ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 121 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2401 - 2420 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2401 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 10/2553 | นร | 14/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ในการประชุมครั้งที่ 10/2553 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2553 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ รศก. เสนอ โดยในการประชุมดังกล่าวได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม 5 เรื่อง ได้แก่ 1.1 เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น 1.2 เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรูปแบบ PPPs รายงานการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง และความก้าวหน้าการดำเนินโครงการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน 1.3 เรื่อง มาตรการฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยวและการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ : การขอยกเลิกการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ 1.4 เรื่อง โครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ 1.5 เรื่อง แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศ พ.ศ. 2552-2556 2. เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) รับไปกำกับติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกำหนดราคาสินค้าต้นทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งแก่ผู้ประกอบการและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ 3. เรื่อง มาตรการฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยวและการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติปัญหาการเมืองภายในประเทศ : การขอยกเลิกการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ เห็นชอบการผ่อนผันการเรียกเก็บค่าใช้ไฟฟ้าขั้นต่ำแก่สถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่ไม่สามารถประกอบกิจการในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2553 และให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานรับไปพิจารณาในรายละเอียดเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2402 | แต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติม ในคณะกรรมการต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี | นร | 31/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการต่าง ๆ
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ 1. คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) 2. คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) 3. คณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) 4. คณะกรรมการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555
|
|||||||||||||||||||||||||||
2403 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 7/2553 | นร | 24/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||
2404 | การติดตามดูแลให้ความช่วยเหลือและสำรวจทัศนคติของผู้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง | นร | 16/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงซึ่งออกตามความในพระราช กำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อีก 3 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และ อุบลราชธานี 2. ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการรับฟังปัญหา เยียวยา ช่วยเหลือ และทำ ความเข้าใจกับประชาชน ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง 3. ให้กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านจิตใจผู้ได้รับผลกระทบโดย เฉพาะกิจกรรมที่ 6 การเฝ้าระวัง ให้คณะรัฐมนตรีทราบในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2405 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 เรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 เรื่อง แผน
ปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ดังนี้ 1. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานคณะทำงาน โดยมีรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ รวมทั้งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในรายละเอียดของประเด็น ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 2. ให้คณะทำงานฯ พิจารณาให้ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 การดำเนินโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดของพนักงาน ขสมก. 2.2 แนวทางการดำเนินการจัดหารถโดยสารที่จะต้องสอดคล้องกับการดำเนินการตามมาตรการลด ค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทางธรรมดา (รถเมล์ฟรี) จำนวน 800 คัน ซึ่งกำหนดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับความจำเป็นเหมาะสมให้คงมีมาตรการฯ อยู่ต่อไป รวมทั้งการปรับเข้าระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (PSO) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ 29 มิถุนายน 2553 (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน) 2.3 การเชื่อมโยงการดำเนินการที่จะให้เอกชนเข้าร่วมบริการเดินรถตามสัญญาการให้บริการเชิงคุณ ภาพ (PBC) จำนวน 1,000-1,200 คัน ซึ่งจะกระทบต่อรายได้/รายจ่าย รวมทั้งจะทำให้มีภาระผูกพันค่าใช้จ่ายของ ขสมก. ในระยะยาว 3. ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดและข้อมูลที่เกี่ยวข้องเชื่อม โยงกับประเด็นตามข้อ 2 ตลอดจนข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่คณะทำงานฯ ร้องขอ เช่น แผนการดำเนินการใน เรื่องต่าง ๆ ประมาณการรายได้/รายจ่าย เป็นต้น ให้แก่คณะทำงานฯ ให้ถูกต้องครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณา ของคณะทำงานฯ โดยเร็ว 4. เมื่อคณะทำงานฯ ได้รับรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว ให้คณะทำงานฯ เร่งพิจารณาเรื่อง นี้ให้แล้วเสร็จ และให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2406 | โครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในเขตดุสิตและเขตพระนคร | ทก | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ชะลอการดำเนินโครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในเขตดุสิตและเขตพระ
นครออกไปก่อน ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ด้านการเชื่อมโยงโครงข่ายกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ให้แก่กรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนัก งานตำรวจแห่งชาติ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น เพื่อให้ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) มีความมั่นคงและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2407 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ) | ศธ | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอรายงานผลการดำเนินการตามโครงการ
พัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 6 ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2553 สรุป ได้ดังนี้ 1. ผลการดำเนินงานถึงเดือนพฤษภาคม 2553 ได้ผลงานตามเป้าหมายในงวดที่ 33.1.1 อาคารชั้น ใต้ดิน และอาคารโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 2. งบประมาณที่ใช้จ่าย มีดังนี้ 2.1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างล่วงหน้าตามสัญญาจากเงินงบประมาณแผ่นดิน จำนวน 307,437,750.00 บาท และงานงวดที่ 1 จากเงินนอกงบประมาณ จำนวน 43,579,301.06 บาท 2.2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ใช้จ่ายจากงบประมาณ จำนวน 558,977,168.30 บาท จากเงิน งบประมาณแผ่นดิน จำนวน 159,210,350.00 บาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 399,766,818.30 บาท 2.3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 แผนการใช้จ่ายงบประมาณ จำนวน 488,669,229.26 บาท (เงิน งบประมาณแผ่นดิน จำนวน 300,103,100.00 บาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 188,566,129.26 บาท) ซึ่งผลการใช้งบประมาณเกินแผนที่ตั้งไว้รวมทั้งสิ้น จำนวน 536,956,396.02 บาท จากเงินงบประมาณ แผ่นดิน จำนวน 300,103,100.00 บาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 236,853,296.02 บาท เนื่องจาก งานก่อสร้างเร็วกว่าแผนงาน 113 วัน 2.4 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 แผนการใช้จ่ายงบประมาณ จำนวน 2,701,916,665.77 บาท (เงินงบประมาณ จำนวน 525,197,400 บาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 2,176,719,265.77 บาท) ซึ่งผลการใช้งบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 (ตุลาคม 2552-พฤษภาคม 2553) เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 500,266,013.11 บาท จากเงินงบประมาณ จำนวน 500,266,013.11 บาท 3. ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลยังไม่ได้รับการจัดสรร งบประมาณโครงการฯ ระยะที่ 2 จำนวน 1,727,727,000 บาท ซึ่งมีความจำเป็นในการขอรับการสนับสนุน ในเรื่องครุภัณฑ์การแพทย์ ครุภัณฑ์วิจัย และระบบสนับสนุนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของโครงการฯ ระยะที่ 2 เพื่อ เตรียมความพร้อมในการดำเนินงานและให้บริการในเดือนสิงหาคม 2554
|
|||||||||||||||||||||||||||
2408 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 1.2 เห็นชอบแนวทางการพิจารณาโครงการที่จะใช้วงเงินเหลือจ่ายจากพระราชกำหนดฯ 1.3 อนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ให้แก่โครงการที่ คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ สาขา เศรษฐกิจ และกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อรัฐสภาตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน 4,907.49 ล้าน บาท 1.4 เห็นชอบแนวทางดำเนินการสำหรับการขอยกเลิกโครงการที่ได้รับอนุมัติการจัดสรรเงินกู้ตาม พระราชกำหนดฯ ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้นำวงเงินโครงการที่ยกเลิก มารวมเป็นวงเงินเหลือจ่าย และให้หน่วยงานดังกล่าวเสนอโครงการใหม่ตามขั้นตอนการพิจารณาวงเงินเหลือจ่าย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2553 1.5 เห็นชอบการกำหนดกรอบระยะเวลาการเสนอโครงการเพิ่มเติม เพื่อขอใช้วงเงินเหลือจ่ายตาม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2553 โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเสนอโครง การพร้อมวงเงินต่อคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ภาย ในวันที่ 31 สิงหาคม 2553 และสำหรับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการอนุมัติวงเงินกู้จากคณะรัฐมนตรี หรือได้รับการจัดสรรเงินกู้จากสำนักงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินโครงการได้หรือประสงค์ที่จะขอยกเลิก โครงการ กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการแจ้งคณะกรรมการฯ เพื่อขอยกเลิกโครงการและคืนวง เงินรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ด้วย 1.6 อนุมัติขยายเวลาขอรับการจัดสรรเงินกู้ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวง ศึกษาธิการ ที่ยังไม่อาจขอรับการจัดสรรเงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จากสำนักงบประมาณ วง เงิน 1,543,324,500 ล้านบาท เป็นภายใน 30 กันยายน 2553 และเนื่องจากเป็นการจัดซื้อครุภัณฑ์จึงเห็นควร เร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 30 กันยายน 2554 หากสำนักงานฯ ไม่สามารถขอรับจัดสรรได้ ภายใน 30 กันยายน 2553 เห็นควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป 1.7 อนุมัติขยายเวลาการลงนามในสัญญาของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ โครง การในสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ได้รับการจัดสรรวงเงินจากสำนักงบประมาณ วงเงิน 705 ล้านบาท เป็นภาย ในวันที่ 30 กันยายน 2553 และขยายเวลาดำเนินโครงการเป็นภายใน 1 ปี นับจากวันลงนามในสัญญา หาก หน่วยงานไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ภายใน 30 กันยายน 2553 เห็นควรยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการ และนำมารวมเป็นวงเงินสำรองจ่ายต่อไป 1.8 อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดย ให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน รวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้ จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครง การ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะ ต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ 1.9 อนุมัติในหลักการให้กระทรวงสาธารณสุขใช้เงินบำรุงสมทบสำหรับรายการจัดซื้อจัดจ้างที่สูง กว่าวงเงินที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับอนุมัติ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณา รายละเอียดและความเหมาะสมของวงเงินประกอบการขอรับจัดสรรเงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 2. เห็นชอบให้แก้ไขชื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการพร้อมอุปกรณ์ที่ทัน สมัย ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาชายฝั่ง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ในหนังสือกระทรวงการคลังด่วนที่สุด ที่ กค 0907/ 15088 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2553 หน้า 5) ให้ถูกต้อง จากเดิม"กรมชลประทาน" เป็น "กรมประมง" ตามที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||
2409 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง | คค | 03/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ที่ให้ กทท. ทบทวนแผนดำเนินงานของโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบังให้มีความเหมาะสมของอัตราค่าภาระในการให้บริการและรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมทุนในโครงการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ภายใต้กรอบวงเงินสำหรับการศึกษาและออกแบบรายละเอียดของโครงการ จำนวน 39 ล้านบาท และให้นำเสนอโครงการให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน 2. ให้ กทท. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่ให้ กทท. พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้กรณีที่จะให้ภาคเอกชนเข้าร่วมพัฒนาโครงการฯ และความคุ้มค่าในการลงทุนให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติฯ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2410 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 6/2553 | นร | 28/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เสนอผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข้ง 2555 ครั้งที่ 6/2553 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553 โดยคณะกรรมการฯ ได้มีมติ ดังนี้ 1. ให้ฝ่ายเลขานุการจัดทำรายงานสรุปผลการติดตามการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง 2555 เสนอคณะกรรมการฯ พิจารณา เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยครอบคลุมใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.1 ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการ เช่น ความพร้อมของหน่วยงานดำเนินโครงการ เป็นต้น และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และการปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์ 1.2 ผลกระทบของการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ต่อเศรษฐกิจของประเทศ 1.3 ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจ กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เกิดผลประโยชน์คุ้มค่า และผล สัมฤทธิ์สูงสุด 2. ให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นำข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับตัวชี้วัดสำหรับ การประเมินผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ทั้งในระดับโครงการและระดับสาขาการลงทุน มีจำนวนค่อนข้างมากอาจก่อให้เกิดความสับสนได้ จึงควรกำหนดตัวชี้วัดที่มีจำนวนไม่มากจนเกินไป โดยอาจกำหนด ตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนผลลัพธ์ของการดำเนินงาน เช่น ตัวชี้วัดด้านรายได้ ตัวชี้วัดด้านคุณภาพชีวิต และตัวชี้วัด ด้านการจ้างงาน เป็นต้น เพื่อให้ตัวชี้วัดระดับผลลัพธ์สามารถเชื่อมโยงกันและเปรียบเทียบกันได้ระหว่างโครงการ ไป พิจาารณาปรับปรุงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2411 | โครงการจัดทำข้อเสนอประเทศไทยเพื่อผลักดันเป็นข้อกำหนดสหประชาชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง | ยธ | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบผล/ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจัดทำข้อเสนอประเทศไทยเพื่อผลักดันเป็นข้อกำหนด สหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (Enhancing Lives of Female Inmates-ELFI) ในพระดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ในเวที การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ 12 (Twelfth United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice-12th UN Congress) ที่เมืองซัลวาดอร์ ประเทศ บราซิล ระหว่างวันที่ 12-19 เมษายน 2553 และในการประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกัน อาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา (Commission on Crime Prevention and Criminal Justice-CCPCJ) สมัยที่ 19 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 17-21 พฤษภาคม 2553 ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ 2. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศให้การสนับสนุนกระทรวงยุติธรรมในฐานะเป็นหน่วยงานรับผิด ชอบหลักในการดำเนินโครงการ ELFI ในพระดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในส่วนของการใช้ช่องทางทางการทูตทั้งในกรอบทวิภาคี และในเวทีสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก รวมทั้งการ อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การผลักดันร่างข้อกำหนดสหประชาชาติสำหรับ การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (Draft United Nations rules for the treatment of women prisoners and non-custodial measures for women offenders) หรือ "The Bangkok Rules" ให้บรรลุผลสำเร็จในขั้นตอนสุดท้าย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ 3. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงยุติธรรมจัดทำแผนการจัดตั้ง "สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศ" (Thailand Institute for Justice-TIJ) ตามข้อเสนอประเทศไทยต่อสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง ในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (Enhancing Lives of Female Inmates-ELFI) ในพระดำริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิตติยาภา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติ ธรรมพิจารณาทบทวน บทบาทภารกิจของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่รับผิดชอบภารกิจด้านการฝึก อบรม ด้านการพัฒนาความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศประกอบด้วย เพื่อความเป็นเอกภาพไม่เกิดความซ้ำ ซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่เดิม ส่วนการพิจารณาจัดตั้งส่วนราชการต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง นโยบายการพัฒนาระบบราชการ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา อีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
2412 | กรอบแนวทางการกำหนดรูปแบบและกลไกการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ | พณ | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) รับไปจัดตั้งคณะทำงานเพื่อ
ดำเนินการจัดทำเป็นแนวปฏิบัติ (Operation Manual) เกี่ยวกับเรื่อง การดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรใน ทุกประเภทสินค้า เพื่อให้มีรูปแบบกลไกการปฏิบัติที่ชัดเจน เป็นระบบ และมีเอกภาพในภาพรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2413 | โครงการพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพจิต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2553 - 2559) | สธ | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้ดำเนินงานโครงการพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพจิต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2553-2559) ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 รวมทั้งขยายผลการดำเนินงานในสถานศึกษา ซึ่งมีความพร้อมและยินดีเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้านสุขภาพจิตและจิตเวช ให้มากขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้กรมสุขภาพจิตรับไปปรับปรุงกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมเฉพาะ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในด้านสุขภาพจิตในสังกัดกรมสุขภาพจิตและสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขตามหลักการ เดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของ กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นว่าการดำเนินโครงการฯ ควรเน้นการกระจายผู้รับทุนให้ครอบคลุม พื้นที่ที่ขาดแคลนอย่างทั่วถึง พร้อมทั้งมีการติดตามและประเมินผลโครงการฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อพิจารณาถึงผลกระทบ ต่อระบบสาธารณสุขของประเทศและต่อสุขภาพของประชาชนเพื่อให้การลงทุนของรัฐเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างแท้ จริง และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดมาตรการ ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดสรรทุนการศึกษา โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานความต้องการด้านสุขภาพจิตของแต่ละพื้นที่เป็นตัว กำหนด เพื่อให้มีการกระจายบุคลากรที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาของพื้นที่ รวมทั้งสร้างระบบจูงใจที่มีประสิทธิภาพ และสะท้อนถึงผลการปฏิบัติงาน พัฒนาระบบการบริหารจัดการบุคคลให้มีความก้าวหน้าในวิชาชีพ ตลอดจนปรับ ปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการทำงานเพื่อลดการสูญเสียบุคลากรด้านสุขภาพจิตในระบบ ไปดำเนินการด้วย 2. ส่วนงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการตามโครงการฯ วงเงิน 133,912,600 บาท ให้ใช้จ่ายจากงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของกรมสุขภาพจิตซึ่งได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้วจำนวน 15,672,400 บาท และค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2559 ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็น และเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
2414 | ขอขยายเวลาการดำเนินโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา | ศธ | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้ขยายเวลาในการดำเนินการจัดทำคุณลักษณะครุภัณฑ์เฉพาะการจัดซื้อและการขอรับ การจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณตามโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของสำนักงานคณะ กรรมการการอาชีวศึกษา ในส่วนของรายการที่มีความพร้อมในการขอรับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ ออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2553 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ 2. ในส่วนของรายการที่ยังไม่อาจขอรับการจัดสรรเงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จาก สำนักงบประมาณได้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) นำเอกสารขอรับการ จัดสรรเสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พิจารณา อีกครั้งหนึ่งเป็นกรณีเร่งด่วน ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2415 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 8/2553 | นร | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ในการประชุม
ครั้งที่ 8/2553 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ กรรมการและเลขานุการ รศก. เสนอ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ รศก. มีมติ ดังนี้ 1. รับทราบรายงานสถานการณ์การส่งเสริมการลงทุน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลง ทุน กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อสังเกตของ คณะกรรมการ รศก. เกี่ยวกับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างของไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศยังมี ปัญหาด้านสินเชื่อเนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินและต้นทุนของสินเชื่อสูงกว่าของต่างประเทศ ส่วนการวิเคราะห์การลงทุน ควรวิเคราะห์ในเชิงผลิตภาพการผลิตของแรงงาน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโน โลยี โดยในระยะยาวควรมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของแรงงานไทยและเทคโนโลยีที่พัฒนาผลิตภาพการผลิตของ อุตสาหกรรมไทย นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิต (Resource-Based Industry) เช่น อุตสาหกรรมอาหาร สินค้าเกษตร บริการ เทคโนโลยีชีวภาพ และยา เป็นต้น รวมทั้งควรเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ โดยเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ได้แก่ แพทย์ผู้เชี่ยว ชาญเฉพาะด้านที่ยังไม่มีเพียงพอ และการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน ไปพิจารณา ดำเนินการ พร้อมทั้งจัดทำสรุปภาวการณ์ลงทุนของนักลงทุนไทยในต่างประเทศ และรายงานคณะกรรมการ รศก. ในคราวต่อไป 2. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ และมอบ หมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการ รศก. ที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเร่งพิจารณา ปรับรูปแบบโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขน ส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2553 ให้เกิด ความชัดเจนในการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน และให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงการ ที่สนับสนุนยุทธศาสตร์การขนส่งเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐ กิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) และการลงทุนที่จะช่วยสนับสนุนการเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) เป็นต้น และความเห็นของฝ่ายเลขานุการที่ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการลงทุนสำคัญในสาขาขนส่งที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดำเนินการโครงการ แล้ว อาทิ โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงแหลมฉบัง-ศรีราชา-แหลมฉบัง โดยเร่งรัดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน เดือนมีนาคม 2 554 เพื่อเพิ่มความจุในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกให้สามารถรองรับปริมาณการขนส่งตู้สินค้า ทางรถไฟไปยังท่าเรือแหลมฉบังได้เพิ่มมากขึ้น โครงการลงทุนภายใต้แผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (เพิ่มเติม) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ที่มีความพร้อมและ สามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน 11 ราย ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทยติดตามเร่งรัด การดำเนินการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งรัดการปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศ ไทยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 เป็นต้น สำหรับการดำเนินโครงการลงทุนสำคัญ ที่อยู่ระหว่างการจัดเตรียมโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน ควรให้ความสำคัญกับ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่เริ่มโครงการเพื่อให้เกิดความยอมรับของประชาชนในพื้นที่ และดำเนิน การตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปประกอบการพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2416 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ในการดำเนินการจัดหาพัสดุของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทย เข้มแข็ง 2555 2. อนุมัติการขยายระยะเวลาในการลงนามในสัญญาและระยะเวลาการดำเนินโครงการของสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน 3,084.20 ล้านบาท โดยหน่วยงานจะต้องลง นามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2553 3. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดย ให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณา เพื่อขอจัดสรรเงินซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการ ใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครง การ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้วหน่วยงานจะ ต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ 4. รับทราบการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ ที่เป็นลักษณะแก้ไขข้อมูลคลาดเคลื่อน เช่น พิมพ์ ผิดตกหล่น ปรับปรุงชื่อพื้นที่ให้ถูกตามเขตปกครอง ที่สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติและรายงานคณะกรรม การกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ม 2555 ทราบแล้ว 5. รับทราบการอนุมัติปรับปรุงแผนการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||
2417 | การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2553/54 | พณ | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกรตามหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตร กรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2553/54 และดำเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตร กรผู้ปลูกพืชชนิดอื่นปี 2553/54 เช่นเดียวกับมันสำปะหลังด้วย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเสนอ 2. สำหรับการขึ้นทะเบียนเกษตรกร นั้น ให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนให้ครอบคลุมถึงเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและ ข้าวโพดด้วย โดยวิธีการและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงใน รายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2418 | โครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ | พน | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบโครงการระบบส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ ของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงินลงทุนรวม 21,160 ล้านบาท เพื่อให้สามารถรองรับการรับซื้อไฟฟ้าจากโรง ไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ ตามนโยบายของรัฐบาลในการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ลาว (สปป.ลาว) ภายใต้ MOU ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาล สปป.ลาว ตลอดจนเพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่ม ขึ้นในภาคเหนือ ช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้า โดยพลังงานไฟฟ้าส่วนที่เหลือจะส่งมายังพื้นที่ภาค กลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นศูนย์กลางความต้องการไฟฟ้าของประเทศ รวมทั้งเป็นการกระจายแหล่งและ ชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน (กฟผ.) รับ ความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานอัย การสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาบริหารความเสี่ยง ในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมิให้กระทบต่อความสำเร็จของโครงการฯ และเห็นควรดำเนินโครงการฯ อย่าง รัดกุมและรอบคอบ รวมทั้งจัดทำ IEE เพื่อใช้ประกอบการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม และไม่เป็น อุปสรรคต่อการดำเนินโครงการฯ หรือกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภาพรวม นอกจากนี้ ควรตรวจสอบ เกี่ยวกับการใช้สิทธิในที่ดินเพื่อก่อสร้างสายส่งและสถานีไฟฟ้าฝั่งไทยให้ชัดเจนด้วยว่า สามารถจะดำเนินการเพื่อให้ได้ สิทธิและสามารถก่อสร้างสายส่ง และสถานีไฟฟ้าได้เสร็จตามกำหนดเวลาในสัญญา รวมถึงวิธีการดำเนินการจ้างก่อ สร้างระบบสายส่งจะต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 2. เพื่อเป็นการส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย และ สปป.ลาว ในการดำเนินโครง การฯ หรือโครงการอื่นที่มีลักษณะเดียวกันสมควรจัดให้มีทุนการศึกษาให้แก่บุคลากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ พลังงานของ สปป.ลาว ด้วย โดยให้กระทรวงพลังงานรับเรื่องนี้ไปประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงาน ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาประเทศ) เพื่อดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2419 | ขออนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยปรับวงเงินค่าก่อสร้าง ค่างานตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) และค่าจ้างที่ปรึกษาในการดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมความปลอดภัยด้านการจราจรของทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษหมายเลข 37 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ตอนบางพลี - บางขุนเทียน ช่วงสุขสวัสดิ์ - บางขุนเทียน) | คค | 13/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ปรับวงเงินในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบเก็บค่า ผ่านทางและระบบควบคุมความปลอดภัยด้านการจราจรของทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษหมาย เลข 37 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครฯ ในส่วนของค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 2,865,748,021.76 บาท ค่างานตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ลดลงจากเดิมเป็น 130,000,000.00 บาท และค่าจ้างที่ปรึกษาเพิ่ม ขึ้นจากเดิมเป็น 44,056,527.00 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 3,039,804,548.76 บาท ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551 จำนวน 3,049,260,000.00 บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 2. ให้กระทรวงคมนาคม (กทพ. และกรมทางหลวง) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาหลักการในการกำหนดส่วนแบ่งรายได้ค่าธรรมเนียมค่าผ่านทางดังกล่าว ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงให้แก่ กทพ. ที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและความสามารถ ในการชำระหนี้ของ กทพ. ในช่วงดังกล่าว และควรให้ความสำคัญกับคุณภาพการให้บริการและประสิทธิภาพการใช้งาน ของระบบบัตรค่าผ่านทางแบบอัตโนมัติ (Easy pass) รวมทั้งการขยายช่องทางการตลาดทั้งในส่วนของระบบจำหน่าย บัตรและระบบการเติมเงิน ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพระบบสารสนเทศและเว็บไซต์ของ กทพ. เพื่อให้ประชาชนสามารถ เข้าถึงและสืบค้นข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2420 | ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ 2/2553 | นร | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ 2/2553 1.2 อนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 จำนวน 2,166.44 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กรอบวงเงินลงทุนโครงการเพิ่มขึ้นจาก 19,016.00 ล้านบาท เป็น 21,182.44 ล้านบาท 1.3 เห็นชอบในหลักการโครงการจัดทำแผนการใช้ที่ดินของรัฐและการจัดทำแผนแม่บทศูนย์ราชการ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของวงเงินงบประมาณ และให้กรมโยธาธิการและผังเมือง รวมทั้ง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณ เพื่อดำเนิน การเป็นรายปีตามความพร้อมในการดำเนินงานต่อไป 1.4 เพื่อให้การดำเนินการจัดทำแผนการใช้ที่ดินของรัฐและการจัดทำแผนแม่บทศูนย์ราชการเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นเอกลักษณ์ และลดภาระการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐ เห็นควรให้กรมโยธาธิ การและผังเมือง และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการ ดังนี้ 1.4.1 พิจารณากำหนดกลไกการมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และชุมชนในพื้นที่โดยรอบ เพื่อให้การดำเนินโครงการศูนย์ราชการฯ ในจังหวัดต่าง ๆ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วน และจังหวัดสามารถ กำกับการดำเนินงานตามแผนที่ตั้งไว้ได้ 1.4.2 พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการว่าจ้างเอกชนเพื่อดำเนินการโดยหน่วยงานภาค รัฐควรพิจารณาดำเนินงานด้านผังนโยบายเอง ได้แก่ งานวางแผนการใช้ที่ดินของรัฐ และงานจัดทำผังแม่บทศูนย์ ราชการ และในส่วนงานออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมอาจว่าจ้างเอกชน เพื่อลดระยะเวลาและลด ภาระการดำเนินงานของภาครัฐได้ 1.4.3 พิจารณาออกแบบและวางผังอาคารภายในศูนย์ราชการให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบ ทางสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เพื่อความเป็นเอกลักษณ์ของศูนย์ราชการในแต่ละแห่ง 2. ส่วนการขอขยายกรอบวงเงินงบประมาณลงทุนโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยตามความ ต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ นอกเหนือไปจากมาตรฐานการออกแบบของโครงการ ปรับแก้ไขแบบก่อสร้างพื้นที่ สำนักงานเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงานใหม่ที่ขอใช้พื้นที่แทนหน่วยงานที่ขอยกเลิก ปรับปรุงพื้นที่ส่วน กลาง และงานระบบประกอบอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งเป็นการดำเนินการไปก่อนล่วงหน้า และ ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง นั้น ค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินการดังกล่าวจะต้อง บริหารจัดการเงินรายได้ของ ธพส. ที่ได้รับจากหน่วยงานต่าง ๆ เป็นค่าเช่าเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวเอง
|
.....