ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1635 จากทั้งหมด 6224 หน้า แสดงรายการที่ 32681 - 32700 จากข้อมูลทั้งหมด 124475 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 32681 | ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. .... | พม | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. กำหนดให้มีสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุม ส่งเสริม และพัฒนาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ๒. กำหนดรายได้ของสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์มาจากเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน ค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ผลประโยชน์จากการดำเนินกิจกรรมของสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรือมอบให้ เงินหรือทรัพย์สินที่สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ได้รับตามกฎหมายหรือโดยนิติกรรมอื่น และดอกผลที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าว ๓. กำหนดประเภทของสมาชิกสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ กำหนดคุณสมบัติ สิทธิและหน้าที่ การสิ้นสุดความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิก ๔. กำหนดให้มีคณะกรรมการสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ กำหนดองค์ประกอบ คุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และอำนาจหน้าที่ ๕. กำหนดประเภทของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ที่เป็นวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ควบคุม ๖. กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ควบคุมหรือกระทำด้วยวิธีใด ๆ ที่แสดงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนมีสิทธิที่จะประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ควบคุมโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตจากสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ เว้นแต่กรณีที่กำหนดไว้ ๗. กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ต้องประกอบวิชาชีพให้เป็นไปตามข้อบังคับ และต้องดำรงตนและปฏิบัติตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ๘. กำหนดให้มีบทกำหนดโทษ |
||||||||||||||||||||||||
| 32682 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2553 | นร | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยรายงานการพัฒนาระบบราชการไทยฯ มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ภาพรวม ประกอบด้วย เป้าหมายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑ - พ.ศ. ๒๕๕๕) สถานภาพของระบบราชการไทย ที่บ่งบอกถึงลักษณะการมีอยู่ของหน่วยงานภาครัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ตลอดจนผลการประเมินภาพรวมของระบบราชการไทยด้านต่าง ๆ ที่สะท้อนสมรรถนะของระบบราชการที่ได้พัฒนาต่อเนื่องมา และในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ส่วนที่ ๒ ความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบราชการไทย ประกอบด้วย ผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของกระทรวง กรม จังหวัด และองค์การมหาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ การผลักดันการพัฒนาระบบราชการไทย เพื่อบรรลุเป้าประสงค์หลัก ๔ ประการของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑ - พ.ศ. ๒๕๕๕) ซึ่งทำให้ระบบราชการไทย “เก่ง ดี มีส่วนร่วม และตอบสนองทันต่อการเปลี่ยนแปลง” อาทิเช่น การพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม การยกระดับการให้บริการประชาชนในราชการบริหารส่วนภูมิภาคและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การสร้างความเข้มแข็งในการบริหารพื้นที่ การปรับปรุงระบบการประเมินผลตามคำรับรองการปฏิบัติราชการให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวง การพัฒนาตนเองของส่วนราชการตามกระบวนการการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ฯลฯ และการดำเนินงานขั้นต่อไป ทั้งงานเดิมที่สานต่อ และงานริเริ่มใหม่ โดยเฉพาะการสร้างระบบรองรับการเข้ามามีบทบาทการทำบริการสาธารณะของภาคส่วนอื่น และการสร้างความพร้อมยอมรับของฝ่ายข้าราชการ และความเชื่อมั่นของผู้รับบริการ ๓. ส่วนที่ ๓ การดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ ประเด็นยุทธศาสตร์ของสำนักงาน ก.พ.ร. ทรัพยากรที่สำนักงานใช้ในการบริหารงาน ได้แก่ บุคลากร และงบประมาณ และรายงานกิจการของสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ) ในกำกับของสำนักงาน ก.พ.ร.
|
||||||||||||||||||||||||
| 32683 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | มท | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 32684 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้เพื่อประกอบกิจการเป็นสถานบริการ พ.ศ. .... | มท | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้เพื่อประกอบกิจการเป็นสถานบริการ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. เพิ่มบทอาศัยอำนาจในมาตรา ๘(๓) (๑๒) (๑๓) และมาตรา ๓๒(๒) มาตรา ๓๒ ทวิ และมาตรา ๔๖ วรรคหนึ่ง ให้สอดคล้องกับการแก้ไขเนื้อหาในร่างกฎกระทรวงฯ และเพิ่มบทจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามมาตรา ๔๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อให้สอดคล้องกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ๒. แก้ไขเพิ่มเติมและปรับปรุงคำในบทนิยาม คำว่า “สถานบริการ” “พื้นที่สถานบริการ” “ช่องทางเดิน” “พื้นที่บริการ” และ “สถาบันทดสอบ” ให้มีความชัดเจนและเหมาะสมยิ่งขึ้น ๓. กำหนดให้สถานบริการแบ่งออกตามขนาดพื้นที่บริการ ๖ ประเภท ได้แก่ ๓.๑ สถานบริการประเภท ก หมายความถึง สถานบริการที่เป็นอาคารเดี่ยวหรือที่ตั้งอยู่ในอาคารที่ประกอบกิจการหลายประเภทรวมกัน ซึ่งมีการจัดพื้นที่บริการน้อยกว่ ๒๐๐ ตารางเมตร ๓.๒ สถานบริการประเภท ข หมายความถึง สถานบริการที่เป็นอาคารเดี่ยว ซึ่งมีการจัดพื้นที่บริการตั้งแต่ ๒๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๕๐๐ ตารางเมตร ๓.๓ สถานบริการประเภท ค หมายความถึง สถานบริการที่เป็นอาคารเดี่ยว ซึ่งมีการจัดพื้นที่บริการตั้งแต่ ๕๐๐ ตารางเมตรขึ้นไป ๓.๔ สถานบริการประเภท ง หมายความถึง สถานบริการที่ตั้งอยู่ในอาคารที่ประกอบกิจการหลายประเภทรวมกัน ซึ่งมีการจัดพื้นที่บริการตั้งแต่ ๒๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๕๐๐ ตารางเมตร ๓.๕ สถานบริการประเภท จ หมายความถึง สถานบริการที่ตั้งอยู่ในอาคารที่ประกอบกิจการหลายประเภทรวมกัน ซึ่งมีการจัดพื้นที่บริการตั้งแต่ ๕๐๐ ตารางเมตรขึ้นไป ๓.๖ สถานบริการประเภท ฉ หมายความถึง สถานบริการที่เป็นอาคารชั้นเดียวและไม่มีผนังภายนอกหรือมีผนังภายนอกซึ่งมีความยาวรวมกันน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของความยาวเส้นรอบรูปภายนอกของพื้นที่อาคารที่อยู่ภายใต้หลังคาคลุม ซึ่งมีการจัดพื้นที่บริการตั้งแต่ ๒๐๐ ตารางเมตรขึ้นไป ๔. กำหนดให้มีแบบแปลนระบบไฟฟ้าประกอบการขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารสถานบริการ และจัดให้มีการติดตั้งแบบแปลนผังของอาคารซึ่งแสดงตำแหน่งที่ติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงต่าง ๆ ทางหนีไฟ ทางออก และประตูทางออก ให้ชัดเจน ๕. กำหนดวัสดุของอาคาร เกี่ยวกับโครงสร้างหลักและโครงหลังคา ผนังที่กั้น วัสดุตกแต่งผิวผนังและฝ้าเพดาน การใช้ฉนวนกันความร้อน และผนังภายนอกประตู หน้าต่าง ๖. กำหนดให้สถานบริการต้องมีระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า และพลังงานไฟฟ้าสำรอง ๗. กำหนดให้สถานบริการแต่ละประเภทต้องจัดให้มีระบบป้องกันเพลิงไหม้ ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ระบบสัญาณเตือนเพลิงไหม้ และติดตั้งระบบควบคุมการแพร่กระจายของควัน ๘. กำหนดให้ผู้รับอนุญาตตั้งสถานบริการหรือเจ้าของอาคารที่ใช้ตั้งสถานบริการจัดให้มีผู้ดูแลระบบความปลอดภัยและการป้องกันอันตราย และจัดให้มีผู้ตรวจสอบอาคาร ตรวจสอบวัสดุที่ใช้ภายในสถานบริการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 32685 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี (วงจรที่ 3) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี (วงจรที่ ๓) ไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) (สถานะเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การก่อสร้างสายส่งเคเบิลใต้น้ำ ระบบ ๑๑๕ เควี ๑.๑ ประกวดราคาเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ๑.๒ ลงนามในสัญญาจ้างกับบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๔ กำหนดแล้วเสร็จตามสัญญาภายใน ๕๔๐ วัน (กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖) ๑.๓ บริษัทฯ อยู่ระหว่างทำการสำรวจ ออกแบบ แนววางสายเคเบิลใต้น้ำ ๑.๔ การขออนุญาตใช้พื้นที่ เมื่อดำเนินการสำรวจออกแบบแนววางสายเคเบิลใต้น้ำแล้วเสร็จ จะดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมเจ้าท่า กรมอุทกศาสตร์ กรมประมง องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี เทศบาลอำเภอเกาะสมุย และองค์การบริหารส่วนตำบลขนอม ๒. การก่อสร้างสถานีไฟฟ้า ๑๑๕ เควี Switching Station ปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุมัติข้อกำหนดขอบเขตและรายละเอียดของงานก่อสร้าง (TOR, Terms of Reference) และหลังจากได้รับอนุมัติ TOR ในการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแล้ว จะทำการประกวดราคาจ้างเหมาเพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป ๓. กฟภ. อยู่ระหว่างจัดทำ TOR สำหรับจ้างที่ปรึกษาในการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งก่อน ระหว่าง และหลังดำเนินการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ |
||||||||||||||||||||||||
| 32686 | รายงานประจำปีของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยรายงานฯ มีเนื้อหาสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ การพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี การพัฒนากระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การดำเนินภารกิจเพื่อพัฒนาครู การพัฒนาเครื่องมือและวิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย และการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจให้สาธารณชนตระหนักในความสำคัญของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ๒. การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างเต็มศักยภาพ ได้แก่ การดำเนินโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) การพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ การพัฒนาครูที่มีศักยภาพสูงทดแทนครูที่จะเกษียณอายุและการขาดแคลนครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ในสถานศึกษา ๓. การปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ได้แก่ การจัดโครงการอบรม พัฒนาและประชุมปฏิบัติการให้กับพนักงาน การดำเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในการติดตามการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และการดำเนินกิจกรรมการบริหารจัดการความรู้ในองค์กรและอบรมบุคลากร เพื่อวางแผนและรวบรวมข้อมูล องค์ความรู้และพัฒนาระบบบฐานข้อมูลองค์ความรู้ ๔. ทิศทางและเป้าหมายการดำเนินงาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้แก่ การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี อย่างเต็มตามศักยภาพ และการปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ๕. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว โดยผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ สสวท. ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญ ตามหลักการบัญชีกระทรวงการคลังกำหนด
|
||||||||||||||||||||||||
| 32687 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บังคับ ในท้องที่บางแห่งในเขตเทศบาลตำบลเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... | มท | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในท้องที่บางแห่งในเขตเทศบาลตำบลเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในท้องที่บางแห่งในเขตเทศบาลตำบลเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อประโยชน์ในด้านการควบคุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 32688 | การจัดทำแนวปฏิบัติการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร (ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. ....) | นร | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์แจ้งไม่ประสงค์ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประกันรายได้เกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. .... ต่อไป เนื่องจากรัฐบาลชุดใหม่ได้เห็นชอบปรับเปลี่ยนมาตรการจากการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมาเป็นมาตรการรับจำนำข้าวเปลือก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายุติการพิจารณาร่างระเบียบฯ ดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
| 32689 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ครั้งที่ 2 รุ่นอายุ 7 ปี ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2554 | กค | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ครั้งที่ ๒ รุ่นอายุ ๗ ปี ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ ๙ กันยายาน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ครั้งที่ ๒ รุ่นอายุ ๗ ปี จำนวน ๙,๓๖๗.๔๕ ล้านบาท ทั้งจำนวนเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๔ โดยกู้เงินระยะยาวโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน อายุ ๕ ปี จำนวน ๘,๐๖๔.๑๖ ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) อัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่เปิดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน ๑,๓๐๓.๒๙ ล้านบาท ๒. การชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่เปิดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน ๑,๓๐๓.๒๙ ล้านบาท ดำเนินการโดยประมูลพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๒ (LB17OA) อายุคงเหลือ ๖.๑ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี โดยจะนำเงินที่ได้จากการประมูลพันธบัตรรัฐบาลฯ ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๔ วงเงิน ๙,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระคืนเงินทดรองจ่ายดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
| 32690 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 เกี่ยวกับโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการลานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช | นร | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการลานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน (กบพร.) เสนอ ดังนี้
๑. ผลการตัดสินผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศโครงการประกวดแบบลานเฉลิมพระเกียรติฯ คือ นายพัชระ วงศ์บุญสิน และ บริษัท ภูมิสถาปนิกกรุงเทพ จำกัด โดยแบบที่ชนะการประกวดมีแนวความคิดสื่อถึงการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยแสดงถึงความงาม ความมีเอกลักษณ์และความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมผ่านแนวคิด “ลานธรรมชาติ.....ที่มีความธรรมดา” ๒. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ กบพร. ได้นำเสนอแบบที่ชนะเลิศต่อคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ๓. นำเสนอแบบที่ชนะเลิศโครงการลานเฉลิมพระเกียรติฯ ต่อราชเลขาธิการเพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูล ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอพระราชวินิจฉัย |
||||||||||||||||||||||||
| 32691 | การปรับกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า (PSR) จากพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี พ.ศ. 2545 (HS 2002) เป็นฉบับปี พ.ศ. 2550 (HS 2007) ในเอกสารแนบ บี ของภาคผนวก 3 ของความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า ภายใต้ กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคม ประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า (PSR) ซึ่งเดิมกำหนดตามพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๕ (HS 2002) เพื่อให้สอดคล้องกับพิกัดศุลกากรฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ (HS 2007) ในเอกสารแนบ บี ของภาคผนวก ๓ ของความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์จากฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๕ (HS 2002) เป็นฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ (HS 2007) เป็นผลให้เกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าในประเภทย่อย ๓๐๐๖.๐๑ (ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม/เอ็นเย็บแผล) และประเภทย่อย ๔๑๐๓.๙๐ (หนังดิบและหนังฟอก/อื่น ๆ) เปลี่ยนแปลงไปจากที่กำหนดไว้ในฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๕ (HS 2002) ๒. นำเสนอเรื่องในข้อ ๑ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาให้ความเห็นชอบของรัฐสภา ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อผนวกกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ (HS 2007) เข้าไปในความตกลงการค้าสินค้า ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ ให้แจ้งเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามข้อ ๒ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
| 32692 | การจัดทำข้อตกลงกับ Nuclear Regulatory Commission แห่งสหรัฐอเมริกา | วท | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลง “Arrangement between the Nuclear Regulatory Commission of the United States of America and Office of Atoms for Peace of Thailand for the Exchange of Technical Information and Cooperation in Nuclear Safety Matters” ระหว่างคณะกรรมาธิการกำกับดูแลนิวเคลียร์ (Nuclear Regulatory Commission) แห่งสหรัฐอเมริกา และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ แห่งประเทศไทย เป็นการแลกเปลี่ยนด้านวิชาการเป็นหลัก รวมทั้งการจัดทำข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงในระดับหน่วยงาน ซึ่งหน่วยงานสามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงไม่เข้าข่ายมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และไม่ใช่หนังสือสัญญาฯ ตามมาตรา ๑๙๐ฯ ๒. เห็นชอบข้อตกลงฯ ระหว่างคณะกรรมาธิการกำกับดูแลนิวเคลียร์ แห่งสหรัฐอเมริกา และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ แห่งประเทศไทย เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการและความร่วมมือในด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระของข้อตกลงฉบับนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๓. อนุมัติให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ โดยเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงฯ |
||||||||||||||||||||||||
| 32693 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน) | กค | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน แต่ไม่รวมถึงยานพาหนะและวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่ใช้กับยานพาหนะ เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของค่าใช้จ่ายนั้น ให้แก่บุคคลธรรมดา บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ๒. กำหนดให้ทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานตามมาตรา ๓ ต้องเป็นทรัพย์สินที่ไม่เคยผ่านการใช้งาน ซึ่งได้ซื้อมาและอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ตามประสงค์ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานว่าเป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ และต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกานี้ ทั้งนี้ ต้องหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งานได้ตามประสงค์
|
||||||||||||||||||||||||
| 32694 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต | กค | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต จำนวน ๕ คน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ๑.๑ นายปราการ อาภาศิลป์ ๑.๒ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ๒. ด้านการเงินและการธนาคาร นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ๓. ด้านคอมพิวเตอร์ นางสาวเพรามาตร หันตรา ๔. ผู้ประกอบการด้านธุรกิจภาคเอกชน นายสงคราม สกุลพราหมณ์
|
||||||||||||||||||||||||
| 32695 | ขอลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหารสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ | กห | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขอลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหารสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศของพลอากาศเอก ธเรศ ปุณศรี และทุกตำแหน่งในสถาบันฯ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป เนื่องจากได้รับการคัดเลือกให้เป็นกรรมการ ผู้ที่มีผลงานหรือมีความรู้และมีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ด้านกิจการกระจายเสียง ตามมาตรา ๖(๑) ของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 32696 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. .... | สผ | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ “การที่คณะกรรมาธิการมีหนังสือขอให้ส่งเอกสาร หนังสือเชิญ หรือคำสั่งเรียก และได้รับทราบหรือได้มาซึ่งเอกสาร ข้อเท็จจริง หรือความเห็นตามพระราชบัญญัตินี้ ในบางกรณีอาจมีกรรมาธิการหรือบุคคลอื่นที่เข้าร่วมประชุมบางคนมีส่วนได้เสียจากการได้รับทราบหรือได้มาซึ่งเอกสาร ข้อเท็จจริง หรือความเห็นดังกล่าว และอาจนำเอกสาร ข้อเท็จจริง หรือความเห็นนั้นไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดการเสียเปรียบในเชิงธุรกิจหรือความเสียหายแก่บุคคลหรือองค์กรใด จึงเห็นควรให้ประธานรัฐสภามีการกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการประชุมของคณะกรรมาธิการในเรื่องดังกล่าว หรือให้มีมาตรการอื่นใด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือการนำผลบังคับของการออกหนังสือ ขอให้ส่งเอกสาร หนังสือเชิญ หรือคำสั่งเรียกไปใช้ในทางที่มิชอบ” ๒. ผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎอยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันระหว่างสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเพื่อพิจารณายกร่างระเบียบดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
| 32697 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง | กษ | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นายวีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓. นายชัยฤทธิ์ ดำรงเกียรติ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
||||||||||||||||||||||||
| 32698 | มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย (เพิ่มเติม) | นร | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย (เพิ่มเติม) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การช่วยเหลือประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกันปรับปรุงรูปแบบของศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยให้เป็นศูนย์พัฒนาฝีมือและคุณภาพชีวิตชั่วคราว โดยจัดบริการเบ็ดเสร็จให้ความช่วยเหลือ ด้านอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค การดูแลสุขภาพให้บริการทางการแพทย์ และการเยียวยาจิตใจ และจัดให้มีกิจกรรมที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มวัย รวมทั้งเร่งการฝึกอบรมอาชีพระยะสั้นเพื่อนำไปประกอบอาชีพและสร้างรายได้ต่อไป โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประสานกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการรับฝึกอบรมเฉพาะประชาชนที่พักอยู่ในศูนย์พักพิงผู้ประสบภัย ไม่นับรวมผู้ที่เดินทางไป - กลับ ทั้งนี้ ในระหว่างที่ฝึกอบรมอาชีพผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้รับเบี้ยเลี้ยง ๑๒๐ บาท/วัน และหากประสงค์จะทำงานต่อจะจัดหางานให้ทำต่อในศูนย์พักพิง เช่น ทำอาหาร ดูแลเด็ก ผู้สูงอายุและผู้พิการ เป็นต้น โดยได้รับค่าจ้างตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งหางานอาชีพให้ทำนอกศูนย์พักพิงที่มีตำแหน่งว่างอยู่กว่า ๓๐,๐๐๐ ตำแหน่ง ๑.๑.๒ สำหรับการดูแลผู้ป่วย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ดูแลผู้ประสบอุทกภัยที่เป็นผู้ป่วย และส่งต่อผู้ป่วยของโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบอุทกภัยไปยังโรงพยาบาลที่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นระบบ แต่เริ่มมีการขาดแคลนเวชภัณฑ์บางชนิด เช่น น้ำยาล้างไต เป็นต้น เนื่องจากโรงงานผลิตในประเทศไม่สามารถดำเนินการได้ ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งเตรียมการนำเข้าและสำรวจเวชภัณฑ์ที่จำเป็นที่อาจมีไม่เพียงพอ ๑.๑.๓ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดกำลังดูแลทรัพย์สินของประชาชนที่ไม่ได้อยู่บ้านอย่างเข้มงวดเพื่อให้มีความปลอดภัยจากการโจรกรรม ๑.๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาจัดตั้งคลังอาหารสดและอาหารปรุงสำเร็จสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ประสานให้จังหวัดต่าง ๆ ที่อยู่นอกพื้นที่ประสบอุทกภัยซึ่งยังมีศักยภาพและมีความประสงค์ที่จะส่งอาหารเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดอื่นดำเนินการรวบรวมจัดส่งเข้าคลัง และจัดให้มีจังหวัดคู่แฝดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกันที่มีศักยภาพและความพร้อมเพื่อช่วยเหลือจังหวัดที่ประสบภาวะอุทกภัย ๑.๑.๕ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งสำรวจความเสียหายในพื้นที่ซึ่งน้ำลดแล้ว เพื่อจัดงบประมาณช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหาย ซึ่งจะได้รับความช่วยเหลือไม่เกินครอบครัวละ ๓๐,๐๐๐ บาท และประสานการช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การรวมพลังช่วยเหลือกันในชุมชน และการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมของภาคเอกชนเพื่อซ่อมสร้างบ้าน เป็นต้น ๑.๒ การช่วยเหลือเกษตรกร ๑.๒.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม เพื่อเตรียมโครงการและงบประมาณช่วยเหลือความเสียหาย เช่น ความเสียหายด้านพืช ปศุสัตว์และประมง การช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าว พันธุ์พืชไร่ พันธุ์สัตว์น้ำ และพันธุ์สัตว์ปีก การฟื้นฟูสุขภาพสัตว์ การแก้ไขปัญหาน้ำเสียและฟื้นฟูคุณภาพดิน การช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น ๑.๒.๒ สินเชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ๑.๒.๒.๑ กรณีลูกค้าประสบภัยและเสียชีวิต ธ.ก.ส. ปลดหนี้ให้กับทายาทหรือคู่สมรส และรับเป็นลูกค้าเพื่อให้สินเชื่อฟื้นฟูการผลิตแทน ๑.๒.๒.๒ กรณีประสบภัยร้ายแรงและไม่เสียชีวิต จะมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และพักชำระหนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยในช่วงพักชำระหนี้ ๓ ปีแทนเกษตรกร ๑.๒.๒.๓ สินเชื่อ ธ.ก.ส. ดำเนินการ ๒ โครงการ ได้แก่ สินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพเกษตรกร วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติร้อยละ ๓ ต่อปี และสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน ร้อยละ ๗ ต่อปี) ระยะ ๓ - ๕ ปี หรือยาวกว่านั้น ทั้งนี้ ให้รวมถึงเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. สามารถมาขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้าได้ด้วย สำหรับสมาชิกสหกรณ์การเกษตรและเกษตรกรที่เป็นลูกค้าธนาคารพาณิชย์ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงการคลังประสานให้ได้รับความช่วยเหลือในลักษณะเดียวกับลูกค้า ธ.ก.ส. ด้วย ๑.๓ การกอบกู้นิคมอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประสานนิคมอุตสาหกรรม เขตอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้ง ๗ แห่ง เร่งจัดทำแผนปฏิบัติการในการลดระดับน้ำในนิคมอุตสาหกรรม (Dewatering Action Plan) และฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมเมื่อน้ำเริ่มลดเพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อได้ภายใน ๔๕ วันนับจากวันที่เริ่มปฏิบัติการสูบน้ำออกจากนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการจัดให้มีคณะกรรมการอำนวยการระดับนโยบาย ๑ คณะ และคณะอนุกรรมการระดับปฏิบัติการร่วมระหว่างรัฐและเอกชน รวมทั้งจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จสำหรับนิคมอุตสาหกรรมทั้ง ๗ แห่ง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาน้ำเสียและฟื้นฟูคุณภาพดิน โดยร่วมกับกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อให้การดำเนินการช่วยเหลือเป็นไปอย่างเหมาะสมตรงตามกลุ่ม/พื้นที่เป้าหมาย โดยให้ดำเนินการบูรณาการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งภาคเอกชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 32699 | แนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ในช่วงเกิดภัยพิบัติจากเหตุอุทกภัย ปี พ.ศ. 2554 | คค | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ ในช่วงเกิดภัยพิบัติจากเหตุอุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ [ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๖ สายกรุงเทพมหานคร - ระยอง ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๔ (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง] ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ [ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๖ สายกรุงเทพมหานคร - ระยอง ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๔ (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง] ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 32700 | ผลการประชุมหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานการประชุม สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ภาคเอกชนเสนอให้เร่งจัดทำแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่แสดงกิจกรรมและระยะเวลาการดำเนินงานภายหลังน้ำลดอย่างชัดเจน โดยแผนฟื้นฟูควรมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในการกู้เครื่องจักรเครื่องมือ และระบบสาธารณูปโภค ทั้งระบบไฟฟ้าและประปาอย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งในระยะยาวควรมีแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ๑.๒ มาตรการการเงิน ภาคเอกชนเสนอให้มีการสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง และผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม รวมทั้งสนับสนุนค่าจ้างแรงงานเพื่อรักษาสภาพการจ้างงานในสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และให้มีการผ่อนผันการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยให้บริษัทแม่ที่เป็นนิติบุคคลต่างด้าวสามารถให้กู้แก่บริษัทลูกที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๑.๓ มาตรการทางภาษี ภาคเอกชนเสนอให้มีการลดหย่อนอัตราการจัดเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับงานรับเหมาช่วงต่อ จากอัตราร้อยละ ๓ เป็นร้อยละ ๐.๕ รวมทั้งยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าเป็นการชั่วคราวแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ สำหรับการนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ วัตถุดิบและชิ้นส่วนที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิต และยานยนต์สำเร็จรูป โดยกรณีของภาษีนำเข้ายานยนต์สำเร็จรูปควรมีการจำกัดจำนวนและรุ่นที่จะนำเข้าเพื่อไม่ให้กระทบผู้ผลิตภายในประเทศ ๑.๔ มาตรการผ่อนปรนกฎระเบียบและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ภาคเอกชนเสนอให้มีการอำนวยความสะดวกในการออกวีซ่าและใบอนุญาตการทำงานให้แก่ผู้เชี่ยวชาญและช่างเทคนิคจากต่างประเทศที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูกิจการ การขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน การอำนวยความสะดวกในการขอหนังสือรับรองคุณภาพความปลอดภัยของอาหารส่งออก และการจัดตั้งศูนย์ประสานความช่วยเหลือในแต่ละนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๑.๕ มาตรการผ่อนปรนกฎระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดยกำหนดมาตรการผ่อนปรนระยะเวลาการส่งมอบสินค้าและบริการตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พร้อมอนุญาตให้คู่สัญญาภาครัฐสามารถจัดซื้อสินค้าและบริการจากเอกชนรายอื่นทดแทนได้โดยมีการกำหนดแนวปฏิบัติจากกระทรวงการคลังที่ชัดเจน ๑.๖ มาตรการอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอ ได้แก่ การเตรียมแผนให้ความช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังน้ำลด การยกเว้นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของผู้ประกอบการเป็นการชั่วคราว การเร่งปรับปรุง ซ่อมแซมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องทันต่อเหตุการณ์ รวมทั้งการสร้างการรับรู้แก่ผู้ประกอบการถึงมาตรการที่รัฐได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอของภาคเอกชนที่มติคณะรัฐมนตรีอาจยังไม่ครอบคลุมอย่างชัดเจน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านเศรษฐกิจ) เพื่อพิจารณต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการเรื่องการกำหนดแผนฟื้นฟูให้มีความชัดเจนทั้งรายละเอียดของกิจกรรมและระยะเวลาดำเนินการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนชาวต่างชาติ การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการ การขยายระยะเวลานโยบายส่งเสริมการลงทุนแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการจัดตั้งศูนย์ประสานความช่วยเหลือในแต่ละนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการเรื่องการผ่อนผันการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยให้บริษัทแม่ที่เป็นนิติบุคคลต่างด้าวสามารถให้กู้แก่บริษัทลูกที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยได้ ๒.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาดำเนินการเรื่องการอำนวยความสะดวกในการขอหนังสือรับรองคุณภาพความปลอดภัยของอาหารส่งออก ๒.๔ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการเรื่องการกำหนดมาตรการผ่อนปรนระยะเวลาการส่งมอบสินค้าและบริการตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พร้อมอนุญาตให้คู่สัญญาภาครัฐสามารถจัดซื้อสินค้าและบริการจากเอกชนรายอื่นทดแทนได้
|
||||||||||||||||||||||||
.....
