ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1703 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 34041 - 34060 จากข้อมูลทั้งหมด 123998 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34041 | การแต่งตั้งข้าราชการ (นายทรงภพ พลจันทร์ และนายสุพรรณ แสงทอง) | พน | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพลังงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. นายทรงภพ พลจันทร์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ๒. นายสุพรรณ แสงทอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน
|
||||||||||||||||||||||||
34042 | การติดตามและการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องสำคัญ [การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัยและวาตภัย)] | มท | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒, ๑๖ และ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัยและวาตภัย) จำนวน ๑,๐๐๙,๑๓๔ ครัวเรือน ๆ ละ ๕,๐๐๐ บาท ดังนี้
๑. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดส่งข้อมูลจำนวนครัวเรือนที่ประสบอุทกภัยและวาตภัยที่จังหวัดได้ยืนยันและรับรองความถูกต้อง จำนวน ๗๔๔,๒๐๑ ครัวเรือน ให้ธนาคารออมสินเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือครัวเรือนผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ๒. ธนาคารออมสินได้จ่ายเงินช่วยเหลือครัวเรือนที่ประสบอุทกภัยและวาตภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท จำนวน ๖๘๙,๒๕๓ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓,๔๔๖,๒๖๕,๐๐๐ บาท คิดเป็นการจ่ายเงินร้อยละ ๙๒.๖๒ ของยอดจำนวนครัวเรือนที่ส่งธนาคารออมสิน ส่วนที่เหลือ ๕๔,๙๔๘ ครัวเรือน อยู่ระหว่างการเบิกจ่าย
|
||||||||||||||||||||||||
34043 | ความคืบหน้าโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีรายงานความคืบหน้าโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยความคืบหน้า ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ได้ให้สินเชื่อตามโครงการฯ แก่ผู้ประกอบการรถตู้โดยสารปรับอากาศ ๗๔๕ คัน คิดเป็นเงิน ๑,๐๐๖.๙๙ ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์รับจ้าง ๒๐ ราย คิดเป็นเงิน ๐.๙๘ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
34044 | รายงานผลการตรวจเยี่ยมราษฎรผู้ประสบภัยสู้รบตามพื้นที่แนวชายแดนไทย - กัมพูชา อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ (วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554) | นร | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายองอาจ คล้ามไพบูลย์) รายงานผลการตรวจเยี่ยมราษฎรผู้ประสบภัยสู้รบตามพื้นที่แนวชายแดนไทย - กัมพูชา อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. การตรวจเยี่ยมสภาพความเสียหาย ๑.๑ บ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษณ์ มีบ้านที่ได้รับความเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้จำนวน ๗ หลัง ซึ่งสถานศึกษาในจังหวัดศรีสะเกษจะดำเนินการสร้างให้ โดยใช้งบประมาณจำนวน ๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้รับจากการบริจาค ๑.๒ โรงเรียนภูมิซอล ตรวจดูสภาพความเสียอาคารเรียน ๓ ชั้น และอาคารเรียนชั่วคราว ซึ่งทางโรงเรียนรายงานให้ทราบว่ามีความต้องการเร่งด่วนในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ งบประมาณในการซ่อมแซมอาคารที่เสียหาย จำนวน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณในการก่อสร้างอาคารเรียนถาวรทดแทนอาคารเรียนชั่วคราวที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๒๑,๒๔๗,๐๐๐ บาท คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน ๔๐ ชุด และสถานกีฬาฟุตบอล ๒. การพบปะเยี่ยมเยียนและมองสิ่งของแก่ผู้ประสบภัยที่ศาลาประชาคมบ้านภูซรอล หมูที่ ๒ ตำบลเสาธงชัย และศาลาประชาคมบ้านหนองอุดม ตำบลรุง อำเภอกันทรลักษณ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเสาธงชัยได้เสนอขอให้ช่วยดูแลงบเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้กับองค์การบริหารส่วนตำบลเสาธงชัย ๓. การประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและข้อสั่งการ ๓.๑ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดูแลเรื่องการดูแลผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุจะมีอยู่ ๒ ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่ง เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นยอมที่จะอพยพออกมาจากพื้นที่ และส่วนที่สอง ไม่ยอมอพยพออกมาจากพื้นที่หรือไม่สามารถออกมาจากพื้นที่ได้เพราะการเจ็บป่วย จำเป็นต้องมีผู้ทำหน้าที่ดูแล ๓.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขช่วยดูว่านมสำหรับเด็กควรเป็นประเภทใด และควราให้ได้รับทั่วถึงทุกคน ๓.๓ ทางราชการควรสร้างหลุมหลบภัยให้กับราษฎรผู้ประสบภัยในพื้นที่ ๓.๔ ให้จังหวัดศรีสะเกษเร่งดำเนินการสำรวจความเสียหายของราษฎรด้านพืชผลทางการเกษตรเพื่อให้ความช่วยเหลือได้รวดเร็ว ๓.๕ ให้จังหวัดศรีสะเกษเตรียมจัดทำแผนเตรียมความพร้อม หากมีเหตุเกิดขึ้นจะได้ไม่เกิดปัญหา
|
||||||||||||||||||||||||
34045 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) | พน | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวีระพล จิรประดิษฐกุล ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34046 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 | กค | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๗๕๓ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๘๑๑ โครงการ วงเงิน ๑๒,๐๘๐.๕๘ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๑,๙๔๒ โครงการ วงเงิน ๓๓๗,๘๗๙.๘๖ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๗๑๘ โครงการ วงเงิน ๑๕,๑๖๔.๕๐ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๑๓๑ โครงการ วงเงิน ๔,๔๐๙.๒๕ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๕๘๗ โครงการ วงเงิน ๑๐,๗๕๕.๒๕ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๙,๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๓๒๒,๗๑๕.๓๖ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๙,๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๓๑๒,๖๗๑.๖๑ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๗๒๔ โครงการ วงเงิน ๔๙,๖๘๘.๑๔ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๑๒,๕๑๐ โครงการ วงเงิน ๑๒๖,๔๘๑.๖๑ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๒๔,๙๙๐ โครงการ วงเงิน ๑๓๖,๕๐๑.๘๖ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๗,๕๐๐ โครงการ วงเงิน ๒๖๒,๙๘๓.๔๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
34047 | การดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2553/54 | กษ | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๕๓/๕๔ ระยะที่ ๒ ประกอบด้วย กรอบระยะเวลาการดำเนินการ (การปลูก การเก็บเกี่ยว การขึ้นทะเบียน การประชาคม การออกใบรับรอง การทำสัญญา การใช้สิทธิของเกษตรกร และการประกาศเกณฑ์กลางอ้างอิง) ชนิดข้าวที่จะเข้าร่วมโครงการ ราคาประกันรายได้เกษตรกร ปริมาณรับประกัน และผลผลิตต่อไร่ โดยในส่วนของผลผลิตต่อไร่โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้ยังคงใช้ผลผลิตต่อไร่รายจังหวัดเป็นเกณฑ์ในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ที่ประชุมมีข้อกำหนดเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ เกษตรกรในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ที่มีความจำเป็นต้องปลูกข้าวรอบที่ ๑ (นาปี) เร็วขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงน้ำท่วมในฤดูฝน โดยมีการปลูกข้าวในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน ซึ่งยังอยู่ในช่วงเวลาปลูกข้าวรอบที่ ๒ ตามที่กำหนด ให้ขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ปี ๒๕๕๔/๕๕ รอบที่ ๑ เป็นต้นไป ๑.๒ เกษตรกรที่ปลูกข้าวในสภาพดินแห้งเพื่อรอฝน โดยวิธีการหว่านข้าวแห้ง (หว่านสำรวย) หรือหยอดข้าวแห้ง ถึงแม้จะปลูกข้าวในช่วงเวลาปลูกข้าวรอบที่ ๒ ตามที่กำหนด แต่จัดเป็นการปลูกข้าว รอบที่ ๑ (นาปี) ให้ขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ปี ๒๕๕๔/๕๕ รอบที่ ๑ เป็นต้นไป ๑.๓ หากพื้นที่ใดในจังหวัดภาคใต้ มีวันปลูกข้าวตรงกับช่วงเวลาปลูกข้าวรอบที่ ๒ ตามที่กำหนดของภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ให้ใช้กรอบเวลาเดียวกับภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ๒. เห็นชอบผลการทบทวนผลผลิตต่อไร่ของจังหวัดสุรินทร์ ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๑ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการทบทวนผลผลิตต่อไร่ โดยให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักไปทำการสำรวจข้อมูลผลผลิตต่อไร่เพิ่มเติมโดยวิธีตั้งแปลงเก็บเกี่ยวผลผลิต หากปรากฏว่าข้อมูลผลผลิตต่อไร่ที่ได้จากการสำรวจใหม่สูงกว่าที่ประกาศใช้เดิม ให้ใช้ข้อมูลใหม่แทน แต่หากข้อมูลผลผลิตต่อไร่ที่ได้จากการสำรวจใหม่ต่ำกว่าที่ประกาศใช้เดิม ให้ใช้ข้อมูลที่ประกาศใช้เดิม ๒.๒ เห็นชอบการปรับข้อมูลผลผลิตต่อไร่ข้าวเปลือกหอมมะลิของจังหวัดสุรินทร์ ปี ๒๕๕๓/๕๔ รอบที่ ๑ เป็น รวมในเขตและนอกเขตชลประทาน ไร่ละ ๔๐๓ กิโลกรัม ในเขตชลประทาน ๔๒๒ กิโลกรัม นอกเขตชลประทน ๔๐๒ กิโลกรัม
|
||||||||||||||||||||||||
34048 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายปรีชา สรวิสูตร) | พม | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายปรีชา สรวิสูตร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34049 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันอังคารที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๓ ปีที่ ๔ ครั้งที่ ๗ (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ วันพุธที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๘ (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
34050 | สรุปสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี 2554 ครั้งที่ 6 | กษ | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติมจากที่รายงานสรุปสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๖ เกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ ได้ส่งเอกสารให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อขออนุมัติเงินงวดแล้วทั้งสิ้น จำนวน ๗๖๗,๖๔๑ ราย วงเงิน ๑๖,๗๓๒.๖๕ ล้านบาท และ ธ.ก.ส. ได้โอนเงินให้ ธ.ก.ส. สาขาเพื่อโอนเข้าบัญชีเกษตรกรแล้ว จำนวน ๕๑๗,๕๘๙ ราย วงเงิน ๑๒,๔๙๙.๙๗ ล้านบาท และ ธ.ก.ส. สาขาได้โอนเข้าบัญชีเกษตรกรแล้ว จำนวน ๔๕๙,๙๗๘ ราย วงเงิน ๑๑,๕๘๒.๕๑ ล้านบาท จึงเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการโอนเงินของ ธ.ก.ส. สาขาในส่วนที่เหลือเป็นการด่วน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34051 | การกำหนดโควตาและวงเงินงบประมาณในการเลื่อนเงินเดือนให้แก่ข้าราชการตำรวจ | นร | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (เรื่อง การกำหนดโควตาและวงเงินงบประมาณในการเลื่อนเงินเดือนให้แก่ข้าราชการตำรวจ) โดยสำนักงาน ก.พ. ได้จัดการประชุมร่วมกันระหว่างผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และกระทรวงกลาโหม และมีความเห็นเบื้องต้นว่า การดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีผลกระทบต่องบประมาณในระยะยาว ซึ่งรายละเอียดในเรื่องจำนวนเงินที่ต้องเพิ่มขึ้นยังมีข้อมูลที่แตกต่างกัน จึงเห็นควรจัดประชุมหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณารายละเอียดในเชิงลึกให้ได้ข้อยุติที่ตรงกันเกี่ยวกับผลกระทบจากงบประมาณที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว และเพื่อพิจารณาแนวทางดำเนินการที่เหมาะสม ทั้งนี้ หากผลการพิจารณามีข้อสรุปเป็นประการใด สำนัก ก.พ. จะได้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
34052 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสมเกียรติ โพธิสัตย์) | สธ | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายธำรง สมบุญตนนท์ ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ๒. นายสมเกียรติ โพธิสัตย์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านสาธารณสุข กลุ่มภารกิจวิชาการ สำนัก พัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๘กรกฎาคม ๒๕๕๓
|
||||||||||||||||||||||||
34053 | การป้องกันการทุจริตกรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ทำสัญญา หรือบริหารสัญญาเสียเปรียบเอกชนหรือตีความสัญญาเอื้อประโยชน์ แก่เอกชนทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนสูงมาก | นร | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเรื่อง การป้องกัน การทุจริต กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐทำสัญญาหรือบริหารสัญญาเสียเปรียบเอกชนหรือตีความสัญญาเอื้อประโยชน์แก่เอกชน ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนสูงมากมีสาระสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการในการทำสัญญา แก้ไขสัญญา และบริหารสัญญาของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่จะทำกับเอกชนที่มีวงเงินตั้งแต่ ๕๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งให้มีการดำเนินการหาผู้รับผิดทุกเรื่องทุกรายเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา ๑๙ (๘) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการจัดทำสัญญา แก้ไขสัญญา หรือบริหารสัญญาของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่จะทำกับเอกชน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน โดยให้นำข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นต้น มาประกอบการพิจารณาด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
34054 | ผลการประชุมกรอบความร่วมมือเอเชีย - ตะวันออกกลาง ครั้งที่ 3 (AMED III) | กต | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอผลการประชุมกรอบความร่วมมือเอเชีย - ตะวันออกกลาง (Asia - Middle East Dialogue - AMED) ครั้งที่ ๓ หรือ AMED III ของไทย ระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยการประชุมฯ ประกอบด้วย
๑. การประชุมเต็มคณะในช่วงเปิดการประชุม (Opening Plenary Session) และการหารือใน ๓ สาขาหลัก ได้แก่ สาขาด้านการเมืองและความมั่นคง สาขาด้านเศรษฐกิจ และสาขาด้านสังคม การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและสื่อมวลชน โดยในแต่ละสาขามีการกล่าวถ้อยแถลงโดยหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศต่าง ๆ ในช่วงการประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ต่อด้วยการประชุมกลุ่มย่อย (Panel Discussion) ซึ่งได้มีการหารือใน ๒ หัวข้อ ได้แก่ การต่อต้านการก่อการร้าย และการปราบปรามโจรสลัดและความมั่นคงทางทะเล และปิดท้ายด้วยการกล่าวรายงานสรุปผลการประชุมโดยประธาน (Chairman’s Report) พร้อมทั้งเสนอตารางกิจกรรมความร่วมมือภายใต้กรอบ AMED สำหรับดำเนินการในช่วงปี ค.ศ. ๒๐๑๑ - ๒๐๑๒ ให้ประเทศสมาชิกพิจารณาเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ การประชุม AMED III ประสบความสำเร็จด้วยดี โดยที่ประชุมได้มีการหารืออย่างกว้างขวางในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของทั้งสองภูมิภาคและประเด็นระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่สำคัญ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะทางนโยบายที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก AMED ๒. การหารือทวิภาคี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบหารือกับหัวหน้าคณะผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ได้แก่ บาห์เรน คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ อียิปต์ เลบานอน บังกลาเทศ ปากีสถาน ศรีลังกา คีร์กิซ อุซเบกิสถาน และจีน โดยหารือถึงแนวางการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน รวมทั้งได้หารือในประเด็นเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในกรอบองค์การการประชุมอิสลาม (Organisation of the Islamic Conference - OIC) กับหัวหน้าคณะผู้แทนจากประเทศสมาชิก OIC บางประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
34055 | รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีราษฎรร้องทุกข์เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้า ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย | นร | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเกี่ยวกับผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีราษฎรร้องทุกข์เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้า ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดย ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมชะลอการขยายพื้นที่ใหม่หรือการขอประทานบัตร ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด แปลงที่ ๑๐๔/๒๕๓๘ และแปลงอื่น ๆ ไว้ก่อนจนกว่าจะได้ข้อสรุปของสาเหตุการเกิดสารปนเปื้อน ผลการประเมินความคุ้มค่าของฐานทรัพยากรธรรมชาติและค่าภาคหลวงแร่กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และผลการประเมินผลด้านสุขภาพ หรือ HIA ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรมสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดให้ความร่วมมือกับจังหวัดเลยในการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์คุณภาพน้ำบริเวณเหมืองดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ และให้มีความถี่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการตรวจและกำกับการทำเหมืองของบริษัทฯ ให้ครอบคลุมถึงเสียงและกลิ่นที่รบกวนในช่วงเวลากลางคืน การตรวจกระบวนการทำเหมืองให้สอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อป้องกันการซึมของสารไซยาไนด์ รวมทั้งการเพิ่มความถี่ในการเฝ้าระวังคุณภาพของน้ำให้มากยิ่งขึ้น และควรเปลี่ยนจุดตรวจคุณภาพของน้ำอยู่เสมอ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ราษฎร ๑.๓ ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรึกษาหารือกันเพื่อหาแนวทางในการชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจถึงขั้นตอนในการเกิดสารปนเปื้อนในพื้นที่ดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งจัดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากการเปิดทำการเหมืองของบริษัทฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นั้น ประชาชนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นควรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดขอบเขตการศึกษา (Public scoping) และนำเสนอมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในทางกายภาพ ชีวภาพ และสังคม เพื่อให้รายงานการศึกษาผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้าของบริษัทฯ ได้รับการยอมรับจากประชาชน และข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ตรวจสอบสารปนเปื้อนดำเนินการตรวจสอบสารปรอทด้วย เนื่องจากมีการพบว่ามีปริมาณสารปรอทสูงมากเมื่อเทียบกับหมู่บ้านอื่นในสภาพปกติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปประเมินความคุ้มค่าของภาคหลวงแร่ที่ได้รับเมื่อเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงและเร่งรัดการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง นโยบายการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ) |
||||||||||||||||||||||||
34056 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ดังนี้
๑. เพิ่มเติมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นรองประธานกรรมการคนที่ ๒ เนื่องจากมีภารกิจรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศในภาพรวม ๒. เพิ่มเติมกรรมการโดยตำแหน่งอีกห้าตำแหน่ง คือ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และปลัดกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามภารกิจที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงาน ๓. เพิ่มเติมให้ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคนที่ ๒
|
||||||||||||||||||||||||
34057 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในร่างข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานต่างประเทศ | กษ | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในร่างข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานต่างประเทศ โดยมีผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่างหน่วยงานกำกับ ดูแลด้านมาตรฐานบังคับแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และกรมประมงแห่งราชอาณาจักรไทย ด้านการตรวจสอบและรับรองสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ ๒. ข้อตกลงดังกล่าวมีผลกระทบด้านบวกต่อหน่วยงานตรวจสอบรับรองสินค้าสัตว์น้ำส่งออกและนำเข้าของกรมประมงและของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และผู้ประกอบการผลิตสินค้าสัตว์น้ำแช่เยือกแข็งและผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋องที่ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศแอฟริกาใต้ โดยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยในสินค้าสัตว์น้ำที่มีการจำหน่ายระหว่างกัน ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบสินค้าสัตว์น้ำ ณ ประเทศปลายทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถอำนวยความสะดวกให้สินค้าสัตว์น้ำของไทยผ่านด่านตรวจสอบการนำเข้าและส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
34058 | ผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ 4 | นร | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม สำหรับสาระสำคัญของการประชุม ประกอบด้วย
๑. การประชุมระหว่างผู้นำ ACMECS (closed session) ที่ประชุมผู้นำได้รับรองปฏิญญาพนมเปญ พร้อมแผนปฏิบัติการ ACMECS ค.ศ. ๒๐๑๐ - ๒๐๑๒ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ ประเด็นที่ควรผลักดันภายใต้ความร่วมมือของ ACMECS ทั้ง ๘ สาขา การสนับสนุนให้หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาเพิ่มบทบาทใน ACMECS ในทิศทางตามที่ประเทศสมาชิกได้หารือกันไว้ในเอกสารแนวทางจัดทำความร่วมมือกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา และความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในระดับท้องถิ่น สำหรับประเด็นความร่วมมือเรื่องข้าว ที่ประชุมรับทราบ (take note) ผลการประชุมรัฐมนตรีข้าวเมื่อปี ๒๕๕๐ และรับทราบการจัดทำแผนปฏิบัติการและเอกสารความร่วมมือเรื่องข้าว และมอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพิจารณาแผนปฏิบัติการดังกล่าว และให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของนายกรัฐมนตรีไทยเห็นว่า ประชาคมอาเซียนจะมีผลสมบูรณ์ในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ACMECS ควรช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในสาขาการทำตลาดร่วม เพื่อใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ และเสนอให้ใช้ประโยชน์จากการจัดทำบันทึกความเข้าใจในการพัฒนาฝึกอบรมวิชาชีพระหว่างไทยกับเวียดนาม ซึ่งได้ลงนามในระหว่างการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ ๓ ๒. การหารือระหว่างผู้นำ ACMECS และผู้แทนภาคเอกชน ที่ประชุมรับทราบรายงานการประชุม ACMECS Business Forum เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่กรุงพนมเปญ เกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกสภาธุรกิจร่วม ACMECS (ACMECS Joint Business Council - ACMECS JBC) และรับทราบเอกสารข้อเสนอของ ACMECS JBC ในการผลักดันความร่วมมือต่าง ๆ อาทิ การผลักดันกิจกรรมเศรษฐกิจระหว่างบ้านพี่เมืองน้อง การจัดงานแสดงสินค้าบริเวณชายแดน การส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นสำหรับการค้าชายแดน การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า ความช่วยเหลือทางวิชาการเกษตรต่าง ๆ รวมทั้งด้าน SPS การส่งเสริมการท่องเที่ยวตามแนวทาง five countries, one destination โดยใช้โครงการ ACMECS Single Visa การจัดตั้งคณะทำงานภาครัฐและเอกชนเพื่อส่งเสริมด้านการตลาดของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมและฐานการผลิตร่วมบริเวณชายแดน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
34059 | โครงการเมืองต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกของอ่าวไทย ชะอำ-หัวหิน เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 | มท | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการพัฒนาเมืองต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืน พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกของอ่าวไทย ชะอำ - หัวหิน โดยมีนายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นที่ปรึกษา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และปลัดกระทรวงมหาดไทยและปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานโครงการเมืองต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนฯ จัดทำแผนแม่บทการดำเนินโครงการและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งเสนอโครงการหรือกิจกรรมที่จะดำเนินการในพื้นที่โครงการที่เกินอำนาจหน้าที่และขีดความสามารถที่ท้องถิ่นจะสนับสนุนดำเนินการได้ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้เพิ่มผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำตราสัญลักษณ์เฉลิมพระเกียรติไปใช้ในกิจกรรมของโครงการ ให้นำไปใช้ด้วยความระมัดระวัง เหมาะสมและสมพระเกียรติ และในการจัดทำรายละเอียดโครงการ ควรให้ความสำคัญกับแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิต วัฒนธรรม สู่ความเป็นเอกลักษณ์ของเมือง และให้น้ำหนักกับการบริหารจัดการมากกว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและแนวพระราชดำริที่ได้พระราชทานไว้ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาใช้ โดยเฉพาะโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นต้นแบบของการพัฒนาในรูปแบบการบูรณาการอย่างสมดุลและยั่งยืน นอกจากนี้ เพื่อให้การดูแลบำรุงรักษาสิ่งสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิมเข้าสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ควรมีการจัดทำแผนถ่ายโอนภารกิจและทรัพย์สินที่ชัดเจนและมีการนำแผนไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
34060 | โครงการก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี (วงจรที่ 3) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 08/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้งสายส่งเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี (วงจรที่ ๓) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวงเงินลงทุนรวม ๓,๙๙๔ ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ในประเทศ วงเงิน ๒,๙๙๔ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยในส่วนของการกู้เงินในประเทศกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ ๑.๒ ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี (วงจรที่ ๓) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่เห็นควรพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุยในอัตราพิเศษที่แตกต่างจากอัตราที่เรียกเก็บในพื้นที่อื่น โดยอาจพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากบ้านอยู่อาศัยที่มีการใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า ๔๐๐ หน่วยต่อเดือน ให้เรียกเก็บในอัตราปกติเช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน ๔๐๐ หน่วยต่อเดือน และผู้ใช้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้เรียกเก็บในอัตราที่สูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ โดยรวมต้นทุนการก่อสร้างโครงการและค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม และเห็นควรให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยการเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการให้ประชาชนในพื้นที่ทราบผ่านเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ระยะเวลาอย่างน้อย ๗ วัน รวมทั้งให้ กฟภ. ซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานแห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินโครงการและทำการเลือกแนวหรือที่ตั้งระบบโครงข่ายพลังงานได้ แล้วให้จัดทำแผนผังแสดงรายละเอียดของลักษณะทิศทางและแนวเขตในการวางระบบโครงข่ายพลังงานเสนอต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๐๖ ต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
.....