ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 127 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2521 - 2540 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2521 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง โครงการ โขง - ชี - มูล และการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | สสป | 22/09/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "โครงการ โขง-ชี-มูล และการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุป ได้ดังนี้ 1. ควรยกเลิกระบบผันน้ำตามแผนโครงการโขง-ชี-มูลเดิม และให้กรมชลประทานซึ่งอยู่ระหว่างการ ศึกษา "โครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูล" จัดทำกรอบการพัฒนาแหล่งน้ำให้สอดคล้องกับสภาพภูมินิ เวศน์และวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเหมาะสมกับการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กแบบกระจายตัว เช่น สระน้ำในไร่นา บ่อกักเก็บน้ำชุมชน ฝายหินทิ้งเป็นระยะ ๆ ลดหลั่นกันไปจากสูงไปหาต่ำตามลักษณะของ แม่น้ำ และการฟื้นฟูแหล่งกักเก็บน้ำธรรมชาติ เช่น ลำห้วยกุดหลง ซึ่งมีมากกว่า 36,000 แห่ง 2. ควรกำหนดหลักการ "การพัฒนาแหล่งน้ำ" ให้ชัดเจนถึงเป้าหมายสำคัญที่ต้องมุ่งพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยให้ชุมชนเป็นผู้คิดและสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อกำหนดชีวิตของเขาเอง และให้ กรมชลประทานซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา "โครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูล" นำไปเป็นแนวทางในการ ปฏิบัติศึกษาความเหมาะสมของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3. จัดให้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากฝายและระบบชล ประทานที่ก่อสร้างแล้วเป็นรายฝายและให้ประชาชนมีส่วนร่วม 4. เร่งรัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังเนื่องจากการสร้างฝายและองค์ประกอบของฝาย โดยอาจนำแนว ทางการแก้ไขปัญหาที่ฝายระวะ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มาปรับใช้เป็นแนวทางที่เหมาะสมกับการแก้ไข ปัญหาของแต่ละพื้นที่ 5. จัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศน์ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการโขง-ชี-มูล โดยการมีส่วน ร่วมของชุมชนโดยเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าบุ่งทาม เพราะเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของชุมชน และสนับสนุน ให้ชุมชนจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูอาชีพ โดยรัฐร่วมสมทบเพื่อเป็นทุนเริ่มต้นในการฟื้นฟูการทำนา การปลูกพืช การ ประมง การเลี้ยงสัตว์ และอาชีพอื่นที่ผู้ได้รับผลกระทบร่วมกันกำหนด
|
|||||||||||||||||||||
2522 | การดำเนินโครงการการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2552/53 | พณ | 22/09/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2552 เกี่ยว
กับการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2552/53 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2552 /53 เพิ่มเติม โดยประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกหอมมะลิ (รวมข้าวเปลือกพันธุ์ กข. 15) ข้าวเปลือก หอมจังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ รวมทั้ง กำหนดปริมาณและราคาประกันรายได้เกษตรกรต่อครัวเรือน ณ ความชื้นไม่เกิน 15% ดังนี้ ข้าวเปลือกหอม มะลิ (รวม กข. 15) ราคาประกันรายได้ 15,300 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมจังหวัด ราคาประกันรายได้ 14,300 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันรายได้ 10,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี ราคาประกันรายได้ 10,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละ ไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันรายได้ 9,500 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน 2. เห็นชอบการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลโดยอิงกลไกตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า โดยให้ นำข้าวขาวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ที่คงเหลือทั้งหมดประมาณ 44,000 ตัน จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนา ปี 2551/52 และข้าวขาว 5% จำนวน 200,000 ตัน จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2551 ที่คง เหลือในสต็อกของรัฐบาลมาจำหน่าย และให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำวงเงินค่าขายข้าวสารทั้ง 2 โครง การ รวมทั้งเงินจ่ายขาดจากเงินงบกลางที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วมาเป็นหลักประกันการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดสิน ค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) หากวงเงินที่ได้รับอนุมัติไม่เพียงพอ ให้ อคส. เสนอขออนุมัติวงเงิน เพิ่มเติมจากคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้ขยายระยะเวลาการจำหน่ายข้าวสารดังกล่าว จาก เดิมสิ้นสุด "เดือนธันวาคม 2552" เป็นสิ้นสุด "เดือนมีนาคม 2553"
|
|||||||||||||||||||||
2523 | การขออนุมัติร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุและแก้ไขบันทึกความเข้าใจ โครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านการสาธารณสุข (มาลาเรีย) และผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฝ่ายไทย | กต | 15/09/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุและแก้ไขบันทึกความเข้าใจโครงการ
พระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านการสาธารณสุข (มาลาเรีย) และให้พลเอก วาภิรมย์ มนัสรังษี รองสมุหราชองครักษ์ เป็นผู้ลงนามต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการ ต่างประเทศและกรมราชองครักษ์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการต่ออายุบันทึกความเข้าใจ ฯ ครั้งนี้ ได้ขยายความช่วยเหลือให้ครอบคลุมถึงโรคอื่น ๆ ที่มียุงเป็นพาหะ อาจทำให้งบประมาณในการดำเนิน การเพิ่มมากขึ้น จึงควรกำหนดขอบเขตในเรื่องพื้นที่และระยะเวลาในการดำเนินงาน รวมทั้งชื่อโรคในพื้นที่ให้ชัด เจน เพื่อความสะดวกต่อการประมาณการค่าใช้จ่ายในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ส่วนงบประมาณที่ จะใช้ในการดำเนินโครงการ ฯ ช่วงขยายระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2552-30 กันยายน 2554 ให้เป็นไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
2524 | การดำเนินมาตรการข้าว ปี 2552/53 และเรื่อง การประกันราคาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2552/53 | พณ | 15/09/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์โครงการประกันราคา ข้าวเปลือกของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงิน 80 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายโครงการเพิ่มประสิทธิ ภาพการประกันราคาข้าวเปลือกของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ กรมการค้าภายใน วงเงิน 13 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวของกรมส่งเสริมการเกษตร วงเงิน 42.95 ล้าน บาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 135.95 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินการประกันราคข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2552/ 53 ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ส่วนค่า ใช้จ่ายสำหรับเป็นค่าชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาตลาดอ้างอิง และการกำหนดปริมาณรับประกัน ข้าวเปลือกจากเกษตรกร นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติเพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งต่อไป โดยให้คณะกรรมการ ฯ นำแนวทางการดำเนินโครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร ที่คณะกรรมการประสานการดำเนินโครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตรเสนอตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2552 (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานโครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร) และวันที่ 8 กันยา ยน 2552 (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร) ไปพิจารณา ดำเนินการด้วย 2. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้คำว่า "การประกันรายได้" แทน "การประกันราคา" เพื่อมิให้มีการตีความถ้อยคำและเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจนอาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ |
|||||||||||||||||||||
2525 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ครั้งที่ 2/2552 | นร | 15/09/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะ ที่ 2 ครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2552 และครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2552 2. มอบหมายให้สำนักงบประมาณรับผิดชอบในการพิจารณากลั่นกรองความซ้ำซ้อนของโครงการพื้นที่ ดำเนินการ และแหล่งเงินแต่ละโครงการเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินโครงการต่อไป 3. มอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นการใช้จ่ายเงิน ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เพื่อให้เกิดความชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมาย และความสอดคล้องกับรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 4. มอบหมายให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณากำหนดกระบวนการหรือกลไกในการ ตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน จากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. .... ให้เป็น ไปในลักษณะเดียวกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ 5. อนุมัติแต่งตั้งเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ เป็นกรรมการและเลขานุการ และกรรมการและผู้ช่วย เลขานุการคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ได้แก่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ (รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เป็นกรรมการและเลขานุ การ นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ (ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุ การ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ (รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ และนายดุสิต เขมะศักดิ์ชัย (ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนงบประมาณ สำนักงบประมาณ) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขา นุการ
|
|||||||||||||||||||||
2526 | แนวทางการดำเนินการในการเสนอเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายการหรือการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติของหน่วยงานต่างๆ | นร | 15/09/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเปลี่ยนแปลงรายการ หรือเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้แล้วทั้ง 25 รายการ ตามที่กระทรวงต่าง ๆ เสนอ โดยปรับลดวงเงินก่อหนี้ผูก พันข้ามปีตามผลการพิจารณาความเหมาะสมของสำนักงบประมาณ ในวงเงินงบประมาณรวม 10,277.83 ล้านบาท 1.2 ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการเร่งรัดการลงนามในสัญญาและกำกับติดตามเร่งรัด การดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกรอบเวลาและวงเงินงบประมาณที่กำหนดต่อไปด้วย 2. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเสนอขอตั้งงบประมาณสำหรับรายการ ที่ต้องก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องต้องสำรวจข้อมูล ข้อเท็จจริง และกำหนดแบบรูปราย การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีดังกล่าวให้ถูกต้อง เหมาะสม ครบถ้วนเพื่อมิให้เกิดปัญหาการขอเปลี่ยนแปลงรายการในภาย หลัง ซึ่งทำให้เกิดภาระผูกพันงบประมาณในรายการนั้น ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมาก ไปประสานกับส่วนราช การที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในโอกาสต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2527 | รายงานผลการดำเนินโครงการทดลองศึกษาปรับเปลี่ยนค่าผ่านทางบนทางหลวงสัมปทาน ตอน ดินแดง - ดอนเมือง | คค | 08/09/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
21 ธันวาคม 2547 เกี่ยวกับสรุปผลการทดลองศึกษาปรับเปลี่ยนค่าผ่านทางบนทางหลวงสัมปทาน ตอน ดิน แดง-ดอนเมือง ของกรมทางหลวง สรุปได้ดังนี้ ผลการทดลองปรับค่าผ่านทางในช่วงระยะ 90 วัน (ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2547 ถึงวันที่ 21 มีนาคม 2548) บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ได้ทำการจัดเก็บค่า ผ่านทางในอัตรา 20 บาทต่อคันตลอดสายสำหรับ 4 ล้อ และในอัตราเกิน 50 บาทต่อคันตลอดสายสำหรับ รถที่มีขนาดเกิน 4 ล้อ และจากการตรวจสอบผลการดำเนินโครงการ ฯ พบว่า บริษัท ทางยกระดับ ฯ มีรายได้ 258,745,192 บาท เฉลี่ย 2.87 ล้านบาทต่อวัน เท่ากับรายได้ลดลงรวม 297,000,000 บาท - 258,745,192 บาท = 38,254,808 บาท ซึ่งรัฐต้องจ่ายชดเชยให้แก่บริษัท ทางยกระดับ ฯ ในวงเงิน 30,603,845 บาท ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้มีหนังสือขอให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ดำเนินการในส่วนที่รัฐต้องชดเชยค่าผ่านทาง จำนวนดังกล่าวให้กับบริษัท ทางยกระดับ ฯ และที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2552 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 30,603,845 บาท และให้กรมทางหลวงเบิกจ่ายเงินให้แก่บริษัท ทางยกระดับ ฯ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2528 | รายงานผลการตรวจติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัด การชี้แจงนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล และแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี พ.ศ. 2552/2553 ณ จังหวัดระยอง และจังหวัดชลบุรี | นร | 08/09/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการตรวจติดตามมาตร
การกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัด การชี้แจงนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล และแนวทางการรักษา เสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี พ.ศ. 2552/2553 ณ จังหวัดระยอง และจังหวัดชลบุรี สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการตรวจติดตาม 1.1 การพัฒนาอุตสาหกรรม การลงทุนในอุตสาหกรรม ปี พ.ศ. 2552 ของจังหวัดระยอง คาดว่าจะมี แนวโน้มลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม พบว่ามูลค่าการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.44 ในครึ่งปีแรก แต่แนวโน้มการลงทุนด้านอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลังต่อเนื่องไปจนถึงปี พ.ศ. 2553 อาจ ชะลอตัวลง เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น การประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่นิคมอุตสาห กรรมมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง และการประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่ให้มีการชะลอการลงทุน 1.2 การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมาจังหวัด ระยองมีรายได้จากการท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2550 รวมทั้งสิ้น 13,113.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2549 ส่วน สถานการณ์การท่องเที่ยว ปี พ.ศ. 2552 คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากนัก 1.3 การเกษตรกรรม จังหวัดระยองได้รับอนุมัติงบประมาณ ฯ โครงการบริหารจัดการผลไม้ภาคตะวัน ออก ปี พ.ศ. 2552 วงเงินงบประมาณ 36.75 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการกระจายผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต และจัดการผลผลิต วงเงิน 6.5 ล้านบาท (เงินจ่ายขาด) โครงการกระจายผลไม้ออกนอกแหล่งผลิตและจัดการผล ผลิต วงเงิน 30 ล้านบาท (เงินทุนหมุนเวียน) และศูนย์ประสานและบริหารจัดการโครงการร่วมกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง วงเงิน 2.5 ล้านบาท 1.4 การดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 ผลการดำเนินโครงการ ฯ ของจังหวัดระยอง มีเกษตรกรปลูกมันสำปะหลังเข้าร่วมโครงการ ฯ จำนวน 576 ราย ปริมาณมันสำปะหลังที่รับ จำนำ 5,834,581 ตัน มีผู้ประกอบการลานมันที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ ฯ รวม 3 ราย และประกอบการ โรงงานแป้งมันเข้าร่วมโครงการ ฯ 2 ราย ส่วนผลการดำเนินโครงการ ฯ ของจังหวัดชลบุรี มีเกษตรกรปลูกมันสำปะ หลังเข้าร่วมโครงการ ฯ จำนวน 1,792 ราย ปริมาณมันสำปะหลังที่รับจำนำ 32,929.725 ตัน ผู้ประกอบการลาน มัน ฯ ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ ฯ รวม 2 ราย 2. การชี้แจงนโยบาย ฯ และข้อสั่งการ ได้ชี้แจงให้ทุกภาคส่วนเข้าใจถึงนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไข ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเน้นให้ประชาชนเข้าใจถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบ การภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ การพัฒนาการท่องเที่ยว และเกษตรกรรม รวมทั้งแนวทางใหม่ในการรักษาเสถียร ภาพราคามันสำปะหลัง ปี 2552/53
|
|||||||||||||||||||||
2529 | โครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ ปี 2552 | รง | 25/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการโครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ แก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ ปี 2552 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการมีอาชีพแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ และ กลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2552 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ถูกเลิกจ้าง ผู้ว่างงาน ผู้ประสบความเดือดร้อนด้านอาชีพจากวิกฤตเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ ในหมู่บ้าน/ชุมชน จำนวน 72,000 คน พื้นที่ดำเนินการ 75 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร กิจกรรมหลัก ได้แก่ การ จ้างงานเร่งด่วน การฝึกอาชีพและพัฒนาทักษะฝีมือ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้กระทรวงแรงงานเชื่อมโยง กิจกรรมด้านการฝึกอาชีพและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจเข้ากับโครงการเพิ่มศักย ภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน (โครงการต้นกล้าอาชีพ) ตามความเห็นของสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาด ไทยที่ให้มีการดำเนินโครงการ ฯ ครอบคลุมในทุกจังหวัดอย่างเหมาะสม รวมถึงกำหนดมาตรการตรวจสอบคุณสมบัติ ของผู้เข้าร่วมโครงการอย่างรอบคอบ และควรระดมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสิน ใจเพื่อให้การดำเนินการสอดคล้องเหมาะสมกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2530 | การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ | คค | 11/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ โดยการรถไฟฟ้า ขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินโครงการ ฯ ในส่วนของการประกวดราคางานโยธา ได้แก่ งานสัญญา ที่ 1 งานก่อสร้างโครงสร้างยกระดับ (ส่วนตะวันออก) งานสัญญาที่ 2 งานก่อสร้างโครงสร้างยกระดับ (ส่วนตะวัน ตก) และงานสัญญาที่ 3 งานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอด ส่วนงานสัญญาที่ 6 งานระบบราง ยังไม่ได้ ดำเนินการประกวดราคาเนื่องจากอยู่ระหว่างการอนุมัติเงินกู้จากองค์กรเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. เร่งรัดดำเนินงานตามโครงการ ฯ โดย วางแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพื่อผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ฯ และให้ การใช้จ่ายเงินกู้ที่มี Commitment Chargs ร้อยละ 0.1 ของวงเงินที่ไม่ได้เบิกจ่าย ซึ่งรัฐเป็นผู้รับภาระการชำระหนี้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้รายงานความคืบหน้าของโครงการ ฯ ตามแผนดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบ เป็นรายไตรมาสต่อไป ตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 2. รับทราบการปรับกรอบวงเงินค่าโยธาของสัญญาที่ 6 (งานระบบราง) จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มี มติอนุมัติไว้เมื่อที่ 17 มิถุนายน 2551 จำนวน 4,077 ล้านบาท เป็น 3,638 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับไปตรวจสอบ ติด ตามและกำกับดูแลการดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกต้องและอยู่ในกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาสำหรับโครงการ ฯ จำนวน 36,055 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2517 ดังกล่าว และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. พิจารณารายละเอียดการปรับลดกรอบวงเงินดังกล่าวอย่างรอบคอบเพื่อให้การก่อสร้างงานโยธาของ โครงการ ฯ สามารถดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินลงทุนที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อ ไป ตามความเห็นของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2531 | หลักเกณฑ์ วิธีดำเนินการโครงการประกันราคามันสำปะหลัง ปี 2552/53 | นร | 11/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ประธานกรรมการนโยบายมันสำ
ปะหลังเสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินโครงการประกันราคามันสำปะหลัง ปี 2552/53 ตามมติคณะ กรรมการนโยบายมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2552 และวันที่ 4 สิงหาคม 2552 2. เห็นชอบการหารือระหว่างประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2552 ซึ่งเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินโครงการ ฯ 3. เห็นชอบมติคณะอนุกรรมการกำหนดราคาตลาดอ้างอิงมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ซึ่งมีมติกำหนดระยะเวลาประกาศราคาตลาดอ้างอิง และกำหนดเกณฑ์/การคำนวณราคาตลาดอ้างอิงโดยคำนึงถึง ความเหมาะสมและสอดคล้องกับการตลาด เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาให้เกษตร กร 4. เห็นชอบงบประมาณดำเนินการเบื้องต้นเพื่อใช้จ่ายชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาตลาด อ้างอิง วงเงินเบื้องต้น 10,692 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินการฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายมันสำปะ หลัง และคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 10 ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
2532 | การดำเนินโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร | มท | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินงานตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าในพื้นที่ทำกินทาง การเกษตร ในวงเงิน 1,655 ล้านบาท (โดยใช้เงินกู้ในประเทศ 1,240 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. 415 ล้านบาท) เพื่อขยายเขตจำหน่ายไฟฟ้าให้กับพื้นที่ทำกินทางการเกษตรของเกษตรกร จำนวน 30,000 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 293,547 ไร่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ 2. ให้ กฟภ. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ที่ให้ กฟภ. รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการ และประเมินผลสำเร็จของโครงการต่อ หน่วยงานเจ้าสังกัด กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อกำกับดูแลการขยายไฟฟ้าให้ พื้นที่ทำกินทางการเกษตรเป็นไปอย่างทั่วถึง และเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาอนุมัติโครงการที่มีลักษณะเป็น โครงการนโยบายเชิงสังคมให้มีความเหมาะสมต่อไป และให้พิจารณาหลักเกณฑ์การคัดเลือกครัวเรือนที่จะเข้าร่วม โครงการอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่เดือดร้อนจากการไม่มีไฟฟ้าใช้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของโครงการ รวมไปถึงการเพิ่มคุณภาพไฟฟ้าในพื้นที่ชนบทเพื่อหลีกเลี่ยง ความเสียหายของผลิตผลทางการเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2533 | การติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (Stimulus Package 2 : SP2) | กค | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการเพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งมี รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ ให้ทำหน้าที่ ติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (Stimulus Package 2 : SP2) อีกหน้าที่หนึ่ง ตามที่ กระทรวงการคลังเสนอ 2. รับทราบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการ ติดตามการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายลงทุนของโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 มีคณะ กรรมการที่ดำเนินการในเรื่องนี้ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนิน โครงการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ซึ่งมีนายพนัส สิมะเสถียร เป็นประธาน ดังนั้น ในขั้นการดำเนินงาน ของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ควรมีการประสาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และกำหนดบทบาทให้สนับสนุนการทำงาน ระหว่างคณะกรรมการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการดังกล่าว มีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมถึงการติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการในขั้นตอนต่าง ๆ และความถูกต้องโปร่งใสของ การดำเนินโครงการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2534 | ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างร้ายแรงตามมาตรา 67 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | นร | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุม
ร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 1 และคณะที่ 5)) เสนอผลการพิจารณาประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย เรื่อง การดำเนิน โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างร้ายแรงตามมาตรา 67 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย สรุปได้ดังนี้ 1. การดำเนินการตามมาตรา 67 หากกรณีใดที่มีกฎหมายกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการไว้แล้ว ก็ให้ดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติ ส่วนกรณีใดที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้เพราะยังไม่มีกฎหมายกำหนดรายละ เอียดในการดำเนินการ ก็ต้องรอจนกว่าจะมีกฎหมายจึงจะดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญต่อไปได้ 2. ในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมาย หน่วยงานอนุญาตที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ดุลพินิจ ประกาศให้รู้ทั่วไปว่า โครงการหรือกิจกรรมใดบ้างที่เห็นว่ามีผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรงตามมาตรา 67 ของ รัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวเป็นเพียงเพื่อประโยชน์ในการบริหารและอำนวยความสะดวกต่อประชาชน โดยไม่ มีผลเป็นเด็ดขาด ผู้ที่เกี่ยวข้องยังสามารถโต้แย้งได้ ซึ่งหากแต่ละหน่วยงานกำหนดหลักเกณฑ์เป็นเอกเทศ ก็อาจก่อ ให้เกิดความสับสนแก่ประชาชนผู้ประสงค์จะประกอบกิจการต่าง ๆ ได้ จึงสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะกำหนดให้หน่วย งานอนุญาตที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดให้เป็นแนวทางและมาตรฐานเดียวกัน 3. ในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายกำหนดรายละเอียดการจัดตั้งองค์การอิสระ หน่วยงานอนุญาตสามารถ ออกใบอนุญาตให้แก่โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนได้ หากโครงการหรือกิจกรรมนั้นได้มี การศึกษาและประเมินผลต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และได้จัดให้มีกระบวนการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันกำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||
2535 | ขออนุมัติปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ | กก | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดที่ธนาคารพัฒนาวิสาห กิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) จะรับคำขอสินเชื่อภายในวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 ออกไป จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2553 ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ 2. เห็นชอบให้ธนาคารออมสินเข้ามามีส่วนร่วมในการปล่อยสินเชื่อโดยให้หารือร่วมกันเพื่อพิจารณาวง เงินที่เหมาะสม และให้ ธพว. เป็นหน่วยบริหารเงินชดเชยภายใต้โครงการ ฯ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอ 3. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการพิจารณาให้สินเชื่อ ดังนี้ ให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ต้อง การขอสินเชื่อยื่นเอกสารต่อคณะทำงานกลั่นกรองรายสาขากลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ได้แก่ สมาคมโรงแรมไทย สมาคม ภัตตาคารไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณากลั่น กรองรายละเอียดและคุณสมบัติของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวก่อนเสนอ ธพว. หรือธนาคารออมสินเพื่อดำเนิน การต่อไป โดยเมื่อสมาคม ฯ หรือสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้ว ให้จัดส่งให้ ธพว. หรือ ธนาคารออมสินตามความประสงค์ของลูกค้า ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ 4. มอบให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมในการลดหย่อนผ่อนปรนหลัก เกณฑ์และเงื่อนไขต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวโดยเฉพาะผู้ประกอบการท่องเที่ยว ขนาดกลางและขนาดย่อมให้เกิดความรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้นร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้ง หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องโดยด่วน แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่ไม่เห็น ด้วยในการที่ให้รัฐบาลเป็นผู้รับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อ เนื่องจากหากมีความเสี่ยงหรือความเสียหาย เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ฯ จนส่งผลกระทบกับเงินกองทุนของธนาคาร กระทรวงการคลังก็จะพิจารณาเพิ่ม ทุนให้ตามความเหมาะสมและจำเป็นอยู่แล้ว รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีการพิจารณาผ่อนปรนและลดหย่อนหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้กับผู้ ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการอย่างรอบคอบและให้มีความเหมาะสมเพื่อมิ ให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และลดภาระงบประมาณของภาครัฐในอนาคต ส่วนการกำหนดให้ผู้ประกอบ การธุรกิจท่องเที่ยวสามารถยื่นคำขอสินเชื่อโดยตรงต่อสถาบันการเงิน นั้น ในชั้นนี้เห็นควรปฏิบัติให้เป็นไปตาม แนวทางที่คณะรัฐมนตรีมีมติไว้เดิม แต่หากสถาบันการเงินเห็นว่ามีความจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากสมาคมท่อง เที่ยวในการกลั่นกรองรายละเอียดและคุณสมบัติของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ก็สามารถกำหนดขั้นตอนการ ดำเนินงานเพิ่มเติมได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการออก ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนธุรกรรมตามนโยบายพิเศษของรัฐของสถาบันการเงินเฉพาะ กิจ พ.ศ. .... เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการช่วยผ่อนปรนการปล่อยสินเชื่อให้มีความสะดวกรวดเร็วในการเบิกจ่ายมาก ขึ้นและช่วยสร้างความเชื่อมั่นจากภาวะความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการปล่อยสินเชื่อเนื่องจากรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระ เมื่อเกิดความเสียหายและเพิ่มทุนให้เพียงพอสำหรับการปล่อยกู้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2536 | ค่าตอบแทนคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 | นร | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีติอนุมัติให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะ
ที่ 2 และคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเสนอ ได้รับค่าตอบแทนแทนการได้รับเบี้ยประชุม ดังนี้ 1. ค่าตอบแทนกรรมการ 1.1 ประธานกรรมการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่าย 10,000 บาท/เดือน 1.2 กรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่าย 8,000 บาท/เดือน 2. ค่าตอบแทนอนุกรรมการ 2.1 ประธานอนุกรรมการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่าย 5,000 บาท/เดือน 2.2 อนุกรรมการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่าย 4,000 บาท/เดือน ทั้งนี้ เดือนใดไม่มีการประชุมให้งดเบิกค่าตอบแทน และการประชุมแต่ละครั้งจะต้องมีกรรมการหรืออนุ กรรมการ แล้วแต่กรณี มาประชุมเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการ หรืออนุกรรมการ ที่ได้รับแต่งตั้งทั้งหมด จึง จะเป็นองค์ประชุม |
|||||||||||||||||||||
2537 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 5/2552 | นร | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐ
กิจ (กรอ.) ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2552 และเห็นชอบมติคณะกรรมการ กรอ. และมอบหมายให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ แล้วรายงานให้คณะ กรรมการ กรอ. และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ โดยผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำตาลทราย โควตา ก. และโ ควตา ค. และมีมติให้ สศช. รับ ไปวิเคราะห์ข้อมูลให้ชัดเจนในเรื่องต้นทุนที่แท้จริง ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ และแนวทางเลือกเพิ่มเติม โดย หารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และเห็นชอบข้อเสนอของ กกร. ในเรื่องกฎระเบียบเกี่ยว กับการขอใช้สิทธิซื้อน้ำตาลทราย โควตา ค. และให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับ การขอใช้สิทธิซื้อน้ำตาลทราย โควตา ค. (สำหรับผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก) โดยให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มี ส่วนได้เสียในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบนั้น ๆ ประกอบการพิจารณา 2. ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงมหาดไทยเร่งตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายกับสถานที่พักที่ประกอบ ธุรกิจขัดต่อพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 รวมทั้งให้เร่งรัดการออกใบอนุญาตสำหรับผู้มายื่นขอใบอนุญาตตาม ประกาศกฎกระทรวงกำหนดประเภท และหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ ขอความร่วมมือส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่อนุญาตให้ข้าราชการและบุคลากรของรัฐเดินทางไปราชการ หรือ จัดประชุมสัมมนาของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ให้พักในสถานที่พักที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตาม พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 3. ที่ประชุมรับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีหน่วยงานของรัฐถูกฟ้องว่ากระทำการให้ความเห็นชอบ หรืออนุญาตรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และออกใบอนุญาตประกอบการไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้น ตอน วิธีการ ที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยที่ประชุมมีมติว่า โครงการที่ผ่านความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ ฯ และได้ รับใบอนุญาตให้ประกอบการไปแล้ว ให้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติต่อไปได้ ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ของหน่วยงานนั้น ให้หน่วยงานสามารถพิจารณาออกใบอนุญาต หรืออนุญาตให้ผู้ประกอบการดำเนินโครงการหรือ กิจกรรมต่อไปได้อย่างถูกต้องตามขั้นตอน กระบวนการ กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยปฏิบัติตามมาตรการ ต่าง ๆ ที่ภาครัฐกำหนดขึ้นอย่างเคร่งครัด 4. ที่ประชุมพิจารณาเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาการส่งออก โดยให้กระทรวงการคลังไป จัดตั้งคณะทำงานตามข้อเสนอของ กกร. เพื่อหารือวิธีการแก้ไขปัญหาด้านสภาพคล่องของผู้ประกอบการส่งออกและ เร่งรัดกระบวนการทำงานของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น 5. ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม (SMEs) ของกระทรวงการคลัง และยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 ในการดำเนิน โครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาภายใน ประเทศ และให้ขยายระยะเวลาการยื่นคำขอกู้ภายใต้โครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ ได้ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ ออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 ไปจนถึง วันที่ 31 กรกฎาคม 2553 กับให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยพิจารณาเร่งรัด การอนุมัติและปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ยังเหลืออยู่อีก 639 ราย นอกจากนี้ ให้กระทรวงการ คลังทบทวนหลักเกณฑ์และกระบวนการปล่อยสินเชื่อ ตลอดจนข้อจำกัดในด้านบุคลากรของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และพิจารณาปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันการให้บริการสินเชื่อ ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมที่เหมาะสมสำหรับโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ให้ต่ำ กว่าอัตราที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน 6. ที่ประชุมรับทราบตามที่ สศช. รายงานความก้าวหน้าการศึกษาแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มี ศักยภาพของประเทศ โดยให้ สศช. รับความเห็นของที่ประชุมเกี่ยวกับการดำเนินงานในระยะต่อไปควรศึกษารายละ เอียด สถานภาพของแหล่งท่องเที่ยว การกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือก รวมทั้งการคัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักย ภาพรายคลัสเตอร์ เพื่อยกร่างแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ไปพิจารณาดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||
2538 | ขออนุมัติใช้เงินกู้ SAL เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ใช้เงินกู้ SAL วงเงินรวม 240 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการด้านการบริหาร จัดการ จำนวน 4 โครงการ วงเงิน 190 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการจัดทำ ฐานข้อมูลโครงการ/ระบบ โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำระบบบัญชีและการบริหารเงินสด โครงการว่าจ้างที่ ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการบริหารโครงการและค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการ และโครงการจัดทำระบบ การกำกับติดตามโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ และอนุมัติให้ใช้เงินกู้ SAL สำหรับกรอบวงเงินสำรองในวงเงิน 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับการบริหารจัดการโครงการภายใต้แผนฟื้นฟู เศรษฐกิจ ระยะที่ 2 2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติการใช้จ่ายเงินสำรองดังกล่าว และราย งานการจัดสรรเงินให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2539 | ขอให้พิจารณาอนุมัติงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการวางท่อเชื่อมจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ ไปอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ จังหวัดระยอง | กษ | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเกี่ยวกับการดำเนินโครงการวางท่อเชื่อมจากอ่าง เก็บน้ำประแสร์ไปอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ จังหวัดระยอง ว่าวงเงินค่าใช้จ่ายที่ควรจะเป็นในการก่อสร้างโครงการ ฯ จำนวน 1,677,665,681 บาท ตามมติที่ประชุมร่วมกันกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) จะขอรับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,008,000,000 บาท ตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2548 เพื่อให้กรมชลประทานนำไปชำระให้แก่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EAST WATER ส่วนค่าก่อสร้างส่วน ที่เหลืออีกจำนวน 669,665,681 บาท ให้หักกลบลบหนี้จากค่าน้ำดิบที่ EAST WATER ต้องชะรำให้แก่กรมชล ประทานหลังจากที่มีการสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปยังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ สำหรับการตรวจรับงาน ให้ กรมชลประทานดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ ที่กำหนดไว้ และให้กรมชลประทานเสนอ ขอยกเว้นหรือผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งฉบับต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ทั้งนี้ ภายหลังการดำเนินการก่อสร้างโครงการ ฯ แล้วเสร็จ กรมชล ประทานจะเป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดการน้ำของโครงการ ฯ ต่อไป 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการจัดซื้อทรัพย์สินที่จะเกิดจากการก่อ สร้างโครงการวางท่อเชื่อมจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ จังหวัดระยอง จาก EAST WATER ใน วงเงินไม่เกิน 1,677,665,681 บาท (ตามมติที่ประชุมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2552) ซึ่ง EAST WATER ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2548 (เรื่อง การบริหารจัดการน้ำ การแก้วิกฤตน้ำภาคตะวันออก) โดยดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 |
|||||||||||||||||||||
2540 | ขออนุมัติและสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนโรคปากและเท้าเปื่อย | กษ | 09/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติโครงการเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนโรคปากและเท้าเปื่อย ปี พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2555 (รวม 3 ปี) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการ ฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) พิจารณาขอแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ต่อคณะกรรมา ธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 หรือปรับแผนการ ปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกรมปศุสัตว์มาดำเนินงาน ตามความจำเป็น โดยให้ขอตกลงกับสำนักงบประมาณเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ประกาศใช้แล้วต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำโครง การนี้เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะ ที่ 2) อีกทางหนึ่งด้วย 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้มีการศึกษาและประมาณการข้อมูลความต้องการวัคซีน โรคปากและเท้าเปื่อยในช่วง 10 ปีข้างหน้า ที่อาจเพิ่มขึ้นมากกว่าในปัจจุบันที่มีความต้องการปีละ 46 ล้านโด๊ส โดยคำนึงถึงโอกาสในการขยายตัวของปริมาณฝูงสัตว์ตามการขยายตัวของตลาดสินค้าปศุสัตว์ และผลกระทบจาก การเปิดตลาดตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน รวมทั้งศึกษาและนำเสนอทางเลือกในการลงทุนผลิตวัคซีนที่มี ความเป็นไปได้ทางเทคนิคในการผลิตวัคซีน และมีความคุ้มค่าจากการลงทุนระยะยาว ตลอดจนศึกษาแนวทางการ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโรงงานผลิตวัคซีนโรคปากและเท้าเปื่อย เพื่อให้มีศักยภาพในการรองรับภารกิจใน ปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการควบคุมดูแลไม่ให้เกิดการลักลอบนำเข้าฝูงปศุสัตว์ที่ผิด กฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเคร่งครัด และดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดโรคสัตว์ควบคู่กับการให้วัค ซีนอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณดำเนินการ ด้วยว่า การเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนโรคปากและเท้าเปื่อยตามโครงการ ฯ ควรให้ความสำคัญกับการนำวัคซีนไปใช้ แก้ไขปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นลำดับต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ดัง กล่าวด้วย |
.....