ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 6 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 102 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
61 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ของวุฒิสภา พร้อมผลการพิจารณาตามข้อสังเกตดังกล่าวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ รัฐสภาควรให้ความสำคัญ จึงสมควรที่จะได้รับการพิจารณาบรรจุวาระโดยเร็วและมีการพิจารณาอย่างต่อเนื่องในการจัดทำเป็นกฎหมาย ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอนั้นเกี่ยวด้วยการเงิน ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้คำรับรองก่อนนั้น ในการพิจารณาให้คำรับรองให้นายกรัฐมนตรีคำนึงถึงความรวดเร็วและความสำคัญของร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ นอกจากนี้ หากมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของทั้งสองสภาเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน ควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน ควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมกระบวนการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ๒. เนื่องจากสภาพัฒนาการเมืองมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชน ดังนั้น รัฐบาลควรพิจารณาจัดให้มีมาตรการสนับสนุนการดำเนินการขององค์กรดังกล่าวในด้านต่าง ๆ อย่างเพียงพอและเหมาะสมกับภารกิจตามพระราชบัญญัตินี้ ๓. โดยที่ได้มีการกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหน่วยงานอีกหน่วยหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชน ในการดำเนินการจัดให้มีการรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นการสมควรที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะได้มีบทบาทเกี่ยวกับการให้ความรู้ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับกระบวนการการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการเสนอร่างกฎหมายและสาระสำคัญของร่างกฎหมาย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญและส่งเสริมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการการมีส่วนร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ๔. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายและหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่ในการช่วยเหลือจัดทำร่างกฎหมายให้แก่ประชาชน ซึ่งตามพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เป็นหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในการจัดทำร่างกฎหมายที่ประชาชนจะเสนอต่อประธานรัฐสภา ในการนี้ เพื่อให้ประชาชนทราบถึงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและสามารถขอรับความช่วยเหลือได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว สมควรที่หน่วยงานดังกล่าวจะได้มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่วิธีการในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนทั่วไป ๕. ในกรณีที่ร่างกฎหมายใดที่เสนอให้รัฐสภาพิจารณา ทั้งที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หากร่างกฎหมายนั้นมีสาระสำคัญกระทบซึ่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ สมควรที่จะได้มีการเปิดโอกาสหรือจัดให้ประชาชนหรือผู้ซึ่งได้รับผลกระทบได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะในร่างกฎหมายนั้น เพื่อนำไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
62 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ที่อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อปรับปรุงแก้ไขบัญชีค่าตอบแทนที่เป็นเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินค่าตอบแทนรายเดือนของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ โดยให้ใช้บัญชีแนบท้ายค่าตอบแทนดังกล่าวตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
63 | การทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2550 | อื่นๆ | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทบทวนกฎหมายที่ตราโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๒๕๕๐ ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอ ซึ่งได้จำแนกการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่ตราขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติออกเป็นกฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ (แก้ไขเนื้อหาของกฎหมาย) กฎหมายที่ควรให้ยกเลิก และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม (แต่อาจมีการพิจารณาทบทวนเพื่อแก้ไขภายหลัง) โดยแบ่งออกเป็น ๑.๑.๑ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒ ฉบับ ๑.๑.๒ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๕ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๓๗ ฉบับ ๑.๑.๓ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๙ ฉบับ กฎหมายที่ควรยกเลิก จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๗ ฉบับ ๑.๑.๔ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๑๔ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๙ ฉบับ ๑.๑.๕ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม ประกอบด้วย กฎหมายที่ควรปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ จำนวน ๒ ฉบับ และกฎหมายที่ควรให้คงไว้เช่นเดิม จำนวน ๒๐ ฉบับ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีความเห็นสอดคล้องกับการแก้ไขกฎหมายตามที่ คปก. เสนอ จำนวน ๘ ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการที่รักษาการตามกฎหมายพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้ ทั้งนี้ หากมีกฎหมายที่ไม่ใช่ในส่วนของฝ่ายบริหาร ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่วนราชการเห็นว่าควรที่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเร่งรัด ก็ให้สามารถนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
64 | รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ประจำปี พ.ศ. 2555 | นร | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (สำนักงาน คปก.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ คปก. ประกอบด้วย ประวัติความเป็นมา อำนาจหน้าที่ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาสตร์ ๒. ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานของ คปก. ประกอบด้วย นโยบาย เป้าหมาย แผนการปฏิรูปกฎหมาย (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘) และผลการดำเนินงานของ คปก. ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓. ส่วนที่ ๓ สำนักงาน คปก. ประกอบด้วย ผลการดำเนินงานของสำนักงาน คปก. ตามที่กฎหมายบัญญัติ ผลการดำเนินงานของสำนักงาน คปก. ตามยุทธศาสตร์ของ คปก. ประวัติและประสบการณ์ของเลขาธิการ คปก. รองเลขาธิการ คปก. (ฝ่ายบริหาร) และรองเลขาธิการ คปก. (ฝ่ายวิชาการ) และโครงสร้างสำนักงาน คปก. ๔. ส่วนที่ ๔ รายงานสถานะการเงินของสำนักงาน คปก. ๔.๑ งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ มีสินทรัพย์รวม ๕๑,๒๑๑,๑๘๖.๖๕ บาท หนี้สินรวม ๒,๔๔๙,๔๑๐.๙๑ บาท ทุนรวม ๔๘,๗๖๑,๗๗๕.๗๔ บาท ๔.๒ งบรายได้และค่าใช้จ่าย สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ มีรายได้รวม ๘๑,๒๕๘,๔๙๔.๗๖ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๖๔,๑๕๗,๘๐๗.๕๒ บาท กำไรสุทธิ ๑๗,๑๐๐,๖๘๗.๒๔ บาท ๕. ปัญหาอุปสรรคบางประการในการดำเนินการตามภารกิจของ คปก. ในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีจำนวนน้อยไม่เพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งบุคลากรที่มีอยู่มีความรู้ความสามารถแต่ยังด้อยประสบการณ์ การประชาสัมพันธ์จะต้องมีการพัฒนาแนวทางการดำเนินการทั้งรูปแบบ วิธีการ และเนื้อหาสาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่ควรเพิ่มหรือขยายฐานการประชาสัมพันธ์ควรจะเป็นสื่อมวลชนประเภทสื่อวิทยุโทรทัศน์ เนื่องจากสื่อประเภทนี้เป็นสื่อที่เข้าถึงกลุ่มประชาชนทุกระดับ แต่จะต้องใช้ทรัพยากรดำเนินการที่สูงมาก การเข้าถึงเครือข่ายภาคประชาชนซึ่งยังขาดความพร้อมทั้งในเรื่องของบุคลากร งบประมาณ และการวางแนวทางการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม และงบประมาณที่ได้รับอยู่ในจำนวนที่จำกัด ไม่เพียงพอต่อการดำเนินการ รากฐานของปัญหาจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยรัฐบาลและองค์กรกลาง เช่น สำนักงบประมาณที่ต้องให้ความสำคัญกับการดำเนินงานและภารกิจของการปฏิรูปกฎหมาย เพื่อให้การปฏิรูปกฎหมายสามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบ และสามารถสัมฤทธิ์ผลตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดทุกประการ |
|||||||||||||||||||||||||||
65 | บรรจุผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการ (กระทรวงยุติธรรม) (นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร) | ยธ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ซึ่งได้ออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ กลับเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นตำแหน่งประเภทเดิม ระดับเดิม และสายงานเดิมก่อนออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
66 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วาระเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2559" | สสป | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วาระเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบายการลดการติดเชื้อรายใหม่ โดยรัฐบาลควรดำเนินการในการจัดตั้งกองทุนด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ของประเทศ โดยการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอและเหมาะสมอย่างต่อเนื่องจากภายในประเทศ ส่งเสริมการนำเอานโยบายลดอันตรายจากการได้รับ/ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากการใช้ยาหรือสารเสพติดด้วยวิธีการฉีด (Harm Reduction) มาใช้จริง ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงและได้รับบริการการปรึกษาและตรวจเลือดโดยสมัครใจและเป็นความลับให้กับทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย และมีโครงการถุงยางอนามัยแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัยชาย พร้อมสารหล่อลื่น และถุงอนามัยสตรีให้ฟรีกับคนทุกกลุ่มอย่างเพียงพอ ๒. ด้านนโยบายการลดการเสียชีวิตด้วยอาการสัมพันธ์กับเอดส์ โดยรัฐบาลควรสนับสนุนยุทธศาสตร์การเข้าถึงยาถ้วนหน้าของประชากรไทย โดยมีการนำมาตรการบังคับใช้สิทธิในการนำเข้าหรือผลิตยาที่ติดสิทธิบัตร รวมทั้งมาตรการการควบคุมราคายาที่ขาย อีกทั้งการดำเนินการด้านข้อตกลงเขตการค้าเสรีต้องไม่ผูกพันประเทศเกินไปกว่าความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้า ค.ศ. ๑๙๙๔ ปรับปรุงแก้ไขนโยบายและระเบียบปฏิบัติไม่ให้เป็นอุปสรรคหรือขัดกับกฎหมายที่มีอยู่ และการพัฒนาระบบบริการดูแลรักษาสุขภาพที่มีมาตรฐานเดียว โดยมีการพัฒนามาตรฐานบริการทางการแพทย์ให้เป็นมาตรฐานเดียวและคุ้มครองสิทธิประชาชนในการได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ รวมทั้งมีการจัดบริการรักษาด้วยยาต้านไวรัสให้ครอบคลุมคนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย ตลอดจนการพัฒนาบริการสุขภาพที่ขยายให้ครอบคลุมคนที่ไม่ได้รับสิทธิในระบบหรือกองทุนสุขภาพระบบใด ๆ เช่น คนไร้สถานะ ๓. ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต และขจัดการตีตราการเลือกปฏิบัติด้านสุขภาพ โดยรัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการรณรงค์สังคมสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเคารพศักดิ์ศรีด้านความเป็นมนุษย์ และการรณรงค์เรื่องสิทธิทางเพศ สิทธิด้านเอดส์ในเชิงบวก รวมทั้งดำเนินการให้เกิดการปฏิรูปกฎหมาย นโยบายและระเบียบปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงและได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็นต่อการป้องกันการรับ-ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี และดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยที่สัมพันธ์กับเอดส์ รวมทั้งให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสุขภาวะและความมั่นคงในชีวิต
|
|||||||||||||||||||||||||||
67 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. กำหนดให้กรรมการปฏิรูปกฎหมายที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่เต็มเวลาซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาปฏิบัติงานเช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานของกรรมการปฏิรูปกฎหมายตามมาตรา ๔ ๒. กำหนดให้กรรมการซึ่งได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอยู่แล้วในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาปฏิบัติงานย้อนหลังไปนับตั้งแต่วันที่กรรมการผู้นั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
68 | รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ประจำปี พ.ศ. 2554 | อื่นๆ | 26/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ได้แก่ ๑.๑.๑ สำรวจ ศึกษา และวิเคราะห์ทางวิชาการ รวมตลอดทั้งวิจัยและสนับสนุนการวิจัย เพื่อประโยชน์ในการวางเป้าหมาย นโยบาย และจัดทำแผนโครงการและมาตรการต่าง ๆ ในการดำเนินการ โดย (คปก.) ได้ดำเนินการจัดให้มีโครงการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและรวบรวมประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันกฎหมายแต่ละด้าน จำนวน ๑๕ โครงการ ๑.๑.๒ ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ๑.๑.๓ เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแผนการให้มีกฎหมาย หรือการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย โดยพิจารณาภาพรวมของกฎหมายในเรื่องนั้นหรือกลุ่มกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่มีความสัมพันธ์กันในเรื่องนั้น ๑.๑.๔ เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประกอบการพิจารณา ๑.๑.๕ เสนอความเห็นและข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับหนึ่งฉบับใดที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามที่เห็นสมควร โดยอาจจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานและประชาชนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๑.๖ ให้คำปรึกษาและสนับสนุนการดำเนินการในการร่างกฎหมายของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ๑.๑.๗ ออกระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน การรักษาการแทนและการปฏิบัติการแทน การกำหนดอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนสวัสดิการหรือการสงเคราะห์อื่นแก่พนักงานและลูกจ้างของสำนักงาน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ๑.๑.๘ จัดทำรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว ๑.๑.๙ ปฏิบัติการอื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๓ หรือกฎหมายอื่นหรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ๑.๒ เป้าหมาย นโยบาย และแผนปฏิบัติการ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายได้วางแนวทางดำเนินการเพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ไว้ในเบื้องต้นทั้งสิ้น ๘ ด้าน และมีโครงการเพื่อสนับสนุนในแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านสวัสดิการสังคม ด้านความเสมอภาคระหว่างเพศ ด้านหลักประกันทางธุรกิจ ด้านการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน และด้านข่าวสารของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ๒. ให้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายศึกษา วิเคราะห์ กฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่าต้องมีการปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม หรือไม่ อย่างไร แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามมาตรา ๑๙ (๙) แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๓
|
|||||||||||||||||||||||||||
69 | รายงานการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี 2551 - 2552 | สม | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรายงานการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ พร้องทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลต้องปฏิรูประบบความยุติธรรมให้เป็นที่เชื่อมั่นของปวงชน ทั้งต้องผลักดันให้เกิดองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รวมถึงส่งเสริมการยุติธรรมสมานฉันท์ (Restorative Justice) และพัฒนาระบบยุติธรรมชุมชนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ๒. รัฐบาลควรประกาศยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หากยังมีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อสาธารณะ รวมถึงมีกลไกตรวจสอบการใช้อำนาจโดยมิชอบ ๓. รัฐควรดูแลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมหากเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดต้องมีการลงโทษเพื่อมิให้เกิดวัฒนธรรมการไม่ต้องรับโทษ จัดให้มีการเยียวยาโดยไม่เลือกปฏิบัติ รวดเร็ว และพอเพียง เร่งแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการสูญหายโดยถูกบังคับ ๔. รัฐบาลต้องให้ข้อมูลและให้ความร่วมมือแก่กลไกต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ในการพิสูจน์และสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ๕. รัฐบาลต้องทบทวนร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ๖. รัฐบาลต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ให้การคุ้มครองและให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชนและประชาชน และต้องดำเนินการให้เกิดการปฏิรูปสื่อตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างไม่ชักช้าโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ๗. รัฐบาลต้องทำให้สิทธิชุมชน ตามมาตรา ๖๖ และ ๖๗ ของรัฐธรรมนูญเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง เร่งแก้ไขปัญหาและเยียวยาแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ทบทวนการกำหนดเขตที่ดินและการขยายเขตการอนุรักษ์ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ตามมาตรา ๘๗ ของรัฐธรรมนูญ ๘. ในการกำหนดนโยบายการพัฒนา รัฐต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับวัฒนธรรมชุมชนบนพื้นฐานการเข้าถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นกับเศรษฐกิจการลงทุนและอุตสาหกรรม และควรทบทวนโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของคนในชุมชน ๙. รัฐบาลควรบังคับใช้กฎหมายปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง สำหรับแรงงานข้ามชาติ รัฐบาลควรดูแลแรงงานที่ขึ้นทะเบียนและเข้าสู่ระบบแล้วให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย เร่งรัดการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ และ ๙๘ (เสรีภาพในการรวมตัวเป็นสมาคม/สิทธิในการต่อรอง) ๑๐. รัฐบาลควรเร่งรัดการให้สัญชาติแก่บุคคลที่ไร้สถานะกลุ่มต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ รวมทั้งคืนสัญชาติให้แก่คนไทยพลัดถิ่นและให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ๑๑. ในการส่งตัวผู้หนีภัยการสู้รบกลับประเทศ รัฐบาลต้องเคารพหลักสิทธิมนุษยชนสากลเกี่ยวกับการไม่ส่งกลับ หากมีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตของผู้หนีภัย ๑๒. รัฐบาลจะต้องสนับสนุนการปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะที่ดินทำกิน การปฏิรูประบบภาษี การปฏิรูประบบความยุติธรรม ระบบการศึกษา ระบบสังคมสวัสดิการ และการปฏิรูปสื่อ ตลอดจนสนับสนุนการกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างจริงจัง
|
|||||||||||||||||||||||||||
70 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารงบประมาณรายจ่าย โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้แก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำในร่างมาตรา ๒๘ เป็น “งบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้ครอบคลุมถึงการตั้งงบประมาณรายจ่ายให้แก่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำ วรรคตอน และการจัดเรียงลำดับมาตราในร่างพระราชบัญญัติฯ ให้มีความถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้นตามแบบร่างกฎหมาย ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
71 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... | นร | 30/08/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้กรรมการได้รับเงินค่าตอบแทนเป็นรายเดือน เงินประจำตำแหน่ง หรือเงินค่าตอบแทนรายเดือนตามอัตราในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ ตั้งแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ๒. กำหนดให้กรรมการได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ๓. กำหนดหลักเกณฑ์ในการได้รับค่ารักษาพยาบาลหรือการประกันสุขภาพ ๔. กำหนดให้กรรมการปฏิรูปกฎหมายที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่าหนึ่งปีบริบูรณ์มีสิทธิได้รับบำเหน็จตอบแทนเป็นเงินซึ่งจ่ายครั้งเดียวเมื่อพ้นจากตำแหน่ง ๕. กำหนดให้ในกรณีที่กรรมการปฏิรูปกฎหมายที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุถึงแก่ความตาย ไม่ว่าผู้นั้นจะดำรงตำแหน่งครบหนึ่งปีบริบูรณ์หรือไม่ก็ตาม ให้จ่ายบำเหน็จตอบแทนเป็นเงินซึ่งจ่ายครั้งเดียวตามระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ให้แก่ทายาทโดยธรรมซึ่งเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ๖. กำหนดให้กรรมการปฏิรูปกฎหมายซึ่งได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอยู่แล้วในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นตามพระราชกฤษฎีกานี้นับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
72 | ความเห็นและข้อเสนอแนะ เรื่อง ข้อสังเกตบางประเด็นเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า - รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ กฟผ., ปตท., บ. การบินไทยฯ, บขส., กสท., บ. ที โอ ทีฯ, ปณท., อสมท., องค์การเภสัชฯ, บ. ไทยออยล์ฯ, บ. บางจากปิโตรเลียมฯ, บ. ไออาร์พีซีฯ, บ. เอสโซ่ฯ และ บ. เชลล์ฯ, บ. ทรูฯ, บ. ทีทีแอนด์ทีฯ, บ. แอ๊ดวานซ์ฯ, บ. การบินกรุงเทพฯ, ธ. กรุงเทพฯ, ธ. กสิกรไทยฯ, ธ. ไทยพาณิชย์ฯ, ธุรกิจการสื่อสารฯ, ธุรกิจการบิน, ธุรกิจพลังงาน | ยธ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะ เรื่อง ข้อสังเกตบางประเด็นเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า เพื่อพิจารณาประกอบการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ ดังนี้
๑. มาตรการทางกฎหมาย โดยสนับสนุนให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า ได้แก่ ๑.๑ การกำหนดขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า ๑.๒ พิจารณาทบทวนที่มาและองค์ประกอบของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ๑.๓ บทกำหนดโทษ ๒. มาตรการคู่ขนาน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ พิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายว่าด้วยธุรกิจพลังงานในลำดับต่อไป ๒.๒ พิจารณาสนับสนุนแนวทางการขับเคลื่อน เผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจสาขาพลังงานปิโตรเคมีซึ่งเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาดให้เชื่อมโยงกับประเด็นการปฏิรูปประเทศไทยคู่ขนานไปพร้อมกัน ๒.๓ พิจารณาแก้ไขกฎหมาย หรือกฎระเบียบราชการที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นกรรมการในบริษัทกึ่งรัฐวิสาหกิจที่ไม่ทำให้เกิดผลประโยชน์ขัดแย้งส่วนตัวหรือขององค์กรกับผลประโยชน์สาธารณะ |
|||||||||||||||||||||||||||
73 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... | ยธ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอ โดยค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เห็นควรกำหนดให้ได้รับในอัตราเดียวกับหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญ เช่น ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและคณะกรรมการการเลือกตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน โดยให้ประธานกรรมการได้รับค่าตอบแทนในอัตราไม่เกินเดือนละ ๖๔,๐๐๐ บาท รองประธานกรรมการและกรรมการที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาในอัตราไม่เกินเดือนละ ๖๒,๐๐๐ บาท สำหรับเงินประจำตำแหน่งให้เป็นไปตามร่างพระราชกฤษฎีกาที่เสนอ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และส่งร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรแก้ไขความในร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา ๕ วรรคแรก เป็นดังนี้ “มาตรา ๕ ให้คณะกรรมการได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจ่ายเงินให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง” ทั้งนี้ เพื่อให้การกำหนดค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับฐานะการคลังของประเทศ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแล้ว จำนวน ๔๒,๕๗๕,๑๐๐ บาท และให้สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
74 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... | สผ | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... ที่คณะ
กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .... แก้ไข เป็นเหตุผลของ ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
75 | แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2553 - 2557) | กค | 14/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2553-2557) มีสาระสำคัญ
เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาธุรกิจประกันภัยร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านการประกันภัย โดยมุ่งเน้น การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบประกันภัยไทย พัฒนาให้มีคุณภาพเทียบเท่ามาตรฐานสากล ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ โดยแผนพัฒนาการประกันภัยฯ ประกอบด้วย 4 มาตรการหลัก และ 18 มาตรการสำคัญ คือ 1. มาตรการที่ 1 : การเสริมสร้างความเชื่อมั่น ตระหนักถึงความสำคัญของการประกันภัยและการเข้า ถึงระบบประกันภัยของประชาชน 1.1 การเสริมสร้างความรู้ด้านประกันภัยให้กับประชาชน 1.2 การส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของประชาชนที่เปลี่ยน แปลงไปตามสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และเทคโนโลยีสารสนเทศ 1.3 การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและการให้บริการแบบครบวงจร 1.4 การกำหนดข้อพึงปฏิบัติในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย 1.5 การเสริมสร้างให้ระบบประกันภัยมีบทบาทในการรับผิดชอบต่อสังคมไทย (Corporate Social Responsibility : CSR) 2. มาตรการที่ 2 : การเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบประกันภัย 2.1 การเสริมสร้างความเข้มแข็งต่อระบบประกันภัย 2.2 การส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทประกันภัย 3. มาตรการที่ 3 : การเพิ่มมาตรฐานให้บริการและการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการ ประกันภัย 3.1 การปฏิรูปกฎหมายด้านการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ 3.2 การกำหนดมาตรฐานกรอบแนวทางปฏิบัติในการให้บริการด้านการประกันภัย 3.3 การพัฒนาคุณภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย 3.4 โครงการจัดตั้งกองทุนมหันตภัย 4. มาตรการที่ 4 : การส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
76 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 16 | พณ | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่
16 (APEC Ministers Responsible for Trade Meeting : APEC MRT) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 มิถุนายน 2553 ณ เมืองซับโปโร ประเทศญี่ปุ่น สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการเจรจารอบโดฮาและประเด็นเจรจาที่เป็นปัญหา และเห็นว่าในการ เจรจาควรมีความสมดุลและสนับสนุนกระบวนการหารือแบบเจรจาหลายเรื่องพร้อมกัน (horizontal process) และ ได้ออกแถลงการณ์ของรัฐมนตรีการค้าเอเปคเรื่องการเจรจารอบโดฮา และตกลงที่จะสนับสนุนข้อเรียกร้องไม่ให้ใช้ มาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนหรือมาตรการกระตุ้นการส่งออกที่ไม่สอดคล้องกับ WTO ต่อไปจนถึง ปี ค.ศ. 2011 2. ที่ประชุมพิจารณาความคืบหน้าในการเปิดเสรีการค้าการลงทุนตามเป้าหมายโบกอร์ในปี ค.ศ. 2010 ของสมาชิกพัฒนาแล้ว 5 เขตเศรษฐกิจ (แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ) รวมทั้งสมาชิกกำลัง พัฒนาที่อาสาเข้าร่วมประเมินผลในปีนี้อีก 8 เขตเศรษฐกิจ (ชิลี เปรู เม็กซิโก ฮ่องกง จีนไทเป เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย) โดยในส่วนของไทยเห็นว่าในการเปิดเสรีบางเรื่องยังมีปัญหาโดยเฉพาะเรื่องภาษีศุลกากรของสินค้า เกษตรที่ยังอยู่ในอัตราสูง และมาตรการที่มิใช่ภาษีที่มีการใช้เพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ 3. ที่ประชุมมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเจรจาเขตการค้าเสรีในเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) สรุปได้ว่า ปัจจุบันภูมิภาคนี้มีการรวมตัวใกล้ชิดกันมากขึ้น ผ่านการเจรจา FTA ของหลายประเทศ และการดำเนินการในเอเปคภายใต้เวทีสำคัญก็มีงานที่เกี่ยวกับ FTAAP อยู่แล้ว จึงน่าจะยังคง FTAAP ไว้เป็นเป้าหมายในระยะยาว (long-term goal) ของเอเปคต่อไป ซึ่งประเด็นดังกล่าวไทยไม่ขัดข้องต่อการคง FTAAP ไว้เป็นเป้าหมายในระยะยาว และเห็นว่าการเปิดเสรีการค้าการลงทุนต้องดำเนินการเรื่องการอำนวยความ สะดวกทางการค้า และการปฏิรูปกฎหมายควบคู่กันไป เพื่อให้การค้าการลงทุนระหว่างประเทศมีอุปสรรคน้อยลง โดยไทยได้ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่อง Supply Chain Connectivity ในเอเปค การพัฒนาด้านมาตรฐานและการ ตรวจสอบคุณภาพและการปฏิรูปกฎระเบียบภายในซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในระยะยาว 4. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอเรื่องกลยุทธ์การเจริญเติบโตใหม่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีหลักการคือ ความเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจต้องมีความสมดุล (balanced growth) ทั้งระหว่างและภายในเขตเศรษฐกิจสมาชิก มีความเท่า เทียมกัน (inclusive growth) ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ต้องเอื้อต่อสิ่งแวดล้อม (green growth) การเจริญเติบโต อย่างมีนวัตกรรม (innovative growth) โดยใช้วิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี และมีความมั่นคง (secure growth) ที่จะปก ป้องประชากร สังคมและเศรษฐกิจจากภัยพิบัติทั้งที่เกิดจากมนุษย์และธรรมชาติ โดยแผนปฏิบัติงานจะเน้นเรื่องที่ เอเปคสามารถเพิ่มคุณค่า (add value) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถ (capacity building) โดยในส่วนของไทยได้สนับสนุนในหลักการดังกล่าวแต่อยากให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนในแต่ละ หัวข้อโดยให้ความสำคัญกับภาคเกษตรมากกว่านี้ สำหรับเรื่องการเติบโตโดยมีนวัตกรรมควรมีความสมดุลระหว่าง การคุ้มครองสิทธิและการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการพัฒนาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
77 | ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ | ยธ | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกฎ
หมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติประกอบการพิจารณาร่างพระ ราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... ต่อไป สรุปได้ดังนี้ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเห็นว่าจำเป็นต้องตรากฎ หมายว่าด้วยการชุมนุมในที่สาธารณะเพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการควบคุม ดูแล และอำนวย ความสะดวกแก่ผู้ชุมนุม ทำหน้าที่จัดสรรการใช้พื้นที่สาธารณะ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการและเงื่อน ไขการยุติหรือสลายการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกำหนดขอบเขตการใช้เสรีภาพในการ ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธของประชาชนและการคุ้มครองสิทธิของประชาชนทั่วไปที่ถูกกระทบอันเนื่องมาจาก การชุมนุมดังกล่าวตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ครั้งที่ 1/2553 เมื่อ วันที่ 29 มกราคม 2553 ได้เห็นชอบในหลักการบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการพิจารณาร่าง กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมในที่สาธารณะ และในการประชุมครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ประชุม เห็นสมควรผลักดันให้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
78 | ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ | ยธ | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับร่างกฎหมายว่าด้วย แรงงานสัมพันธ์ เพื่อพิจารณาประกอบการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ดังนี้ 1.1 ควรพัฒนาหลักการแรงงานสัมพันธ์ให้เป็นรูปแบบใหม่ที่เป็นการยกระดับลูกจ้างและนายจ้าง ให้อยู่ในระดับเดียวกัน 1.2 ปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงานสัมพันธ์ฯ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและ การคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน พ.ศ. 2491 และอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวกันและการ ร่วมเจรจาต่อรอง พ.ศ. 2492 เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิการรวมตัวกันได้อย่างเสรีของนายจ้างและลูกจ้าง รวมทั้ง สิทธิในการก่อตั้งและเข้าร่วมสหพันธ์ระดับชาติและเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศด้านแรงงาน 1.3 ควรมีการพัฒนาระบบวิธีพิจารณาคดีแรงงาน เนื่องจากผลของคำพิพากษาในคดีแรงงานแตก ต่างไปจากคดีแพ่งทั่วไปซึ่งมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความเท่านั้น แต่ในคดีแรงงาน ผลแห่งคำพิพากษามีผลกระทบในวง กว้างถึงนายจ้างและลูกจ้างคนอื่นด้วย นอกจากนี้ ควรกำหนดให้มีระบบชั้นศาลในศาลแรงงานที่สูงกว่าศาลแรง งานในปัจจุบันเพื่อแบ่งเบาภาระของศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน รวมทั้งการกำหนดให้มีผู้พิพากษาที่มีความรู้ความ เชี่ยวชาญด้านคดีแรงงานมาประจำอยู่ในศาลแรงงาน เพื่อจะได้มีบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจบริบท หรือสภาพ ปัญหาด้านแรงงานมาเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดี 2. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณาใน การปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่วมกับหน่วยงานที่เสนอความเห็นต่อ ไป |
|||||||||||||||||||||||||||
79 | กรรมการปฏิรูปกฎหมายลาออก (ศาสตราจารย์กิตติคุณ อมรา พงศ์ศาพิชญ์) | นร | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมายรายงานว่า ศาสตราจารย์กิตติคุณ อัมรา
พงศ์ศาพิชญ์ ได้ลาออกจากคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2552 เนื่องจากได้รับการสรรหา เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำให้องค์ประกอบของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเหลือกรรมการทั้งหมด เพียง 9 คน ซึ่งกรรมการที่เหลืออยู่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมแต่อย่างใด
|
|||||||||||||||||||||||||||
80 | ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย | ยธ | 03/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ
ร่างกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย และส่งความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ฯ ให้ประธานรัฐ สภาในฐานะผู้รักษาการตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้ประกอบการพิจารณาต่อไป ดังนี้ 1. ควรกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย และการเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ชัด เจน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2. การใช้เอกสารในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของภาคประชาชน ควรกระทำได้โดยง่าย สะดวก และ รวดเร็ว โดยกำหนดให้ใช้เลขประจำตัวประชาชนสิบสามหลัก และแบบฟอร์มลงลายมือชื่อเป็นหลัก โดยอาจแนบ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนประกอบด้วยก็ได้ 3. เห็นด้วยกับการตัดช่องทางการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยการจัดการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ออก และควรที่จะใช้ประโยชน์จากองค์กรที่มีอยู่ให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด การเพิ่มช่องทางดังกล่าวจะเป็นการเพิ่ม ค่าใช้จ่ายแก่รัฐมากขึ้น 4. ควรกำหนดให้สำนักทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ตรวจสอบเรื่อง การทะเบียนราษฎรและตรวจสอบคุณสมบัติว่าเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีหน้าที่ตรวจสอบสิทธิในการเลือกตั้งว่าไม่ตกเป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการตรวจ สอบไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน 5. ควรกำหนดให้ประธานรัฐสภา จะต้องจัดส่งหนังสือยืนยันการเข้าชื่อเสนอกฎหมายไปยังประชาชน ที่มีรายชื่อเป็นผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายไปยังภูมิลำเนาหรือที่อยู่ปัจจุบันที่แจ้งไว้ในเอกสารแสดงความจำนงที่จะเข้า ชื่อเสนอกฎหมายในตอนต้นเพื่อให้ประชาชนสามารถที่จะคัดค้านการเข้าชื่อเสนอกฎหมายหากตนเองมิได้เป็นผู้ ร่วมในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 6. รัฐควรสนับสนุนข้อมูลความรู้และงบประมาณในการจัดทำร่างกฎหมายของภาคประชาชนและสนับ สนุนการประชาสัมพันธ์หรือเผยแพร่ร่างกฎหมายของประชาชน 7. ไม่ควรกำหนดบทลงโทษเนื่องจากเรื่องการเข้าชื่อเสนอกฎหมายเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทาง การเมืองของประชาชนโดยตรงเป็นการใช้สิทธิของประชาชนซึ่งต้องมีการแสดงเอกสารหลักฐาน |
.....