ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1747 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34921 - 34940 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34921 | วาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทยและโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบผลการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาวาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความ ซื่อสัตย์และต่อต้านการทุจริตของคนไทย ที่เสนอโดยกระทรวงวัฒนธรรม และโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติ มิชอบในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ ที่เสนอโดยสำนักงาน ก.พ.ร. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ โดยให้บูรณาการแผนตามวาระแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นแผนในภาพรวมควบคู่กับการบูรณาการแผน ตามโครงการความร่วมมือส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม เพื่อประเทศไทยใสสะอาด ซึ่งเป็นแผนเฉพาะและจำเป็นเร่ง ด่วน ๓ เรื่อง ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง การแต่งตั้งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการรณรงค์ค่า นิยมความซื่อสัตย์สุจริต ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับแผนงาน/โครง การตามวาระแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ปลูกจิตสำนึกคุณธรรมความซื่อสัตย์ สุจริตและการต่อต้านการทุจริต ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ผนึกกำลังทุกภาคส่วนส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์และต่อต้าน การทุจริต และยุทธศาสตร์ที่ ๓ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่บุคลากรและองค์กรที่ส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์ สุจริตและป้องกันปราบปรามการทุจริต นั้น เห็นควรเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับตัวชี้วัด ผู้รับผิดชอบหลัก ผู้รับ ผิดชอบร่วมและระยะเวลาให้ครอบคลุมกลยุทธ์ทุกกลยุทธ์ในทั้ง ๓ ยุทธศาสตร์ รวมทั้งเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมยุทธ ศาสตร์ที่ ๓ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้สอดคล้องตามมติที่ประชุมกำหนดกรอบแนวทางและกล ยุทธ์ในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ และเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๓ ไปพิจารณา ดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง โดยเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน แล้วนำเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ดังนี้ ๓.๑ การจัดหาพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ควรพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดหาพัสดุให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยให้ความ สำคัญกับพัสดุที่จะจัดมากกว่าวงเงินสำหรับการจัดหา (ตามระเบียบฯ กำหนดวงเงินไว้ตั้งแต่ ๒ ล้านบาทขึ้นไป) ๓.๒ การกำหนดราคากลาง ควรพิจารณาให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับราคาตลาด และให้สามารถปรับ เปลี่ยนได้ตามเป็นจริงด้วย ๓.๓ การจัดจ้างที่ปรึกษา ควรพิจารณาให้มีระบบหลักเกณฑ์การจ้างที่ปรึกษาที่โปร่งใสเป็นธรรมและ สามารถตรวจสอบได้ โดยมิให้ที่ปรึกษาเข้ามามีบทบาทที่ไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อการดำเนินโครงการ โดย เฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินลงทุนสูง |
|||||||||||||||||||||
34922 | เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการ | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติ ก.พ. ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่เห็นชอบเครื่อง มือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการเพื่อให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้มีการปฏิบัติงานอย่างโปร่งใส ลด ความเสี่ยง และตระหนักว่าเครื่องมือวัดความโปร่งใสฯ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีแนว ทางในการทำงานอย่างโปร่งใส รวมถึงเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการลดความ เสี่ยงต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ โดยให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่นนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสม ตามที่ สำนักงาน ก.พ. เสนอ ทั้งนี้ การนำเครื่องมือวัดความโปร่งใสฯ ไปใช้ให้เป็นไปด้วยความสมัครใจของส่วนราชการ ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการรับเรื่องนี้ ไปประกอบการพิจารณา เพื่อจัดทำตัวชี้วัดการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของภาครัฐและใช้เป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราช การของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งกรณีนี้จะทำให้มีจำนวนตัวชี้วัดเพิ่มมากขึ้น จึงเห็นควรให้พิจารณาดำเนินการยกเลิกตัว ชี้วัดเดิมที่ไม่จำเป็น ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การประเมินความคุ้มค่าการ ปฏิบัติภารกิจของภาครัฐ) ให้เป็นรูปธรรมต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
34923 | โครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) | มท | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) โดยมีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงระบบจำหน่าย ๓๓ เควี ด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต และเกาะพระทอง จังหวัดพังงา ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ วงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๒๓๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกู้ในประเทศเพื่อดำเนินโครงการฯ ให้คำนึงถึงการวางแผนทางการเงินด้วย เนื่องจากมีแผนการก่อหนี้สาธารณะในโครงการลงทุนหลายโครงการซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรจากการดำเนินงานของหน่วยงานและรายได้ที่จะนำส่งรัฐได้ รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เกี่ยวกับการกำกับดูแลการวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ดำเนินการโดยใช้มาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันผลกระทบต่อแนวปะการังและหญ้าทะเล เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล และตรวจสอบดูแลการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เฉพาะประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอาศัยถูกต้องตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ รวมทั้งพิจารณาสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบแสงอาทิตย์เพื่อเป็นทางเลือกในการเสริมระบบจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟภ. โดยเฉพาะบนเกาะพระทอง นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้าในพื้นที่เกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ และเกาะพระทอง ในอัตราพิเศษแตกต่างจากอัตราที่เรียกเก็บในพื้นที่อื่น โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากบ้านอยู่อาศัยที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า ๔๐๐ หน่วยต่อเดือน ให้เรียกเก็บในอัตราปกติเช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกินกว่า ๔๐๐ หน่วยต่อเดือน และผู้ใช้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้เรียกเก็บในอัตราที่สูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ ไปดำเนินการโดยเคร่งครัด ๓. มอบหมายให้ กฟภ. ให้ความสำคัญโดยเร่งรัดการดำเนินการขยายติดตั้งระบบไฟฟ้าไปยังเกาะปันหยี จังหวัดพังงา เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
|||||||||||||||||||||
34924 | ขอความอนุเคราะห์แก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | สผ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราช
การตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้มีผลครอบคลุมถึง ข้าราชการรัฐสภาสามัญ โดยให้สอดคล้องกับมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการตามข้อสังเกตของ กระทรวงการคลัง และเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับข้าราชการพลเรือน โดยมอบให้กระทรวงการคลังรับ ไปดำเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับประเด็นข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง มีดังนี้ ๑. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ให้ปรับคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมมาตรการ ปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ จากเดิมที่กำหนดให้มีเวลาราชการเหลือตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป เป็นตั้งแต่ ๒ ปี ขึ้นไปแต่มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภากำหนดให้ผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวของ ส่วนราชการสังกัดรัฐสภามีเวลาราชการเหลือตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป ๒. พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วน ราชการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติให้ผู้เข้าร่วมมาตรการจะต้องไม่เป็นจำเลยในคดีอาญาซึ่งมิใช่ความผิด ลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท แต่มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ไม่ได้กำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ ๓. มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภากำหนดเงื่อนไขไว้ว่าผู้ซึ่งออกจากราช การตามมาตรการดังกล่าวห้ามบรรจุกลับเป็นข้าราชการประจำ พนักงานราชการ และลูกจ้างของส่วนราชการ สังกัดรัฐสภา แต่มาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า ผู้ซึ่งออกจากราชการตาม มาตรการดังกล่าวห้ามบรรจุกลับเข้ารับราชการประจำในฝ่ายบริหารอีก ทั้งนี้ ไม่ว่าจะบรรจุกลับเป็นข้าราช การ พนักงานและลูกจ้างของส่วนราชการสังกัดใดในฝ่ายบริหารก็ตาม
|
|||||||||||||||||||||
34925 | รายงานการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ในช่วง 6 เดือนแรก (1 ตุลาคม 2552 - 31 มีนาคม 2553) | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ในช่วง
๖ เดือนแรก (๑ ตุลาคม ๒๕๕๒-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบ ตามมาตรา ๑๖๙ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑. การโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ในช่วง ๖ เดือนแรก (๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ -๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓) มีการโอนงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นจำนวน ๑,๕๗๓.๕๗๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๙ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๑,๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. รายละเอียดการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจครั้งนี้ จำแนกเป็น ๒ กรณี ซึ่งเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ ดังนี้ ๒.๑ เป็นการโอนงบประมาณรายจ่ายโดยใช้อำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ (ระเบียบฯ ข้อ ๒๔-๒๖) จำนวน ๔๙๐.๐๘๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๓ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๒ เป็นการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการที่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (ระเบียบฯ ข้อ ๒๗) จำนวน ๑,๐๘๓.๔๙๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๖ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓
|
|||||||||||||||||||||
34926 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ที่จังหวัดยะลา | อก | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตามคำขอที่ ๓/๒๕๔๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นว่า พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี จัดเป็นป่าต้นน้ำในการดำเนินการจึงต้องระมัดระวังในเรื่องผลกระทบคุณภาพน้ำ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ส่วนขั้นตอนในการอนุมัติประทานบัตร เห็นควรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๑๒๓๓๗/๑๕๒๗๒) ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๓/๒๕๔๗ (ประทานบัตรที่ ๓๑๕๓๐/๑๕๒๓๖) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา ตั้งอยู่ที่ตำบลลิดล อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย และเห็นควรวางแนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบในการให้สัมปทานบัตรในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
34927 | มาตรการทางภาษีเชิงรุกเพื่อสนับสนุนการอ่าน | กค | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติให้ถอนเรื่อง มาตรการทางภาษีเงินรุกเพื่อสนับสนุนการอ่าน และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตาม ความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์) เสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการสมควรพิจารณานำ หนังสือที่ไม่มีลิขสิทธิ์แล้วมาจัดพิมพ์ เนื่องจากต้นทุนการผลิตจะไม่สูง รวมทั้งจัดพิมพ์หนังสือสำหรับเด็กและเยาวชน เผยแพร่ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการอ่านอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
34928 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเกาะแตน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | มท | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเกาะแตน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลตลิ่งงาม อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ที่สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
34929 | ขอความเห็นชอบการจัดทำปฏิญญานิอิกาตะว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค (The Niigata Declaration on APEC Food Security) | กษ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการจัดทำร่างปฏิญญานิอิกาตะว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค (The Niigata Declaration on APEC Food Security) เพื่อแสดงเจตนารมณ์เกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารระหว่างสมาชิกเอเปค ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทนที่เข้าประชุมให้การรับรองเพื่อประกาศเจตนารมณ์ต่อร่างปฏิญญาฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะผู้แทนไทยโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการพิจารณาศึกษาอย่างลึกซึ้งเรื่องหลักการลงทุนที่รับผิดชอบ (Responsible Agricultural Investment : RAI) เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพทั้งในการเป็นผู้ส่งออกการลงทุนในสาขาเกษตร และเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างชาติสนใจจะเข้ามาลงทุนในสาขาเกษตร โดยเฉพาะการทำการเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
34930 | รายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2553 | นร | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประชุมคณะกรรมการ
ผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรี (รองศาสตราจารย์ ประกอบ จิรกิติ) เป็นประธานการประชุม โดยสาระสำคัญของการประชุมมีดังนี้ ๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ได้เสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการประสานงานระหว่าง กระทรวงต่าง ๆ เพื่อให้การทำงานระหว่างหน่วยงานบรรลุวัตถุประสงค์และเกิดความรวดเร็ว โดยเฉพาะปัญหา ความมั่นคงของรัฐ ๒. พลโท นาวิน ดำริกาญจน์ หัวหน้านายทหารประสานภารกิจทางทหารกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้บรรยายเรื่อง การจัดสร้างระบบบูรณาการฐานข้อมูลต่างกระทรวงแบบพกพา (CVICS) ๓. พลโท พิเชษฐ วิสัยจร แม่ทัพกองทัพภาคที่ ๔ บรรยายเรื่อง สภาพปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ ๔. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ บรรยายเรื่อง การ พัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๕. ข้อเสนอแนะของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ดังนี้ ๕.๑ ควรให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์รายการโทรทัศน์ของทหารและ ศอ.บต. ที่ดำเนินการชี้แจง และทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ในช่วงเวลาปกติ ๕.๒ การแก้ไขปัญหายาเสพติดควรแก้ที่ตัวบุคคล ซึ่งปัจจุบันผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเข้ามามีบท บาททางการเมืองในระดับท้องถิ่นส่วนใหญ่ ๕.๓ นำวัฒนธรรมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในท้องถิ่น ๕.๔ ปัญหาส่วนใหญ่มาจากเรื่องวัฒนธรรม ศาสนาที่แตกต่างกัน ยาเสพติดและสินค้าหนีภาษี การ ศึกษาในสถาบันเอกชน ๕.๕ เสนอให้มีการศึกษาดูงานในพื้นที่จริงเพื่อนำมาประเมินและดำเนินการประสานระหว่างกระทรวง เพื่อแก้ไขปัญหาให้ประสบความสำเร็จ
|
|||||||||||||||||||||
34931 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (นายโชติ ตราชู) | ทส | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายโชติ ตราชู เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ แทนนายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
34932 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง ปี 2552 | กค | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหา
ริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๒ โดยมีผลการดำเนินงานดังนี้ ๑. รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัยอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรง แรม-รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้าน อุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงินซึ่งสามารถเผยแพร่ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๕๒ รวมทั้งจัด ทำบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์รายเดือนและรายไตรมาส ๒. จัดทำ REIC Research Report เพื่อเผยแพร่สรุปและวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์รายสัปดาห์ และเผยแพร่บนเว็บไซต์ www.reic.or.th จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยรายไตรมาส และจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูล RIEC Journal รายไตรมาส ประกอบด้วย รายงานสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ สรุป สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ไทยและต่างแดน รายงานการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัย และบทความพิเศษการประเมิน มูลค่าอสังหาริมทรัพย์แบบ CAMA : Computer-assisted mass appraisal ๓. สถิติการใช้บริการข้อมูลของศูนย์ข้อมูลฯ ในครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๓ มีการใช้บริการเพิ่มขึ้นทุกช่องทาง มี ผู้สนใจซื้อข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบการสัมมนาหรือเอกสารที่จัดทำขึ้น โดยผู้ใช้บริการที่ซื้อข้อมูลของศูนย์ ข้อมูลฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ ๔๕ กลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินร้อย ละ ๑๖ ผู้ผลิตและผู้ค้าวัสดุก่อสร้างร้อยละ ๘ ๔. งานที่ศูนย์ข้อมูลฯ ดำเนินการเพิ่มเติมนอกเหนือจากแผนงาน ได้แก่ งานพัฒนาโปรแกรมระบบ Multiple Listing Service (MLS) มีหน่วยงานลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงการร่วมใช้งานระบบดังกล่าวที่ศูนย์ข้อมูลฯ พัฒนาแล้วเสร็จ จำนวน ๑๔ หน่วยงาน
|
|||||||||||||||||||||
34933 | รายงานผลการดำเนินโครงการควบคุมและรับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU ตามมติคณะรัฐมนตรี (เมษายน - มิถุนายน 2553) | กษ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินโครงการควบคุมและ
รับรองการจับสัตว์น้ำเพื่อป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมง IUU ครั้งที่ ๒ ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๓ โดยเป็นข้อมูลผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้ ๑. สถานการณ์การส่งออกสินค้าประมงไปยังสหภาพยุโรปและการนำเข้าวัตถุดิบสัตว์น้ำโดยเฉพาะปลาทู น่าจากต่างประเทศเพื่อแปรรูปส่งออกสหภาพยุโรป ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๓ เทียบกับช่วงเดียวกัน ของปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๒ มีปริมาณการส่งออกคงที่ปกติ (ปริมาณการส่งออก จำนวน ๑๒๑,๔๖๑ ตัน มูล ค่า ๑๖,๑๒๗.๗๔ ล้านบาท) ส่วนการนำเข้าปลาทูน่าในภาพรวมจากต่างประเทศมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยสรุปกฎ ระเบียบ IUU ยังไม่มีผลกระทบต่อการนำเข้า-ส่งออกสินค้าประมงของไทยไปยังสหภาพยุโรป ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ มีดังนี้ ๒.๑ สัตว์น้ำจากเรือประมงหลายลำไม่สามารถส่งออกไปยังสหภาพยุโรปได้เนื่องจากเรือประมงเหล่า นั้นยังไม่จดทะเบียนเรือและอาชญาบัตรทำการประมงให้ถูกต้อง ๒.๒ ผู้ประกอบการแพปลา ชาวประมงบางส่วนยังกรอกเอกสารสมุดบันทึกการทำประมงและหนังสือ กำกับการซื้อขายสัตว์น้ำไม่ถูกต้อง และส่วนใหญ่เกรงเรื่องภาษีทำให้ข้อมูลที่หน่วยงานบริการออกใบรับรองการจับ สัตว์น้ำได้รับไม่ครบถ้วน ๒.๓ ปัญหาผู้ส่งออกวัตถุดิบให้ไทยบางประเทศยังไม่มีความพร้อมในการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ ให้ผู้นำเข้าของไทย และผู้ส่งออกบางประเทศกำหนดแนวทางปฏิบัติตามที่ตนต้องการ เช่น ไม่ให้ต้นฉบับใบรับรอง การจับสัตว์น้ำแก่ผู้นำเข้าและไม่รับรองสำเนาให้ด้วย ๒.๔ ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่ส่งออกวัตถุดิบปลาทูน่าให้แก่ผู้ประกอบการของไทยบางประเทศไม่มีหน่วย งาน Competent Authority จึงไม่สามารถออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำให้ไทยได้
|
|||||||||||||||||||||
34934 | รายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 และ 2551 | คค | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการตรวจรับรองงบการเงินของการ
รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ ซึ่งผ่าน การตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ดังนี้ ๑. งบดุล ปี ๒๕๕๒ รฟม. มีสินทรัพย์รวม ๔,๓๐๔,๘๒๙,๐๔๓.๙๖ บาท หนี้สินรวม ๗๘,๖๙๗,๗๒๑,๐๕๙ .๑๕ บาท และทุนรวม ๒๓,๙๕๖,๖๙๖,๖๓๙.๘๑ บาท ส่วนงบดุล ปี ๒๕๕๑ รฟม. มีสินทรัพย์รวม ๔,๗๓๔,๔๔๕, ๖๑๑.๕๔ บาท หนี้สินรวม ๗๓,๖๘๓,๑๔๙,๖๓๙.๐๓ บาท และทุนรวม ๒๘,๘๘๕,๗๙๗,๕๓๐.๑๑ บาท ๒. งบกำไรขาดทุน ปี ๒๕๕๒ รฟม. มีรายได้รวม ๕๐๘,๓๖๕,๐๗๓.๗๕ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๒,๙๑๖,๕๒๑, ๔๔๐.๖๐ บาท ขาดทุนสุทธิ ๑๒,๔๐๘,๑๕๖,๓๖๖.๘๕ บาท ส่วนงบกำไรขาดทุน ปี ๒๕๕๑ รฟม. มีรายได้รวม ๔๙๑, ๖๔๒,๘๐๖.๘๙ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๙,๔๘๘,๗๙๑,๓๘๙.๖๙ บาท ขาดทุนสุทธิ ๘,๙๙๗,๑๔๘,๕๘๒.๘๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||
34935 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองสังข์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองสังข์ เป็นทางน้ำชล
ประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองสังข์ จากศูนย์ กลางฝายคลองสังข์ กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่ายาง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทางเหนือ น้ำ ถึงกิโลเมตรที่ ๓.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่ายาง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และไปทางท้ายน้ำ ถึง กิโลเมตรที่ ๑๕.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลทุ่งสัง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นทางน้ำชลประทานที่จะ เรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
34936 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... | มท | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางซ้าย จังหวัดพระ
นครศรีอยุธยา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลปลายกลัด ตำบลเต่าเล่า ตำบลบาง ซ้าย และตำบลแก้วฟ้า อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรง รักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การ สาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรม การกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
34937 | ขอถอนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการแจ้งรายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. .... | สธ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการแจ้งรายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
ยาสูบ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงสาธารณ สุขเสนอได้
|
|||||||||||||||||||||
34938 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินประเทศอาร์เมเนีย | ยธ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงาน ปปง. จัดทำความตกลงกับ The Financial Monitoring Center ประเทศอาร์เมเนีย โดยใช้ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding (MOU)) เรื่อง ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยน ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และปรับรูปแบบตอนท้ายก่อนส่วนลงนาม เนื่องจากจะเป็นการลงนามเอกสารแลกเปลี่ยนกันทางไปรษณีย์ ดังนี้ Done in duplicate in the English language. Signed in Bangkok on ………………….Signed in Yerevan on ………………………… ๑.๒ ให้เลขาธิการ ปปง. เป็นผู้ลงนาม MOU ฝ่ายไทย ๒.ให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในส่วนของประเด็นถ้อยคำ เพื่อความ กระจ่างชัดในการตีความและเพื่อให้สอดคล้องกับการที่ไทยและอาร์มาเนียจะลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ณ เวลาที่ ต่างกันผ่านทางไปรษณีย์ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องอาจพิจารณาปรับแก้ถ้อยคำในข้อ ๙ ของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็น “This MOU Shall enter into force on the date of its the last signature and shall continue to be in force until …” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
34939 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2551 - 2552 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการพัฒน
าการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหาร งานยุติธรรมแห่งชาติ โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย ๑. ส่วนที่ ๑ รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนา การบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการที่ได้แต่งตั้งภายใต้คณะกรรมการฯ จำนวน ๑๒ คณะ ๒. ส่วนที่ ๒ รวบรวมผลงานสำคัญของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและคณะอนุ กรรมการที่ได้แต่งตั้งภายใต้คณะกรรมการ ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ จำแนกเป็น ๕ ด้าน ดังนี้ ๒.๑ การจัดทำแผนและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารงานยุติธรรม ๒.๒ การส่งเสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ๒.๓ การวิจัย พัฒนากฎหมาย และการบริหารงานยุติธรรม ๒.๔ การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม ๒.๕ การส่งเสริมพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับพื้นที่ ๓. ส่วนที่ ๓ การรายงานข้อมูลสถิติด้านกระบวนการยุติธรรม ประกอบด้วย ๓.๑ ข้อมูลพื้นฐานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ๓.๒ ข้อมูลสถิติการดำเนินงานกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ๓.๓ ข้อมูลสถิติการดำเนินงานกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง ๓.๔ ข้อมูลสถิติการดำเนินงานกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง
|
|||||||||||||||||||||
34940 | การนำเสนอรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2552 ต่อคณะรัฐมนตรี | พม | 12/10/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงาน
การพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี ๒๕๕๒ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่ง ชาติ (กดยช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๓ ได้มีมติเห็นชอบรายงานดังกล่าว พร้อมทั้งมีข้อ คิดเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ดังนี้ ๑. รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชนฯ ที่เสนอมีเนื้อหาค่อนข้างกว้างครอบคลุมในหลายเรื่อง และ ข้อเสนอการดำเนินการเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานเกินไป ควรมีการกลั่นกรองออกมาก่อนนำเสนอ คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ๒. เห็นควรเพิ่มเติมงบประมาณของภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม ที่ใช้เพื่อการพัฒนาเด็กและ เยาวชน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงไว้ในรายงานฉบับต่อ ๆ ไปด้วย ๓. การจัดทำรายงานปีต่อไปควรปรับปรุงรูปแบบให้กระชับและเน้นเนื้อหาเพื่อดูแนวโน้มการเปลี่ยน แปลง
|
.....