คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
              1. อนุมัติในหลักการ "ร่างนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ (พ.ศ. 2551-2554)" ประกอบด้วย 
5 ยุทธศาสตร์การวิจัย มีกลยุทธ์การวิจัย 27 กลยุทธ์  และมีแผนงานวิจัย 115 แผนงาน  โดยยุทธศาสตร์การวิจัยมี
ดังนี้ ยุทธศาสตร์การวิจัยที่ 1 : การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ  ยุทธศาสตร์การ
วิจัยที่ 2 : การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางสังคม  ยุทธศาสตร์การวิจัยที่  3 : การสร้างศักย
ภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางวิทยาการและทรัพยากรบุคคล  ยุทธศาสตร์การวิจัยที่ 4 : การเสริมสร้าง
และพัฒนาทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  และยุทธศาสตร์การวิจัยที่ 5 : การบริหารจัดการความรู้ ผลงาน
วิจัย นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ทรัพยากร  และภูมิปัญญาของประเทศ  สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และสาธารณะด้วย
ยุทธวิธีที่เหมาะสม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ
              2. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมประเด็นสำคัญในยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์การวิจัยที่  1  ควรสนับสนุนการ
ปรับโครงสร้างภาคการผลิต และการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่บนพื้นฐานความรู้ และความคิดสร้างสรรค์  วัฒนธรรม
และอัตลักษณ์ของประเทศ ยุทธศาสตร์การวิจัยที่ 2 ควรเพิ่มเติมแผนงานวิจัยเพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบกฎหมาย
ให้เอื้อต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการ  และยุทธศาสตร์การวิจัยที่  3  ควร
มีแผนงานวิจัยเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์จากการวิจัยที่เหมาะสม และบทบาทของสถาบันการศึกษาในการพัฒนา
และผลิตบุคลากรตามความต้องการของพื้นที่และภาคเอกชน รวมทั้งความเห็นของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มแผนกลยุทธ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (พ.ศ. 2547-2556) เป็น
กรอบในการจัดทำร่างนโยบายและยุทธศาสตร์ ฯ จะเสริมให้การกำหนดทิศทางการวิจัยและเป้าหมายในการดำเนิน
งานเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น ไปปรับปรุงแก้ไขร่างนโยบาย ฯ  แล้วแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนว
ทางการดำเนินการวิจัยและใช้เป็นกรอบทิศทางการจัดทำและประเมินข้อเสนอการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐที่เสนอ
ของบประมาณประจำปี พ.ศ. 2554 อีกครั้งหนึ่ง 

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2544 (เรื่อง การพิจารณาการ
โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุให้แก่สหกรณ์นิคมบ้านสร้างพัฒนา  จำกัด) ข้อ  1  เป็นดังนี้  "1. เห็นชอบตามมติคณะ
กรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ....... ฯลฯ .......  ทั้งนี้  ในการดำเนินการโอน
กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว  ให้กระทรวงการคลังระบุเป็นเงื่อนไขบังคับหลังไว้ด้วยว่า  ให้สหกรณ์นิคม ฯ  นำที่ดินไปจัด
สรรให้แก่สมาชิก  เพื่อใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพอย่างแท้จริง  จะนำไปจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่บุคคลอื่นมิได้
เว้นแต่เป็นการโอนให้แก่ทายาท หรือผู้มีสิทธิรับมรดกของสมาชิกเท่านั้น  และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  โดย
กรมส่งเสริมสหกรณ์ ไปกำหนดมาตรการเพื่อกำกับดูแลการจัดสรรที่ดินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการต่อ
ไป" ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ

               คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
               1. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551  (เรื่อง ความก้าวหน้าการดำเนิน
การตามมติคณะรัฐมนตรีในการตรวจสอบทรัพย์สินและชำระบัญชีของสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน
(องค์การมหาชน) (สปท.) และการกำกับ ติดตาม ดูแลภารกิจที่ถ่ายโอนตามนโยบายโครงการแปลงสินทรัพย์เป็น
ทุน)  ในส่วนของโครงการบ้านดินสิ่งมหัศจรรย์ โดยขยายเวลาการดำเนินโครงการ ฯ จากเดิมสิ้นสุดในเดือนกันยา
ยน 2551  ออกไปสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2553  และมอบอำนาจในการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ ฯ
ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิพิจารณาดำเนินโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ  โดยให้
กระทรวงมหาดไทย  (จังหวัดชัยภูมิ)  รับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง
ชาติที่เห็นควรแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินในโครงการบ้านดินสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดความชัดเจนและ
ต้องสามารถพัฒนาบ้านดินให้เป็นที่พักของนักท่องเที่ยวได้ ภายในวงเงินงบประมาณที่เหลือ 11.80 ล้านบาท โดย
ไม่ขอเงินงบประมาณเพิ่มอีก
               2. ให้กระทรวงมหาดไทย  (จังหวัดชัยภูมิ)  รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรม
การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ ฯ และกิจกรรมในระยะที่ 2 ต้องสนองตอบ
ต่อวัตถุประสงค์เดิมในการพัฒนาพื้นที่โครงการ ฯ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและสร้างอาชีพ  สร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่
ชุมชน พร้อมทั้งมีการรายงานผลการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ ฯ  และเมื่อ
สิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินโครงการ  ฯ  หากมีเงินเหลือจ่ายให้นำเงินเหลือจ่ายพร้อมดอกผลส่งคืนคลังเป็นรายได้
แผ่นดินต่อไป อย่างไรก็ตาม หากจังหวัดชัยภูมิจะพัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มในโครงการ ฯ ที่ดำเนินการแล้ว
เสร็จในระยะแรก  ก็ควรให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีความพร้อม  มีความ
ร่วมมืออย่างเป็นเอกภาพ และมีขีดความสามารถในการบริหารจัดการโครงการ ฯ อย่างยั่งยืน  ไปพิจารณาดำเนิน
การด้วย

คณะรัฐมนตรีมีติดังนี้
                 1. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
                     1.1 เห็นชอบวิธีการปฏิบัติการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์การใช้ที่ดิน ให้ใช้เอก
สารดังกล่าวเป็นหลักฐานการขึ้นทะเบียนการปลูกพืช  และให้ใช้วิธีการทำประชาคมเพื่อรับรองชนิดและพื้นที่การ
ปลูกพืชของเกษตรกรแต่ละครัวเรือน  สำหรับพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน หรือประธานกรรม
การชุมชนเป็นผู้รับรองการปลูกพืช  และให้ใช้วิธีการทำประชาคมเพื่อรับรองชนิดและพื้นที่การปลูกพืชของเกษตร
กรแต่ละครัวเรือน โดยเกษตรกรที่ผ่านการทำประชาคมต้องไม่อ้างกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองพื้นที่นั้น
                     1.2 เห็นชอบให้ใช้ผลผลิตต่อไร่ระดับจังหวัดของข้าวเปลือกนาปีจำแนกตามพันธุ์ในพื้นที่ในเขตชล
ประทานและนอกเขตชลประทาน ปีเพาะปลูก 2552/53  เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณ
ผลผลิตของเกษตรกรแต่ละรายแต่ละจังหวัดเพื่อกำหนดปริมาณผลผลิตที่เข้าร่วมโครงการประกันราคาข้าวเปลือก
นาปี ปีการผลิต 2552/53
                  2. เห็นชอบให้ปรับถ้อยคำในหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด่วนที่สุด ที่ กษ 1305/7358 ลง
วันที่ 22 กันยายน 2552 หน้าที่ 2 ข้อ 2.1 จากเดิม "...สำหรับพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ..." เป็น "...สำหรับพื้นที่ที่
นอกเหนือจากพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ ..." ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม  ทั้งนี้ ใน
กรณีที่บางจังหวัดยังไม่ได้กำหนดจำนวนผลผลิตต่อไร่ระดับจังหวัดของข้าวเปลือกนาปีไว้   ให้ใช้จำนวนผลผลิตต่อ
ไร่ระดับภาคมาเป็นเกณฑ์คำนวณผลผลิตของเกษตรกรแทนโดยอนุโลม

คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
              1. เห็นชอบท่าทีและกรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการเจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ
อากาศ เพื่อนำไปใช้ในการเจรจาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และให้
นำเสนอรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ต่อไป
              2. เห็นชอบต่อร่างปฏิญญาอาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (ASEAN  Declaration  on
Climate  Change)  เพื่อให้ประเทศไทยในฐานะผู้นำอาเซียนใช้ในการกล่าวเป็นสุนทรพจน์ในเวทีการประชุมผู้นำ
ระดับสูง (High  Level  Segment)  ของการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภูมิอากาศ (Conference of the Parties : COP) สมัยที่ 15 ที่กำหนดจัดขึ้นในเดือนธันวาคม 2552 ณ กรุงโคเปน
เฮเกน ราชอาณาจักรเดนมาร์ก และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
              1. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำความตกลงตามรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับ
สำนักเลขาธิการ UNFCCC  (Host Country Agreement)  ในการเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุม Bangkok Climate
Change Talks 2009 ในระหว่างวันที่ 28 กันยายน-9 ตุลาคม 2552  ณ  ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ องค์การสห
ประชาชาติ กรุงเทพมหานคร
              2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  หรือผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
ต่างประเทศลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยน ฯ ดังกล่าว

             คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
             1. อนุมัติให้กระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย) ดำเนินโครงการจัดหายานพาหนะและเครื่อง
จักรกลทดแทน จำนวน 14 รายการ ในวงเงิน 3,049,536,380 บาท  โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552  จำนวน 610,856,800 บาท  และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553
จำนวน 610,856,800 บาท ส่วนที่ขาดอีกจำนวน  1,827,822,780  บาท  ให้กองบัญชาการกองทัพไทยเสนอขอ
ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2555 เพื่อให้ครบวงเงินค่างานตามสัญญาต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
              2. ให้กระทรวงกลาโหม โดยหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) ปรับแผนแม่บทการพัฒนาของหน่วย
โดยนำยานพาหนะและเครื่องจักรกลที่ได้รับเพิ่มมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งวางระบบการ
บำรุงรักษายานพาหนะและเครื่องจักรกลต่าง ๆ  เพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานเพิ่มขึ้น ตามความเห็นของสำนัก
งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุก
เฉินหรือจำเป็นสำหรับจัดหาอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน จำนวน 4 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น  81,058,250  บาท  ตามที่
สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้
               1. ชุดป้องกันสะเก็ด ราคาชุดละ 3,000 บาท จำนวน 16,045 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 48,135,000 บาท
               2. ถุงมือหนัง ราคาคู่ละ 500 บาท จำนวน 16,045 คู่ เป็นเงินทั้งสิ้น 8,022,500 บาท
               3. กระบองยาง ราคาอันละ 1,000 บาท จำนวน 18,445 อัน เป็นเงินทั้งสิ้น 18,445,000 บาท
               4. สายรัดข้อมือ ราคาเส้นละ 35 บาท จำนวน 184,450 เส้น เป็นเงินทั้งสิ้น 6,455,750 บาท

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น  เพื่อจัดทำโครงการจัดหาและ
ติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด  ระยะที่  2  ซึ่งเป็นโครงการย่อยภายใต้โครงการจัดหาและติดตั้งระบบรักษา
ความปลอดภัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี วงเงิน 18,245,500 บาท ตามที่กระทรวงศึกษา
ธิการเสนอ

             คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
             1. อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2552-พ.ศ. 2561 รวม 9 ปี ในวงเงิน 13,176,000 บาท  สำหรับเป็นค่าเช่าบ้านพักของอัครราชทูต (ฝ่าย
การเกษตร) สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป บ้านเลขที่  36  Avenue  de  Italie,
1050 Brussels ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
             2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรเจรจาต่อรองกับเจ้าของ
บ้านให้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดไว้ในสัญญาเช่า และขอทำความตกลงกับกระทรวงการ
คลังเพื่อให้การเช่าบ้านสำหรับข้าราชการดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการจัด
บ้านพักสำหรับข้าราชการซึ่งรับราชการประจำในต่างประเทศ  พ.ศ. 2545  และความเห็นของสำนักงบประมาณ
เกี่ยวกับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552-พ.ศ. 2553 ได้ตั้งงบประมาณรอง
รับไว้แล้ว สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็น
ต่อไป ไปดำเนินการด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
             1. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
                 1.1 รับทราบผลการดำเนินงานเบิกจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำนมดิบให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ณ วันที่
17 สิงหาคม 2552  มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมขออนุมัติชดเชยราคาน้ำนมดิบ รวมทั้งสิ้น  40  จังหวัด  จำนวนเกษตร
กร 19,802 ราย  วงเงินชดเชยทั้งสิ้น  338,589,982.22  บาท  โดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
(อ.ส.ค.)  ได้โอนเงินให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตามที่จังหวัดได้อนุมัติไว้แล้วรวม 19,781 ราย  เป็นจำนวนเงินรวม
331,585,445.26 บาท คงเหลือที่ยังไม่ได้โอนเงิน คือ นิติบุคคล จำนวน 11 ราย  เป็นจำนวนเงิน 6,674,631.80
บาท และส่วนราชการ จำนวน 10 ราย เป็นจำนวนเงิน 329,905.16 บาท  ทั้งนี้  อ.ส.ค. จะดำเนินการเบิกจ่ายและ
โอนเงินชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในส่วนที่เหลือของนิติบุคคล และเกษตรกรบางรายที่อยู่ระหว่างการตรวจ
สอบให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2552 และคืนเงินส่วนที่เหลือให้กับกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรต่อไป
                 1.2 อนุมัติชดเชยราคาน้ำนมดิบให้แก่นิติบุคคลทั้งที่เป็นเอกชน  สหกรณ์  และอื่น  ๆ  ยกเว้นส่วนราช
การตามความเห็นของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม
              2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณากำหนดขอบเขตและคุณสมบัติของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
ที่เป็นนิติบุคคล โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการประกอบกิจการ ความเหมาะสมทั้งในเรื่องฐานะการเงิน  ความรุน
แรงของผลกระทบจากปัญหาวิกฤตน้ำนมล้นตลาด  ภาระงบประมาณ  และความเป็นธรรมต่อนิติบุคคลรายอื่นให้มี
ความชัดเจน  เมื่อมีข้อยุติแล้วให้นำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง  ตามความเห็นของสำนักงบ
ประมาณ

             คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
             1. ร้บทราบมติคณะกรรมการประสานการดำเนินงานโครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร  ครั้ง
ที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2552  และเห็นชอบแนวทางการติดตามการดำเนินงานโครงการประกันราคา
พืชผลทางการเกษตรที่เสนอโดยคณะอนุกรรมการติดตามผลการดำเนินงานโครงการประกันราคาพืชผล ฯ  ตาม
ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ  โดยงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ
ดำเนินงาน จำนวน  15,000,000  บาท  ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552  งบ
กลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
              2. สำหรับงบประมาณเพื่อใช้จ่ายในการชดเชยส่วนต่างให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการประกันรายได้
เกษตรกรให้กระทรวงการคลังจัดทำคำขอพร้อมรายละเอียดเสนอขอใช้จ่ายจากเงินกู้โครงการตามแผนปฏิบัติการ
ไทยเข้มแข็ง 2555 ตามขั้นตอนต่อไป
              3. กรณีเกษตรกรได้จำหน่ายพืชผลทางการเกษตร ก่อนวันทำสัญญาชดเชยรายได้กับธนาคารเพื่อการ
เกษตรและสหกรณ์การเกษตรนั้น ให้ยึดแนวทางตามข้อเสนอของคณะกรรมการประสานการดำเนินงานโครงการ
ประกันรายได้เกษตรกร  ในเรื่องของข้าวและมันสำปะหลัง  ยกเว้นกรณีข้าวโพด  ให้อนุโลมตามมติคณะกรรมการ
โยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
              4. ให้เปลี่ยนชื่อโครงการจากเดิม "โครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร" เป็น "โครงการประกัน
รายได้เกษตรกร" และ "เงินชดเชย" เป็น "อัตราชดเชยรายได้เกษตรกร"

                 คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
                 1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง  (พ.ศ. ....)  ออกตามความในพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสีย
หายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผลิตผลเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศ
ไทยและไม่ได้ผลิตในโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน เป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้นตามบทนิยามคำว่า "สินค้า" ใน
มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551  ตามที่สำนัก
งานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 
                 2. ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นควร
กำหนดคำว่า  "การแปรรูป"  ให้ชัดเจน โดยหากไม่สามารถกำหนดความหมายของคำว่า  "การแปรรูป"  ให้ชัดเจนได้
ควรกำหนดให้   "ผลิตผลเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และไม่ได้ผลิตในโรงงานหรือผลิตในโรงงานจำพวกที่ 1
เป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้นตามบทนิยามคำว่าสินค้าในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่
เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย" เพื่อให้ผลิตผลเกษตรกรรมซึ่งผลิตในโรงงานขนาดเล็กได้รับการคุ้มครอง ไปประกอบ
การพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552-30 กันยายน 2555 รวม  3  ปี  เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าอาคารสำนักงานทรัพย์
สินส่วนพระมหากษัตริย์ หมายเลข 1-2 ตำบลถนนพระอาทิตย์ เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำการขององค์การอาหารและ
เกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสุรวิทย์  เตชธุวานันท์  ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ 10 วช. 
(ด้านสาธารณสุข) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วัน
ที่  11  กันยายน  2551  ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์  และให้พ้นจากตำแหน่ง  ตั้งแต่วันที่ 1
ตุลาคม 2551 เนื่องจากครบเกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางวิไล เฉลิมจันทร์ ให้ดำรงตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ 10 ชช.
ด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ชีววิทยา) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วัน
ที่ 9 ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มี
สาระสำคัญคือ กำหนดให้คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีอำนาจพิจารณาจัดทำและปรับแผน
การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด  รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมให้การพิจารณาปล่อยชั่วคราวผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์มี
ความรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ  และให้
ส่งสำนักงานคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าขุนซ่อง และป่าจันตาแป๊ะและป่าเขา
วังแจง ในท้องที่ตำบลขุนซ่อง  อำเภอแก่งหางแมว  จังหวัดจันทบุรี  ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ  พ.ศ. ....  มีสาระสำคัญคือ
กำหนดบริเวณที่ดินป่าขุนซ่อง และป่าจันตาแป๊ะและป่าเขาวังแจง  ในท้องที่ตำบลขุนซ่อง  อำเภอแก่งหางแมว  จังหวัด
จันทบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ  (อุทยานแห่งชาติเขาสิบชั้น)  ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าสามหมื่น ป่าแม่ระมาด และป่า
แม่ละเมา  ในท้องที่ตำบลสามหมื่น  ตำบลขะเนจื้อ  ตำบลพระธาตุ  อำเภอแม่ระมาด  และตำบลพะวอ  ตำบลแม่
กาษา ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่
ดินป่าสามหมื่น ป่าแม่ระมาด และป่าแม่ละเมา ในท้องที่ตำบลสามหมื่น ตำบลขะเนจื้อ ตำบลพระธาตุ  อำเภอแม่
ระมาดและตำบลพะวอ ตำบลแม่กาษา ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ  (อุทยาน
แห่งชาติขุนพะวอ)  ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา   ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเขาสมิง (ป่าคลองใหญ่และป่าเขา
ไฟไหม้) ในท้องที่ตำบลหนองบอน ตำบลช้างทูน ตำบลบ่อพลอย  ตำบลนนทรีย์  และตำบลด่านชุมพล  อำเภอบ่อไร่
จังหวัดตราด ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ....  มีสาระสำคัญคือ  กำหนดบริเวณที่ดินป่าเขาสมิง (ป่าคลองใหญ่และป่า
เขาไฟไหม้) ในท้องที่ตำบลหนองบอน ตำบลช้างทูน ตำบลบ่อพลอย ตำบลนนทรีย์  และตำบลด่านชุมพล อำเภอบ่อ
ไร่ จังหวัดตราด ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติน้ำตกคลองแก้ว) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ
พิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้