ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1749 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34961 - 34980 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34961 | แต่งตั้งข้าราชการการเมืองสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ) | ทส | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34962 | สรุปผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (ASEM) ครั้งที่ 8 และการเยือนสหภาพพม่า | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอสรุปผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (ASEM) ครั้งที่ ๘ ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ระหว่างวันที่ ๓-๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ และการเยือนสหภาพพม่า เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ เพื่อพบปะหารือเรื่องสำคัญ ๆ กับผู้นำหลายประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อเสนอของประเทศสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (visa on arrival) และพำนักอยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน ๓๐ วัน ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับประเด็นข้อหารือกับผู้นำประเทศกัมพูชาเกี่ยวกับการพิจารณาปรับลดกำลังทหารบริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ไปประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย เพื่อเร่งสำรวจพื้นที่บริเวณดังกล่าวให้เกิดความชัดเจนและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับประเด็นข้อหารือกับผู้นำของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เกี่ยวกับการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงในพื้นที่ดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟไทย-ลาว ระยะที่ ๒ (ท่านาแล้ง-เวียงจันทน์) ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการดำเนินโครงการฯ เป็นการสร้างสะพานเพื่อรองรับส่วนต่อขยาย ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อเตรียมการเจรจากับสหภาพพม่า เกี่ยวกับการปิดด่านแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อให้มีการเปิดด่านโดยเร็ว รวมทั้งกรณีที่สหภาพพม่าห้ามนำเข้าสินค้าจากไทยกว่า ๕๐ รายการ ซึ่งรัฐบาลสหภาพพม่าแจ้งว่ามีนโยบายที่จะผ่อนผันในเรื่องดังกล่าวแล้ว ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการเจรจากับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับนโยบายกีดกันสินค้านำเข้าจากไทย เช่น ไก่แช่แข็ง เนื้อไก่สด เป็นต้น โดยให้รวมถึงการขยายระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34963 | ขออนุมัติใช้เงินกู้ SAL เพื่อสนับสนุนโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) และโครงการสนับสนุนการปฏิบัติงานตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ | กค | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้ใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) วงเงินรวม ๑๓๐ ล้าน
บาท เพื่อสนับสนุนโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) และโครงการสนับสนุนการปฏิบัติงานตามข้อตกลง ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลัง ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินโครงการที่ต้องมีการ จ้างบริษัทที่ปรึกษา ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้เหมาะ สมและมีความโปร่งใสเพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34964 | การจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการว่า “ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติ หรือนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้
ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็น ในปีงบประมาณใดแล้ว หรือกรณีส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจขอรับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณโดย ตรง และได้มีการระบุปีงบประมาณในการขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการดังกล่าวไว้ ให้สำนักงบประมาณ สามารถพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จากงบ ประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณที่ผ่านมา ซึ่งได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี หรือจัดสรรจากงบประมาณ รายจ่ายของปีงบประมาณปัจจุบันได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น” ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34965 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่
๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๓ ปีที่ ๓ ครั้งที่ ๑๘ (สมัยสามัญ นิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๓ และครั้งที่ ๑๙ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34966 | โครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) | มท | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ ๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) โดยมีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงระบบจำหน่าย ๓๓ เควี ด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต และเกาะพระทอง จังหวัดพังงา ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ วงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๒๓๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกู้ในประเทศเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้คำนึงถึงการวางแผนทางการเงินด้วย เนื่องจากมีแผนการก่อหนี้สาธารณะในโครงการลงทุนหลายโครงการซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรจากการดำเนินงานของหน่วยงานและรายได้ที่จะนำส่งรัฐได้ รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เกี่ยวกับการกำกับดูแลการวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ดำเนินการโดยใช้มาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันผลกระทบต่อแนวปะการังและหญ้าทะเล เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล และตรวจสอบดูแลการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เฉพาะประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอาศัยถูกต้องตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ รวมทั้งพิจารณาสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบแสงอาทิตย์เพื่อเป็นทางเลือกในการเสริมระบบจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟภ. โดยเฉพาะบนเกาะพระทอง นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้าในพื้นที่เกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ และเกาะพระทอง ในอัตราพิเศษแตกต่างจากอัตราที่เรียกเก็บในพื้นที่อื่น โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากบ้านอยู่อาศัยที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า ๔๐๐ หน่วยต่อเดือน ให้เรียกเก็บในอัตราปกติเช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกินกว่า ๔๐๐ หน่วยต่อเดือน และผู้ใช้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้เรียกเก็บในอัตราที่สูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ ไปดำเนินการโดยเคร่งครัด ๓. มอบหมายให้ กฟภ. ให้ความสำคัญโดยเร่งรัดการดำเนินการขยายติดตั้งระบบไฟฟ้าไปยังเกาะปันหยี จังหวัดพังงา เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34967 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการจัดมหกรรมระดับระหว่างประเทศ เรื่อง เศรษฐกิจสร้างสรรค์) | พณ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับไปจัดทำรายละเอียดของแผนการดำเนินงาน แผนการใช้จ่ายเงินและแหล่งเงินงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการจัดมหกรรมระดับระหว่างประเทศ เรื่อง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34968 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio- Cultural Community Council - ASCC) ครั้งที่ 4 | กต | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. มอบหมายให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องนำแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนมาบรรจุไว้ในแผนงานของหน่วยราชการนั้น ๆ โดยติดตามและประเมินผลความคืบหน้าในการดำเนินการและเสนอคณะรัฐมนตรีและแจ้งคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติทราบเป็นระยะ ๆ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณานำมาตรการที่เกี่ยวข้องตามแผนงานจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมมาบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับอาเซียน ประเทศสมาชิกและภาษาของสมาชิกอาเซียนตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนด้านวิชาการและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๑.๓ ให้หน่วยราชการที่เป็นหน่วยงานหลักของไทยในกรอบความร่วมมืออาเซียนด้านการศึกษา วัฒนธรรม ผลักดันข้อเสนอของประเทศไทยในการประชุมคณะมนตรีฯ เพื่อร่วมกันเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอาเซียนปลูกฝังความเข้าใจในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นกลาง โดยเน้นการยอมรับซึ่งกันและกันต่อไป ๒. เห็นชอบให้เพิ่มสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินมาตรการภายใต้แผนงานการจัดตั้งประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานประสานงานเพื่อรวบรวมข้อมูลความคืบหน้าจากหน่วยราชการต่าง ๆ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเป็นเขตปลอดยาเสพติดอาเซียน และเรื่องหลักสูตรการเรียนของอาเซียน ควรเน้นการสร้างภูมิคุ้มกันเยาวชนให้ปลอดจากสิ่งเสพติดควบคู่กันไปด้วย รวมทั้งประเด็นความเห็นเกี่ยวกับการเข้าถึงการรักษาพยาบาลสำหรับโรระบาด โรคติดต่อหรือไม่ติดต่อ วิธีการป้องกันโรค การส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ ความร่วมมือในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายการต่างประเทศกับประเด็นสาธารณสุข ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โรคติดต่อร้ายแรง การป้องกันโรคติดต่อของสัตว์ การเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด และความร่วมมือด้านการให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยทางอาหาร นอกจากนี้ ควรส่งเสริมและผลักดันให้หน่วยงานปฏิบัติหลักในเรื่องต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในการผลักดันการรวมตัวของภูมิภาคอาเซียนให้บรรลุผลสำเร็จได้ด้วยดีต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34969 | กรอบวงเงินในการชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าว | พณ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวตามโครงการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่ได้รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒-เดือนเมษายน ๒๕๕๓ โดยชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี ระยะเวลาไม่เกิน ๖ เดือน นับแต่วันกู้ คิดเป็นวงเงิน ๖๘๖ ล้านบาท เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๒ มอบหมายให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐเป็นผู้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ย โดยมีหลักฐานจากโรงสีประกอบการพิจารณา เช่น สำเนาตั๋วสัญญาเงินกู้ ใบเสร็จรับเงินค่าดอกเบี้ย เป็นต้น และรายงานแจ้งผลการดำเนินงานให้กระทรวงพาณิชย์เพื่อรวบรวมรายงานให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวให้ชัดเจน โดยเฉพาะเอกสารหลักฐานประกอบการเบิกจ่ายเงินฯ อาทิเช่น ตั๋วสัญญาเงินกู้ ใบเสร็จรับเงินค่าดอกเบี้ย เป็นต้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการอื่นของธนาคารด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานว่าผู้ประกอบการได้นำเงินไปใช้ในการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรจริง และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาหามาตรการอื่นเสริมในการพยุงราคาข้าวเปลือกให้อยู่ในระดับสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมอบหมายให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เข้มงวดในการตรวจสอบหลักฐานการกู้ยืม และการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการค้าข้าว และรายงานผลการดำเนินงานให้ กขช. ทราบต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34970 | ขออนุมัติจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง (เลขาธิการคณะรัฐมนตรี) | กค | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์และค่าจ้างพนักงานขับรถยนต์สำหรับรถยนต์ประจำตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยทำสัญญาเช่าเป็นเวลา ๓ ปี วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๔๕๑,๖๐๐ บาท ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การอนุมัติให้ทำสัญญาเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พร้อมพนักงานขับรถยนต์ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ส่วนการขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์และค่าจ้างพนักงานขับรถยนต์ นั้น เป็นกรณีที่ส่วนราชการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติก่อน ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๓ วรรคสี่ จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอ โดยเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผลใช้บังคับแล้ว ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๘๑๗,๒๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๖๓๔,๔๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายในงบดำเนินงาน ลักษณะค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34971 | รายงานการดำเนินงานกิจการฮัจย์ประจำปี 2553 (ฮ.ศ.1431) | วธ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานกิจการฮัจย์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ประจำปี ๒๕๕๓ (ฮ.ศ. ๑๔๓๑) ดังนี้ ๑. ห้วงเวลาการเดินทางไปและการประกอบพิธีฮัจย์ จะเดินทางเที่ยวไป ระหว่างวันที่ ๗ ตุลาคม-๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ช่วงพิธีการฮัจย์ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (อาจคลาดเคลื่อน ๑ วัน ขึ้นกับผลการดูดวงจันทร์) และเดินทางเที่ยวกลับ ระหว่างวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ๒. จำนวนผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ มีผู้แจ้งความประสงค์จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ จำนวน ๑๒,๘๓๘ คน ๓. การจัดเที่ยวบินขนส่งผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ มีการเดินทางใน ๒ รูปแบบ คือ ๓.๑ รูปแบบที่ ๑ เดินทางโดยเที่ยวบินปกติ จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีสายการบินที่ให้บริการขนส่งผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ รวม ๙ สายการบิน ผู้แสวงบุญ ๕,๖๐๐ คน ๓.๒ รูปแบบที่ ๒ เดินทางโดยเที่ยวบินพิเศษ (เหมาลำ) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ที่ให้กระทรวงคมนาคมรับไปประสานและเจรจากับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อขอความร่วมมือในการจัดเที่ยวบินประเภทเหมาลำขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์จากหาดใหญ่และและภูเก็ตไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย และรับผิดชอบในการกำหนดราคาค่าบัตรโดยสาร กำหนดเที่ยวบิน และตารางการบินที่สอดคล้องกับระบบที่พักของผู้แสวงบุญ รวมทั้งจัดหาสายการบินพันธมิตรมาร่วมทำการบินด้วย ๔. การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ที่ให้กระทรวงคมนาคมรับไปประสานและเจรจากับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดังกล่าวนั้น ขณะนี้ได้มีการดำเนินการที่น่าจะไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยได้มีการอนุญาตให้สายการบินมาร์ฮานแอร์ และอิหร่านแอร์ เข้ามาดำเนินการขนส่งผู้แสวงบุญจากหาดใหญ่เพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ด้วย ในขณะที่ประเทศอินเดียและสหภาพพม่ายังไม่อนุญาตให้ทั้งสองสายการบินบินผ่านน่านฟ้า และต้องรอการอนุญาตก่อนที่จะขึ้นบิน ส่งผลให้การขนส่งผู้แสวงบุญเกิดความล่าช้าไม่เป็นไปตามกำหนด ประกอบกับประเทศซาอุดีอาระเบีย ก็ยังไม่ได้อนุญาตให้ทั้งสองสายการบินดังกล่าวบินเข้าประเทศเช่นกัน กระทรวงวัฒนธรรมกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ เป็นรายวันไปเท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34972 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์เสนอ โดยให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงาน) รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักการและขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ดังต่อไปนี้ ๑.๑.๑ ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ให้เป็นหน่วยปฏิบัติการในการส่งเสริมและดูแลคนพิการ รวมทั้งตรวจสอบการปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราช บัญญัตินี้ ๑.๑.๒ ปรับปรุงอำนาจการออกบัตรประจำตัวคนพิการให้นายทะเบียนกลางและนายทะเบียน จังหวัดสามารถมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในส่วนราชการเดียวกันหรือหน่วยงานของรัฐอื่นดำเนินการออก บัตรประจำตัวคนพิการแทนได้ ๑.๑.๓ เพิ่มบทบัญญัติในการกำหนดสิทธิคนพิการในการเข้าถึงและใช้สิทธิประโยชน์ตามที่กฎ หมายกำหนด ๑.๑.๔ เพิ่มบทบาทขององค์กรคนพิการในการช่วยเหลือคนพิการ ๑.๑.๕ ปรับปรุงการบริหารจัดการกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีประสิทธิ ภาพและคล่องตัวมากขึ้น ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อยกฐานะสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณ ภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขึ้นเป็นกรมในกระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนัก งาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติอาจมอบหมายให้ หน่วยงานของรัฐ องค์กรคนพิการ หรือองค์กรเอกชน เป็นผู้จัดตั้งและดำเนินการศูนย์บริการคนพิการได้ รวมทั้ง อาจได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินหรือกองทุนได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด นั้น ควรกำหนดสถานะของศูนย์บริการคนพิการให้ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติทั้งเรื่องความซ้ำซ้อน ในการทำงาน การบริหารจัดการในภาพรวมที่จะส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและวิธีการในการได้รับการจัด สรรค่าใช้จ่ายจากรัฐ และการยกฐานะสำนักงานฯ ขึ้นเป็นกรม ไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ และวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ ที่เห็นชอบให้ส่วนราชการต่าง ๆ ระงับการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงาน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34973 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | กค | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มี กฎหมายว่าด้วยมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบด้านการจัด การสิ่งแวดล้อมสามารถนำมาตรการการคลัง เช่น มาตรการทางภาษี ค่าธรรมเนียมฯ มาใช้ในการจัดการสิ่งแวด ล้อมให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งนำรายได้ที่จัดเก็บได้จากการใช้มาตรการการคลังดังกล่าวกลับคืนมาจัด การสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีหน้า ที่ความรับผิดชอบด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถนำมาตรการการคลังมาใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ เกิดประสิทธิภาพ แต่มาตรการดังกล่าวยังมีความไม่ชัดเจนในหลาย ๆ ประเด็น เช่น มาตรการภาษี การจัดตั้ง กองทุนภาษี และการบริหารจัดการกองทุน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงสมควร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจน แล้วส่งผลการพิจารณาให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไปไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวง สาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีตามข้อ ๑ ไปพิจารณาหารือร่วมกัน แล้ว ส่งผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดัง กล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34974 | การจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นหรือใกล้เต็มขั้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๒ เมื่อวันที่
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขึ้นหรือใกล้เต็มขั้น เฉพาะในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวคือ ให้ ธ.ก.ส. จ่ายเงินตอบแทน พิเศษให้พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นในอัตราร้อยละ ๒-๕ ของเงินเดือนขั้นสูงของตำแหน่งที่ดำรงอยู่โดยพิจารณา จากการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี และให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่า ธ.ก.ส. จะต้องปรับปรุงองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และปรับลดค่าใช้จ่ายตามแนวทางที่เสนอไว้ รวมทั้งจะต้องรักษาสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คง อยู่ต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34975 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ 3 | มท | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติการกู้เงินของการประปาส่วนภูมิภาคตามค่าน้ำประปาที่เกิดขึ้นจริงเพื่อชดเชยรายได้จากการ ดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ ๓ (๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓) ภายในกรอบวง เงิน ๘๐๙,๙๗๕,๖๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้และเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและจำเป็นตามจำนวนที่เกิดขึ้นจริงและรัฐบาลเป็นผู้รับภาระในการชำระคืนเงิน ต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายใด ๆ อันเกิดจากการกู้เงินดังกล่าว เพื่อชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตาม มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ ๓ (๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓) และรับความเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อ มูลต่าง ๆ ที่ใช้ในการพิจารณาการชดเชยรายได้ให้ถูกต้องตรงกันและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และให้ กระทรวงการคลังพิจารณาสนับสนุนเงินชดเชยรายได้ให้กับรัฐวิสาหกิจที่ได้รับผิดชอบดำเนินการตามมาตรการดัง กล่าว โดยเฉพาะต้นเงินกู้และดอกเบี้ย เพื่อไม่ให้กระทบต่อฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจ ไปประกอบการพิจารณา ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34976 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง สำหรับค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | มท | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ งบกลาง รายการเงิน
สำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๕๔,๐๗๐,๐๐๐ บาท ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อจ่าย เป็นค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๑๔,๑๑๕ คน ในส่วนที่เพิ่มขึ้น ๑,๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ระยะเวลา ๑๒ เดือน (๑ ตุลาคม ๒๕๕๒-๓๐ กันยายน ๒๕๕๓) โดยให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ สำหรับค่า ตอบแทนพิเศษรายเดือนที่เบิกจ่ายตามอัตราเดิม ๑,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ให้เบิกจ่ายจากเงินรายได้ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34977 | รายงานผลการดำเนินงาน OTOP Midyear 2010 | มท | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสรุปผลการจัดงาน OTOP Midyear ๒๐๑๐ “ผนึกใจ ชิม ชม ช้อป” ในระหว่างวันที่ ๒๑ -๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยมีผู้เข้าชมงาน จำนวนทั้งสิ้น ๗๗๔,๙๐๔ คน ภายในงานมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP อาหาร เครื่องดื่ม ผ้า เครื่องแต่งกาย ของ ใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก และสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น ๘๑๘,๐๐๔,๔๓๐ บาท มากกว่ายอดการ จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากการจัดงานเมื่อปี ๒๕๕๒ (จำหน่ายได้ ๗๐๐,๙๐๙,๕๕๗ บาท) นอกจากนี้ ยังมีการประกวด เครือข่ายองค์ความรู้ (Knowledge-Based OTOP : KBO) จังหวัดดีเด่น (OTOP KBO CONTEST ) ปี ๒๕๕๓ เพื่อ ประกวดและเผยแพร่ผลงานของเครือข่ายฯ ตลอดจนให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาจากเครือข่ายฯ มีช่องทางการ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP เพิ่มขึ้น โดยการนำเสนอผลการดำเนินงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสาธิตกระบวนการ ผลิต และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ที่พัฒนาจากเครือข่ายฯ ซึ่งจังหวัดที่มีผลงานดีเด่นและได้รับรางวัลชนะเลิศ คือ จังหวัดร้อยเอ็ด ๒. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการจัดงาน OTOP CITY ๒๐๑๐ ใน เดือนธันวาคม ๒๕๕๓ ทั้งนี้ ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดงานดังกล่าว ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอคณะกรรมการ อำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามที่รัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ โดยให้รับข้อเสนอเพิ่มเติมของผู้อำนวยการสำนักงบ ประมาณ เกี่ยวกับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานเพิ่มเติมอีก ๓.๕ ล้านบาท จากเดิมที่ สำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นไว้แล้ว จำนวน ๑๓๐ ล้านบาท รวมเป็น ๑๓๓.๕ ล้านบาท ไปประกอบการพิจารณา ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34978 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 16 | นร | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๖ ของแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค ลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion Economic Cooperation Program : GMS) ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียด นาม ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานที่ผ่านมาของ แผนงาน GMS ใน ๙ สาขา (คมนาคม โทรคมนาคม พลังงาน การอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน การท่อง เที่ยวการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เกษตร และสิ่งแวดล้อม) และรับทราบข้อเสนอจากสภาธุรกิจ ๖ ประเทศลุ่มแม่ น้ำโขง รวมทั้งความก้าวหน้าการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในทศวรรษหน้า และ ให้ความเห็นชอบผลการศึกษาและแผนงาน จำนวน ๖ เรื่อง ที่จะเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานแผนงาน GMS ในอนาคต ได้แก่ (๑) กรอบยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงโครงข่ายเส้นทางรถไฟในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (๒) แผน ปฏิบัติการการอำนวยความสะดวกการค้าและการขนส่งข้ามพรมแดน (๓) โครงการศึกษาเพื่อสนับสนุนการใช้พลัง งานหมุนเวียน เชื้อเพลิงสะอาด และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (๔) แผนสนับสนุนความร่วมมือด้านการ เกษตร (ปี ๒๕๕๔-๒๕๕๘) (๕) กรอบแผนงานหลักด้านสิ่งแวดล้อม ระยะที่ ๒ (ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙) และ (๖) ยุทธ ศาสตร์และแผนปฏิบัติการการพัฒนาแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตอนใต้ นอกจากนี้ ยังมีผลการประชุมหารืออย่าง ไม่เป็นทางการระดับรัฐมนตรี (Ministerial Retreat) ซึ่งได้มีการหารือในประเด็นภาพรวมความก้าวหน้าการพัฒนา แผนงาน GMS และเตรียมความพร้อมสำหรับความร่วมมือในทศวรรษหน้าท่ามกลางบริบทของโลกและภูมิภาคที่มี ความเปลี่ยนแปลงสูง ๒. เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS และมอบหมายหน่วย งานรับไปดำเนินการโดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ต่อไป ทั้งนี้ ให้ สศช. ประสานงานกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้เห็นภาพรวม และ สามารถกำหนดทิศทางในการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านในอนาคตได้ ตามความเห็นของ กระทรวงการต่างประเทศ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34979 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 และการประชุมหารือร่วมรัฐมนตรีและภาคเอกชนครั้งที่ 1 ภายใต้กรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม | นร | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๒ และการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีและภาคเอกชน ครั้งที่ ๑ ภายใต้กรอบความร่วมมือ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ณ เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๒๕- ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่าง ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น (Mekong Japan Economic and Industrial Cooperation Initiative : MJ-CI) ประกอบ ด้วยการดำเนินงาน ๔ ด้านคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงตลาดนอกภูมิภาค การอำนวยความสะดวก การค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และภาคอุตสาห กรรม และการขยายศักยภาพอุตสาหกรรมบริการและอุตสาหกรรมใหม่ของอนุภูมิภาค โดยที่ประชุมฯ จะนำเสนอ แผนปฏิบัติการ MJ-CI ต่อที่ประชุมระดับผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ที่เวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในปลาย เดือนตุลาคม ๒๕๕๓ ต่อไป รวมทั้งเห็นชอบข้อเสนอของภาคเอกชนประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ซึ่งได้บรรจุข้อเสนอ ส่วนใหญ่ไว้ในแผนปฏิบัติการ MJ-CI แล้ว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ ๑.๑ เร่งพัฒนาเส้นทางคมนาคมที่ยังไม่สมบูรณ์ตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) และแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor : SEC) การพัฒนาเส้นทางรถไฟ การพัฒนาท่า เรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบนสองฝั่งมหาสมุทร คือ ฝั่งอันดามัน และทะเลจีนใต้ ๑.๒ อำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินรถข้ามพรมแดนระหว่างกัน อย่างสะดวก การตรวจปล่อย ณ จุดเดียว ลดจำนวนและความซับซ้อนของเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้ความช่วยเหลือ SMEs เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการเข้าถึงแหล่งเงินโดยจัดตั้งกองทุ นพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Development Fund) และร่วมมือกับสถาบันทางการเงินของ ปุ่นโดยใช้แนวทางการปล่อยกู้ต่อ (Two-step loan) ๑.๔ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพการผลิตในภาคบริการและอุตสาหกรรมใหม่ โดย เฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ร วมทั้งการใช้เทคโนโลยีการจัดการน้ำในภาคอุตสาห กรรม ๑.๕ ร่วมมือในการพัฒนาเรื่องอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการค้าการลงทุน เช่น การปรับปรุงระบบการแลก เปลี่ยนเงินตราในอนุภูมิภาคและการใช้สกุลเงินท้องถิ่นสำหรับการค้าชายแดน การเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกิจ และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง ๒. มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประสานส่วนราช การที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ MJ-CI ต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยว กับการจัดทำรายงานความก้าวหน้าและทบทวนแผนปฏิบัติการดังกล่าวเห็นควรให้มีผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ อยู่ในการประชุมคณะทำงาน ASEAN Economic Ministers-Ministry for International Trade and Industry Economic and Industrial Cooperation Committee’s Working Group on West-East Corridor Development (AMEICC WEC- WG) รวมทั้งในการประชุมระหว่างรัฐมนตรีกับภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34980 | การขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดชำระในปีงบประมาณ 2554 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระค่าดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๐๔๑.๖๗๗ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธี การเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ ขสมก. เป็นผู้รับภาระชำระเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ ขสมก. เร่งดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร และลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพื่อ บรรเทาปัญหาสภาพคล่องทางการเงินต่อไป รวมทั้งรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่ ให้ ขสมก. หารือกับกระทรวงคมนาคมถึงแนวทางในการปรับโครงสร้างค่าโดยสารรถโดยสารปรับอากาศ เพื่อ เพิ่มรายได้ให้สอดคล้องกับต้นทุนและลดรายจ่ายลงให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงด้วย และควรมีมาตรการปรับ ขนาดองค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่วนการลงทุนในโครงการต่าง ๆ จะต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีผลตอบ แทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนจึงจะดำเนินการ นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ขสมก. ได้รับอนุมัติให้กู้เงินเพื่อชำระดอก เบี้ยเงินกู้เดิมมาโดยตลอด เนื่องจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง ดังนั้น ขสมก. ควรเร่งรัดพิจารณาดำเนินการแก้ ไขประเด็นปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการปรับปรุงการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดภาระค่า ใช้จ่ายและลดภาระหนี้สินที่สะสมมาต่อเนื่องทุกปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |