ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 13 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 252 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
181 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการบินพลเรือนและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ | กก. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการบินพลเรือนและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีสาระสำคัญเป็นการมุ่งพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยและบังกลาเทศ
เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ
โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวระหว่างกัน เช่น
การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนา การพัฒนาการท่องเที่ยว และบริการรูปแบบใหม่
การพัฒนาบุคลากร และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางสถิติด้านการท่องเที่ยว
โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเพื่อติดตามและให้คำแนะนำการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับนี้ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๙๐๗/๑๐๒ ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗) ที่เห็นควรสนับสนุนรูปแบบการท่องเที่ยวที่เป็นจุดแข็งของประเทศและสอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวบังกลาเทศ
ด้วยการผนวกรวมวัฒนธรรม ความเชื่อ และศรัทธา
สำหรับใช้เป็นเรื่องราวที่มีความน่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสติดตาม
และเกิดความหลงใหลในเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปรับทราบกรอบความร่วมมือในวงกว้าง
รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกัน
โดยมุ่งเน้นให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาความร่วมมือทั้งสองประเทศให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ตลอดจนติดตามประเมินผลความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวดังกล่าว
เพื่อนำไปสู่การขยายความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ต่อไป และเห็นว่าในย่อหน้าที่ ๔
ของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่กำหนดว่า “ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในสาขาดังต่อไปนี้”
โดยข้อ (เอช) กำหนดว่า “การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนา จิตวิญญาณ และความเชื่อ
และการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวชาวพุทธ ระหว่างสองประเทศ
และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรมทางศาสนาพุทธ”
นั้น อาจมีประเด็นว่าเหตุใด จึงระบุเพียงชาวพุทธหรือวัฒนธรรมทางศาสนาพุทธ
จึงเห็นว่า ในข้อนี้อาจเขียนในลักษณะกว้างทำนองเดียวกับข้อ (ไอ) ที่กำหนดว่า “การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
และสุขภาพ” โดยข้อ (เอช) อาจแก้ไขเป็นเพียง “การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม/มรดกทางวัฒนธรรม”
เนื่องจากความหมายของวัฒนธรรมมีความหมายครอบคลุมในทุกด้านอยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
182 | รัฐบาลสาธารณรัฐปานามาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทย (นางสาวซารา เตเรซา เอเนเฆ ชุม) | กต. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวซารา เตเรซา เอเนเฆ ชุม (Ms. Sara Teresa Ng Shum) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางสาวอิตเซล การินา เชน ชัน (Ms.
Itzel Karina Chen Chan) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
183 | รัฐบาลสาธารณรัฐอินเดียเสนอขอแต่งตั้งกงสุลสาธารณรัฐอินเดีย ณ จังหวัดเชียงใหม่ (นายประเณาว์ คเณศ) | กต. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายประเณาว์ คเณศ (Mr. Pranav Ganesh) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลสาธารณรัฐอินเดีย
ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย กำแพงเพชร
ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ น่าน พะเยา เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก แพร่
สุโขทัย ตาก อุทัยธานี และอุตรดิตถ์ สืบแทน นายกฤษณะ ไจยตันยะ (Mr. Krishna Chaitanya) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
184 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ณ กรุงเทพมหานคร และการขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ณ จังหวัดภูเก็ต (นางสาวกันยารัตน์ กัลยาวรัตน์) | กต. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน
๒๕๒๑ (เรื่อง
รัฐบาลไอซ์แลนด์ขอตั้งสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไอซ์แลนด์ประจำกรุงเทพมหานคร
และเสนอชื่อนาย Jorgen Albert Hage สัญชาติเดนมาร์ก
ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไอซ์แลนด์ประจำกรุงเทพมหานคร)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ (เรื่อง การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ประจำกรุงเทพมหานคร
และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ณ กรุงเทพมหานคร
คนใหม่) เฉพาะในส่วนการกำหนดเขตกงสุล จากเดิมที่มีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย เป็น
มีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย ยกเว้นจังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช
นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา สุราษฎร์ธานี ตรัง และยะลา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
185 | การร่วมมือกับรัฐบาล สปป. ลาว ในการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป. ลาว | กค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
(สปป. ลาว) ในการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข ๑๒ (R12) ช่วงเมืองท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป.
ลาว (โครงการ R12) ดังนี้ ๑) อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
(องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการตามขอบเขตของโครงการ แหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ
และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการ
R12 จำนวน ๑,๘๓๓,๗๔๗,๐๐๐ บาท ๒) อนุมัติให้สำนักงบประมาณ จัดสรรงบประมาณเป็นรายปี
ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗o รวมระยะเวลา ๓ ปี
สำหรับวงเงินให้เปล่า จำนวน ๙๑,๐๖๓,๐๐๐
บาท และร้อยละ ๕๐ ในส่วนของเงินกู้จำนวน ๘๗๑,๓๔๒,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๙๖๒,๔๐๕,๐๐๐
บาท ๓) เห็นชอบแนวทางการกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ จำนวน ๘๗๑,๓๔๒,๐๐๐ บาท ตามรูปแบบและเงื่อนไขที่กำหนด และ ๔)
กรณี สปป. ลาว ผิดนัดชำระหนี้ สพพ. จะพิจารณาใช้เงินสะสมของ สพพ. เพื่อชำระคืนหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากเงินกู้จากสถาบันการเงินภายในประเทศไปก่อน
ทั้งนี้ หาก สพพ.
เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องจะขอรับจัดสรรเงินงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อเสริมสภาพคล่องและเมื่อ
สพพ. สามารถเรียกเก็บหนี้ได้จะนำเงินดังกล่าวส่งคืนคลังต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง [สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
(องค์การมหาชน)] และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๗๐๖/๗๕ ลงวันที่ ๖ ตุลาคม
๒๕๖๖) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยขอให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
พร้อมจัดทำขั้นตอนการดำเนินงาน แผนการก่อสร้าง และการเปิดให้บริการ และให้ สพพ.
ใช้เงินสะสมของหน่วยงาน
และกำหนดแนวทางและวิธีการบริหารจัดการเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และเห็นว่าเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติได้ตามที่เห็นสมควร และโดยที่เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตาม
ม. ๘ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สพพ. พ.ศ. ๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มติมและเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยจึงเข้าข่ายเป็นการดำเนินการตามมาตรา
๔ (๑) และ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องฯ พ.ศ. ๒๕๔๘ นอกจากนี้ ควรมอบหมายให้กระทรวงการคมนาคมกำกับโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม
และโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ให้แล้วเสร็จตามแผน
เพื่อให้โครงข่าย/คมนาคมของไทยสามารถเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร้รอยต่อ
อันจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศ
ตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
186 | ขออนุมัติโครงการจัดสรรทุนการศึกษาตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ โครงการที่ 6 | กต. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการดำเนินการโครงการจัดสรรทุนการศึกษาตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ
โครงการที่ ๖ ระยะเวลารวม ๑๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๙) โดยจะดำเนินการจัดสรรทุนในช่วง ๕
ปีแรก (พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๒) ปีละ ๑๓ ทุน รวมทั้งสิ้น ๖๕ ทุน และงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดสรรทุนฯ
โครงการที่ ๖ ประมาณ ๘๐๖.๔๐ ล้านบาท หรือประมาณ ๒๐.๑๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
[อัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐสำหรับการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ (๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๔๐ บาท)]
โดยขอตั้งงบประมาณและรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ ในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งมีผลทำให้วงเงินบาทเพิ่มขึ้นเกินกว่าที่ได้รับอนุมัติข้างต้นโดยวงเงินสกุลต่างประเทศที่ได้รับความเห็นชอบไม่เปลี่ยนแปลงก็ให้กระทรวงการต่างประเทศขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในกรณีดังกล่าวได้
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น
ควรให้ความสำคัญต่อการปฏิรูปองค์ความรู้หรือสาขาวิชาใหม่ ๆ
ที่จะเป็นประโยชน์เพื่อรองรับบทบาทภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศในอนาคต
และติดตามประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ รวมทั้งในส่วนของงบประมาณ
ควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
187 | การนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม "สงขลา และชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา" เข้าสู่บัญชีรายชื่่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก | ทส. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม
“สงขลา และชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา” ภายใต้ชื่อ Songkhla and is Associated Lagoon Settlements เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก ๑.๒
เห็นชอบให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกลงนามในเอกสารนำเสนอฯ
ต่อศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลางอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาตินำเสนอเอกสารนำเสนอฯ
เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้นของศูนย์มรดกโลกต่อศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้วหรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่จะได้รับการบูรณาการของหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
188 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 8 | คค. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๘ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองไหโขว่ สาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยผ่านระบบประชุมทางไกล โดยการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ มีผลลัพธ์การประชุม เช่น ให้ขยายระยะเวลาการมีผลบังคับใช้ของการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ
“ระยะแรก” ออกไปอีก ๓ ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๑
ธันวาคม ๒๕๖๙
เพื่อให้ประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงสามารถกลับมาเดินรถระหว่างประเทศภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ
“ระยะแรก” อีกครั้ง ให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการขนส่งระหว่างประเทศได้ตั้งแต่วันที่
๑ เมษายน ๒๕๖๗
โดยรวมถึงเส้นทางและจุดผ่านแดนที่เพิ่มเติมไว้ในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม
ภายใต้พิธีสาร ๑ ของความตกลง GMS CBTA ให้มีการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการขนส่ง
ในช่วงไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๗
เพื่อหารือเกี่ยวกับเส้นทางและจุดผ่านแดนเพิ่มเติมภายใต้พิธีสาร ๑ ของความตกลง GMS
CBTA เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
189 | ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง อัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | สธ. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง
อัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์
และร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ
หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ
หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ
องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ
หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ รวม ๒ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าในส่วนของร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ
หน่วยงานของรัฐ
หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ
การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์
พ.ศ. .... ที่มีการตัดข้อความ “การขึ้นบัญชีมีอายุ ๓ ปี” ในหมายเหตุ
ในบัญชีแนบร่างประกาศฯ
หากแต่การตัดข้อความก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาครัฐหรือผู้เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม
กรมปศุสัตว์ ก็ควรอนุมัติในหลักการร่างประกาศทั้ง ๒ ฉบับ และในการพิจารณากำหนดอัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดและอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดกระทรวงสาธารณสุขควรถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔ เรื่อง หลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการ โดยต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในการดำเนินการของรัฐ
ภาระที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชน และปัจจัยอื่น ๆ ตามที่กำหนดในหลักเกณฑ์ดังกล่าว
ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
190 | การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันให้ได้มาตรฐานสากล | นร. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับรายงานว่า
คุณภาพผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันของไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศเท่าที่ควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (Roundtable on Sustainable Palm Oil : RSPO) จึงขอมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันให้ได้มาตรฐานการผลิตที่เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
ออกใบรับรองคุณภาพให้กับผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันของไทย
รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพิ่มเติม
เพื่อแสวงหาลู่ทางการเพิ่มมูลค่าทางการค้าของปาล์มน้ำมันให้มากยิ่งขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
191 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติ | กต. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติ
(ข้อมติ UNSC) ที่
๒๖๙๙ (ค.ศ. ๒๐๒๓) เกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติเพิ่มเติมจากข้อมติ UNSC ที่ ๒๖๕๓ (ค.ศ. ๒๐๒๒) จนกว่า UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเฮติ
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อมีการรับรองข้อมติที่เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเฮติต่อไป
และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษต่อสาธารณรัฐเฮติและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งแจ้งผลให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าการดำเนินการตามข้อมติ UNSC ที่ ๒๖๙๙ (ค.ศ. ๒๐๒๓) จะต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในของไทย
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานตามข้อมติฯ ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วน
ได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
192 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ | อว. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ (Memorandum of Understanding between the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and China National Space Administration on Cooperation in the Exploration and Use of Outer Space for Peaceful Purposes) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อวางรากฐานสำหรับการพัฒนาและดำเนินความร่วมมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ โดยมีสาระสำคัญในการพัฒนาอย่างสันติในสาขาวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาศ และการประยุกต์ใช้อวกาศเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ รวมถึงเพื่อกระชับความร่วมมือไทย-จีนในด้านอวกาศอย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรพิจารณาปรับแก้ถ้อยคำบางประการในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
193 | แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand's National Adaptation Plan : NAP) | ทส. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
(Thailand’s National Adaptation Plan : NAP) และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดส่งแผนการปรับตัวฯ
ต่อสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยแผ่นแม่บทรองรับการปรับตัวฯ มีสาระสำคัญเป็นกรอบแนวทางระยะยาวของประเทศที่ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกด้าน
ได้แก่ ๑) การลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำลง ๒)
การปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ ๓)
การสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย
และความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เช่น ควรพิจารณาจัดการทบทวนแผน NAP เป็นระยะเพื่อประเมินผลการดำเนินงาน
ความเสี่ยงและความเปราะบางต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในรายสาขาและคนกลุ่มต่าง
ๆ เพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินงาน ประเภทหรือรูปแบบความร่วมมือ
รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศที่ประสงค์จะขอรับการสนับสนุน เพื่อให้แผน NAP
สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ หากมีประเด็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในแผน
NAP ให้คำนึงถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องตลอดจนผลประโยชน์และบริบทของประเทศเป็นสำคัญ
ควรพิจารณาการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการตามแผน NAP ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายต่อไป ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
194 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 พ.ศ. .... | สธ. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า
ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต
นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น มีความเห็นเพิ่มเติมในส่วนของร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๑๑
และข้อ ๑๒
ซึ่งกำหนดกรณีที่ไม่อาจพิจารณาได้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดอาจขยายระยะเวลาการพิจารณาออกไปได้อีกไม่เกินสองครั้ง
ครั้งละไม่เกิน ๓๐ วัน โดยการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวอาจก่อให้เกิดการพิจารณาอนุญาตที่ใช้ระยะเวลามากหรือล่าช้าได้
ควรพิจารณาความจำเป็นในการกำหนดเงื่อนไขการขยายระยะเวลาให้มีความเหมาะสม
ไม่ก่อให้เกิดการดำเนินการที่ล่าช้าเกินสมควร อีกทั้งการกำหนดระยะเวลาการแจ้งคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ขออนุญาตทราบ
ควรกำหนดระยะเวลาเป็นภายใน ๗ วัน เพื่อให้สอดคล้องตามมาตรา ๗ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘ และร่างข้อ ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ควรแก้ไขถ้อยคำว่า “วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๑”
เป็น “ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑”
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
เนื่องจากร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษในประเภท
๑ ร่างข้อ ๑๑ วรรคหนึ่ง
กำหนดให้พิจารณาคำขอรับใบอนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน ให้แก่ผู้ขออนุญาต
และสามารถขยายระยะเวลาออกไปได้อีกไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกิน ๓๐ วัน
เห็นว่าระยะเวลาดังกล่าวเป็นระยะเวลาที่พอสมควรที่ผู้มีอำนาจอนุญาตจะได้พิจารณาคำขอและอนุญาตให้แล้วเสร็จได้แต่มีข้อสังเกตว่าหากผู้มีอำนาจอนุญาตไม่สามารถพิจารณาคำขอให้เสร็จสิ้นได้ภายในกำหนดจะมีมาตรการอย่างไรในระหว่างที่พิจารณาคำขอ
ควรกำหนดมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าวด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
195 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2567)] | ปสส. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๒๕
มีนาคม ๒๕๖๗ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่. ..)
พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
196 | การนำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ในส่วนที่เกี่ยวกับวินัยและโทษผิดวินัยมาใช้บังคับกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ โดยอนุโลม | มท. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรมการปกครองในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
นำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๕๑
ในส่วนที่เกี่ยวกับวินัยและโทษผิดวินัยมาใช้บังคับกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
แพทย์ประจำตำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านโดยอนุโลม นับแต่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
โดยไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการทางวินัยที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
ให้นำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
มาใช้บังคับก่อนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรคำนึงถึงลักษณะของการกระทำผิดและผลกระทบที่จะเกิดแก่ราชการในกรณีที่ไม่อาจดำเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ เนื่องจากเกษียณหรือพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว และกรณีมีมติชี้มูลความผิดข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ซึ่งออกจากราชการแล้ว
ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
197 | การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2567 | รง. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา
เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗
ในช่วงระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๗
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการดำเนินการ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา
ลาว และเมียนมา
ซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักรตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงานหรือได้รับอนุญาตทำงานในเรือประมงและมีหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
หรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรกลับประเทศต้นทางเพื่อไปร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
198 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. .... | คค. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคำธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตหรือใบรับรองที่กำหนดขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ
(ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ แก้ไขปรับปรุงการจำแนกประเภทใบอนุญาตและใบรับรอง
รวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน
พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์ที่สะท้อนต้นทุน
และความเหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
199 | ร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ลาว เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ครั้งที่ 4 | มท. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ลาว
เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (Joint Committee for Management on Mekong River and Heung
River : JCMH) ครั้งที่ ๔ และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกการประชุมฯ
โดยร่างบันทึกการประชุมฯ มีประเด็นที่สำคัญคือ
การปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนดมาตรฐานด้านเทคนิคการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง
และข้อกำหนดทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการดูดทรายตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ปัจจุบันยังคงพบปัญหาความไม่ชัดเจนของเขตแดนร่องน้ำลึกของแม่น้ำโขงระหว่างไทยและ
สปป.ลาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในแม่น้ำโขง เช่น
การเปลี่ยนแปลงของเกาะหรือดอนในแม่น้ำโขง การขยายตัวของชุมชนตามแนวชายแดน
การสร้างท่าเทียบเรือและตลิ่ง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางหรือกลไกในการบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างคณะกรรมการ/คณะกรรมาธิการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแม่น้ำโขงและพื้นที่เกี่ยวเนื่องร่วมกับ สปป.ลาว
และประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การกำหนดนโยบายและการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายไทยเป็นไปอย่างมีเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
200 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอาญาและศาลแพ่งมีนบุรี พ.ศ. .... (กำหนดวันเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอาญาและศาลแพ่งมีนบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป) | ศย. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอาญาและศาลแพ่งมีนบุรี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลอาญาและศาลแพ่งมีนบุรี
โดยให้มีเขตอำนาจตลอดท้องที่ของเขตมีนบุรี เขตคลองสามวา เขตคันนายาว เขตลาดกระบัง
เขตลาดพร้าวเฉพาะแขวงจรเข้บัว เขตสะพานสูง เขตสายไหมเฉพาะแขวงสายไหม และแขวงออเงิน
เขตหนองจอก เขตบางเขน เขตประเวศ และเขตบึงกุ่ม ในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ ๑
มิถุนายน ๒๕๖๗ เป็นต้นไป
และกำหนดให้ศาลอาญาและศาลแพ่งมีนบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว เป็นศาลเยาวชนและครอบครัวตามกฎหมายว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|