ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 13 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 252 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
141 | โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2572 | กษ. | 02/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประมูลสิทธิ์จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๗๒ อนุมัติองค์ประกอบของคณะกรรมการอำนวยการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดนครราชสีมา
พ.ศ. ๒๕๗๒ ตามที่เสนอ และเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดเอกสารสัญญา ให้มีความรอบคอบ รัดกุม
และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์
เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการดำเนินการใด ๆ
ในเขตพื้นที่ป่า ขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
142 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 2 | กค. | 02/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗ ครั้งที่ ๒
ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗ โดยมีรายละเอียดของการปรับปรุงแผนฯ ในครั้งนี้
เช่น ๑) การปรับเพิ่มวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗
(เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน) จำนวน ๒๖๙,๐๐๐ ล้านบาท ๒)
การปรับเพิ่มวงเงินปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘-๒๕๗๑ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และ ๓)
การปรับเพิ่มวงเงินแผนการชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
จำนวน ๒๙,๒๐๐ ล้านบาท เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
ทั้งนี้ ในส่วนการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย
และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่รัฐบาลรับภาระ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง
ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๓
ซึ่งกำหนดให้สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐซึ่งรัฐบาลรับภาระ
ต้องตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละสองจุดห้าแต่ไม่เกินร้อยละสี่ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
รวมทั้งพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน ประมาณการรายรับ ฐานะทางการคลังของประเทศ
และภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายในด้านต่าง ๆ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรกำกับ ติดตาม
และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า
และเกิดประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างแท้จริง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
143 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | ปช. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
(Integrity & Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ๒.
เห็นชอบข้อเสนอแนะระดับนโยบายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องนำไปประกอบการพิจารณาขับเคลื่อนและยกระดับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐในปีต่อไป
รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและข้อเสนอแนะของสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าการประเมิน ITA ควรแยกส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานที่ให้บริการกับหน่วยงานนโยบายออกจากกัน
และปรับข้อคำถามในตัวชี้วัดให้แตกต่างกันตามภารกิจ
การเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างตามแบบวัด OIT ควรมีการยืดหยุ่นให้ใช้ระบบการรายงานของหน่วยงานแทนได้
และควรเพิ่มเกณฑ์การประเมินที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นประจักษ์ ชัดเจน โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะต้องได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติควรพิจารณากำหนดเกณฑ์การประเมิน
ITA ให้สอดคล้องกับลักษณะงานหรือภารกิจของแต่ละหน่วยงาน
รวมทั้งควรสื่อสารสร้างความเข้าใจและชี้แจงเกณฑ์การประเมิน ITA ก่อนเริ่มปีงบประมาณ
เพื่อให้หน่วยงานสามารถวางแผนการดำเป็นการและจัดทำแผนปฏิบัติราชการที่จะนำไปขับเคลื่อนภายในหน่วยงานได้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
144 | การปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยไปศึกษาต่อ ณ สถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น | ศธ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
(นักเรียนทุน จ.ภ.) ระยะที่ ๒
โดยผู้รับทุนจะเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานใช้ทุนหรือหน่วยงานของรัฐที่ผู้ให้ทุนกำหนด
และรับเงินเดือนตามที่หน่วยงานนั้น ๆ
กำหนดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของระยะเวลาที่ได้รับทุนตามสัญญา โดย “หน่วยงานชดใช้ทุน”
ให้หมายความรวมถึงภาคอุตสาหกรรม สถาบันไทยโคเซ็นและหน่วยงานของรัฐ “ภาคอุตสาหกรรม”
ให้หมายความถึงภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ
และกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคตในประเทศไทย โดยไม่จำกัดภูมิภาคในประเทศไทยและไม่จำกัดสัญชาติของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
และ “หน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร” ให้หมายความถึง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
องค์การมหาชน หน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่เป็นอิสระ กองทุนที่เป็นนิติบุคคล
หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ และหน่วยงานที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐ ๒ เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน
จ.ภ. ระยะที่ ๑
โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน
จ.ภ. ระยะที่ ๒ ตามข้อ ๑
เนื่องจากเป็นการให้ทุนการศึกษาในลักษณะเดียวกันกับการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาต่อสำหรับนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยไปศึกษาต่อ
ณ สถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ ให้กระทรงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ. รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สำนักงาน ก.พ. เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่
๒๒ กันยายน ๒๕๖๓ ที่ให้กำหนดสัดส่วนของนักเรียนทุน จ.ภ. ที่จะชดใช้ทุนในสถานที่ปฏิบัติงานต่าง
ๆ (หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของเอกชนในประเทศไทย
และสถาบันไทยโคเซ็น) ให้เหมาะสม และให้ความสำคัญกับหน่วยงานภาครัฐและโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยเป็นลำดับแรก
สำหรับการปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนของการปฏิบัติงานหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน
จ.ภ. ระยะที่ ๑ ให้เป็นเงื่อนไขเดียวกับนักเรียนทุน จ.ภ. ระยะที่ ๒
ควรกำหนดเงื่อนไขทุนเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ผู้รับทุนได้มีโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการวางแผนโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาพรวมให้มีความชัดเจน
โดยพิจารณาจัดทำฐานข้อมูลเพื่อติดตามและประเมินความก้าวหน้าทางอาชีพของนักเรียนทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อการขับเคลื่อนนวัตกรรมของประเทศ
เพื่อนำมาวัดประสิทธิผลของการจัดสรรทุนรัฐบาลในกลุ่มประเภทแหล่งทุนต่าง ๆ
และการออกแบบแนวทางการพิจารณาจัดสรรทุนโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
145 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสมุทรปราการและศาลแรงงานจังหวัดระยอง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ศย. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสมุทรปราการและศาลแรงงานจังหวัดระยอง
พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดขึ้นในท้องที่ของศาลแรงงานภาค
(ภาค ๑ และภาค ๒) และจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดขึ้นในจังหวัดสมุทรปราการ
โดยให้มีเขตอำนาจตลอดท้องที่ในจังหวัดสมุทรปราการและจัดตั้งศาลแรงงานขึ้นในจังหวัดระยอง
โดยให้มีเขตอำนาจตลอดท้องที่ในจังหวัดระยอง ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสภาทนายความ
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เห็นว่าในกรณีการจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดระยองจะสามารถขยายเขตอำนาจศาลให้ครอบคลุมถึงคดีที่เกิดพิพาทในเขตจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราดได้หรือไม่
เพื่อประชาชนจะได้สะดวกในการรับบริการด้านความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสมุทรปราการและศาลแรงงานจังหวัดระยอง
พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ๓.
ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงยุติธรรม
เห็นว่าการจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดขึ้นใหม่จะต้องมีอาคารสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการ
อีกทั้งยังต้องมีการจัดสรรอัตรากำลังของบุคลากรเพื่อปฏิบัติงาน
จึงควรคำนึงถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนที่จะได้รับประกอบด้วย สำนักงาน
ก.พ.ร. เห็นว่าศาลยุติธรรมควรพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังที่ปฏิบัติงานในศาลแรงงานภาค
ศาลแรงงานสาขาหรือศาลยุติธรรมอื่นก่อนเป็นลำดับแรก และควรพิจารณานำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีและการบริหารจัดการคดีของศาลแรงงาน
พร้อมทั้งสื่อสารและประชาสัมพันธ์ช่องทางในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
146 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. .... | กค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ
พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยยังคงหลักการเดิม
และปรับอัตราเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ควรเร่งกำหนดแนวทางและแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้
และการขยายฐานภาษีให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายของรัฐบาล
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการประเมินผลการปฏิบัติงาน
และการปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของส่วนราชการ
เพื่อให้การจ่ายค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเกิดความคุ้มค่า
และสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบราชการในระยะยาว
สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
เห็นควรให้ส่วนราชการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ภายใต้แผนงานบุคลากรภาครัฐของแต่ละส่วนราชการเป็นลำดับแรก
หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง
รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ
หรือรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แล้วแต่กรณี ตามลำดับ
สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้ส่วนราชการพิจารณาจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อบรรจุไว้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
147 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเตว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา | กต. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามที่ได้รับมอบหมาย
รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยและผู้ถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ในการเดินทางเข้า-ออก ดินแดนของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
สำหรับการพำนักแต่ละครั้งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน สำหรับกรณีท่องเที่ยวเท่านั้น
โดยมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ยังคงจำเป็นต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การเข้า-ออกของผู้คนที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงจากกลุ่มผู้แสวงประโยชน์ในทางมิชอบ อาทิ
การพำนักเกินกำหนดระยะเวลา (Overstay) หรือการกรอกข้อมูลอันเป็นเท็จของบุคคลก่อนเข้าเมือง
ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคง
และการบริหารจัดการบุคคลที่ประสงค์เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงมาตรฐานด้านการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและบริการสาธารณะที่สะดวกต่อการเข้าถึงและมีความเพียงพอรองรับต่อการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจและมีประสบการณ์ที่ดีในการเดินทางมายังประเทศไทย
ในขณะเดียวกันควรมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในวงกว้าง
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลุ่มนักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
148 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 26 (The 26th GMS Ministerial Conference) | นร.11 สศช | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ [Greater Mekong Subregion (GMS)] ครั้งที่
๒๖ และเห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ โดยมีรองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ) ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีประจำแผนงาน GMS [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)]
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และได้รับรองเอกสารจำนวน
๒ ฉบับ (โดยไม่มีการลงนาม) ได้แก่ ๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ ๒๖ และ ๒) ร่างข้อเสนอแนวคิดสำหรับการยกร่างยุทธศาสตร์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
พ.ศ. ๒๕๗๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบันและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
149 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการของจังหวัดสืบเนื่องจากการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรี (จังหวัดนครพนม จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดนครศรีธรรมราช) | นร.04 | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัด
จำนวน ๙ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน ๒๗๒,๗๑๘,๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการของจังหวัดนครพนม
จำนวน ๓ โครงการ ภายในวงเงิน ๑๐๘,๑๙๓,๒๐๐
บาท จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๕ โครงการ ภายในวงเงิน ๑๓๔,๕๒๕,๐๐๐ บาท และจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน ๑ โครงการ ภายในวงเงิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้
ให้จังหวัดจัดทำโครงการและรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้จังหวัดนครพนม จังหวัดนครราชสีมา
จังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน
และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
150 | การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กำหนดจำนวนกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๗๒ คน
(เท่ากับจำนวนที่มติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๗)
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นางมนพร
เจริญศรี) ร่วมกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณประสานในรายละเอียดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
151 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นจำนวน ไม่เกิน ๓,๗๕๒,๗๐๐ ล้านบาท
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณได้มีกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ พร้อมเอกสารประกอบงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
152 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหลังสวน จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... | มท. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองหลังสวน จังหวัดชุมพร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลวังตะกอ
ตำบลนาขา ตำบลแหลมทราย ตำบลขันเงิน ตำบลหลังสวน ตำบลท่ามะพลา และตำบลพ้อแดง
อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา
การดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในที่ดิน
การคมนาคม และการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ
และสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎ หรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
เกิดผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการจัดทำข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินหลัก กระทรวงสาธารณสุข
เห็นว่าการพิจารณาอนุญาตกิจการจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
153 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 | กค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(Small and Medium Enterprises
: SMEs) ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee
Scheme ระยะที่ ๑๑ เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและเป็นแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาว
รวมถึงเป็นการสนับสนุนศักยภาพด้านเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ของรัฐบาล ตลอดจนการปรับตัวเพื่อรับมือให้ทันกับสถานการณ์หรือวิกฤตที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ สำหรับภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะที่ ๑๑ วงเงินรวม ๗,๑๒๕
ล้านบาท ให้กระทรวงการคลัง [บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
(บสย.)] ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการเก็บค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น
ค่าธรรมเนียมการจ่ายค่าประกันชดเชย ค่าจัดการค้ำประกัน
ค่าดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อ เป็นต้น ให้ บสย. พิจารณาเก็บค่าธรรมนียมด้วยความเหมาะสมและเป็นธรรม
เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ และการดำเนินการตามมาตรการ/โครงการที่มีผลทำให้รัฐต้องชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐ
จะต้องดำเนินการให้อยู่ภายในสัดส่วนตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
ตามมาตรา ๒๘ และให้มีการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวบรรลุผลสัมฤทธิ์และมีความคุ้มค่าอย่างแท้จริงตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรพิจารณาจัดสรรวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ
และอัตราค่าธรรมเนียมที่รัฐบาลจ่ายแทนให้แก่ SMEs แต่ละโครงการย่อยให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมาย SMEs ที่ควรได้รับความช่วยเหลือเป็นสำคัญ
เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (บสย.)
ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๑๑
ไม่ให้เกิดความช้ำซ้อนกับโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND และโครงการให้ความช่วยเหลือ
SMEs อื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง บสย.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง
รวมทั้งประสานกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจของโครงการฯ
ให้แก่กลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ถูกต้อง
เพื่อให้สามารถเข้าถึงการค้ำประกันสินเชื่อได้อย่างทั่วถึงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
154 | รายงานประจำปีเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | มท. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานประจำปีเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการผังเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ประกอบด้วย ๑) สถานการณ์ด้านการผังเมืองของประเทศไทยในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ๒) ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ ๓)
ผลการดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ของการวางและจัดทำผังเมือง ๔) การดำเนินการอื่น ๆ ตามพระราชบัญญัติการผังเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ๕) การพัฒนาเมือง และ ๖)
การดำเนินงานเพื่อสนับสนุนภารกิจด้านการผังเมืองและการพัฒนาเมือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
155 | มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย | กค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมในบัญชีนวัตกรรมไทย)
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปภายใน ๒ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
156 | การขับเคลื่อนการดำเนินการสำคัญสืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2566 | นร.11 สศช | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๖
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ ดังนี้ ๑.
การทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ๒. โครงการเพื่อขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ๓.
การปรับเปลี่ยนหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ๔.
กลไกการดำเนินการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๕. แนวทางในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในห้วงที่ ๒
(พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ๖.
แนวทางการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ๗.
การประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงาน
ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดองไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการคลัง
เห็นว่าในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎ
ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณด้วย กระทรวงมหาดไทย
เห็นว่าโครงการที่ผ่านการจัดลำดับความสำคัญฯ ควรเป็นโครงการที่ควรได้รับงบประมาณเพิ่มเติมจากกรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ได้รับเพื่อให้ส่วนราชการมุ่งจัดทำโครงการที่สามารถขับเคลื่อนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
157 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน 2567 | ปสส. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันพฤหัสบดีที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๗ ซึ่งพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งมาให้วิปรัฐบาลพิจารณา
ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้านระหว่างสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกฝ่ายหนึ่งกับราชอาณาจักรไทยอีกฝ่ายหนึ่ง
ร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมวิทยาศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
.... ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
158 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน | ศธ. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีผลการดำเนินการ เช่น ๑) การกำชับให้หน่วยงานในสังกัดเคร่งครัดในการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๒) การยกเลิกการเปิดโอกาสให้สถานศึกษาในสังกัดกำหนดหลักเกณฑ์การรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียน
๓) การประกาศรายชื่อนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ ๔)
การสุ่มตรวจการดำเนินการรับนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดทั่วประเทศ และ ๕) การจัดทำแนวทางการดำเนินงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาและให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนำไปปฏิบัติ
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
159 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ (1. นางไขศรี ภักดิ์สุขเจริญ ฯลฯ จำนวน 13 คน) | มท. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ
จำนวน ๑๓ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
ดังนี้ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ
ประกอบด้วย ด้านการผังเมือง จำนวน ๕ คน ๑. นางไขศรี ภักดิ์สุขเจริญ ๒. นายมณฑล สุดประเสริฐ ๓. นายคธาทิพย์ เอี่ยมกมลา ๔. นางสาวอรอาภา โล่ห์วีระ ๕. นายรุจิโรจน์
อนามบุตร ด้านเศรษฐศาสตร์ จำนวน ๒ คน ๖. นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ ๗. นายชโยดม สรรพศรี ด้านสังคมศาสตร์ จำนวน ๒ คน ๘. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ๙. ร้อยตำรวจโท อาทิตย์ บุญญะโสภัต ด้านภูมิศาสตร์ จำนวน ๒ คน ๑๐. นางสาวศิริวรรณ ศิลาพัชรนันท์ ๑๑. นางสาวพันธ์ทิพย์ จงโกรย สาขาวิชาการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒ คน ๑๒. นายเสรี ศุภราทิตย์ ๑๓. นายพิเชฐ โสวิทยสกุล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
160 | ขอความร่วมมือในการฟื้นฟูที่ดินเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน | นร. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่
๕ มิถุนายนของทุกปีเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยในปี ๒๕๖๗ นี้ ได้กำหนดแนวคิดให้มีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่อง
“Land Restoration, Desertification and Drought Resilience” โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูที่ดิน
การต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย และการฟื้นตัวจากภัยแล้ง ในการนี้จึงขอมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นในการบำรุงรักษาและฟื้นฟูคุณภาพของที่ดินและพื้นที่เพาะปลูกต่าง
ๆ ให้แก่เกษตรกรและประชาชนทุกภาคส่วนให้ชัดเจน ทั่วถึง และต่อเนื่อง
ซึ่งจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของที่ดินที่เป็นแหล่งเพาะปลูก ช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ลดความยากจน รวมทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ลดการเกิดภัยแล้ง เพิ่มพื้นที่การกักเก็บคาร์บอน
และช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในภาพรวมด้วย
|