ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1893 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 37841 - 37860 จากข้อมูลทั้งหมด 124241 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
37841 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | กค | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอด คล้องกับนโยบายรัฐบาล และสามารถนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม และเกิดประสิทธิ ผลอย่างแท้จริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้เข้มงวดกับส่วนราชการในการจัดฝึกอบรมประชุมสัมมนา ให้ แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด รวมทั้งให้กระจายการจัดประชุมและฝึกอบรมไปยังต่างจังหวัดเพื่อเป็นการกระตุ้น เศรษฐกิจในพื้นที่ให้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
37842 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง นโยบายการแก้ไขวิกฤตช้างไทย | สสป | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง นโยบายการแก้ไขวิกฤตช้างไทย และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอ แนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ให้มีการขึ้นทะเบียนช้างบ้าน ระบุที่อยู่ของช้างให้ชัดเจน และปรับปรุงตั๋วรูปพรรณให้ทันสมัยและ ชัดเจน ฝังชิพคอมพิวเตอร์ มีรายละเอียดลักษณะของข้าง ประวัติของช้าง พร้อมทั้งจัดทำคู่มือประจำตัวช้าง โดย ให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี 2. ให้มีมาตรการป้องกันการนำช้างจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาขึ้นทะเบียนเพื่อสวมทะเบียนใหม่ 3. ให้มีการทำสูติบัตร (ใบเกิด) ช้างตั้งแต่เกิด มีการตรวจรหัสพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ไว้เป็นหลักฐาน ยืนยันถึงพ่อแม่ของลูกช้าง 4. ให้ชะลอการส่งช้างไทยไปต่างประเทศไว้ก่อน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี จนกว่าจะได้จัดทำ ทะเบียน ตั๋วรูปพรรณ และคู่มือประวัติช้างที่ได้ปรับปรุงขึ้นใหม่เสร็จสิ้นแล้ว 5. มีการติดตามตรวจสอบช้างไทยที่อยู่ต่างประเทศ โดยขอความร่วมมือจากประเทศที่มีช้างอยู่ หาก ไม่มีการดูแลช้างอย่างเหมาะสม ควรดำเนินการนำช้างกลับประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งช้างที่มีอายุมาก 6. การส่งช้างไทยไปต่างประเทศควรเป็นไปเพื่อความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ และต้องกระทำ โดยรัฐบาลต่อรัฐบาลโดยตรง 7. ให้มีการจัดระเบียบปางช้างให้เหมาะสม ได้มาตรฐาน และให้มีองค์กรเพื่อกำกับดูแลปางช้าง 8. ให้จัดหาพื้นที่ปล่อยช้างประจำหมู่บ้านให้ช้างได้พักผ่อนยามว่างจากการทำงาน 9. ยุติโครงการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของช้างป่ า รวมทั้งเร่งดำเนินการให้มีแนว ป่าเชื่อมต่อ (Corridor) ในพื้นที่ป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของช้างที่มีการดำเนินโครงการ จนทำให้ผืนป่าขนาดใหญ่ ถูกแบ่งแยกออกจากกัน ทั้งนี้ เพื่อให้ช้างป่าและสัตว์ป่าอื่น ๆ เดินทางไปมาได้ 10. ทบทวนโครงการปล่อยช้างบ้านคืนสู่ป่า และให้ทำการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นใน อนาคตระหว่างช้างบ้านกับช้างป่าให้ชัดเจนก่อนดำเนินโครงการ 11. ให้มีพระราชบัญญัติช้าง เพื่อกำหนดให้ช้างเป็นเอกลักษณ์ของชาติ และมีคณะกรรมการช้างแห่ง ชาติ รวมทั้งให้มีการรับรองสิทธิการสืบทอดองค์ความรู้ และให้มีกองทุนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเรื่องช้างด้าน ต่าง ๆ และให้มีมาตรการลงโทษผู้กระทำทารุณกรรมช้าง เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
37843 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหาการรุกป่า" | สสป | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหา การบุกรุกป่า" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อ เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. มาตรการเร่งด่วน 1.1 กำหนดให้ปัญหาทรัพยากรป่าไม้เป็นวาระแห่งชาติ และเป็นประเด็นสาธารณะที่จะต้องนำไปสู่ การมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการปรับปรุงวิธีการและกระบวนการในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติ โดยนำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม นโยบายที่ดิน นโยบายปฏิรูป ระบบราชการมาพิจารณาในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติใหม่ 1.2 นำยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมเป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศ ตามแนวทาง "การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ในการอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสันติ และเกื้อกูล ด้วยการส่งเสริมสิทธิชุมชนและกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการสงวน อนุรักษ์ฟื้นฟู พัฒนา ใช้ ประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น" ซึ่งกำหนดไว้ใน แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินป่าไม้ และดำเนินการ ทันทีในพื้นที่ที่มีการขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับชุมชน 1.3 บูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ทั้งหมด ร่วมกับชุมชนในการ แก้ไขปัญหาและป้องกันการบุกรุกป่า และการรักษาพื้นที่ป่าไม้ที่เหลืออยู่ทั้งประเทศ โดยการทบทวนมาตรการ และแนวทางการป้องกันรักษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 1.4 ดำเนินการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินในเขตป่าทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งใน ระหว่างการตรวจสอบจะต้องมีมาตรการยับยั้งไม่ให้ผู้อ้างสิทธิกระทำการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า และให้เพิก ถอนสิทธิทันทีหากพบว่าที่ดินนั้นได้มาโดยมิชอบ รวมทั้งดำเนินการลงโทษตามกฎหมาย 1.5 แก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราช บัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติ สวนป่า พ.ศ. 2535 ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เพื่อทำให้เกิดการ บูรณาการระหว่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ 2 มาตรการระยะกลางและระยะยาว 2.1 จัดตั้งหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่ในการจัดระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับพื้นที่ป่าไม้แผนที่ ภาพถ่าย ดาวเทียมที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ป่าไม้ และทำหน้าที่ประสานกับคณะกรรมการด้านทรัพยากรทุกชุด และเข้าร่วมกับ ชุมชนในการทำวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัด การป่าไม้ของประเทศ 2.2 สำรวจและจัดทำข้อมูลพื้นที่ป่าไม้ที่มีอยู่จริงให้ถูกต้องตามความเป็นจริง รวมทั้งวางแผนการใช้ ที่ดินทั้งประเทศ และแบ่งเขตการใช้ (Zoning) ที่ชัดเจน 2.3 กำหนดแนวทางและวางมาตรการในการดำเนินงาน เพื่อให้องค์กรและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยว ข้องกับการนำนโยบายป่าไม้แห่งชาติไปปฏิบัติโดยยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีตามพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
|
|||||||||||||||||||||||||||
37844 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานชีวภาพ" | สสป | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาเศรษฐ กิจบนฐานชีวภาพ" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอ แนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหน่วยงานหลักประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดกระบวนการแปลงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 10 ด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อให้เกิดการปฏิบัติ 4 ด้าน ได้แก่ 1.1 ด้านการสนับสนุน ส่งเสริมให้ความรู้แก่ชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์ พัฒนา และใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ครอบคลุมทุกภูมินิเวศของประเทศ 1.2 ด้านการสนับสนุนให้มีกองทุนการวิจัยและสนับสนุนให้มีนักวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานและนักวิจัย เทคโนโลยีชีวภาพ นักวิทยาศาสตร์ระดับท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาและวิจัยสำหรับการพัฒนาผลิต ภัณฑ์ด้านเกษตรกรรมอาหาร ยา และพลังงาน 1.3 ด้านการสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจขนาดย่อม รวมทั้งบริษัทในต่างประเทศสามารถ พัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตนเอง 1.4 ด้านการติดตามสถานการณ์การอนุรักษ์พัฒนา รวมทั้งใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีว ภาพของโลก 2. จัดทำโครงการนำร่องสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานชีวภาพ โดยมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ 2.1 การฟื้นฟูความหลากหลายของพันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน รวมถึงพันธุกรรมท้องถิ่นอื่น ๆ โดยเครือ ข่ายองค์กรชุมชนท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ 2.2 การส่งเสริมระบบการเกษตรที่อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่ง ยืน เช่น เกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ฯลฯ 2.3 การสร้างกระบวนการเรียนรู้แก่เกษตรกรในรูปแบบ "โรงเรียนชาวนา" "โรงเรียนการแพทย์พื้น บ้าน" และ "โรงเรียนป่าชุมชน" ฯลฯ เพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมเหล่านั้นให้สามารถดำเนินการได้อย่างเข้ม แข็งยิ่งขึ้นในฐานะศูนย์การเรียนรู้หรือเพื่อขยายผลกิจกรรมเหล่านั้นไปสู่พื้นที่อื่น ๆ 2.4 พัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย รวมทั้งการรักษาสุขภาพแบบแผนไทย โดยเรียนรู้จากประสบ การณ์ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นต้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เริ่มต้นจากท้องถิ่น 2.5 การพัฒนาจัดทำระบบเครือข่ายฐานข้อมูลแห่งชาติในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิ ปัญญาท้องถิ่น โดยรับนักศึกษาที่จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ หรือจากสาขาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่สามารถหางาน ได้เข้าร่วมโครงการจัดทำระบบข้อมูล โดยให้ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา อปท. และองค์กรสาธารณประโยชน์ ในระดับท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
37845 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน ในท้องที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดเลย รวม 4 ฉบับ | กษ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน 4 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชร บูรณ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชร บูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลป่าหวายนั่ง ตำบลโคกงาม ตำบลบ้านฝาง และตำบลหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนด เขตที่ดินในท้องที่ตำบลป่าหวายนั่ง ตำบลโคกงาม ตำบลบ้านฝาง และตำบลหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัด ขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน 3. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองบก อำเภอเหล่าเสือโก้ก และตำบลท่า เมือง ตำบลเหล่าแดง ตำบลคำไฮใหญ่ อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มี สาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลหนองบก อำเภอเหล่าเสือโก้ก และตำบลท่าเมือง ตำบลเหล่าแดง ตำบลคำไฮใหญ่ อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน 4. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลปากตม ตำบลเชียงคาน และตำบลหาดทราย ขาว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบล ปากตม ตำบลเชียงคาน และตำบลหาดทรายขาว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
37846 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองหัวเขียว และป่าคลองเกาะสุย ป่าเกาะช้าง ป่าคลองหินกอง และป่าคลองม่วงกลวง และเกาะใกล้เคียง ในท้องที่ตำบลปากน้ำ ตำบลหงาว ตำบลเกาะพยาม และตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะพยาม) | ทส | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองหัวเขียว และป่าคลองเกาะสุย
ป่าเกาะช้าง ป่าคลองหินกอง และป่าคลองม่วงกลวง และเกาะใกล้เคียง ในท้องที่ตำบลปากน้ำ ตำบลหงาว ตำบล เกาะพยาม และตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองหัวเขียว และป่าคลองเกาะสุย ป่าเกาะช้าง ป่าคลองหินกอง และป่าคลองม่วงกลวง และ เกาะใกล้เคียง ในท้องที่ตำบลปากน้ำ ตำบลหงาว ตำบลเกาะพยาม และตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง จังหวัด ระนอง ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะพยาม) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
37847 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานภูเก็ต เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | กษ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ เป็นทางน้ำชลประทาน ที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ ในท้องที่ตำบลศรีสุนทร ขึ้นไปตามลำน้ำคลองบางเหนียวดำ ในท้องที่ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียก เก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ จากศูนย์กลาง เขื่อนดินอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ ในท้องที่ตำบลฉลองตรงขึ้นไปตามลำน้ำคลองกะทะ ในท้องที่ตำบลฉลอง อำเภอ เมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
37848 | ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัท
ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายระยะเวลาการลดอัตราค่าธรรมเนียม การจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้าง หุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจลงกึ่งหนึ่ง ต่อไปอีก 3 ปี คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2555 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
37849 | ขออนุมัติบริจาคเงินสนับสนุนกองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม สำหรับการระดมทุน ครั้งที่ 8 | กษ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้ประเทศไทยบริจาคเงินให้แก่กอง
ทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมสำหรับการระดมทุน ครั้งที่ 8 เป็นจำนวนเงิน 300,000 ดอลลาร์ สหรัฐ โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2553 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||
37850 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางวราภรณ์ แสงทวีสิน) | สธ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางวราภรณ์ แสงทวีสิน ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ 10 วช. ด้านเวช
กรรม สาขากุมารเวชกรรม กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2551 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37851 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบสหกรณ์ไทย | สสป | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การพัฒนาระบบสหกรณ์ไทย และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอดังกล่าวร่วมกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ภาพรวมของระบบขบวนการความร่วมมือของประชาชนตามหลักสหกรณ์ 1.1 กำหนดความหมายของสหกรณ์ให้กว้างขวางขึ้น จากเดิมที่กำหนดในพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสะท้อนถึงหลักการที่สำคัญของสหกรณ์ และควรส่งเสริมให้สหกรณ์ที่เกิด ขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ ได้ดำเนินการตามหลักการสหกรณ์ 7 ประการ ที่กำหนดโดยสัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่าง ประเทศ (ICA) 1.2 ดำเนินการส่งเสริม สนับสนุน และคุ้มครองระบบสหกรณ์ให้เป็นอิสระตามที่บัญญัติไว้มาตรา ที่ 84 (9) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โดยความเป็นอิสระดังกล่าว ให้หมายถึง ความสามารถที่จะคิดที่จะจัดการด้วยตนเองโดยไม่ถูกครอบงำ กำกับ กดดันหรือชักจูงจนขัดต่อหลักการสหกรณ์ 1.3 ปลูกฝังอุดมการณ์สหกรณ์ให้กับประชาชนทั่วไป โดยจัดให้มีหลักสูตรสหกรณ์ในสถานศึกษา ทุกระดับ ส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์และกลุ่มในสถานศึกษาเพื่อการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง รวมทั้งส่งเสริม การจัดตั้งสหกรณ์และกลุ่มในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาคราชการ และภาคเอกชน เป็นต้น 2. การส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครองระบบสหกรณ์ให้เป็นอิสระและมีประสิทธิภาพและนโยบายของรัฐ 2.1 ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) เป็นดังนี้ ราช การ : สหกรณ์ และกลุ่ม : ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็น 2 : 2 : 1 และในระยะต่อไปควรปรับเพิ่มสัดส่วนของกรรมการจาก สหกรณ์และกลุ่ม และลดสัดส่วนของกรรมการจากราชการลง และให้ คพช. ดำเนินการในเรื่องนโยบาย และการ ขับเคลื่อนแผนพัฒนาสหกรณ์สู่การปฏิบัติเป็นหลัก รวมทั้งปรับปรุงวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาการสหกรณ์ (กพส.) ให้กว้างขวางขึ้น เพื่อเป็นทุนในการส่งเสริมและพัฒนากิจการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสหกรณ์ทั้ง ระบบ 2.2 ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนสหกรณ์และกลุ่มให้มีความเชื่อมโยงกับ คพช. มากยิ่ง ขึ้น โดยอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนสหกรณ์และกลุ่ม ควรกำหนดให้มีเฉพาะในเรื่องการจดทะเบียน และการ กำกับดูแลสหกรณ์และกลุ่ม 2.3 กำหนดนโยบายด้านสหกรณ์ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับมาตรา 84 (9) ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และกำหนดนโยบายสนับสนุนและผลักดันการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทั้ง 5 ของแผนพัฒนาสหกรณ์ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2550-2554) ไปสู่การปฏิบัติ และสร้างความเข้าใจในแผนดังกล่าว ให้ตรงกันในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นองค์กรพื้นฐานที่ใช้เป็นกลไกใน การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ 3. โครงสร้างและการดำเนินงานของสหกรณ์และกลุ่ม 3.1 ประเภทของสหกรณ์และกลุ่ม ควรปรับปรุงใหม่ให้มี 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ภาคการผลิต ภาคการตลาดและบริการ ภาคการเงิน และภาคชุมชน 3.2 การจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีของสหกรณ์และกลุ่ม เข้า กพส. เพื่อเป็นทุนในการส่งเสริมและ พัฒนากิจการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสหกรณ์ทั้งระบบให้เป็นไปตามอัตราที่ คพช. กำหนด แต่ไม่เกินร้อย ละ 5 ของกำไรสุทธิ และยกเลิกค่าบำรุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย โดยให้สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศ ไทยได้รับเงินสนับสนุนจาก กพส. ตามงบประมาณประจำปีที่จัดทำเสนอแทน
|
|||||||||||||||||||||||||||
37852 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาอันเกิดจากภาวะโลกร้อน | สสป | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาอันเกิดจากภาวะโลกร้อน และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการ ดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดัง นี้ 1. แนวทางและกลไกการบริหารจัดการ 1.1 จัดตั้งองค์กรด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อทำหน้าที่ในการติดตาม ศึกษา วิจัย การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ศึกษาผลกระทบ หามาตรการเฝ้าระวังการป้องกันและแก้ไขปัญหา 1.2 ปรับแนวนโยบายการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องและเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพ ภูมิอากาศและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้และปรับทัศนคติในการดำรงชีวิต ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ 1.3 เพิ่มช่องทางและวิธีการในการแลกเปลี่ยน และสร้างองค์ความรู้เรื่องภาวะโลกร้อนของประชา ชนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น 1.4 ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันการศึกษากำหนดหลักสูตรการศึกษาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในระดับลึกถึงการนำมา ประยุกต์ใช้ในการปรับตัวได้อย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งผลักดันให้สถาบันการศึกษามีส่วนร่วม ในการคิดและช่วยคลี่คลายปัญหา 2. ด้านโรคระบาด 2.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้การแพทย์และสาธารณสุขของประเทศปรับมาตรฐานการให้บริการ โดยเพิ่มการศึกษาและวิจัยด้านภาวะโลกร้อนในประเด็นสาเหตุการทำให้เกิดโรคระบาดชนิดใหม่ ๆ และแนวโน้ม ความรุนแรงของโรค เป็นต้น 2.2 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษาและวิจัยเรื่องโรคระบาดที่อาจเกิดจากสภาวะการเปลี่ยน แปลงภูมิอากาศของโลก 2.3 ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างการแพทย์ของภาครัฐกับภาคเอกชนในการ เตรียมความพร้อม การติดตาม เฝ้าระวังและรักษาผู้ป่วยจากโรคระบาดที่เกิดจากภาวะโลกร้อน 3. ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 3.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษา วิจัย และประเมินผลเกี่ยวกับอิทธิพลของภาวะโลกร้อน ที่มีผลต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง วัฏจักรของสิ่งมีชีวิตในทะเล 3.2 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษาเพื่อฟื้นฟูชายทะเล หรือชายหาดให้สอดคล้องและเหมาะ สมกับสภาพธรรมชาติของแต่ละพื้นที่ 4. ด้านภัยธรรมชาติ น้ำท่วม แผ่นดินถล่ม ภัยแล้ง และพายุโซนร้อน 4.1 ให้มีการเตรียมการป้องกันภัยจากพายุโซนร้อนโดยมีการฝึกอบรมประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้ มีความรู้ด้านพายุโซนร้อน การเฝ้าติดตามและสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ การหลบภัย การเตรียมพื้นที่รอง รับผู้อพยพ เป็นต้น 5. ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางด้านอาหาร 5.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษาเพื่อวางแผนการทำการเกษตรที่เหมาะสมกับฤดูกาลและ สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป 5.2 ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรเก็บรักษา อนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นเมือง ซึ่งมีความหลากหลาย และเลือกปลูกชนิดพันธุ์ที่ทนกับสภาพการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ 5.3 ให้มีมาตรการการรักษาพื้นที่เกษตรกรรมเอาไว้โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37853 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารราชการต่างประเทศ พ.ศ. .... | นร | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารราชการต่างประเทศ พ.ศ. .... ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว มีสาระสำคัญคือ 1.1 ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติราชการของข้าราชการประจำการใน ต่างประเทศ พ.ศ. 2540 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติราชการของข้าราชการประจำ การในต่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 1.2 กำหนดกรณีการจัดตั้งหรือรวมหรือยุบเลิกหน่วยงานในต่างประเทศ 1.3 กำหนดตำแหน่งและการแต่งตั้งข้าราชการประจำการในต่างประเทศ 1.4 กำหนดลำดับอาวุโส และการบริหารราชการในต่างประเทศ 2. ให้แก้ไขเพิ่มเติมความในข้อ 6 วรรคสอง ของร่างระเบียบฯ จากเดิม "การสั่งยุบเลิกหน่วยงานใน ต่างประเทศ ให้ส่วนราชการเจ้าสังกัดแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการทราบ" เป็น "การ สั่งยุบเลิกหน่วยงานในต่างประเทศ ให้ส่วนราชการเจ้าสังกัดแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราช การและกระทรวงการต่างประเทศทราบ" แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
37854 | การแต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) (หม่อมหลวงจิรพันธุ์ ทวีวงศ์) | กร | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งหม่อมหลวงจิรพันธุ์ ทวีวงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรม
การพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงาน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่สำนัก งานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37855 | ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 | ยธ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยว
กับกฎหมายว่าด้วยการกำหนดขั้นตอนและวิธีการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 190 ของรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สรุปได้ดังนี้ 1. ควรมีการกำหนดคำนิยามความหมายของ "หนังสือสัญญา" เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า กรณีใดจัด เป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศตามมาตรา 190 และควรนิยามความหมายของ "หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบ ต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรือ งบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ" ไว้ให้ชัดเจน เพื่อลดปัญหาการตีความมาตรา 190 วรรคสอง 2. การจัดทำกรอบการเจรจาเพื่อทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ควรมาจากผลการศึกษาวิจัยผล กระทบจากการทำหนังสือสัญญา และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย และให้รัฐสภาสามารถ ทราบถึงวัตถุประสงค์และผลที่คาดว่าจะได้รับจากการทำหนังสือสัญญา โดยกรอบการเจรจาควรประกอบไปด้วย เนื้อหาส่วนที่ว่าด้วยวัตถุประสงค์ของการทำหนังสือสัญญา และระบุสาระสำคัญของหนังสือสัญญาว่าจะเจรจาใน เรื่องใด ประเด็นใด ภายในกรอบระยะเวลาใด 3. ในกรณีที่เนื้อหาหนังสือสัญญาไม่มีความซับซ้อนละเอียดอ่อนมาก หน่วยงานผู้รับผิดชอบสามารถ ทราบถึงผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาได้ในการศึกษาวิจัยเพียง 1-2 ครั้ง แต่หากเป็นกรณีที่เนื้อหาของ หน้งสือสัญญามีความซับซ้อนมาก ครอบคลุมภาคเศรษฐกิจจำนวนมาก หน่วยงานผู้รับผิดชอบจำเป็นต้องทำการ ศึกษาวิจัยอย่างน้อยใน 3 ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ได้แก่ การศึกษาวิจัยในขั้นตอนก่อนการเสนอขอความเห็นชอบ กรอบการเจรจาจากรัฐสภา ขั้นตอนการศึกษาวิจัยภายหลังเมื่อการเจรจาสิ้นสุดลง และได้ร่างหนังสือสัญญาที่มี ความถูกต้องแท้จริงแล้ว ก่อนการให้สัตยาบันเพื่อให้มีความผูกพันตามหนังสือสัญญานั้น และขั้นตอนการศึกษา วิจัยภายหลังจากหนังสือสัญญามีผลบังคับใช้แล้วระยะหนึ่ง เพื่อประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น 4. จัดให้มี "หน่วยงานกลาง" ทำหน้าที่บริหารจัดการการศึกษาวิจัยขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อคัดเลือกผู้ที่มี ความเหมาะสมทำการศึกษาวิจัยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ควบคุมดูแลผู้ศึกษาวิจัยให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว 5. ในการศึกษาวิจัยเพื่อประกอบการจัดทำหนังสือสัญญาควรมีการศึกษาวิจัยถึงวัตถุประสงค์ของการ ทำหนังสือสัญญา ผลกระทบด้านดีและด้านเสีย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และผลกระทบต่อกฎหมายภายใน รวมทั้งแนวทางป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบ 6. ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลและจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ตลอดจน สังเคราะห์ความเห็นของประชาชนมาจัดทำเป็นเอกสารรายงานเสนอต่อฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ และควร มีการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนใน 2 ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ได้แก่ ในขั้นตอนก่อนการเสนอกรอบการ เจรจาและระหว่างการเจรจาทำหนังสือสัญญา และในขั้นตอนเมื่อการเจรจาสิ้นสุดลง และได้มีการลงนามรับรอง ความถูกต้องในร่างหนังสือสัญญาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
37856 | ขออนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอยกเว้นอากรนำเข้าสำหรับเครื่องมือ/อุปกรณ์ ที่จะใช้ในศูนย์ฝึกอบรมของกรมวิชาการเกษตรตามโครงการลดและเลิกใช้สารเมทิลโบรไมด์ในประเทศไทย | กษ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2551 (เรื่อง ขอยกเว้นอาการ
นำเข้าสำหรับเครื่องมือ/อุปกรณ์ ที่จะใช้ในศูนย์ฝึกอบรมของกรมวิชาการเกษตร ตามโครงการลดและเลิกใช้สาร เมทิลโบรไมด์ในประเทศไทย) โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการจัดซื้อเครื่องมือ/อุปกรณ์ โดยใช้ข้อ กำหนดของสัญญาความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแทน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
37857 | ขออนุมัติงบประมาณเพื่อสนับสนุนข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขไปปฏิบัติงาน ณ UNAIDS (ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 - 2554) | สธ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณการดำเนินงานของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS)
เพิ่มเติม จากเดิม 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น 150,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี (ปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2554) เพื่อเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของนางศิริพร กัญชนะ รองปลัดกระทรวง สาธารณสุข ณ UNAIDS กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ในช่วงเวลาดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยใช้ จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
37858 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราช
การสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรงการต่างประเทศ พ.ศ. 2550 เพื่อจัด ตั้งคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียนเป็นส่วนราชการเพิ่มเติม รวมทั้งเปลี่ยนชื่อคณะทูตถาวรประจำองค์การสห ประชาชาติเป็นคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37859 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์เตรียมตัวประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2552 - 2562)" | สสป | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์เตรียมตัวประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมใน ระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2552-2562)" และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วม กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การดำเนินการเพื่อความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน ควรมีกลยุทธ์การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ กลยุทธ์เกษตรเพื่อพลิกฟื้นระบบนิเวศน์ในภูมิภาคต่าง ๆ กลยุทธ์การเพิ่มผลผลิต ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม กลยุทธการให้เกษตรกรมีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง และกลยุทธ์ การตลาดเกษตรที่มีประสิทธิผลผ่านองค์การเข้มแข็ง เป็นต้น 2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การเป็นศูนย์การท่องเที่ยวของภูมิภาคเพื่อคนทุกวัย ควรมีกลยุทธ์กรุงเทพมหา นครเมืองแห่งการท่องเที่ยว กลยุทธ์พัฒนากลุ่มจังหวัดให้เป็นศูนย์การท่องเที่ยวของภาคและภูมิภาค กลยุทธ์การ พัฒนาชานเมืองเป็นบ้านใหม่เพื่อความสงบสุขสบายของวัยเกษียณ กลยุทธ์ศูนย์กลางสุขภาพ กลยุทธ์ชายทะเล แห่งเอเชีย กลยุทธ์ฟื้นฟูอัตลักษณ์ท้องถิ่น และกลยุทธ์สร้างความมั่นใจต่อชีวิตและความปลอดภัยของนักท่อง เที่ยว เป็นต้น 3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ควรมีกลยุทธ์การศึกษาครั้งเดียวได้ความรู้ความชำ นาญพร้อมกัน กลยุทธ์การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมในระบบการศึกษาให้สังคมและชุมชนเข้มแข็ง กลยุทธ์ การฝึกอบรมในหน่วยงานภาคราชการและเอกชน และกลยุทธ์กำจัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและ ส่งเสริมนักวิชาการ เป็นต้น 4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 : การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควรมีกลยุทธ์การจัดสรรงบ ประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนา กลยุทธ์มันสมองไหลเข้า กลยุทธ์การถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านการลงทุนจากต่าง ประเทศ กลยุทธ์การเชื่อมต่อระหว่างสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรม และกลยุทธ์การ สร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคง 5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การค้าและการลงทุน ควรมีกลยุทธ์ด้านการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ต่อการค้า และการลงทุน กลยุทธ์เป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการเงินในหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ กลยุทธ์ การลงทุนเชิงรุกในต่างประเทศ และกลยุทธ์การให้ทุนการศึกษาแก่ประเทศเพื่อนบ้าน 6. ยุทธศาสตร์ที่ 6 : การสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ควรมีกลยุทธ์การดูแลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และบูรณาการเชิงรุก 7. ยุทธศาสตร์ที่ 7 : การสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาล และสมานฉันท์ ควรมีกลยุทธ์การแก้ไขและป้อง กันการทุจริตคอร์รัปชั่น กลยุทธ์การพัฒนาองค์ความรู้คู่คุณธรรม และกลยุทธ์การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ 8. ยุทธศาสตร์ที่ 8 : การบริหารประเทศและการบริหารการจัดการงบประมาณแบบใหม่ ควรมีกล ยุทธ์การใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารประเทศ กลยุทธ์การบริหารเชิงบูรณาการและเบ็ดเสร็จ กล ยุทธ์การบริหารจัดการด้านงบประมาณแบบใหม่ให้ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ และกลยุทธ์การบังคับใช้กฎ หมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
37860 | การเสนอรายชื่อผู้สมควรแต่งตั้งให้เป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ | ยธ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ครั้งที่ 5 (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2552 ที่เห็นชอบให้ถอนเรื่อง การเสนอรายชื่อผู้สมควร แต่งตั้งให้เป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีร้องขอ
|
.....