาจกรมการขนส่งทางบกในการควบคุมกำกับดูแล
และดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในที่หรือทางสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานคร
เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยหรือผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะสามารถใช้ที่หรือทางสาธารณะเป็นสถานที่ประกอบอาชีพ
และต้องคำนึงถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยของคนเดินเท้าและผู้ใช้ทางเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | ผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลของส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) | นร.01 | 19/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลของส่วนราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์
และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เช่น การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจัดงานเนื่องในวันสำคัญต่าง ๆ
และการตรวจราชการตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ เป็นต้น ๒. กรมประชาสัมพันธ์
เช่น
การเป็นศูนย์ข้อมูลต้นทางของประเทศในการบริหารจัดการศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
COVID-19 ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ การจัดทำเพจ Facebook ศูนยข้อมูลโควิด-๑๙
และการบริหารข้อมูลข่าวสารและแก้ไขข่าวปลอม (Fake News) เป็นต้น ๓. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
เช่น การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ โดยพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big
Data) ร่วมกับหน่วยงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่เกี่ยวข้อง
และการปฏิรูปกฎหมาย โดยรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) ประกาศต่าง ๆ
และการจัดทำแผนพัฒนากฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | ขอเสนอแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบของสำนักงาน ป.ย.ป. เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาความเหมาะสม | นร15 | 22/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.)
เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้แก่ประชาชน รวม ๒ แผนงาน/โครงการ ได้แก่
(๑) โครงการบัตรผู้พิการอิเล็กทรอนิกส์ และ (๒)
การปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในที่หรือทางสาธารณะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ตามที่สำนักงาน ป.ย.ป. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563) | นร.11 | 15/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา
๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๓)
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป ๑.
ความคืบหน้าของการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศได้ดำเนินการยกร่างแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง)
และมีการรับฟังความเห็นเพื่อประกอบการจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศด้านที่รับผิดชอบให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนแล้วในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน
๒๕๖๓ และจัดส่งให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ
เพื่อนำเสนอตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ซี่งที่ประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศได้เห็นชอบร่างแผนการปฏิรูปประเทศ
(ฉบับปรับปรุง) เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่
๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ โดยอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับจากวันที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติให้ความเห็นชอบ
และจึงนำเสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป ๒.
รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศในรอบเดือนกรกฎาคม-กันยายน
๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑)
กิจกรรมที่มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลในเชิงปฏิรูป โดยเป็นการสรุปประมวลผลการดำเนินงานตามเรื่องและประเด็นปฏิรูปของแผนการปฏิรูปประเทศทั้ง
๑๒ ด้าน เช่น ด้านการเมือง ด้านกระบวนการยุติธรรม และด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น และ (๒)
สถานะกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๓
มีกฎหมายแล้วเสร็จเพิ่มเติม ๒ ฉบับ ได้แก่ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการบูรณาการเพื่อพัฒนาความเสนอภาคและความเท่าเทียมทางสังคม พ.ศ. ๒๕๖๓
และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน
พ.ศ. ๒๕๖๓ ๓.
การดำเนินการระยะต่อไป
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่ระหว่างเตรียมการนำร่างแผนการปฏิรูปประเทศ
(ฉบับปรับปรุง) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ และรายงานต่อรัฐสภาเพื่อทราบก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และจะรายงานความคืบหน้าฯ ตามแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง)
โดยรายงานความก้าวหน้าของกิจกรรมปฏิรูปที่ส่งผลต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big
Rock) เปรียบเทียบกับเป้าหมายความสำเร็จที่กำหนดไว้ในแต่ละช่วงเวลาตั้งแต่มีการประกาศใช้จนถึงสิ้นสุดระยะเวลาของแผนการปฏิรูปประเทศ
รวมถึงรายงานผลความสำเร็จของแผนการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน โดยการประเมินสถานการณ์ปัจจุบันตามตัวชี้วัดของผลอันพึงประสงค์เปรียบเทียบกับค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน พ.ศ. .... | นร15 | 13/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน
มีหน้าที่และอำนาจในการให้ความเห็น
และข้อเสนอแนะแก่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง และหน่วยงานของรัฐ เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุง
แก้ไข
หรือยกเลิกกฎหมายหรือกฎที่มีผลใช้บังคับอยู่หรือการเสนอกฎหมายหรือกฎที่ต้องจัดทำขึ้นใหม่
ตลอดจนกำหนดให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองทำหน้าที่เป็นหน่วยงานธุรการให้แก่คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน
ตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดองเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดองรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ขณะนี้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๓ ด้าน อยู่ระหว่างการจัดทำปรับปรุงเพิ่มเติมแผนการปฏิรูปประเทศ
ซึ่งได้กำหนดให้มีการจัดลำดับความสำคัญของกฎหมายที่ต้องดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ
จึงเห็นควรให้คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนพิจารณาใช้ประกอบการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | ผลการประชุมด้านกลไกการปฏิรูปกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี | นร09 | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมด้านกลไกการปฏิรูปกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ในรูปแบบการอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เชิงลึกระหว่างรองนายกรัฐมนตรี กรรมการกฤษฎีกา กรรมการพัฒนากฎหมาย ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวม ๑๐ คน กับผู้บริหาร นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกลไกการปฏิรูปกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี แห่งสถาบันรัฐประศาสนศาสตร์แห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Institute of Public Administration : KIPA) สถาบันวิจัยกฎหมายแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Legislation Research Institute : KLRI) สำนักงานปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Reform Office : RRO) กระทรวงกฎหมายของรัฐบาล (Ministry of Government Legislation : MOLEG) และสำนักงานบริการวิจัยประจำสภานิติบัญญัติ (National Assembly Research Service : NARS) โดยมีหัวข้อการอภิปรายเกี่ยวข้องกับภาพรวมของระบบการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางกฎหมาย (Regulatory Impact Analysis : RIA) การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายและการตรวจสอบความถูกต้องของการวิเคราะห์ต้นทุนและประโยชน์ การปฏิรูปมาตรการทางกฎหมายเพื่อรองรับนวัตกรรมและนโยบายการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ ๔ ของสาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนการใช้เครื่องมือและแนวปฏิบัติในการรับฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำผลการประชุมดังกล่าวมาประยุกต์ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับปรุงโครงสร้างองค์กร และคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อรองรับการปฏิรูปกฎหมายของประเทศด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | การดำเนินโครงการปฏิรูปกฎหมายและบูรณาการแนวปฏิบัติที่ดีในการตรากฎหมายภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) | นร09 | 09/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการายงานผลการดำเนินโครงการปฏิรูปกฎหมายและบูรณาการแนวปฏิบัติที่ดีในการตรากฎหมายภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ Implementing Regulatory Reform and Mainstreaming Good Regulatory Practice ได้จัดการสัมมนาภายใต้โครงการความร่วมมือกับ OECD ในหัวข้อเกี่ยวกับการพัฒนาข้อปฏิบัติที่ดีในการตรากฎหมาย ในระหว่างเดือนเมษายน-กรกฎาคม ๒๕๖๒ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกรณีศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ระหว่างวันที่ ๒-๔ เมษายน ๒๕๖๒ โดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของ OECD ได้นำเสนอข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการออกกฎระเบียบที่ดีของ OECD และผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียและเยอรมนีได้นำเสนอประสบการณ์ของแต่ละประเทศในการดำเนินการเพื่อนำไปสู่ระบบการออกกฎระเบียบที่ดี ซึ่งไทยสามารถนำมาประกอบการดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป ๒. การประชุม 5th Meeting of Southeast Asia Regional Policy Network on Good Regulatory Practices (ASEAN-GRPN) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑-๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยเป็นการประชุมเครือข่ายหน่วยงานในอาเซียนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการปรับตัวของภาครัฐในการตรากฎหมายเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือของหน่วยงานของรัฐในการกำกับดูแลด้านต่าง ๆ ๓. การประชุมวิชาการระหว่างประเทศ เรื่อง หลักเกณฑ์ด้านกฎระเบียบที่ดีของ OECD ในยุคเทคโนโลยีแห่งความเปลี่ยนแปลง : จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ (Better Regulation Principles in the Age of Disruptive Technology : From Theory to Practice) ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยได้มีการถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางการปฏิรูปกระบวนการตรากฎหมายของต่างประเทศในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เพื่อเป็นองค์ความรู้ให้แก่หน่วยงานของรัฐในประเทศนำไปปรับใช้และพัฒนาการมีระบบการออกกฎระเบียบที่ดีต่อไป ๔. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับกลไกการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยเป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการที่ดีต่อเนื่องจากข้อ ๑ เน้นการฝึกปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัญหาและทางเลือกในการดำเนินการก่อนที่จะเสนอให้มีการตรากฎหมาย โดยผู้เชี่ยวชาญจาก OECD
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | รายงานการจัดการประชุมการปฏิรูปกฎหมายล้มละลายในเอเชีย ครั้งที่ 11 (Forum on Asian Insolvency Reform) | ยธ | 02/01/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการจัดการประชุมการปฏิรูปกฎหมายล้มละลายในเอเชีย ครั้งที่ ๑๑ (Forum on Asian Insolvency Reform) ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมกับสำนักงานศาลยุติธรรม กลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) และองค์การระหว่างประเทศผู้ประกอบวิชาชีพด้านล้มละลายและฟื้นฟูกิจการ (INSOL International) ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดการประชุมฯ ได้แก่ (๑) หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของไทยได้รับทราบถึงพัฒนาการที่สำคัญในรูปแบบและกระบวนการที่ส่งเสริมการล้มละลายที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการพิจารณาคดีและบังคับคดีล้มละลายข้ามชาติ บทบาทเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน การบริหารสินทรัพย์และหนี้เสีย การจัดตั้งเครือข่ายศาลล้มละลาย เพื่อประสานงานกระบวนการล้มละลายข้ามชาติ ความร่วมมือระหว่างบริษัทบริหารสินทรัพย์และศาลล้มละลายเพื่อพัฒนาตลาดทุนและตลาดสำหรับสินทรัพย์จากหนี้เสีย การพัฒนาบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการประนีประนอมหนี้ในศาลโดยสมัครใจ (๒) หน่วยงานของไทยได้มีโอกาสสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคลากร ผู้กำหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติ และนักกฎหมายจากประเทศและองค์การระหว่างประเทศในภูมิภาคและนานาชาติ และ (๓) เป็นการเผยแพร่บทบาทและศักยภาพของไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... | นร | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายกลางว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน โดยเฉพาะประเด็นร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่สมควรกำหนดบทกำหนดโทษ และควรกำหนดให้ชัดเจนว่าการดำเนินการลักษณะใดเป็นการดำเนินการที่มีมาตรฐานต่ำกว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ความชัดเจนของบทนิยาม ระยะเวลาในการออกกฎหมายลำดับรอง การกำหนดกรอบเวลาและขอบเขตในการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ความสอดคล้องระหว่างวิธีการรับฟังความคิดเห็นกับบริบทของนโยบายสาธารณะในแต่ละเรื่อง ความคุ้มค่าและประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับในการดำเนินการ ความจำเป็นในการกำหนดเรื่องการมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะเป็นพระราชบัญญัติ รวมทั้งการกำหนดให้คณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะต้องมีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามกรณีไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ในการเสนอเรื่องนี้ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการเสนอ เรื่อง การขอจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวง และ ก.พ.ร. แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 6/2561 | นร04 | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๑ โดยได้มีการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ๕ เรื่อง ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ดังนี้
๑. โครงการทบทวนใบอนุญาตของทางราชการ ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนที่ให้เร่งสร้างความเข้าใจกระบวนการในการทบทวนกฎหมายและกระบวนงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตทางราชการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป ๒. การพัฒนาระบบการสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไปให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอจะดำเนินการประชุมร่วมกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ ภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ เพื่อรายงานผลการดำเนินการต่อองค์กรกลางบริหารงานบุคคลและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีได้ภายในระยะเวลา ๒ เดือน (ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑) ๓. โครงการ National e-Library) ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานโดยมอบหมาบให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการรวบรวมข้อมูล (Metadata) และไฟล์ของสื่อเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์จากหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนขอสนับสนุนอุปกรณ์ ซอฟแวร์ และบุคลากร เพื่อใช้ในการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ขอให้ดำเนินการภายใน ๑ เดือน (ภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑) และวางเป้าหมายให้ดำเนินการทันวันเด็กในเดือนมกราคม ๒๕๖๒ ๔. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง พ.ศ. .... ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบในหลักการการเสนอร่างระเบียบฯ และมอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) รับความเห็นและข้อสังเกตที่ประชุม กขร. ในประเด็นจำนวนสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิของสภาพัฒนาตำบลกับสภาองค์กรชุมชน และการเปิดโอกาสให้มีการคัดเลือกโดยไม่ได้ระบุจำนวนสมาชิกไว้ ไปพิจารณาปรับปรุงและเร่งรัดเสนอร่างระเบียบฯ ตามขั้นตอนเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑-๒ เดือน ๕. โครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชนและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมชุมชน ที่ประชุม กขร. มีมติ เห็นชอบในหลักการโครงการฯ และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาในรายละเอียดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑-๒ เดือน (ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 5/2561 | นร04 | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๑ ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการธนาคารต้นไม้ กขร. มีมติมอบหมายสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เร่งดำเนินการจัดทำแนวทางการขับเคลื่อนโครงการธนาคารต้นไม้ให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ๒. การแก้ไขปัญหาหมอกควัน กขร. มีมติ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำข้อเสนอ “แม่แจ่มโมเดลพลัส” ของคณะอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเชิงพื้นที่ ไปพิจารณา โดยกำหนดระยะเวลาภายใน ๑ เดือน (ภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑) ๓. โครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ กขร. มีมติเห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการรับจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการ โดยให้หารือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อคำนวณความคุ้มค่าในการดำเนินโครงดังกล่าวว่า จะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการนำคดีขึ้นสู่ศาลได้เพียงใด ทั้งนี้ ให้พิจารณาแนวทางการจัดให้มีการบริการให้คำปรึกษาทางคดีผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๒ เดือน (ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑) ๔. ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย ๖ ประเด็น) กขร. มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ ของคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน ในเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และสามารถแก้ไขปรับปรุงได้โดยไม่กระทบกับบทบัญญัติอื่นใน ๖ เรื่อง คือ (๑) การเพิ่มช่องทางโฆษณาทางอื่นนอกจากทางหนังสือพิมพ์ (๒) การส่งเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (๓) อำนาจของรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมาย (๔) การประชุมกรรมการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (๕) การเรียกประชุมคณะกรรมการ และ (๖) การมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (e-proxy) ทั้งนี้ เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ เพื่อเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๕. โครงการโซลาร์ภาคประชาชน กขร. มีมติเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดทำโครงการโซลาร์ภาคประชาชนในส่วนที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ (ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อยกเลิกลักษณะต้องห้ามในการเป็นผู้เคยต้องคำพิพากษาของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลผู้เคยกระทำความผิดเหล่านี้สามารถเข้าสู่การประกอบอาชีพเป็นผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพได้ทันทีภายหลังพ้นโทษ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้คงลักษณะต้องห้ามของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการในสถานประกอบการตามมาตรา ๒๓ ข.(๒) แห่งพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๕๙ ไว้ และเห็นควรให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมซึ่งมีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมผู้กระทำผิด การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดและการพัฒนาพฤตินิสัยของผู้กระทำผิด ได้แก่ กรมราชทัณฑ์ หรือกรมคุมประพฤติ หรือกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน รับรองความประพฤติของบุคคลเหล่านั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. .... | กษ | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน โดยส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ของเกษตรกรตามศาสตร์พระราชาอันเป็นหัวใจสำคัญของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน เช่น การกำหนดให้ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนอาจดำเนินการโดยใช้มาตรการทางสิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมทั้งมาตรการทางสังคม เพื่อสนับสนุนมาตรการอื่น ๆ ต้องดำเนินการตามที่กำหนดในกฎหมายที่จัดเก็บภาษีในแต่ละเรื่องต่อไป โดยไม่สามารถกำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ และการกำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนขึ้น อาจมีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ เป็นต้น และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับนิยามคำว่า “เกษตรกรรม” ความหมายของ “กองทุน” และการกำหนดนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิบัติราชการกระทรวง นอกจากนี้ หากจะมีร่างพระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ ควรพิจารณาว่าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๕๔ ยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) โดยหากจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นหน่วยงานของรัฐแล้ว ควรพิจารณาด้วยว่าจะต้องยุบเลิกกองนโยบายและเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืนไปพร้อมกันด้วยหรือไม่ เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อน ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แล้วส่งผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่สมัชชาเกษตรกรรมยั่งยืนในระดับภูมิภาคหรือในระดับจังหวัดจัดทำข้อเสนอหรือแนวทางการพัฒนาที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะในระดับภูมิภาคหรือในระดับจังหวัด ควรดำเนินการให้มีการเชื่อมโยงในระดับพื้นที่ โดยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ นโยบายประเทศไทย ๔.๐ ภาคเกษตร และนโยบายการบริหารจัดการสินค้าเกษตรฯ รวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรต้องสื่อสารสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ในวงกว้าง เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนงานเกษตรกรรมยั่งยืนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... | นร04 | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองประชาชนจากสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยที่ไม่เป็นธรรม โดยกำหนดบทนิยามเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น กำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ซื้อฝากและผู้ขายฝาก กำหนดหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงานที่ดิน และกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับความสมบูรณ์ของสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยซึ่งได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการไถ่ไว้ ๑ ปี ตามร่างมาตรา ๑๐ ถือเป็นการคุ้มครองผู้ขายฝาก แต่กรณีที่ผู้ขายฝากใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินก่อนครบกำหนดระยะเวลาไถ่ ควรกำหนดรายละเอียดและวิธีการดำเนินการให้ชัดเจนด้วยว่าเพื่อปรับลดสินไถ่และดอกเบี้ยลงตามสัดส่วนระยะเวลาที่ไถ่ทรัพย์สิน เพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้ขายฝาก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง และกรอบระยะเวลาของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนเสนอ โดยให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การเสนอแผน กรอบสาระสำคัญ และระยะเวลาการจัดทำกฎหมายลำดับรอง] ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงแผนกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และจัดทำกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจของเกษตรกรและประชาชน ทั้งผู้ขายฝากและผู้ซื้อฝากในวงกว้างอย่างทั่วถึง มีการจัดทำคู่มือชี้แจงการทำสัญญาขายฝากให้ผู้ซื้อฝากและผู้ขายฝากทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย และมีการกำหนดมาตรการและเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อเสริมกับการใช้มาตรการทางกฎหมาย เช่น ธนาคารที่ดิน เป็นต้น เพื่อให้การตราร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเกิดผลสัมฤทธิ์มากขึ้น รวมทั้งควรมีกลไกในการติดตามผลการดำเนินงานและปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังจากกฎหมายบังคับใช้แล้ว เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|