ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1756 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 35101 - 35120 จากข้อมูลทั้งหมด 124012 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
35101 | โครงการปรับปรุงอาคารที่ทำการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดำเนินการ ดังนี้ 1. เพิ่มวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงอาคารที่ทำการ สศช. จาก 130,866,000 บาท เป็น 138,218,000 บาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2555 รวมระยะเวลา 3 ปี โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 9,056,000 บาท สมทบกับ งบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 จำนวน 8,000,000 บาท และงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 13,500,000 บาท โดยผูกพันงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 จำนวน 26,173,400 บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 อีกจำนวน 81,488,600 บาท 2. ดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงอาคาร 2 (อาคารสำนักงานสถิติแห่งชาติเดิม ซึ่ง สศช. ได้ขอสงวน สิทธิการเป็นผู้เข้าใช้อาคารดังกล่าวให้กลับมาเป็นสิทธิของ สศช. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 ที่อนุมัติให้ สศช. ใช้สถานที่เดิมของสำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นสถานที่ปฏิบัติงาน) พร้อม รั้ว ประตูรั้ว และป้ายชื่อสำนักงานฯ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-พ.ศ. 2555 รวม ระยะเวลา 2 ปี ในวงเงินไม่เกิน 51,000,000 บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เหลือจ่ายจำนวน 26,000,000 บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 จำนวน 25,000,000 บาท |
|||||||||||||||||||||||||||
35102 | การถอนข้อสงวนของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ 7 | พม | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ 1.1 การถอนข้อสงวนอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ 7 เรื่อง สถานะบุคคล 1.2 มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการถอนข้อสงวนของอนุสัญญาฯ ต่อคณะกรรม การสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ 2. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ การถอนข้อสงวนของอนุสัญญาฯ ที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องการได้สัญชาติซึ่งจะเป็นการ ส่งสัญญาณผิดให้ผู้หลบหนีเข้าเมืองและบุตรที่เกิดในประเทศไทยมีความคาดหวังในเรื่องการได้สัญชาติซึ่งจะเกิด ปัญหาและข้อจำกัดในการส่งกลับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
35103 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... มี สาระสำคัญคือ ให้มีการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเพื่อสนับสนุนทุนหมุนเวียนให้กับผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ตั้งแต่ การเริ่มต้นธุรกิจไปจนถึงการต่อยอดธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อขับเคลื่อนพันธ สัญญาข้อที่ 9 ของรัฐบาล และกำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มีอำนาจหน้าที่ใน การพิจารณาอนุมัติแผนงานและการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธี การในการบริหารเงินกองงทุน รวมถึงเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการที่ขอรับการสนับสนุนทุนหมุน เวียนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจการเกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตลอดจนติดตามและประเมินโครงการหรือกิจ กรรมที่ได้รับการอุดหนุน ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับร่างระเบียบฯ ความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดให้กองทุนฯ ประกอบด้วย เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้จาก งบประมาณรายจ่ายประจำปี และเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยให้สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับร่างระเบียบฯ ไปพิจารณาร่วมกับคณะกรรมการ นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติและกระทรวงการคลังในส่วนที่เกี่ยวกับการคงระดับของเงินกองทุนฯ โดยให้ คำนึงถึงภาระต่องบประมาณด้วย และเพื่อให้การพิจารณาจัดตั้งกองทุนฯ เป็นไปอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการสร้างภาระด้านเงินงบประมาณในอนาคต เห็นควรจัดทำรายละเอียดตามแนวทางการจัด ตั้งเงินทุนหมุนเวียนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 โดยนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการ จัดตั้งทุนหมุนเวียนพิจารณาตามความเห็นกระทรวงการคลังต่อไป และความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควร มีการบริหารจัดการเงินกองทุนฯ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามวัตถุประสงค์อย่างเคร่งครัด รวมทั้งมีการ ประเมินประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินกองทุนฯ ด้วย ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับคณะกรรมการ นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติและกระทรวงการคลังอีกครั้งหนึ่ง แล้วส่งร่างระเบียบฯ ให้คณะกรรมการ ตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา และให้ดำเนินการต่อไปได้ 2. เมื่อร่างระเบียบฯ ฉบับนี้มีผลใช้บังคับแล้ว ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์เร่ง ดำเนินการจัดทำระเบียบการใช้จ่ายเงินและการเก็บรักษาเงินของกองทุนฯ เพื่อให้กระทรวงการคลังพิจารณาภาย หลังจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 มีผลใช้บังคับแล้ว ตามความเห็น ของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
35104 | การประชุมคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการอำนวย การกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2553 รอบที่ 2 (ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2553) ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และรายงานสถานการณ์ และผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ณ วันที่ 16 กันยายน 2553 รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์การเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณของหน่วยงาน ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการแก้ไข ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2553 พิจารณาแล้วเห็นควรยึดหลักเกณฑ์ที่ กำหนดไว้เดิม โดยเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระยะเวลาดำเนินการโครงการ/กิจกรรมให้ดำเนินการแล้วเสร็จ ภายใน 6 เดือน หลังจากได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และเป็นการเร่งรัดการดำเนิน การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์ และวิธีการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบด้านการเกษตร โดยให้ ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย 1.2 อนุมัติงบประมาณที่หน่วยงานต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง จำนวน 1,439.4835 ล้านบาท จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และให้สำนักงบประมาณขอทำความตกลงกันเงินกับกรมบัญชีกลางไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีตามจำนวนดัง กล่าว เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งได้ต่อไป 2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปประสานงานกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อ พิจารณาปรับปรุงประกาศกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและมีความคล่องตัวในทาง ปฏิบัติมากยิ่งขึ้น โดยระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ประกาศกำหนดไว้ว่า “ต้องไม่เกิน 3 เดือน นับแต่วันที่เกิดภัย” ควรขยายเป็น “ต้องไม่เกิน 6 เดือนนับแต่วันที่เกิดภัย”
|
|||||||||||||||||||||||||||
35105 | เอกสารสำคัญของการประชุมผู้นำอาเซียน - สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ 2 | กต | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||
35106 | การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเข้าร่วมกับคู่เจรจาด้านบริการเดินอากาศของอาเซียนและความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | คค | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ 1.1 อนุมัติการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเข้าร่วมกับคู่เจรจาด้านบริการเดินอากาศของอา เซียนและความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และพิธีสาร 1 แนบท้ายความตกลง และนำเสนอหนังสือ สัญญาดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้หนังสือสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป 1.2 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนร่วมลงน ามบันทึกความเข้าใจฯ และความตกลงฯ และพิธีสารแนบท้ายฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุง แก้ไขหนังสือสัญญาฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง คมนาคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมาย เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง 1.3 ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงคมนาคม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมาย ลงนามในหนังสือสัญญาดังกล่าว 1 .4 เมื่อรัฐสภาเห็นชอบตามข้อ 1.1 แล้ว มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งภาคีคู่สัญญา ทราบเพื่อให้หนังสือสัญญามีผลบังคับใช้ต่อไป 2. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในความเห็นต่อบันทึกความเข้าใจฯ ด้านขั้นตอนของการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ด้านสารัตถะของบันทึกความเข้าใจฯ รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญฯ และความเห็นต่อร่างสุดท้ายของบันทึกความเข้าใจฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
35107 | การจ้างข้าราชการภายหลังครบเกษียณอายุราชการเป็นลูกจ้างชั่วคราวกรณีพิเศษ | กต | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจ้างนายอดิศักดิ์ ภาณุพงศ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงออตตาวา เป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษภายหลังครบเกษียณอายุราชการ เป็นเวลา ๑ เดือน ระหว่างวันที่ ๑-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เพื่อปฏิบัติภารกิจในการถวายการรับเสด็จพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งจะเสด็จเข้าร่วมการประชุมเนื่องในโอกาสครบรอบ ๒๐ ปี การรับรองรายงาน Creating Choices ของรัฐบาลแคนาดา ระหว่างวันที่ ๒๘/๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ต่อเนื่องไปยังมณฑลควิเบกและมณฑลอัลเบอร์ตา ในระหว่างวันที่ ๒๕ กันยายน-๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ ก่อนเสด็จต่อไปยังนครนิวยอร์ก เพื่อทรงเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ ๖๕ ระหว่างวันที่ ๕-๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ งบประมาณที่จะใช้จ่ายเพื่อการจ้างนายอดิศักดิ์ฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มาดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังศึกษาถึงความจำเป็นเหมาะสมในการแก้ไข ปรับปรุง เงื่อนไข หลักเกณฑ์ และอัตราค่าจ้างของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น (local staff) ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานของไทยในต่างประเทศให้เหมาะสมกับภารกิจ หน้าที่ ความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น เพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูงอยู่ปฏิบัติงานในหน่วยงานของไทยในต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับทางราชการมากขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||
35108 | ขออนุมัติจัดจ้างมหาวิทยาลัยของรัฐหรือมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หรือหน่วยงานในกำกับของรัฐพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรียนการสอน โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | ศธ | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดจ้างมหาวิทยาลัยของรัฐ หรือมหา วิทยาลัยในกำกับของรัฐ หรือหน่วยงานในกำกับของรัฐ จำนวน 4 สถาบัน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ดำเนินการพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรียนการสอนตามโครงการปัจจัยสนับ สนุนด้านการศึกษา แผนงานยกระดับคุณภาพการศึกษา และการเรียนรู้ทั้งระบบให้ทันสมัยภายใต้แผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2555 โดยวิธีกรณีพิเศษ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ 2. ให้ สพฐ. ถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งตามนัยมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2531 (เรื่อง สิทธิพิเศษเกี่ยวกับการใช้บริการด้านวิชาการและการวิจัย) และหนัง สือเวียนของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ [หนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1204/ว 2314 ลงวันที่ 14 มีนาคม 2538 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการจ้างมหาวิทยาลัยของรัฐในการบริการด้านวิชาการและการวิจัย)] ประกอบหนังสือเวียนคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ (หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0421.3/ว 60 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2553) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||||||||
35109 | แนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ | ศธ | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ 1.1 “แนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่” เพื่อส่งเสริมบทบาทสถาบันอุดม ศึกษาให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม และร่วมเป็นแกนหลักของแต่ละพื้นที่ในกระบวนการสร้างความเป็นธรรมและ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยการพัฒนาให้มีสายงานวิชาการรับใช้สังคม (social impact) พัฒนาระบบการ ผลิตกำลังคนของประเทศที่มีอุดมการณ์เพื่อส่วนรวมและมีความเป็นพลเมือง และมีการให้บริการวิชาการที่มาจาก การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและสอดคล้องกับแผนพัฒนาพื้นที่ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการและสถาบันอุดม ศึกษาใช้เป็นแนวทางหลักร่วมกันเพื่อสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ 1.2 ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณสนับสนุนกิจกรรมตามแนวทางการส่งเสริม อุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศน่าอยู่ตามความเหมาะสม 1.3 ให้กระทรวง ทบวง กรม และองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรับทราบและให้ความร่วมมือ สนับ สนุนส่งเสริมการดำเนินการของสถาบันอุดมศึกษาตามภารกิจดังกล่าว 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) รับความเห็นของสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการขับเคลื่อนแนวทางการส่งเสริมอุดมศึกษาร่วม สร้างประเทศไทยน่าอยู่ไปสู่การปฏิบัติควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือภายในสถาบันอุดมศึกษา โดยนำจุดแข็งของแต่ละภาควิชา แต่ละคณะ รวมทั้งองค์ความรู้ ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงความร่วมมือจากภาคเอก ชนและภาคส่วนต่าง ๆ มาร่วมสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ ท้องถิ่นและชุมชนให้มีความน่าอยู่ได้อย่างสอดคล้องกับ บริบททางสังคมและตอบสนองต่อความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่ เห็นควรมีแผนการดำเนินงานอย่างชัดเจนทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยมีการบูรณาการแผนดังกล่าวอย่างเป็นรูป ธรรม พร้อมทั้งมีระบบการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้มีความเหมาะสมกับ สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ส่วนงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมตามแนวทางดังกล่าวให้สถาบันอุดมศึกษาทบทวนบทบาทและ ภารกิจในยุทธศาสตร์ที่มีลำดับความสำคัญระดับต่ำ หรือไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การดำเนินงานของรัฐบาล เพื่อให้มีทรัพยากรที่อาจสามารถนำไปใช้ดำเนินกิจกรรมได้ โดยสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ให้ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามความพร้อมของหน่วยงานและกำลังเงินของประเทศต่อไป ตามความเห็นของ สำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
35110 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2553 | ทก | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 โดยมีประชาชนใช้บริการสอบถามข้อมูลทั่วไปแยกตามประเภทเรื่องที่มีประชาชนสนใจสอบถาม ดังนี้
1. การเมือง-การปกครอง เช่น สถานการณ์ชุมนุมทางการเมือง การประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน วิธีการและช่องทางการร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรี การประกาศห้ามออกนอกเคหะสถานในพื้นที่ต่าง ๆ การลงทะเบียนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง การเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต กรุงเทพมหานคร เป็นต้น 2. เศรษฐกิจ เช่น โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ประกันตนประจำปี 2553 โครงการปลดหนี้นอกระบบ โครงการประกันรายได้เกษตรกรปีการผลิต 2552-2553 การจำหน่ายและการเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งปี 2553 มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการซึ่งได้รับผลกระทบเกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เป็นต้น 3. สังคมและสวัสดิการ เช่น การตรวจสอบสถานะของการขอรับเงินอุดหนุนหลังการฝึกอบรมโครงการต้นกล้าอาชีพ รายชื่อผู้ประกอบการที่ผ่านการพิจารณาการให้ความช่วยเหลือของคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการของ ศอฉ. โครงการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ ฯลฯ 4. การศึกษาและเทคโนโลยี เช่น การเปิดรับสมัครนักเรียน-นักศึกษาใหม่ของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา การเลื่อนเปิดโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โครงการเรียนฟรี 15 ปี หลักเกณฑ์และวิธีการจัดการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
35111 | การขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างรัฐบาลกาตาร์และรัฐบาลไทย (Agreement Between the Government of the State of Qatar and the Government of the Kingdom of Thailand on Defence Cooperation) | กห | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
1.ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างรัฐบาล กาตาร์และรัฐบาลไทย (Agreement Between the Government of the State of Qatar and the Government of the Kingdom of Thailand on Defence Cooperation) 2. ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างความตกลงฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
35112 | แนวทางการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ และประเมินผลการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ที่สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ตรวจสอบครบถ้วน ถูกต้อง และมีความสมบูรณ์แล้ว และกรอบการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบัน อุดมศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 1.2 เห็นชอบในหลักการให้นำเงินเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ และประเมินผลการปฏิบัติราชการประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อใช้สำหรับการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่ ก.พ.ร. กำหนด โดยให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีเงินงบประมาณเหลือจ่ายได้มี การดำเนินการกันเงินงบประมาณเหลือจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน เพื่อนำมาจัดสรรเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และสามารถโอนเปลี่ยนแปลงรายการเงินงบ ประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ไปตั้งจ่ายในรายการเงินรางวัลสำหรับผู้ปฏิบัติของหน่วยงาน เพื่อใช้สำหรับการจัดสรรเป็นเงินรางวัล โดยไม่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเป็นราย ๆ ไป ทั้งนี้ เป็นการผ่อนผันวิธีปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติมตามมติคณะ กรรมการพัฒนาระบบราชการ ครั้งที่ 6/2553 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2553 ทั้งนี้ เงินเหลือจ่ายดังกล่าว ควร เป็นเงินเหลือจ่ายที่ส่วนราชการได้ดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมีเงินเหลืออย่างแท้จริง รวมทั้งต้องไม่มีหนี้ ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระ และต้องมีงบประมาณเพียงพอสำหรับเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบ ปรับราคาได้ (ค่า K) ส่วนราชการจึงจะสามารถดำเนินการกันเงินงบประมาณเหลือจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี เพื่อนำมาจัดสรรเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ได้ตามความเห็นของ สำนักงบประมาณด้วย 2. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) และ ก.พ.ร. รับข้อสังเกตของคณะ รัฐมนตรีไปพิจารณาแนวทางดำเนินการกรณีส่วนราชการมีผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการ ปฏิบัติราชการอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการจัดสรรเงินรางวัล แต่ส่วนราชการนั้นไม่มีเงินเหลือจ่ายหรือมีอยู่ไม่เพียง พอที่จะนำมาใช้ได้ และกรณีส่วนราชการมีผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการจัดสรรเงินรางวัล และส่วนราชการนั้นมีเงินเหลือจ่ายอยู่เพียงพอแต่ปรากฏว่าเงินเหลือ จ่ายดังกล่าวมีเหลืออยู่เนื่องจากส่วนราชการยังมิได้ดำเนินการหรือมีความล่าช้าในการดำเนินงานปกติประจำของ ส่วนราชการตามที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้ ทั้งนี้ การจะขอใช้เงินงบกลาง มาจัดสรรเป็น เงินรางวัลแก่ส่วนราชการอาจมีปัญหาความไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการใช้เงินงบกลางด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
35113 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2554 | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบ เห็นชอบ และเห็นชอบในหลักการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบงบประมาณทำการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ ประมาณ 72,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2553 ร้อยละ 5 โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ 223,391 ล้านบาท และรับทราบแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี พ.ศ. 2555-2557 ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่ คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม 274,782 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 91,594 ล้านบาท และการ เบิกจ่ายลงทุนรวม 928,209 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 309,403 ล้านบาท 1.2 เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 วงเงินดำเนินการ จำนวน 554,994 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 322,612 ล้านบาท 1.3 ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแยะเชิงนโยบายระดับกระทรวงและระดับองค์กรไปพิจารณา ดำเนินกา ร รวมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ 5 ของเดือนอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความ ก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและ การลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง 1.4 เห็นชอบในหลักการให้ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ให้สอด คล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และ การอนุมัติโครงการของคณะรัฐมนตรี 2. มอบหมายให้กระทรวงการคลั ง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) และส่วนราชการ ต่าง ๆ ที่มีรัฐวิสาหกิจในสังกัดรับไปพิจารณา เพื่อกำหนดแนวทางการกำกับดูแลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ต่าง ๆ ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศและของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถรักษาประโยชน์และการให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างเหมาะสม เป็นธรรม โดยไม่มุ่งแสวงหาผล กำไรจนเกินควร รวมทั้งไม่ประกอบการใด ๆ อันอาจขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติให้รัฐ ต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับภาคเอกชน เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษา ความมั่นคงของรัฐ รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการจัดให้มีสาธารณูปโภค 3. มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปประสานสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อ เร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... .ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 2 มีนาคม 2553 [เรื่อง ขอถอนร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ให้แล้วเสร็จ โดยเร็วเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
35114 | การตรวจสอบข้อมูลเงินเหลือจ่ายโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายเบื้องต้นของหน่วยงาน จำนวน 84 หน่วยงาน จำนวนเงิน 2,311.66 ล้านบาท 2. เห็นชอบให้หน่วยงานตรวจสอบข้อมูลเงินเหลือจ่ายโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และรายงานเงินเหลือจ่ายภายในวันที่ 30 กันยายน 2553 ดังนี้ 2.1 หน่วยงานที่รายงานเงินเหลือจ่ายแล้ว จำนวน 84 หน่วยงาน ให้ตรวจสอบข้อมูลแต่ละโครง การจากเว็บไซต์ www.gfmis.go.th หรือ http://gfmisreport.mygfmis.com หรือ http://mygfmis ยืนยันข้อ มูลเงินเหลือจ่ายแยกตามโครงการ พร้อมทั้งแยกเงินเพื่อชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ถ้ามี 2.2 หน่วยงานที่ยังไม่ได้รายงานเงินเหลือจ่ายจากการจัดซื้อจัดจ้างให้รายงานเงินเหลือจ่ายของ โครงการฯ ที่ดำเนินการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ได้จำนวนเงินตามสัญญาน้อยกว่าจำนวนเงินที่ได้ รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณ โดยให้แยกข้อมูลเป็นรายโครงการ พร้อมทั้งแยกเงินเพื่อชดเชยค่างานก่อ สร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ถ้ามี 2.3 สำหรับกรณีอื่น ๆ ให้รายงานเงินเหลือจ่ายด้วย ได้แก่ หน่วยงานที่ได้ดำเนินโครงการแล้ว เสร็จตามเป้าหมายของโครงการแล้ว แต่มีเงินเหลือจ่าย รวมทั้งหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินแล้วแต่ไม่สามารถ ดำเนินโครงการต่อไป ขอให้ยุติโครงการหรือยกเลิกโครงการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
35115 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่ง
ขวา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทาน คลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา จากกิโลเมตรที่ 0.000 ในท้องที่ตำบลเมือง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย ถึงกิโลเมตร ที่6.000 ในท้องที่ตำบลนาอาน อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนิน การต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
35116 | ขออนุมัติขยายวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างคันกั้นน้ำริมแม่น้ำตากแดด จังหวัดอุทัยธานี | กษ | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้ขยายวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างคัน
กั้นน้ำริมแม่น้ำตากแดด จังหวัดอุทัยธานี จากวงเงินค่าก่อสร้างตามสัญญาเดิม 195,193,030.50 บาท เป็นวง เงินค่าก่อสร้างตามสัญญาใหม่ 212,001,430.50 บาท (เพิ่มขึ้น 16,808,400 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8.61 ของวงเงินตามสัญญาเดิม) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยวงเงินค่าก่อสร้างส่วนที่จะต้องเพิ่มเติม จากสัญญาจ้างเดิมให้พิจารณาใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของกรมชลประทาน โดยให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
35117 | รายงานร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณาและที่พิจารณาแล้วเสร็จของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา | นร | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการายงานจำนวนร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณา และร่างพระราชบัญญัติที่พิจารณาแล้วเสร็จตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2552-วันที่ 17 กันยายน 2553 ดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน 152 ฉบับ 2. ร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จำนวน 87 ฉบับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
35118 | ขอความเห็นชอบโครงการเร่งเสริมความยั่งยืนของระบบการจัดการพื้นที่คุ้มครอง (Catalyzing Sustainability of Thailand's Protected Areas System : CATSPA) | ทส | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบโครงการเร่งเสริมความยั่งยืนของระบบการจัดการพื้นที่คุ้มครอง (Catalyzing Sustainability of Thailand''s Protected Areas System : CATSPA) ซึ่งได้มีการคัดเลือกพื้นที่นำร่องเพื่อดำเนินการ จำนวน 5 พื้น ที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา อุทยานแห่ง ชาติคลองลาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชลงนามเข้าร่วมโครงการฯ ร่วมกับผู้แทน UNDP (United Nations Development Programme) ประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบ ประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า ในการดำเนินงานตาม โครงการฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชจะต้องสนับสนุนงบประมาณที่ไม่อยู่ในรูปของเงินสด เป็น ระยะเวลา 4 ปี มูลค่า 14.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการสนับสนุนในรูปบุคลากรที่ได้รับงบประมาณปกติเพื่อ ร่วมปฏิบัติงานในโครงการ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อประสิทธิผลการปฏิบัติภารกิจปกติของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และอาจมีผลให้ต้องจ้างบุคลากรเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว และในการกำหนดพื้นที่โครง การศึกษา 5 พื้นที่นำร่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการบริหารจัด การอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมรดกโลกอยู่แล้วจึงควรพิจารณาพื้นที่คุ้มครองหรืออุทยานแห่งชาติแห่งอื่นที่เปิด ให้มีการเข้าใช้ประโยชน์อยู่แล้วแต่ยังมีปัญหาด้านการบริหารจัดการเช่นเดียวกับพื้นที่นำร่อง เพื่อให้โครงการฯ มี ส่วนในการขจัดอุปสรรคและผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการ พื้นที่อนุรักษ์ของประเทศอย่างมีรูปธรรม นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของ Agreemen between the UN Special Fund and the Government of Thailand Concerning Assistance from the Special Fund อย่างเคร่งครัด โดยโครงการฯ ต้องดูแลความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองทรัพยากรพันธุกรรมและ ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ดำเนินงานให้เป็นไปอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
35119 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (รองศาสตราจารย์ประภาภัทร นิยม) | สสส. | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีอนุมัติแต่งตั้งรองศาสตราจารย์ประภาภัทร นิยม เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒน
ธรรมในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ตามมาตรา 17 (5) แห่งพระราชบัญญัติกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 แทนนายอาศิส พิทักษ์คุมพล ที่ลาออก ตามที่ประธานกรรมการกอง ทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (21 กันยายน 2553) เป็นต้น ไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
35120 | การยืนยันข้อทักท้วง | ตผ | 21/09/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบเรื่อง การยืนยันข้อทักท้วง ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีการตรวจสอบงบการเงิน ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ และกรณีร้องเรียนการถมดินเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลลำ ไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ดำเนินการโดยมิชอบ และรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาด ไทย (นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์) เสนอเพิ่มเติมว่ากรณีการตรวจสอบงบการเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ กรณีร้องเรียนการถมดินเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาลตำบลลำไทร อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ขณะ นี้ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว และคาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภาย ใน 15 วัน 2. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ ผลเป็น ประการใด ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
.....