ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 759 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 15161 - 15180 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15161 | รายงานการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. 2553 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พ.ศ. .... | ทส | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินการภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พ.ศ. .... [ยุบเลิกองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.)] และเห็นชอบการจ่ายค่าชดเชยบุคลากรสนับสนุนการปฏิบัติงาน กอสส. จำนวน ๒๐ คน โดยเทียบเคียงการจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา ๑๑๘ ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นเงิน ๒,๓๖๙,๘๐๐ บาท โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพัสดุที่สำนักงาน กอสส. ได้ยืมจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแต่งตั้งคณะกรรมการรับมอบพัสดุ ซึ่งคณะกรรมการรับมอบพัสดุได้รับคืนพัสดุ รวมทั้งสิ้น ๗๓๕ รายการ โดยได้ตรวจสอบความครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบทางราชการเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาการจ่ายค่าชดเชยบุคลากรสนับสนุนการปฏิบัติงาน กอสส. โดยจ่ายค่าชดเชยให้แก่บุคลากรดังกล่าว จำนวน ๑๘ คน เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๓๙๙,๘๐๐ บาท เกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากมีการคาดการณ์ระยะเวลาในการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานการให้ความเห็นขององค์การอิสระในโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อยุบเลิกองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพคลาดเคลื่อน (เดิมคาดว่าจะเสร็จสิ้นก่อนวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ แต่ระเบียบฯ มีผลใช้บังคับวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15162 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบแสดงฐานะการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๗๖,๕๗๓.๕๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘.๑๖ ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากภาษีอากรและค่าธรรมเนียม และรัฐบาลมีค่าใช่จายเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๓๒,๖๕๐.๐๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๓๘ ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายจากเงินงบประมาณจากหน่วยงาน โดยเป็นค่าใช้จ่ายจากงบลงทุน งบอุดหนุน และงบบุคลากรที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รัฐบาลมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิน้อยกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๓,๙๒๓.๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๔.๕๙ ๒. งบแสดงฐานะการเงิน รัฐบาลมีสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๒,๐๒๐,๒๙๙.๔๓ ล้านบาท สินทรัพย์สุทธิลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๗๐,๐๗๑.๑๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๘๘ เป็นผลจากการปรับปรุงลดทุนของหน่วยงาน การดำเนินงานประจำปีที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้สะสม การปรับปรุงมูลค่าเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดระยะยาว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15163 | นางสุภาศรี วงศ์แพทย์ กับพวกรวม 2 คน ฟ้องนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้ศาลเพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างซอยศูนย์วิจัย 5 กับซอยพระรามเก้า แยก 18 พ.ศ. 2556 และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | นร05 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.๒๓/๒๕๕๗ คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.๑๑/๒๕๖๑ ระหว่างนางสุภาศรี วงศ์แพทย์ กับพวกรวม ๒ คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม ๔ คน ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่นสายเชื่อมระหว่างซอยศูนย์วิจัย ๕ กับซอยพระรามเก้า แยก ๑๘ พ.ศ. ๒๕๕๖ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้อง ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15164 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561) | นร | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15165 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนมีนาคม 2561 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๘ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ เรื่อง ได้รับการรายงานผลแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๑๖ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๗ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๙ ฉบับ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานผลแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำทั้ง ๘ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานผลแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘๓ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๓๔ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๔๙ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย จำนวน ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานผลครบถ้วนแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการรายงานผลครบถ้วนแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15166 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ จังหวัดขอนแก่น (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายหว่าง หง็อก เซิน (Mr. Hoang Ngoc Son)] | กต | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายหว่าง หง็อก เซิน (Mr. Hoang Ngoc Son) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ จังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี และยโสธร สืบแทน นายงเหวียน หง่อก เซิน (Mr. Nguyen Ngoc Son) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15167 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี 2561 (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) | ยธ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๑ เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา วงเงิน ๕,๒๘๐,๐๐๐ บาท สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว วงเงิน ๗,๑๐๕,๒๘๐ บาท ราชอาณาจักรกัมพูชา วงเงิน ๓,๕๑๖,๘๐๐ บาท และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม วงเงิน ๔,๐๙๗,๙๒๐ บาท ๑.๒ ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๑ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับจัดสรร ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ เพื่อประกอบการพิจารณาในอนาคต สำหรับขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง ให้ดำเนินการตามขั้นตอน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15168 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 เรื่อง ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เกี่ยวกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณีการนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) มาใช้เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของยานพาหนะที่ใช้สัญจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขอถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องหมายและวิธีการแสดงเครื่องหมายบ่งชี้ข้อมูลสำหรับรถที่จดทะเบียนในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ พ.ศ. .... | คค | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ [เรื่อง ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เกี่ยวกับ “ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” และ “ปัญหายาเสพติดในเรือนจำ”] เฉพาะในส่วนของการนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (Radio Frequency Identification : RFID) มาใช้เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของยานพาหนะที่ใช้สัญจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. อนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องหมายและวิธีการแสดงเครื่องหมายบ่งชี้ข้อมูลสำหรับรถที่จดทะเบียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย หรือกำหนดมาตรการต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมสำหรับการดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาและสร้างบรรยากาศการเข้าสู่กระบวนการเจรจาปรองดอง รวมทั้งสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการดำเนินการต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างถูกต้องและทั่วถึง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15169 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางแพตริเซีย มงคลวนิช) | กค | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางแพตริเซีย มงคลวนิช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15170 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย) (นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์) | มท | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15171 | รัฐบาลนิวซีแลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายทาฮาโมอานา ไอเซอา คลูนี แมกเฟอร์ซัน (Mr. Tahamoana Aisea Cluny Macpherson)] | กต | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายทาฮาโมอานา ไอเซอา คลูนี แมกเฟอร์ซัน (Mr. Tahamoana Aisea Cluny Macpherson) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายเบนจามิน คิง (Mr. Benjamin King) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15172 | การแต่งตั้งสมาชิกฝ่ายไทยในศาลประจำอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงเฮก เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง (กระทรวงการต่างประเทศ) (นายวิทิต มันตาภรณ์) | กต | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายวิทิต มันตาภรณ์ เป็นสมาชิกฝ่ายไทยในศาลประจำอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงเฮก เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยมีวาระดำรงตำแหน่ง ๖ ปี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15173 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยว ACMECS ครั้งที่ 3 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ ๓ (The 3rd Meeting of ACMECS Tourism Ministers) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๖-๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ เมืองโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (รองศาสตราจารย์ ดร.ชวนี ทองโรจน์) เข้าร่วมการประชุม ซึ่งที่ประชุม ACMECS ครั้งที่ ๓ รับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสท่องเที่ยวยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ ๓ (The 3rd Meeting of ACMECS Senior Officials) และหารือแนวทางการดำเนินงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ACMECS เช่น (๑) การให้ความสำคัญกับกลไกกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง [Greater Mekong Subregion (GMS)] โดยการอำนวยความสะดวก การเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงภูมิภาคของกลุ่มประเทศ ACMECS ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ (๒) การส่งเสริมสนับสนุนผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สำคัญที่เชื่อมโยงในกลุ่มประเทศ ACMECS เช่น Southern Coastal Corridor (กัมพูชา-เมียนมา-ไทย-เวียดนาม) Northern Heritage Trail (ลาว-ไทย-เวียดนาม) และ (๓) ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เช่น การประชุม ACMECS ครั้งที่ ๔ และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส ACMECS ครั้งที่ ๔ เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุม ACMECS ครั้งที่ ๓ รับทราบการออกแบบตราสัญลักษณ์ของ ACMECS Tourism เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศ ACMECS รวมทั้งเห็นชอบให้สนับสนุนและส่งเสริมในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว “5 Countries 1 Destination” สนับสนุนการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศสมาชิก ACMECS และเห็นชอบในประเด็นที่ผู้แทนประเทศไทยเสนอเพิ่มเติมในการสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในกลุ่มประเทศสมาชิก ACMECS และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้มีการส่งเสริมการสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแก่นักท่องเที่ยวและการประเมินผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอนุภูมิภาค ACMECS ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15174 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทย (Trade in Services Performance and Potential Index : TSPPI) เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๓ ติดต่อกัน อยู่ที่ระดับ ๑๐๖.๕ สูงขึ้นร้อยละ ๔.๙ (YoY) โดยสาขาบริการสำคัญที่ขยายตัวสูงขึ้น ได้แก่ การขายส่งและขายปลีก การเงินและการประกันภัย การขนส่งและสถานที่จัดเก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร โดยปัจจัยที่ทำให้ภาคบริการขยายตัว มาจากการขยายตัวสูงของจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนเพิ่มทุน มูลค่าส่งออกบริการ และดัชนีราคาหุ้นภาคบริการในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของมูลค่าทุนจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มทุน จำนวนนิติบุคคลและมูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สุทธิ เงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ และความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SMEs ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขา มีสาขาภาคบริการที่ขยายตัว จำนวน ๘ สาขา โดยสาขาที่ขยายตัวเร่งขึ้น ได้แก่ การขายส่งและการขายปลีก การเงินและการประกันภัย การขนส่งและสถานที่จัดเก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และศิลปะ ส่วนสาขาที่ยังคงขยายตัวแต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์ และการศึกษา ขณะที่สาขาที่หดตัว ได้แก่ การก่อสร้าง ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร กิจกรรมด้านสุขภาพ กิจกรรมการบริหาร และกิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสเห็นการปรับรูปแบบการบริการที่ชัดเจนมากขึ้น เพื่อรองรับยุคดิจิทัล สำหรับสาขาบริการที่มีศักยภาพและแนวโน้มขยายตัวได้ดี ได้แก่ สาขาการขายส่งและขายปลีก สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาสุขภาพ และสาขาอสังหาริมทรัพย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15175 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 | ดศ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยการประชุมฯ ประกอบด้วย ๑.๑ เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ การแต่งตั้งประธานกรรมการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ในการใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐ และการขอขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ๑.๒ เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ การดำเนินงานของคณะกรรมการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และการดำเนินงานอื่น ๆ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการขยายโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) รวมทั้งให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเปิดให้ประชาชนในพื้นที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15176 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และแนวโน้มไตรมาสที่ 2 ปี 2561 | อก | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และแนวโน้มไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๔.๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม น้ำมันพืช และ Hard Disk Drive ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๓๙๕.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๔ (YoY) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๙๐๒.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๗.๖ (YoY) สำหรับสถานสภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ การประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) : มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ๒๗๘ โรงงาน ลดลงร้อยละ ๑๘.๒๔ และมียอดเงินลงทุนรวม ๑๓,๗๘๓ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๙.๙๑ ขณะที่การเลิกกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) : มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ ๙๖ ราย ลดลงร้อยละ ๓๐.๔๓ และมีเงินทุนของการเลิกกิจการมีมูลค่ารวม ๙๐๔ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๗๕.๔๔ ๒. คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทย ไตรมาสที่ ๒/๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวเป็นบวกในช่วงร้อยละ ๓.๕-๔.๐ (YoY) ขยายตัวมากกว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๒/๒๕๖๐ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๘ (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่คาดว่าจะขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แรงขับเคลื่อนในการลงทุนภาครัฐ และการดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15177 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร01 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๓๕,๓๗๓ ครั้ง รวมจำนวน ๑๙,๙๒๒ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย บ่อนการพนัน ไฟฟ้า และยาเสพติด ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๑๗,๓๖๖ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๑๗ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒,๕๕๖ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๘๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญแก่การแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผู้เกี่ยวข้องในประเด็นข้อสงสัยหรือข้อขัดข้องที่ทำให้ยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาใด ๆ ให้เสร็จสิ้นได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15178 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเยเมน | กต | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๐๒ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ที่ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเยเมน โดยมีสาระสำคัญเป็นการห้ามการเดินทางและการอายัดทรัพย์สิน ตลอดจนข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องออกไปจนถึงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๒. กรณีที่ UNSC ได้ออกข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษเกี่ยวกับสาธารณรัฐเยเมนเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเยเมน เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ถือปฏิบัติ และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเยเมน โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษ (ห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน) ให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations : UN) (http://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/2140) รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กรภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15179 | หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) | ปช | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑ เห็นชอบหลักการเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ประกอบด้วย ๕ หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรอุดมศึกษา หลักสูตรกลุ่มทหารและตำรวจ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและวิสาหกิจ และหลักสูตรโค้ช มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังและสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต โดยแต่ละหลักสูตรจะมีเนื้อหา ๔ ชุดวิชา ได้แก่ (๑) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม (๒) ความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต (๓) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ (๔) พลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำหลักสูตรดังกล่าวไปพิจารณาปรับใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่ต้องนำหลักสูตรดังกล่าวไปดำเนินการรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา เช่น หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานควรกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ของแต่ละช่วงวัยให้ชัดเจนและจัดทำแนวทางดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ส่วนวิธีการนำไปปฏิบัติให้สถานศึกษาเป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการในแนวทางใด รวมทั้งควรมีหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้กลุ่มสื่อสารมวลชนเข้ามามีส่วนร่วม และควรให้ความสำคัญกับการประเมินผลการเรียนรู้ทั้งก่อนและหลังการเรียนรู้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย โดยให้ประสานงานกับสำนักงาน ป.ป.ช. ในรายละเอียดเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ สำหรับภาระงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นซึ่งไม่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน สำหรับปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อพิจารณานำหลักสูตรดังกล่าวไปปรับใช้ในโครงการหรือหลักสูตรฝึกอบรมของข้าราชการ บุคลากรภาครัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจที่บรรจุใหม่ในความรับผิดชอบ รวมทั้งให้พิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายของหลักสูตรโค้ชให้ชัดเจน โดยให้ครอบคลุมถึงบุคลากรทางการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและหลักสูตรอุดมศึกษาด้วย เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาที่เข้ารับการอบรมหลักสูตรดังกล่าวสามารถนำความรู้ไปใช้ในการถ่ายทอดหรือประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการและรายงานผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น ตำราเรียน ครู อาจารย์ รายละเอียดหลักสูตร เพื่อนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) (หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและหลักสูตรอุดมศึกษา) ไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา ทั้งนี้ ในการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรดังกล่าวให้มุ่งเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของการกระทำทุจริตในลักษณะต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริต ความสำคัญของการต่อต้านการทุจริต รวมทั้งจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการจัดหลักสูตรในแต่ละช่วงวัยของผู้เรียนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15180 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 และแนวทางการบริหารจัดการสับปะรดโรงงานในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2561 | กษ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับสถานการณ์สับปะรด ปี ๒๕๖๑ และแนวทางการบริหารจัดการสับปะรดโรงงานในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๖๑ เช่น มาตรการนำสับปะรดส่วนเกินออกนอกระบบ มาตรการผลักดันการส่งออกและขยายตลาดต่างประเทศ และมาตรการรณรงค์การบริโภคสับปะรดผลสดเพิ่มขึ้น เป็นต้น รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ ต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมผลไม้ของสถาบันเกษตรกร เพื่อพิจารณาเงื่อนไขและวิธีการขอรับการสนับสนุนสินเชื่อจากโครงการดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการรวบรวมผลผลิตสับปะรดผ่านกลไกสถาบันเกษตรกร ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....