ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1707 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 34121 - 34140 จากข้อมูลทั้งหมด 123998 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34121 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2554 | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการพิจารณาผลการศึกษาเบื้องต้นศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่มาบตาพุด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการ รศก. ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการ รศก. ไปประกอบการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ ให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดประเภทอุตสาหกรรม/กิจกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ โดยเฉพาะสารอินทรีย์ระเหยง่ายให้แล้วเสร็จภายใน ๒ สัปดาห์ ๒.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) พิจารณาทบทวนนโยบายและมาตรการการส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรม/กิจกรรมประเภทต่าง ๆ ในพื้นที่มาบตาพุด ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะต้องส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม/กิจกรรมใหม่ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ หรืออุตสาหกรรม/กิจกรรมเดิมที่ใช้เทคโนโลยีในการลดมลพิษโดยเฉพาะสารอินทรีย์ระเหยง่าย ๒.๑.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุมัติ อนุญาต การลดและขจัดมลพิษ และสนับสนุนให้มีการออกกฎหมายสำหรับควบคุมสารอินทรีย์ระเหยง่ายจากแหล่งกำเนิดที่ยังไม่มีมาตรฐานควบคุม ๒.๑.๔ ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ จังหวัดระยอง เพื่อศึกษาศักยภาพและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมพื้นที่จังหวัดระยอง และเสนอแนะแนวทางเลือกที่เหมาะสมบนพื้นฐานการยอมรับของประชาชนและศักยภาพการรองรับของพื้นที่ ๒.๒ ให้มีศูนย์อำนวยการระดับพื้นที่ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเป็นประธาน ผู้แทนระดับสูงที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาอุตสาหกรรมในมาบตาพุดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานประจำที่ศูนย์อำนวยการระดับพื้นที่ อย่างน้อย ๓ ปี เพื่อทำหน้าที่ (๑) ควบคุมให้มีการดำเนินการตามมาตรการควบคุมมลพิษอย่างเข้มงวด (๒) กำกับให้โรงงาน/กิจการทุกประเภทมีการปฏิบัติตามมาตรการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม [Environmental Impact Assessment (EIA)] กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด (๓) สนับสนุนให้เกิดเครือข่ายระหว่างชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นักวิชาการและภาครัฐ เพื่อเฝ้าระวังมลพิษ (๔) ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานให้ทุกภาคส่วนทราบ (๕) แก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษทางอากาศและทางน้ำ รวมถึงปัญหาด้านสาธารณสุขและการศึกษา และรายงานต่อคณะอนุกรรมการติดตามรายงานผลการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อดำเนินการติดตามแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทยจัดทำรายละเอียดของอำนาจหน้าที่และการจัดตั้งศูนย์อำนวยการฯ และนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ รศก. พิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||
34122 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับระบบทำความเย็น ที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็นในโรงงาน พ.ศ. .... | อก | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับระบบทำความเย็น ที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็นในโรงงาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดให้การออกแบบ การผลิต และการติดตั้ง และการซ่อมแซมและดัดแปลงระบบทำความเย็นต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือมาตรฐานอื่นอันเป็นที่ยอมรับกันตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๒. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานที่ติดตั้ง ซ่อมแซมหรือดัดแปลงระบบทำความเย็น ตรวจสอบหรือทดสอบความปลอดภัยของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในระบบทำความเย็นต้องจัดทำและส่งรายงานผลการดำเนินการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานนั้นตั้งอยู่ทราบตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๓. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๔. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดให้มีวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อตรวจสอบและทดสอบการใช้งานระบบทำความเย็นให้มีความปลอดภัยอยู่เสมออย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ๕. กำหนดหลักเกณฑ์การควบคุมการปล่อยมลพิษ โดยกำหนดให้การระบายไอแอมโมเนียต้องระบายผ่านน้ำที่ใช้สำหรับดูดซับแอมโมเนียเท่านั้น ๖. กำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมรับภาวะฉุกเฉิน ได้แก่ การจัดทำแผนฉุกเฉินกรณีแอมโมเนียรั่วไหล จัดหาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล หรืออุปกรณ์อื่นที่เหมาะสม ๗. กำหนดบทเฉพาะกาลสำหรับผู้ประกอบกิจการโรงงานที่ประกอบกิจการโรงงานอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และกำหนดให้ไม่ต้องใช้บังคับบทบัญญัติบางประการที่เป็นการเพิ่มภาระกับผู้ประกอบกิจการโรงงาน เว้นแต่กรณียื่นขออนุญาตขยายโรงงาน
|
||||||||||||||||||||||||
34123 | แผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยบูรณาการแผนการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ กระทรวงที่มีผู้ตรวจราชการ ๑๗ กระทรวง เข้าไว้ด้วยกัน โดยพุ่งเป้าการบูรณาการไปที่ ๕ ประเด็นนโยบายสำคัญที่ต้องการบรรลุผลในทางปฏิบัติ ประกอบด้วย การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การสนับสนุนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร และในการประชุมพิจารณาขอความเห็นชอบแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการฯ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. ๒๕๔๘ มีประเด็นพิจารณา ๓ ประเด็น ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบประเด็นนโยบายสำคัญ ๕ ประเด็น ๒. เห็นชอบโครงการในแผนตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เข้าร่วมบูรณาการภายใต้สายโซ่แห่งคุณค่า (Value Chain) ของ ๕ ประเด็นนโยบายสำคัญในข้อ ๑ ๓. เห็นชอบการกำหนดช่วงเวลาการตรวจติดตามในแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ และการรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในภาพรวมให้นายกรัฐมนตรีทราบในรอบ ๖ เดือนแรก และนายกรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ ในรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
34124 | รายงานการจัดซื้อไข่ไก่ตามมาตรการรองรับผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาด (ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2553 - 30 พฤศจิกายน 2553) | ยธ | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานการจัดซื้อไข่ไก่ตามมาตรการรองรับผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาด โดยกรมราชทัณฑ์สามารถรับซื้อไข่ไก่ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เป็นจำนวนปริมาณทั้งสิ้น ๔,๐๑๕,๖๒๔ ฟอง เป็นจำนวนเงิน ๑๒,๔๒๑,๘๑๘.๔๙ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
34125 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีนายอายุทธ์ จิรชัยประวิตร หรือ ยุทธ์ ชัยประวิตร อุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ 1001/2551 หมายเลขแดงที่ 2047/2552 | ศป | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.๒๔๖/๒๕๕๓ คดีหมายเลขแดงที่ อ.๓๓๘/๒๕๕๓ ระหว่างนายอายุทธ์ จิรชัยประวิตร หรือยุทธ์ ชัยประวิตร ผู้ฟ้องคดี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ ๑ และคณะรัฐมนตรี ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี โดยศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองกลาง) ที่วินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองสามารถมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองแทนได้ ตามข้อ ๒๐ วรรคสอง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสำนวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครอง และการมอบอำนาจให้ดำเนินคดีปกครองแทน พ.ศ. ๒๕๔๔ ประกอบกับมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๔๙๘
|
||||||||||||||||||||||||
34126 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ครั้งที่ 1/2554 | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กพบ. รวม ๕ เรื่อง ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กพบ. เสนอ สำหรับมติคณะกรรมการ กพบ. รวม ๕ เรื่อง สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมในกรอบที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง รวม ๕ เรื่อง ได้แก่ ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๖ ผลการประชุมเวทีหารือเพื่อการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๖ ผลการประชุมระดับผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๒ ผลการประชุมระดับผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง ครั้งที่ ๔ และข้อริเริ่มลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างกับสหรัฐฯ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการต่างประเทศ รวบรวมข้อมูลด้านการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเปรียบเทียบระหว่างการลงทุนของไทยกับประเทศผู้ให้ที่สำคัญ รวมทั้งรวบรวมข้อมูลและความก้าวหน้าเกี่ยวกับการลงทุนในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน และเสนอในการประชุมคณะกรรมการ กพบ. ครั้งต่อไป ๒. รับทราบผลการศึกษาการดำเนินงานของด่านศุลกากรชายแดนมาเลเซีย และเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานกำกับดูแลการพัฒนาด่านชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธาน และ สศช. เป็นคณะทำงานและเลขานุการ มีหน้าที่ศึกษาการพัฒนาด่านชายแดนของไทยอย่างเป็นระบบ มีความทันสมัย มีการให้บริการที่มีการปรับปรุงช่องทางผู้โดยสาร รถยนต์ รถโดยสาร และรถบรรทุกที่แยกออกจากกัน และมีแผนงานเตรียมการด้านการพัฒนาพื้นที่การให้บริการและวางแผนพื้นที่เศรษฐกิจต่อเนื่องเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคตอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งวางแผนเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์อย่างเป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์ ๓. เห็นชอบประเด็นความร่วมมือในรายละเอียดการพัฒนาเชื่อมโยงพื้นที่ภาคใต้ของไทยและพื้นที่ภาคเหนือ (NCER) และภาคตะวันออก (ECER) ของมาเลเซีย รวม ๕ ประเด็น ได้แก่ การเชื่อมโยงด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุน การเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อสร้างฐานรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และการพัฒนาด้านการเกษตร ประมง และอุสาหกรรมเกษตร รวมทั้งฮาลาล โดยให้ สศช. ปรับปรุงประเด็นด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาของฝ่ายไทยให้มีความชัดเจนโดยเฉพาะในเรื่องมาตรการสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ส่งเสริม มาตรการจูงใจ กลไกการบริหารจัดการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ และปรับยุทธศาสตร์เชิงรุกในส่วนที่เป็นการสร้างผลประโยชน์ของไทยเชื่อมโยงกับศักยภาพของมาเลเซียตามแผนพัฒนา NCER/ECER เช่น ผลิตภัณฑ์ฮาลาล โดยให้มีแผนพัฒนารายสาขาที่ชัดเจนของไทย และให้หน่วยงานหลักของแต่ละประเด็น/โครงการ หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดท่าทีในรายละเอียดของแต่ละเรื่องและเร่งบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมาเลเซีย โดยให้ สศช. เป็นหน่วยงานกลางประสานงานกับ Economic Planning Unit ของมาเลเซียในภาพรวม และประสานกระทรวงการต่างประเทศในการหารือเชิงนโยบายการขับเคลื่อนร่วมในกรอบคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนไทย - มาเลเซีย (Thailand - Malaysia Committee on Joint Development Strategy for border areas : JDS) ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรี ซึ่งมีกำหนดการประชุมประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เพื่อให้ได้ข้อสรุปของแนวทางการพัฒนาที่ไทยผลักดัน เช่น การพัฒนาด่านชายแดนไทย - มาเลเซีย ณ ด่านศุลกากรสะเดา - บูกิตกายูฮิตัม และสามารถเสนอต่อที่ประชุมประจำปี ครั้งที่ ๕ ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งมีกำหนดการประชุมประมาณกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๔. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการของไทยในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT - GT) ใน ๓ กลุ่มโครงการ โดยให้ สศช. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยดำเนินการพัฒนาโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมาเลเซียและอินโดนีเซียเพื่อให้มีการบูรณาการในการพัฒนา โดยให้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) สนับสนุนด้านวิชาการ และในกรณีที่เหมาะสมพัฒนาเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนอาจพิจารณารับการสนับสนุนทางการเงินจาก ADB และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโครงการโดยประสานกับ สศช. ทางด้านยุทธศาสตร์ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีบูรณาการเพื่อให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและชุมชนในพื้นที่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ให้คณะทำงานที่กำกับดูแลการพัฒนาด่านชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบประเทศ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานคณะทำงาน และ สศช. เป็นฝ่ายเลขานุการ ซึ่งกำลังจะจัดตั้งขึ้นดำเนินการพิจารณาแนวทางการดำเนินการที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านด่านชายแดนเชื่อมโยงกับมาเลเซียและระบบโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีบูรณาการ ๕. เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการดำเนินงานศุลกากร ๒๔ ชั่วโมง ณ ด่านพรมแดนทางบก มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน ๒๔ ชั่วโมง ณ ด่านพรมแดนทางบกให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่ไทยได้สนับสนุนไว้ในกรอบ GMS และกรอบลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่ง และส่งเสริมกิจกรรมการผลิตระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ และเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางการดำเนินงาน ๒๔ ชั่วโมง ณ ด่านพรมแดนทางบก โดยให้คณะทำงานดังกล่าวนำเสนอแนวทางการดำเนินงาน ๒๔ ชั่วโมง ณ ด่านพรมแดนทางบกต่อคณะทำงานกำกับดูแลการพัฒนาด่านชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการ กพบ. พิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34127 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2554 | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ กพต. มีมติในเรื่องต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดทำรายละเอียดสาระสำคัญของโครงการขยายผลโครงการแพะนมเพิ่มเติม รวมทั้งจัดทำรายละเอียดความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตนมยูเอชที (UHT) ในพื้นที่เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน และคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณา และพิจารณาแนวทางการพัฒนาด้านการจำหน่ายนมแพะโดยวิธีการอื่น นอกเหนือจากการทำเป็นนมโรงเรียน ๑.๒ ไม่เห็นชอบการขอใช้เงินเหลือจ่ายจากโครงการภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ปี ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งปี ๒๕๕๕ เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเลี้ยงปลาดุกในบ่อดินของจังหวัดยะลา ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุน้ำป่าไหลหลาก จำนวน ๑๗ คน วงเงิน ๑๑๙,๘๕๐ บาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนใช้จ่ายงบประมาณปกติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อช่วยเหลือราษฎรดังกล่าวต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานสนับสนุนเครื่องประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนนอกพื้นที่เป้าหมาย ๖๙๖ หมู่บ้านของจังหวัดสตูล เพิ่มเติมรวม ๑๖ ราย ที่ผ่านการประชาคม และฝึกอบรมด้านการพัฒนาอาชีพไว้แล้ว โดยใช้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๔ เห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานกิจกรรมภายใต้โครงการ “ทำดี มีอาชีพ” โดยนำเงินที่เหลือจำนวน ๒๑๒.๕๗ ล้านบาท การดำเนินกิจกรรม รวม ๓ กิจกรรม ประกอบด้วย การขยายผลสัมฤทธิ์โครงการทำดีมีอาชีพ การจัดการเรียนการสอนระบบทวิภาคีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ระบบสหกรณ์ชุมชน ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ โดยให้ กอ.รมน. ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๕ เห็นชอบโครงการบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงิน ๙๑.๒๗ ล้านบาท โดยให้ ศอ.บต. จัดทำรายละเอียดโครงการเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณต่อไป ๑.๖ เห็นชอบโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนระดับหมู่บ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในพื้นที่ ๑๒ อำเภอของจังหวัดสงขลา วงเงิน ๒๓๐ ล้านบาท โดยให้ ศอ.บต. จัดทำรายละเอียดโครงการเสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณต่อไป ๑.๗ เห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งสัตว์แพทย์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วงเงิน ๑,๘๔๙.๑๒๒ ล้านบาท และให้ ศอ.บต. บรรจุในแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ โดยให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ดำเนินการนำเสนอการจัดตั้งคณะสัตวแพทยศาสตร์ต่อสัตวแพทย์สภาเพื่อพิจารณาอนุมัติตามหลักเกณฑ์และระเบียบการเปิดหลักสูตร และจัดทำรายละเอียดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณผูกพันและการศึกษาความต้องการของผู้เรียนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการเพื่อนำเสนอ กพต. พิจารณาต่อไป ๑.๘ เห็นชอบโครงการเลี้ยงแพะเนื้อเชิงพาณิชย์ในโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการฟาร์มตัวอย่างในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จำนวน ๑๐ แห่ง จังหวัดปัตตานี จำนวน ๗ แห่ง วงเงิน ๘.๕๐ ล้านบาท โดยให้ ศอ.บต. ประสานหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) เป็นหนวยดำเนินโครงการ และให้ นทพ. จัดทำรายละเอียดเสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ตามที่ ศอ.บต. เสนอ โดยแผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ ยึดกรอบแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๒ โดยมีหลักเกณฑ์ในการจัดทำแผนงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ คือ เป็นโครงการสำคัญที่มีวัตถุประสงค์ และเป้าหมายหลักในการแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งอย่างชัดเจนและมีความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และเป็นโครงการที่มีความพร้อมในการดำเนินการ เช่น ความพร้อมด้านที่ดิน แบบแปลนการก่อสร้าง การบริหารจัดการมีรายงานการศึกษาผลกระทบสิงแวดล้อมตามที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นสมควรให้คณะกรรมการ กพต. มีอำนาจหน้าที่แทนคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (รชต.) โดยจำเป็นจะต้องแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ ในหมวดว่าด้วยการบริหารโครงการในพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ โครงการใดที่อนุมัติการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามมติคณะกรรมการ กพต. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ ให้ดำเนินการได้เมื่อแก้ไขระเบียบดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว |
||||||||||||||||||||||||
34128 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับลดค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลและการศึกษาปริมาณการสูบน้ำบาดาลในระดับที่ยอมรับได้ว่าปลอดภัย (Safe Yield) เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำในภาคอุตสาหกรรมไทย | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับลดค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลและการศึกษาปริมาณการสูบน้ำบาดาลในระดับที่ยอมรับได้ว่าปลอดภัย (Safe Yield) เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำในภาคอุตสาหกรรมไทย ดังนี้
๑. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการพิจารณาโครงการที่จะได้รับการช่วยเหลือและอุดหนุนจากกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล พ.ศ. .... อยู่ระหว่างการเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณา และเมื่อกระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วจะได้เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนาม ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๒. กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้เชิญผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเข้าร่วมประชุมหารือ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ เกี่ยวกับการจัดทำแผนการบริหารเงินกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล ซึ่งที่ประชุมได้มีมติร่วมกันให้ใช้ผลการสำรวจที่เคยมีการศึกษามาแล้วโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาทำการศึกษาและเปรียบเทียบใหม่ต่อไป ๓. โครงการศึกษาเพื่อการกำหนดค่า Safe Yield รายอำเภอในพื้นที่วิกฤตการณ์น้ำบาล ได้ดำเนินการปรับแบบจำลองในขั้นต้นและในภาพรวมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนขั้นตอนต่อไปจะเริ่มทดลองคำนวณค่า Safe Yield รายอำเภอเบื้องต้นบนพื้นฐานการควบคุมระดับน้ำไม่ให้ต่ำกว่าระดับ ๓๐ เมตร ใน ๓ ชั้นน้ำบาดาลตอนบน โดยจะเริ่มดำเนินการคำนวณแบบจำลองการทรุดตัวของแผ่นดินควบคู่กันไป
|
||||||||||||||||||||||||
34129 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กรอบวงเงินในการชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าว | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กรอบวงเงินในการชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าว โดยกระทรวงการคลังรายงานว่า ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนจากกรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ กรมการค้าภายใน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการค้าข้าว โดยให้ธนาคารเบิกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ภายในวงเงิน ๖๘๖ ล้านบาท) และได้มีหนังสือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบและดำเนินการต่อไปด้วยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
34130 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยศัตรูพืชระบาด (เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล) ปี 2553 | กษ | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยศัตรูพืชระบาด (เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล) ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ดังนี้
๑. ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยศัตรูพืชระบาด (เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล) จำนวน ๔๒,๗๓๔ ราย ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี สุพรรณบุรี ศรีสะเกษ กาญจนบุรี พิจิตร พิษณุโลก ลพบุรี นครสวรรค์ และพระนครศรีอยุธยา คิดเป็นพื้นที่การเกษตรที่เสียหาย จำนวน ๘๑๘,๖๗๙.๗๕ ไร่ โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๙๖,๑๑๙,๙๒๘.๕๐ บาท โดยจ่ายผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เสร็จเรียบร้อยแล้ว ๒. ตรวจสอบหลักฐานการยืนยันความเสียหายจากภัยศัตรูพืชระบาดของเกษตรกร พบว่า ไม่ซ้ำซ้อนกับกรณีการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก |
||||||||||||||||||||||||
34131 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม โดยได้มีการพิจารณาทบทวนรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อคัดเลือกโครงการหรือรายการที่เป็นงบลงทุนตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความเสียหายและมีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท รวมทั้งการกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและโครงสร้างแผนงานเพื่อรองรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ และแผนงานฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ ทั้งนี้ รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๘๔,๑๔๒.๖ ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายเป็นเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๕,๙๕๗.๔ ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยยังชีพผู้พิการหรือทุพพลภาพ และงบประมาณรายจ่ายสำหรับส่วนราชการในการฟื้นฟูความเสียหายและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... พร้อมเอกสารงบประมาณ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงานและระยะเวลาที่ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อพิจารณาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ แล้ว ๑.๔ คำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานนั้น ๆ ๒. ให้นำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34132 | การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กำหนดจำนวนคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... จำนวน ๓๕ คน ประกอบด้วย กรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อ จำนวน ๘ คน และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลือก จำนวน ๒๗ คน ๒. เห็นชอบในหลักการและจำนวนกรรมาธิการในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๘ คน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณนำหารือนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีผู้แทนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีด้วย และดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
34133 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (จำนวน 5 ราย 1. นายรัฐกิจ มานะทัต ฯลฯ) | กต | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (เอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ) จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายรัฐกิจ มานะทัต ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา สาธารณรัฐตุรกี ๒. นางอาภรณ์ มนัสวานิช ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น สมาพันธรัฐสวิส ๓. นายเมธา พร้อมเทพ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ๔. นายวิชัย วราศิริกุล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมานามา ราชอาณาจักรบาห์เรน ๕. นายชาคร สุชีวะ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิสบอน สาธารณรัฐโปรตุเกส
|
||||||||||||||||||||||||
34134 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับเป็นค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ | สผ | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการแยกการดำเนินงานจ้างที่ปรึกษางานก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ออกจากกันได้ ๒. อนุมัติค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ โดยให้ผูกพันงบประมาณข้ามปีในกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๑๒ ล้านบาท โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34135 | ขอความเห็นชอบต่อการจัดทำปฏิญญาระดับรัฐมนตรีในการประชุมภาคีป่าไม้แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 9 (The Ninth Session of the United Nations Forum on Forests: UNFF9) | ทส | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นเตรียมการสำหรับประกอบการพิจารณาจัดทำปฏิญญาระดับรัฐมนตรีในการประชุม UNFF9 ซึ่งเสนอโดยสำนักงาน UNFF9 (Building Blocks for the UNFF9 Ministerial Declaration Proposed by the UNFF9 Bureau) เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การยืนยันความสำคัญในด้านต่าง ๆ ของป่าไม้ และความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกันระหว่างป่าไม้กับมนุษย์ และเป้าหมายระดับสากลเกี่ยวกับป่าไม้ ซึ่งจะนำไปสู่การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหมายพิจารณาให้การรับรองปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการหยิบยกประเด็นเรื่องการจัดการป่าไม้โดยชุมชนของไทยในการกล่าวถ้อยแถลงระหวางการประชุม UNFF9 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
34136 | ข้อเสนอในการแก้ไขฟื้นฟูภายหลังอุทกภัย | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการกลั่นกรองแผนงาน โครงการ และงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ในการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท ตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนงาน โครงการ และงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายจากอุทกภัย ครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการนำผลการกลั่นกรองฯ ไปเป็นกรอบแนวทางในการกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผนงาน โครงการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาจัดทำป้ายเพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการ เช่น แหล่งที่มาของงบประมาณ จำนวนงบประมาณที่ใช้ และผลประโยชน์ที่จะได้รับ เป็นต้น ให้ประชาชนในท้องที่ได้รับทราบโดยทั่วกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
34137 | ร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดคำนิยามของคำว่า “คนไทยพลัดถิ่น” กำหนดให้มีคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาให้การรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น และกำหนดให้คนไทยพลัดถิ่นที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการแล้วได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย สำหรับการกำหนดนิยามของคำว่า “คนไทยพลัดถิ่น” ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาหารือร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อให้ครอบคลุมบุคคลที่มีเชื้อสายไทยกลุ่มต่าง ๆ อย่างทั่วถึง แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
34138 | รายงานผลการหารือและขอรับความเห็นชอบเกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนวงเงินงบประมาณสำหรับเงินเพิ่มเป็นกรณีพิเศษสำหรับตำแหน่งพนักงานสอบสวน | ตช | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบมติที่ประชุมร่วมระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการพิจารณาเรื่อง ขอรับการสนับสนุนวงเงินงบประมาณสำหรับเงินเพิ่มเป็นกรณีพิเศษสำหรับตำแหน่งพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๔ โดยที่ประชุมพิจารณาเหตุผลและความจำเป็นในการขอแก้ไขระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยเงินเพิ่มเป็นกรณีพิเศษสำหรับตำแหน่งพนักงานสอบสวน พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อให้พนักงานสอบสวนได้รับเงินเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ตามอัตราใหม่ก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการออกแผนปฏิบัติราชการ เพื่อรองรับการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทำให้พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเหนื่อยยาก ตรากตรำ ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้พนักงานสอบสวน จึงจำเป็นต้องแก้ไขระเบียบ ก.ตร.ฯ ให้มีผลย้อนหลังไปวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตรวจสอบงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วปรากฏว่า มีงบประมาณเหลือจ่ายในงบบุคลากรจากอัตราว่าง และสามารถนำมาใช้รองรับการดำเนินการดังกล่าวได้ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าการแก้ไขพระราชบัญญัติ ก.ตร.ฯ สามารถกระทำได้ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยขอรับความเห็นชอบไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อให้ระเบียบ ก.ตร.ฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ๒. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ไขระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยเงินเพิ่มเป็นกรณีพิเศษสำหรับตำแหน่งพนักงานสอบสวน พ.ศ. ๒๕๕๓ ให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยใช้งบประมาณในส่วนของงบบุคลากรจากอัตราว่างที่มีเงินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการแก้ไขระเบียบ ก.ตร.ฯ ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และขอรับความเห็นชอบไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
34139 | การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาร่วมการงานให้ถูกต้องตามแนวทางปฏิบัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | ทก | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ดังนี้
๑. การดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาร่วมการงานให้ถูกต้องตามแนวทางปฏิบัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ กรณีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) กับบริษัทเอกชนคู่สัญญา ได้แก่ สัญญาอนุญาตให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่าง ทีโอที กับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) สัญญาอนุญาตให้ดำเนินการให้บริการวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่าระหว่าง กสท และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และสัญญาให้ดำเนินการให้บริการวิทยุคมนาคมระบบ Digital PCN ๑๘๐๐ ระหว่าง กสท กับ บริษัท ไวร์เลส คอมมูนิเคชั่นส์ เซอร์วิส จำกัด และสัญญาอนุญาตให้ดำเนินการให้บริการวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่า Digital PCN ๑๘๐๐ ระหว่าง กสท กับบริษัท ดิจิตอล โฟน จำกัด ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. การขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับกรอบเวลาในการนำผลการเจรจาและความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญากับเอกชนคู่สัญญาในแต่ละกรณีเสนอคณะรัฐมนตรี จากที่กำหนดไว้เดิม “ภายใน ๔๕ วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ” เป็น “ภายใน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอเพิ่มเติม
|
||||||||||||||||||||||||
34140 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) (นายสมประสงค์ โขมพัตร) | กก | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมประสงค์ โขมพัตร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
.....