ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1710 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 34181 - 34200 จากข้อมูลทั้งหมด 123998 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34181 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างที่พักอาศัยสำนักงานอัยการจังหวัดสกลนคร พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ | อส | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างที่พักอาศัยสำนักงานอัยการจังหวัดสกลนคร พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ และค่าควบคุมงาน จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
34182 | ผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกระทรวงมหาดไทย โดยสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการบริหารจัดการระบบตามโครงการฯ รายงานว่า ขณะนี้สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ทำสัญญาจ้างโครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้กับบริษัท ไทยทรานสมิชชั่น อินดัสทรี จำกัด เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
34183 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... | กค | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ แก้ไขคำนิยามของ “รัฐวิสาหกิจ” และ “การอุดหนุนทางการเงิน” ๑.๒ ปรับปรุงตำแหน่งกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะและผู้ช่วยเลขานุการ ๑.๓ กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๑.๔ ปรับปรุงการกำหนดค่าตอบแทนของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ๑.๕ กำหนดขั้นตอนการขอรับและพิจารณาเงินอุดหนุนของรัฐวิสหากิจ ๑.๖ กำหนดให้รัฐวิสาหกิจจัดทำรายงานผลการให้บริการสาธารณะตามที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาปรับปรุงร่างระเบียบฯ ให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ ที่ให้กระทรวงการคลังพิจารณาว่ามาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในเรื่องใดที่เป็นบริการสังคมของรัฐวิสาหกิจ ก็อาจปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (PSO) ต่อไป โดยอาจกำหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการพิจารณาบริการสาธารณะที่เป็นนโยบายพิเศษของรัฐบาลเป็นกรณีพิเศษแตกต่างจากการให้บริการสาธารณะที่ดำเนินการเป็นประจำทุกปี ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำข้อเสนอเพื่อขอรับการอุดหนุนของรัฐวิสาหกิจ ควรกำหนดเพิ่มเติมให้รัฐวิสาหกิจต้องจัดทำข้อเสนอที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่คณะกรรมการกำหนดโดยเคร่งครัด และควรกำหนดกรอบระยะเวลาการยื่นข้อเสนอของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นเป็นให้ยื่นล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๓ เดือน ก่อนเริ่มปีงบประมาณ รวมทั้งการขอรับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมกรณีค่าใช้จ่ายจากการให้บริการสาธารณะ ควรระบุเพิ่มเติมให้ชัดเจนเฉพาะกรณีที่เกิดจากปัจจัยภายนอกที่รัฐวิสาหกิจไม่สามารถควบคุมได้เท่านั้น นอกจากนี้ การจ่ายเงินชดเชยผลขาดทุนให้แก่รัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะในรูปของเงินงบประมาณตามจำนวนของส่วนต่างของราคาค่าบริการกับต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง ควรคำนึงถึงต้นทุนที่เป็นมาตรฐานที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับการให้บริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||
34184 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... | พณ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. ให้ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามพิกัดอัตราศุลกากรขาเข้าประเภทย่อย ๑๐๐๕.๙๐.๙๐ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองเพื่อแสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร ได้แก่ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบฟอร์ม ดี (Form D) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองดังกล่าวของประเทศที่ส่งออก หนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วนที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมาย และหนังสือรับรอง ใบรับรอง หรือเอกสารหลักฐานอื่นใด ซึ่งแสดงว่าสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นสินค้าที่มีความปลอดภัยต่อชีวิต หรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองดังกล่าวของประเทศที่ส่งออก ๒. การนำเข้าสินค้าตามข้อ ๑ ที่มีมูลค่าตามราคา เอฟ โอ บี ไม่เกินสองร้อยดอลลาร์สหรัฐ ไม่ต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบฟอร์มดี (From D) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองดังกล่าวของประเทศที่ส่งออก ๓. ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม ถึง วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๔. ต้องนำเข้าทางด่านศุลกากรที่มีด่านตรวจพืชและด่านกักสัตว์ หรือมีเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจของด่านดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ ๕. การขอและการออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางสวนที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมาย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กรมการค้าต่างประเทศประกาศกำหนด ๖. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามข้อ ๑ เข้ามาในราชอาณาจักรในอัตราน้ำหนักสุทธิเมตริกตันละศูนย์บาท
|
|||||||||||||||||||||
34185 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง | กค | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง วาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทยและโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ) ซึ่งกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ได้ประชุมร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๓ โดยมีประเด็นข้อหารือรวม ๔ ประเด็นคือ การกำหนดราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ การกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์และมาตรฐานสิ่งก่อสร้าง การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดหาพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และการจ้างที่ปรึกษา ๑.๒ อนุมัติให้มีการทบทวนราคากลางงานก่อสร้างให้เป็นปัจจุบันโดยกำหนดให้ในกรณีที่หัวหน้าหน่วยงานได้ให้ความเห็นชอบราคากลางงานก่อสร้างที่คณะกรรมการกำหนดราคากลางของหน่วยงานได้คำนวณไว้แล้วและยังไม่ประกาศสอบราคา ประกาศประกวดราคา หรือประกาศร่าง TOR ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่หัวหน้าหน่วยงานได้ให้ความเห็นชอบให้หัวหน้าหน่วยงานสั่งการให้คณะกรรมการกำหนดราคากลางที่คำนวณราคากลางงานก่อสร้างของหน่วยงานนั้นพิจารณาทบทวนราคากลางใหม่ให้มีความเป็นปัจจุบัน และนำเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศสอบราคา ประกาศประกวดราคา หรือประกาศร่าง TOR อีกครั้งหนึ่ง ๑.๓ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ทำหน้าที่ในระดับปฏิบัติแทนคณะอนุกรรมการกำกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง กับคณะอนุกรรมการกำกับนโยบายการตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้างต่อไป โดยคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมเป็นปัจจุบันและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมทั้งให้พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ้างที่ปรึกษาออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างให้เหมาะสม โดยอาจพิจารณากำหนดปริมาณและจำนวนงานที่บริษัทที่ปรึกษาจะรับผิดชอบดำเนินการในคราวเดียวกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลสูงสุด และการพิจารณากลไกที่จะไม่ให้บริษัทที่ปรึกษาเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทที่ทำการก่อสร้างให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||
34186 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ รวม 4 ฉบับ) | พณ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศ จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและวัสดุที่เกี่ยวข้องกับอาวุธไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และการห้ามนำเข้าเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ให้อาวุธและวัสดุที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ (ร่างข้อ ๔) เว้นแต่การส่งออกที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการสนับสนุน หรือใช้โดย United Nations Operation in Cote d’I Voire (UNOCI) การส่งออกอุปกรณ์ทางทหารที่ไม่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต ฯลฯ ๑.๒ ให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนทุกชนิดที่ส่งมาจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เว้นแต่การนำเข้ามาเพื่อการวิจัยและวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ๒. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐซูดาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐซูดาน เว้นแต่การส่งออกไปใช้ในการฝึกอบรมทางเทคนิคและการช่วยเหลือในการปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการสร้างสันติภาพ ฯลฯ ๓. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐไลบีเรีย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งออกอาวุธและอุปกรณ์ทางทหารไปสาธารณรัฐไลบีเรีย พ.ศ. ๒๕๔๕ ๓.๒ ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐไลบีเรีย เว้นแต่การส่งออกที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน หรือใช้โดย The United Nations Mission in Liberia (UNMIL) การส่งออกเครื่องแต่งกายที่ใช้ในการป้องกัน ฯลฯ ๔. ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๔๑) พ.ศ. ๒๕๔๔ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๔๑) พ.ศ. ๒๕๔๔
|
|||||||||||||||||||||
34187 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคี ไทย - อุซเบกิสถาน ครั้งที่ 1 | กต | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - อุซเบกิสถาน ครั้งที่ ๑ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ กรุงทาชเคนต์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน โดยที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับสถานะความสัมพันธ์ทวิภาคี และการค้าระหว่างไทยกับอุซเบกิสถาน การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า รวมทั้งการร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านพลังงาน อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมสิ่งทอ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อุตสาหกรรมไฟฟ้า เภสัชกรรม การท่องเที่ยว ความร่วมมือทางวิชาการ การศึกษา บริการสาธารณสุข ศุลกากร และความร่วมมือด้านกฎหมาย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ตามกรอบอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงพาณิชย์ รับผิดชอบเรื่องการส่งเสริมการค้า การจัดทำความตกลงด้านการค้า และกลไกในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า ๒. กระทรวงอุตสาหกรรม รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม การจัดทำความตกลงด้วยความร่วมมือด้านมาตรฐานอุตสาหกรรม ๓. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. กระทรวงสาธารณสุข / องค์การเภสัชกรรม รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการผลิตเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ ๕. กระทรวงการคลัง รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านศุลกากรและการจัดทำความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษี ๖. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านการเกษตรและการจัดทำความตกลงว่าด้วยสุขอนามัยพืช และความร่วมมือด้านวิชาการสาขาการเกษตร ๗. กระทรวงวัฒนธรรม รับผิดชอบเรื่องความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมและกีฬา ๘. กระทรวงการต่างประเทศ / กระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ๙. กระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านการส่งเสริมการศึกษา ๑๐. กระทรวงการต่างประเทศ โดยสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านความช่วยเหลือทางวิชาการและพัฒนาในสาขาต่าง ๆ ๑๑. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและการจัดทำความตกลงว่าด้วยการท่องเที่ยว |
|||||||||||||||||||||
34188 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการลดผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาท | กค | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการลดผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาท ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการคลังร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตรวจสอบเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่เข้ามาทำกำไรและบัญชีประเภทผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ พร้อมทั้งเข้มงวดการเข้ามาในลักษณะเก็งกำไรทั้งในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ โดยศึกษาความเป็นไปได้จากการเรียกเก็บภาษีที่ได้จากการทำกำไรหรือภาษีในรูปแบบอื่นที่เหมาะสม ๒. ให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้ค้ำประกัน โดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้เป็นการกู้ด้วยวิธีพิเศษบัญชีประเภทไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ๓. ศึกษาความเป็นไปได้ในการชดเชยการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในทุก ๆ ใบสั่งซื้อสินค้าหรือใบขนสินค้าทางเรือ ในกรณีของรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยกำหนดระดับการชดเชยคงที่ไว้ในอัตราหนึ่ง (เช่น ร้อยละ ๕) เป็นเวลา ๖ เดือน หากสภาพการณ์ยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องมีมาตรการกำกับควบคุมในการปฏิบัติอย่างรัดกุม ๔. ให้เอกชนสามารถชำระค่าระวางสินค้าและค่าสินค้าด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ๕. ให้กระทรวงการคลังช่วยเหลือด้านวงเงินค้ำประกันล่วงหน้า (Forward) และให้รัฐบาลช่วยเหลือด้านค้ำประกันให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ๖. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงและทำความเข้าใจแก่สาธารณะในความจำเป็นในการดำเนินมาตรการดังกล่าว เช่น การคงอัตราอดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๑.๗๕ ๗. ให้มีเงินกู้ซื้อเครื่องจักร ซอฟแวร์ และเทคโนโลยีการผลิตอื่น ๆ โดยกำหนดอัตราภาษีขาเข้าร้อยละ ๐.๑ และให้ประเมินมูลค่าเครื่องจักรเพื่อตัดค่าเสื่อมได้มากกว่าหนึ่งเท่า ๘. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการเงินทุนสำรองที่มีมากกว่า ๑.๕๘ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้มีประสิทธิภาพและก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศในอนาคต และให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนหนึ่งมาตั้งเป็นกองทุนความมั่นคั่งแห่งชาติ ๙. ให้สำนักบริหารหนี้สาธารณะศึกษาความเป็นไปได้ในการทำแผนการชำระหนี้ก่อนระยะเวลาของรัฐวิสาหกิจซึ่งมีหนี้ต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
34189 | ผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะมะพร้าว เกาะนาคาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นผู้รับผิดชอบ ว่าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการประกวดราคา ส่วนโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าให้เกาะต่าง ๆ (เกาะปันหยี จังหวัดพังงา) อยู่ในขั้นตอนขออนุญาตกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จากนั้นจึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการประกวดราคาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
34190 | การดำเนินงานโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ปี 2553 | มท | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง เงินค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ที่ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนการจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตามขั้นตอนเดิม โดยจังหวัดโอนเงินไปให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จากนั้น อบจ. โอนให้สาธารณสุขจังหวัด เพื่อจะได้จัดสรรให้ อสม. ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ปี ๒๕๕๓ โดยไม่รวมอยู่ในงบประมาณที่อยู่ในสัดส่วนของเงินอุดหนุนที่รัฐต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
34191 | ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย | กต | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๕๐ (ค.ศ. ๒๐๑๐) เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นโจรสลัด และการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติต่อไป โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของประเทศไทย รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
34192 | ขอเสนอชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (นางสุรีย์ประภา ตรัยเวช) | ยธ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งให้นางสุรีย์ประภา ตรัยเวช เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
34193 | การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจ เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดังนี้
๑. มาตรการระยะสั้น ๑.๑ ห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ผู้ใดเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นเกินกว่า ๓ แห่ง ทั้งนี้ ให้นับรวมการเป็นกรรมการโดยตำแหน่งและการได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติราชการแทนในตำแหน่งกรรมการด้วย ในกรณีที่ผู้ใดดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเกินกว่า ๓ แห่ง ให้ผู้นั้นลาออกจากตำแหน่งกรรมการดังกล่าว หรือให้ผู้มีอำนาจสั่งให้ออกจากตำแหน่งกรรมการ เพื่อให้เหลือการเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นไม่เกิน ๓ แห่ง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๒ ให้กำหนดเป็นหลักการในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติราชการ โดยให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งต้องถือปฏิบัติว่า ห้ามกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับให้สามารถเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ให้แก่คู่สมรสหรือผู้ติดตามที่มิได้มีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติงานในรัฐวิสาหกิจที่ร่วมเดินทางไปกับผู้ปฏิบัติงาน หากรัฐวิสาหกิจใดได้กำหนดระเบียบหรือข้อบังคับให้สามารถเบิกจ่ายได้ไว้แล้วก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติก็ให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการยกเลิก หรือแก้ไข ปรับปรุงระเบียบ หรือข้อบังคับ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าวข้างต้นภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ รวมถึงห้ามรัฐวิสาหกิจทุกแห่งกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับอื่นในลักษณะเดียวกันซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่สมรสหรือบุคคลใด ๆ ที่มิได้เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานในรัฐวิสาหกิจนั้นด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังศึกษาทบทวนและปรับปรุงกระบวนการ วิธีการสรรหา คัดเลือกและจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ หรือกรรมการรัฐวิสาหกิจให้มีความสมบูรณ์ รัดกุม โปร่งใส และให้เหมาะสม เพื่อให้ได้บัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิหรือกรรมการรัฐวิสาหกิจตรงตามความเชี่ยวชาญในด้านที่กำหนดไว้อย่างแท้จริงตามสภาวการณ์ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ๑.๔ ส่วนมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจฯ ในข้ออื่น ๆ เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๔.๑ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักหรือเทียบเท่าขึ้นไปในส่วนราชการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย รองหรือผู้บริหารสูงสุดในรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม กำกับ ทั้งด้านนโยบายและด้านการปฏิบัติ (Regulator) เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้น ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสาธารณูปโภคและมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรรวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในการควบคุม กำกับ หรือดูแล นั้น ผู้แทน ป.ป.ช. จะขอรับไปพิจารณาจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับรายชื่อรัฐวิสาหกิจในแต่ละกรณี รวมถึงกรณีรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และรัฐวิสาหกิจที่อาจยังไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็น Regulator อย่างชัดเจนด้วย แล้วจะเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔.๒ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวดที่ ๑๑ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินคดีเป็นประธานกรรมการ หรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ และหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้น นั้น ผู้แทน ป.ป.ช. จะขอรับไปประสานงานและพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด อีกครั้งหนึ่ง แล้วจะเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. มาตรการระยะยาว มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้น นอกเหนือจากพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้ว สมควรพิจารณาให้ครอบคลุมถึงการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของประโยชน์ทับซ้อน เช่น พระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
34194 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายซึ่งมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัย พ.ศ. .... | มท | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายซึ่งมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ให้ผู้อำนวยการท้องถิ่นหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานครแห่งพื้นที่ที่ทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่รายงานต่อผู้อำนวยการจังหวัดหรือผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร เมื่อเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายจากการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๑.๒ กรณีที่ผู้เสียหายมิได้อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้เสียหายและทรัพย์สินที่เสียหาย ผู้เสียหายนั้นอาจร้องขอชดเชยความเสียหายต่อผู้อำนวยการท้องถิ่นหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานครแห่งพื้นที่ที่ทรัพย์สินของผู้เสียหายตั้งอยู่ ๑.๓ ให้คณะกรรมการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง หากไม่อาจดำเนินการได้ทันภายในกำหนดจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งทราบเพื่อพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้อีกไม่เกินสามสิบวัน ๑.๔ ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าชดเชยความเสียหายโดยคำนึงถึงสภาพของทรัพย์สิน ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาด หรือเทียบราคาที่อ้างอิงจากราคากลางที่ทางราชการกำหนดตามที่เป็นอยู่ในวันที่เกิดความเสียหาย การเสื่อมราคาจากการใช้ การที่ทางราชการได้บรรเทาหรือแก้ไขความเสียหายไปแล้ว และปัจจัยอื่นที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรม โดยนำหลักเกณฑ์การคำนวณค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินที่ต้องเรียกชดใช้ตามความรับผิดทางละเมิดตามที่กระทรวงการคลังกำหนดมาใช้โดยอนุโลม ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดกรณีเมื่อผู้มีอำนาจแต่งตั้งวินิจฉัยความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นจำนวนเท่าใดแล้ว ให้จังหวัดหรือกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้เสียหายนั้น โดยให้ใช้เงินจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นั้น เป็นการจ่ายเงินจากงบกลาง ซึ่งรายการเงินสำรองจ่ายฯ เป็นค่าใช้จ่ายที่จัดสรรสำรองให้สำหรับกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่สามารถกำหนดเป้าหมายและวงเงินค่าใช้จ่ายเป็นการล่วงหน้าได้ เมื่อส่วนราชการฯ มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายฯ จะต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ งบประมาณที่จะนำไปชดเชยความเสียหายดังกล่าวไม่ควรกำหนดให้ใช้เฉพาะจากงบประมาณแผ่นดินที่เป็นงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายฯ แต่ควรกำหนดให้สามารถใช้จากงบประมาณของส่วนราชการและเงินจากแหล่งอื่นด้วย ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
34195 | โครงการเคเบิลใต้น้ำใยแก้วอ่าวไทย | ทก | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท โทรคมนาคม) ดำเนินโครงการเคเบิลใต้น้ำใยแก้วอ่าวไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำใยแก้วที่เป็นเส้นทางหลักในอ่าวไทย โดยมีสถานีจุดขึ้นบกที่สถานีเคเบิลใต้น้ำ ชลี ๒ จังหวัดสงขลา และสถานีเคเบิลใต้น้ำ ชลี ๓ จังหวัดชลบุรี และมีเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างเคเบิลใต้น้ำใยแก้วทางหลักกับแท่นสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของผู้ใช้บริการในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานในอ่าวไทย รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์โทรคมนาคมเพื่อรองรับความจุไม่น้อยกว่า 160 Gbps โดยใช้เทคโนโลยี DWDM (การส่งข้อมูลบนเส้นไฟเบอร์ออฟติก) วงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๒,๗๓๐ ล้านบาท จากเงินรายได้ แบ่งเป็น เงินลงทุนค่าก่อสร้างระบบและอุปกรณ์ระบบ จำนวน ๒,๖๐๐ ล้านบาท และเงินสำรองโครงการ จำนวน ๑๓๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้ บมจ. กสท โทรคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมติของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรระมัดระวังในขั้นตอนการติดตั้งโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนิเวศน์พื้นทะเลซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมทั้งอาจสร้างความเสียหายต่อเครื่องมือประมงของชาวประมง โดยมีมาตรการชดเชยตามความเหมาะสมหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำกับดูแลการดำเนินโครงการฯ ให้สามารถบริการได้ภายใน ๒ ปีหลังจากลงนามในสัญญา เพื่อลดผลกระทบจากความเสียหายในกรณีการจ่ายค่าปรับที่เกิดจากความล่าช้าของการดำเนินงานตามสัญญา นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
34196 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ 7 | ศธ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ ๗ (พฤษภาคม - พฤศจิกายน ๒๕๕๓) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สกอ. ได้ดำเนินการโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุน แยกเป็น ทุนในประเทศ โดยประสานสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสถาบันฝ่ายผลิตให้จัดส่งรายละเอียดพร้อมหลักฐานของนักเรียนทุนทุกระดับ และทุนในต่างประเทศ โดยประสานสำนักงาน ก.พ. และโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนเพื่อให้ดำเนินการเกี่ยวกับนักเรียนทุนโครงการฯ ที่พร้อมจะเดินทางไปศึกษาได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - กันยยาน ๒๕๕๓ จำนวน ๓๗ คน ประกอบด้วย ระดับปริญญาตรี ๔ คน และระดับปริญญาโท - เอก ๓๓ คน จากนักเรียนทุน ๖๑ คน ๑.๒ สกอ. ได้พิจารณาจัดสรรทุนที่เหลือจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยนำทุนที่เหลือจากการสอบแข่งขันฯ และงบประมาณของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มารวมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อพิจารณาจัดสรรทุนและประกาศสอบแข่งขันเพื่อรับทุนโครงการฯ ปีการศึกษา ๒๕๕๓ - -๒๕๕๔ ในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท - เอก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และทุนระดับปริญญาตรี - โทในต่างประเทศ โดยการพิจารณาจัดสรรทุนในปีการศึกษา ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ เพื่อให้ได้สาขาวิชาที่มีความจำเป็น หรือขาดแคลน หรือเป็นสาขาวิชาที่ตอบสนองการพัฒนาศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษา รวม ๑๙๖ ทุน ซึ่งผลการสอบแข่งขัน มีผู้สนใจสมัครสอบ จำนวน ๗๐๕ คน มีผู้สอบผ่านเพื่อรับทุนโครงการฯ จำนวน ๘๕ คน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรีทุกสิ้นปีงบประมาณจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการฯ
|
|||||||||||||||||||||
34197 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทย" | สสป | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ปรับโครงสร้างองค์กรสนับสนุนธุรกิจ โดยกำหนดให้มีโครงสร้างอำนาจการบริหารแบบการบริหารจัดการเดียว เช่น คณะกรรมาธิการบริหาร (บอร์ด) เดียวกัน เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและมีเอกภาพ มีการบริหารตลาดอย่างมืออาชีพ ภายใต้การนำและบุกตลาดระดับผู้นำต่อผู้นำประเทศ ๒. ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นยุทธศาสตร์ร่วมพัฒนาชาติในลักษณะต้นน้ำโดยจัดทำยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนสะท้อนความต้องการที่แท้จริง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจยุคต่อไปในอนาคตมีลักษณะที่กะทัดรัด ทันสมัย มีการดำเนินงานที่รวดเร็ว เน้นกลยุทธ์เชิงรุกที่สร้างสรรค์ สร้างความภูมิใจในวิชาชีพ พัฒนาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ สู่ตลาดตลอดเวลา โดยมีปัจจัยหลักของการพัฒนา ได้แก่ มาตรการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ มาตรการด้านความรู้และเทคโนโลยี มาตรการด้านการบริหารจัดการธุรกิจ มาตรการด้านการตลาด และมาตรการส่งเสริมด้านการเงิน ๓. การดำเนินนโยบายการให้เงินกู้ ควรมีการศึกษาเพื่อแบ่งกลุ่มประเภทและความต้องการของผู้ได้รับความเดือดร้อน และประเมินจำนวนในแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน แล้วจึงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอนุมัติเงินกู้ให้เหมาะสมกับลักษณะพิเศษในการขอกู้ของแต่ละกลุ่ม และควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยง่าย ทั้งนี้ อาจกำหนดเงื่อนไขให้มีการกำกับดูแลการดำเนินธุรกิจโดยมีระบบพี่เลี้ยงและมีการติดตามประเมินผลการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องโดยวิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริง และผลลัพธ์ที่ได้ของแต่ละกลุ่ม พร้อมทั้งนำไปปรับแผนงานให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๔. ควรมีการดำเนินการเพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรี ดังนี้ ๔.๑ สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการแต่ละประเภทธุรกิจให้ได้รับทราบถึงสถานการณ์ ผลกระทบ และแนวทางดำเนินการทั้งเชิงรุกและเชิงรับที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการค้าเสรี ๔.๒ เร่งสร้างจิตสำนึกของคนไทยในการเลือกบริโภคสินค้าและใช้บริการที่เป็นของคนไทย ๔.๓ ศึกษาและติดตามประเมินผลกระทบจากการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการเปิดการค้าเสรีที่มีต่อผู้ประกอบการ SMEs ของไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน และให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่มีแนวโน้มเสียเปรียบด้านการแข่งขันเพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเวทีเศรษฐกิจโลกได้
|
|||||||||||||||||||||
34198 | ร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังต่อไปนี้
๑. เพิ่มบทนิยามคำว่า “ประธานสภา” “ข้าราชการสำนักงาน” “เลขาธิการ” และ “สำนักงาน” และยกเลิกบทนิยามคำว่า “คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ๒. กำหนดให้ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๓ ๓. กำหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ ให้ทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ๔. ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระบวนการสรรหาสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๕. แก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๖. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่และการประชุมของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๗. กำหนดให้ประธานและรองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ๘. ปรับปรุงสถานะและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
34199 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553 - 2557 | กษ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ดังนี้
๑. พัฒนาฟาร์มสุกรให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานฟาร์ม ๓,๙๕๘ ฟาร์ม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ส่งเสริมความรู้การจัดการของเสียในฟาร์มสุกรในพื้นที่ลุ่มน้ำวิกฤต จำนวน ๑,๘๙๓ ฟาร์ม ๓. ฟาร์มสุกรในพื้นที่สำนักสุขศาสตร์และสุขอนามัยที่ ๒ ได้รับการรับรองปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย จำนวน ๑๓๙ ฟาร์ม จากฟาร์มสุกรที่เข้าร่วมโครงการ ๖๘๘ ฟาร์ม ๔. พัฒนาสถานที่จำหน่ายเนื้อสุกรต้นแบบที่สะอาดในตลาดสด จำนวน ๑๙๑ แห่ง ๕. ผู้ประกอบการโรงฆ่าสุกรในประเทศมีใบอนุญาต (ฆจส.๒) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๕๓๗ แห่ง ๖. กรมปศุสัตว์รับรองโรงอาหารสัตว์สำหรับสุกรผ่าน GMP จำนวน ๓๒ แห่ง และผ่าน HACCP จำนวน ๒๙ แห่ง ๗. คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์ เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... แทนฉบับเดิมที่ประกาศใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ๘. ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข เนื่องจากขั้นตอนการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้เสร็จสิ้นแล้ว และในช่วงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสภาผู้แทนราษฎร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในการดำเนินงานตามแผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน
|
|||||||||||||||||||||
34200 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่าง FAO กับรัฐบาลไทย ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม FAO COFI Sub-Committee on Aquaculture สมัยที่ 5 | กษ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization : FAO) กับรัฐบาลไทย ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (FAO COFI Sub-Committee on Aquaculture) สมัยที่ ๕ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบอำนาจเต็ม (Full Power) จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ยอมรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ และดำเนินการตามบันทึกความรับผิดชอบของรัฐบาลไทย และ FAO สำหรับการประชุมฯ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้จัดประชุม ระหว่างวันที่ ๒๗ กันยายน - ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ณ จังหวัดภูเก็ต และได้ดำเนินงานตามหนังสือแลกเปลี่ยนและบันทึกความรับผิดชอบฯ เป็นที่เรียบร้อยและบรรลุวัตถุประสงค์ด้วยดี สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมรวมทั้งสิ้น ๙,๗๓๔,๐๐๐ บาท
|
.....