ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1581 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31601 - 31620 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31601 | ปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ 2 | พม | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ ๒ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ระหว่างประเทศสมาชิกว่าจะร่วมกันต่อต้านสภาวะการเป็นทาสในทุกรูปแบบ และยืนยันความมุ่งมั่นที่มีต่อบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๗ ณ กรุงย่างกุ้ง สหภาพพม่า อีกทั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่ากระบวนการ COMMIT เป็นกลไกความร่วมมือที่สำคัญในระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในการยุติการละเมิดสิทธิและการแสวงประโยชน์จากผู้ที่เสี่ยงต่อการเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกที่ต้องการเห็นความก้าวหน้าในโครงการสำคัญต่าง ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖) ๑.๒ เห็นชอบและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ฉบับที่ ๒ ๑.๓ เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม โดยหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานและติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามปฏิญญาร่วมฯ ทั้งในระดับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและในระดับประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บรรลุตามปฏิญญาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31602 | รายงานสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของผู้แทนการค้าไทย (นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์) | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนมณฑลเสฉวน และนครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ของผู้แทนการค้าไทย (นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์) ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อแสวงหาความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุน ประกอบด้วยการหารือข้อราชการกับรองผู้ว่าราชการมณฑลเสฉวน และการหารือกับทีมประเทศไทย เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจไทยและจีน ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือกับรองผู้ว่าราชการมณฑลเสฉวน ๑.๑ รองผู้ว่าฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับจีนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจและการผลักดันความร่วมมือระหว่างเสฉวนกับไทย และได้ย้ำถึงศักยภาพของมณฑลเสฉวนที่มีขนาดใหญ่ทั้งด้านประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ และเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ลำดับ ๘ ของจีน และเป็นตลาดในด้านอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เป็นผู้นำด้านการค้าระหว่างประเทศแห่งจีนภาคตะวันตก ภายใต้นโยบายของรัฐบาลกลางที่ผลักดันให้เสฉวนเป็นศูนย์กลางทางการคมนาคม ทางการเงิน และอุตสาหกรรมในจีนตะวันตก จึงมีความพร้อม เช่น การมีสนามบินนานาชาติที่ใหญ่เป็นอันดับ ๔ รองจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว และภายในสิ้นปีนี้ ถนน Panzhihua ที่เชื่อมต่อเฉินตูไปถึงกรุงเทพฯ จะแล้วเสร็จและคาดว่าจะใช้เวลาน้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมงในการเดินทางโดยรถยนต์ ๑.๒ ผู้แทนการค้าไทยได้ขอให้ฝ่ายจีนพิจารณาถึงวิธีการทางศุลกากรและการผ่านด่านกักกันพืชและสัตว์ที่ต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ส่งออกจากไทยขายไม่ได้ราคาและเป็นอุปสรรคต่อผู้ประกอบการไทย โดยเสนอตัวอย่างการขนส่งผ่านเมืองกวางโจว ซึ่งมีวิธีการทางศุลกากรที่รวดเร็วทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ส่งตรงทางกวางโจว ซึ่งรองผู้ว่าฯ ได้รับปากที่จะพัฒนาให้เสฉวนมีการบริการที่รวดเร็วเหมือนกวางโจว ๑.๓ รองผู้ว่าฯ เสนอให้ฝ่ายไทยดำเนินการในเรื่องขั้นตอนทางศุลกากรต่อการนำเข้าสตรอเบอร์รีจากจีนให้รวบรัดกว่าเดิม รวมทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ศุลกากรของทั้งสองฝ่ายให้ดีกว่าเดิม ๑.๔ ผู้แทนการค้าไทยและรองผู้ว่าฯ ได้หารือถึงศักยภาพของบริษัทจีนในการผลิตแท็บเล็ต พีซี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย โดยเสฉวนเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Apple Dell และ Lenovo ซึ่งมีกำลังการผลิตถึง ๑๐๐ ล้านเครื่องต่อปี โดยรองผู้ว่าฯ จะมอบให้สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและกรมพาณิชย์ดำเนินการจัดหาข้อมูลต่อไป นอกจากนี้ ผู้แทนการค้าไทยได้เชิญชวนภาครัฐและเอกชนจีนไปลงทุนในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ การสร้างพลังงานทดแทนต่าง ๆ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ การคมนาคมขนส่งทางรถไฟ และโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ๒. การหารือกับทีมประเทศไทย ๒.๑ ผู้แทนการค้าไทยได้หารือกับทีมประเทศไทยประจำนครเฉินตูถึงธุรกิจที่มีศักยภาพในการดำเนินงาน ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าไทย โดยเฉพาะเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องตกแต่งและสินค้าไทยอื่น ๆ เช่น ผ้าไหม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สปาและสมุนไพรที่เป็นที่นิยมสำหรับชาวจีน โดยการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้านั้น ผู้ประกอบการไทยจะสามารถจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนสินค้าไทย ๒.๒ การหารือกับทีมประเทศไทย ณ สถานกงสุลใหญ่ประจำนครคุนหมิง ๒.๒.๑ ผู้แทนการค้าไทยได้หารือในเรื่องอุปสรรคต่อการค้าของไทยในประเด็นบนเส้นทางถนนหมายเลข R3 (ไทย - ลาว - จีนตอนใต้) โดยเฉพาะช่วงสาย R3A ซึ่งเป็นเส้นทางช่วงจีน - ลาว - ไทย ที่ประสบปัญหาความล่าช้าในการเดินรถ ผู้ประกอบการไทยที่ส่งสินค้าผ่านเส้นทางนี้ต้องทำการเปิดตู้สินค้าและเปลี่ยนหัวรถลากเมื่อผ่านชายแดนลาวทุกครั้ง เนื่องจากไทยยังไม่ได้มีการลงนามความตกลงขนส่งข้ามพรมแดน (Cross Border Transport Agreement - CBTA) ยกเว้นสินค้าประเภทผลไม้ ซึ่งไทยและจีนได้ลงนามในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สาม ทำให้ลดระยะเวลาในการตรวจโรคและขนส่งเหลือเพียง ๒ - ๓ วัน ๒.๒.๒ รัฐบาลจีนได้กำหนดเงื่อนไขของบริษัทที่มีสิทธิ์ยื่นขอโควตานำเข้าข้าว รวมทั้งได้ระงับการนำเข้าไก่สดและไก่แช่แข็งจากไทย โดยอ้างปัญหาไข้หวัดนก ทำให้มีการลักลอบการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาไก่ที่ชาวจีนมีการบริโภคสูง นอกจากนี้ ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทสมุนไพรจำนวนมาก แต่ประสบปัญหาในการนำเข้าจีน เนื่องจากหลักเกณฑ์การปฏิบัติและเอกสาร เช่น ใบรับรองปลอดศัตรูพืช ไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกันกับไทย และยังต้องเสียภาษีนำเข้าเนื่องจากสมุนไพรไม่ได้อยู่ในพิกัด ๐๗ และ ๐๘ ตามข้อตกลงการลดภาษีส่วนแรก (Early Harvest) ๒.๒.๓ ตามที่ได้มีกลุ่มบริษัท หนุน ซี กรุ๊ป จากคุนหมิงได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมยางพาราและการแปรรูปยางพาราในจังหวัดเชียงราย ซึ่งการลงทุนครั้งนี้สามารถสร้างมูลค่าได้ถึงปีละ ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเหมาะสมกับผู้ประกอบการไทยที่จะลงทุนในจีน ได้แก่ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ อุตสาหกรรมยางใน อุตสาหกรรมสายพานลำเลียงและการแปรรูปต่าง ๆ ที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า
|
||||||||||||||||||||||||
31603 | รายงานสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานของผู้แทนการค้าไทย (นายพิเชษฐ สถิรชวาล) | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานของผู้แทนการค้าไทย (นายพิเชษฐ สถิรชวาล) ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของไทยและปากีสถาน ประกอบด้วยการหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๑.๑ ฝ่ายปากีสถานได้เสนอให้ไทยพิจารณาการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างไทยกับปากีสถาน (Joint Trade Commission : JTC) เพื่อเป็นเวทีการประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางการค้า การลงทุน ส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแก้ไขปัญหา หรือลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งผู้แทนการค้าไทยเห็นด้วยในหลักการและได้แจ้งให้ฝ่ายปากีสถานทราบว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของไทยได้มีมติ (๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - ปากีสถาน เพื่อให้มีการจัดตั้ง JTC ระหว่างไทยกับปากีสถาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการให้รัฐมนตรีพาณิชย์ของสองฝ่ายลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๑.๒ ฝ่ายปากีสถานเสนอจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจไทย - ปากีสถาน (Thai Pakistani Joint Economic Commission : JEC) ครั้งที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ กรุงอิสลามาบัด เพื่อสานต่อความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาไว้ในด้านการเปิดตลาดการค้าหรือการลงทุนระหว่างกัน ๑.๓ ฝ่ายปากีสถานได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการขยายความสัมพันธ์ระหว่างสภาธุรกิจไทย - ปากีสถาน และหอการค้าไทย - ปากีสถาน โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าและการทำธุรกิจระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสองฝ่าย ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคี (ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ ๓๕ ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา) โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านกิจการร่วมค้า (joint venture) และการแปรรูปอาหาร ๑.๔ ปัจจุบันปากีสถานมีนโยบายเปิดเสรีการค้าบริการที่เปิดกว้างกว่าเดิม เนื่องจากปากีสถานต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยสาขาที่มีศักยภาพในการแข่งขันคือ โทรคมนาคม การเงิน การธนาคาร รวมทั้งการท่องเที่ยว และได้หยิบยกประเด็นเรื่องการศึกษา ความเป็นไปได้ในการเปิดสาขาธนาคารพาณิชย์ของปากีสถานในไทย รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยเฉพาะด้านศุลกากรที่เป็นมาตรฐานสากลอันจะเอื้อประโยชน์ต่อการค้าของสองประเทศ ๒. ผลการหารือกับประธานหอการค้าอิสลามาบัด ฝ่ายปากีสถานได้ขอให้ไทยพิจารณาการจัดBusiness Forum เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างนักธุรกิจทั้งสองฝ่าย โดยคาดว่าจะสามารถจัดการประชุมดังกล่าวภายหลังที่รัฐมนตรีพาณิชย์ของทั้งสองฝ่ายได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - ปากีสถาน (JTC) ๓. ผลการหารือกับผู้แทน COMSTECH ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ก่อตั้งโดยองค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) ที่ให้การสนับสนุนนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์แก่ประเทศสมาชิก และเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพและออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าฮาลาลที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยผู้แทนการค้าไทยได้ขอรับคำแนะนำจาก COMSTECH เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการที่จะได้รับการสนับสนุนการออกใบรับรองมาตรฐานคุณค่าอาหารฮาลาลของไทย ๔. ผลการหารือกับประธานสมาพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งปากีสถาน (FPCCI) ผู้แทนการค้าไทยได้กล่าวถึงแผนการร่วมทุนในอุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋องกับปากีสถานและประเทศมุสลิมอื่น ๆ ภายใต้ชื่อ Mr. Pine รวมทั้งการดำเนินนโยบาย Look West ของไทย ซึ่งเสริมนโยบาย Look East ของปากีสถาน และพร้อมที่จะสนับสนุนปากีสถานให้เข้ามาร่วมมีบทบาทในอาเซียน ๕. ผลการหารือกับรัฐมนตรีอาวุโสว่าการกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการจัดตั้ง JTC ระหว่างไทยกับปากีสถาน ซึ่งฝ่ายปากีสถานอยู่ระหว่างการรอตอบรับจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยเพื่อให้มีการลงนามร่วมกันโดยเร็วที่สุด โดยเสนอให้มีการลงนามในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ นอกจากนี้ รัฐมนตีรอาวุโสฯ ได้แสดงความสนใจในการที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลกับไทย โดยพร้อมที่จะส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อเรียนรู้จากไทยและยินดีที่จะให้ไทยเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในการจัดตั้งสำนักงานออกใบรับรองคุณภาพอาหารฮาลาลที่ปากีสถาน รวมทั้งเชิญชวนให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในการผลิตอาหารและผลไม้กระป๋อง โดยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนแก่นักธุรกิจไทย ๖. ผลการหารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติปากีสถาน เกี่ยวกับการให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมาเปิดดำเนินการในปากีสถาน โดยผู้ว่าการธนาคารฯ แจ้งว่ายินดีที่จะให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมาเปิดดำเนินการในปากีสถาน และพร้อมจะให้ความร่วมมือทุกอย่างที่ไทยต้องการ และอยากให้ผู้แทนการค้าไทยทำหน้าที่ช่วยประสานขอข้อมูลและกฎระเบียบในการที่ธนาคารพาณิชย์ปากีสถานจะมาเปิดดำเนินการในไทย ส่วนผู้แทนการค้าไทยได้แจ้งให้ทราบถึงการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ปากีสถานเกี่ยวกับศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทย และการที่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเข้ามามีบทบาทสนับสนุน ซึ่งผู้ว่าการฯ พร้อมที่ให้การสนับสนุนหากจะได้ทำการตกลงร่วมมือกันต่อไปในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||
31604 | ข้อเสนอการทบทวนกลไกการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ภายใต้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศทั้งระบบไว้ในหน่วยงานเดียว (Single Management) โดยมีภารกิจครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนงาน การศึกษาวิจัย การขับเคลื่อนการพัฒนา รวมทั้งการบริหารกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพ ๒. เห็นชอบให้โอนย้ายกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปตั้งอยู่ในสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๓. เห็นชอบให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๔ และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับใหม่เพื่อให้สอดรับกับโครงสร้างกลไกการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีบูรณาการ ๔. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดโครงสร้างองค์กรและบริหารจัดการการจัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติในการเป็นหน่วยงานบูรณาการการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศทั้งระบบ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยรับจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำคำของบประมาณตามขั้นตอนแล้วไปก่อน จนกว่าจะได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการเกี่ยวกับกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วเสร็จ จึงจะโอนย้ายเงินกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๕ ไปอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31605 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าโคกซำซาง ป่าเขาโปลกหล่น ป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู ในท้องที่ตำบลนาซำ ตำบลหินฮาว ตำบลวังบาล ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า ตำบลน้ำก้อ ตำบลน้ำชุน ตำบลบุ่งน้ำเต้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตำบลแคมป์สน ตำบลทุ่งสมอ ตำบลเขาค้อ ตำบลริมสีม่วง ตำบลสะเดาะพง ตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ และตำบลท่าพล ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติเขาค้อ) | ทส | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าโคกซำซาง ป่าเขาโปลกหล่น ป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู ในท้องที่ตำบลนาซำ ตำบลหินฮาว ตำบลวังบาล ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า ตำบลน้ำก้อ ตำบลน้ำชุน ตำบลบุ่งน้ำเต้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตำบลแคมป์สน ตำบลทุ่งสมอ ตำบลเขาค้อ ตำบลริมสีม่วง ตำบลสะเดาะพง ตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ และตำบลท่าพล ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าโคกซำซาง ป่าเขาโปลกหล่น ป่าเขาปางก่อ และป่าวังชมภู ในท้องที่ตำบลนาซำ ตำบลหินฮาว ตำบลวังบาล ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า ตำบลน้ำก้อ ตำบลน้ำชุน ตำบลบุ่งน้ำเต้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตำบลแคมป์สน ตำบลทุ่งสมอ ตำบลเขาค้อ ตำบลริมสีม่วง ตำบลสะเดาะพง ตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ และตำบลท่าพล ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติเขาค้อ) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในส่วนที่ต้องออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ไปเพื่อดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31606 | การจัดทำบันทึกความร่วมมือทวิภาคี ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา และสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ | พณ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (Memorandum of Bilateral Cooperation between the Department of Intellectual Property, Thailand and the United States Patent and Trademark Office) ก่อนการลงนาม โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ เป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (United States Patent and Trademark Office - USPTO) ในการพัฒนาศักยภาพ และระบบบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวทางการปฏิบัติ และกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพด้านทรัพย์สินทางปัญญา ภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความร่วมมือฯ จะมีผลใช้บังคับทันทีที่ทั้งสองฝ่ายลงนาม และมีระยะเวลา ๕ ปี นับจากวันที่ลงนาม โดยอาจยกเลิกได้ก่อนครบกำหนดระยะเวลา รวมทั้งอาจแก้ไขเพิ่มเติมได้โดยความเห็นชอบจากคู่ภาคีทั้งสองฝ่าย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการติดตามและประเมินผลความร่วมมือฯ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาขยายขอบเขตความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาในมิติอื่นต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31607 | การติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของนายกรัฐมนตรีและคณะ ระหว่างวันที่ 13 - 17 กุมภาพันธ์ 2555 | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ของนายกรัฐมนตรีและคณะ ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบวัตถุประสงค์ของการเดินทาง พร้อมทั้งแนวทางการตรวจราชการการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และการกำหนดผู้รับผิดชอบพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ๒. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประชุม เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เพื่อเตรียมการและกำหนดผู้รับผิดชอบด้านต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการตามแผนการเดินทางตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีและคณะ โดยกำหนดเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มติดตามนายกรัฐมนตรีและคณะลงพื้นที่ และกลุ่มที่มีภารกิจร่วมการประชุมกับคณะผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวง ทบวง กรม เพื่อจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ (Workshop) ๒.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีแผนงาน/โครงการในพื้นที่ตรวจราชการรวบรวมรายละเอียดแผนงาน/โครงการ ความก้าวหน้าและผลการดำเนินการ โดยจัดกลุ่มประเภทแผนงาน/โครงการ แล้วจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณบูรณาการข้อมูลร่วมกัน ภายในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักการจัดประชุมในพื้นที่เพื่อสรุปข้อมูลแผนงาน/โครงการ โดยมีผู้แทน กยน. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เป็นหน่วยงานสนับสนุน โดย ก.พ.ร. จะเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำแบบฟอร์มกลางเพื่อรวบรวมข้อมูลและการจัดกลุ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีและคณะ ๒.๔ ให้เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวิม รุ่งวัฒนจินดา) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สำนักโฆษก) และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (ช่อง ๑๑) เป็นผู้รับผิดชอบในการเผยแพร่ข้อมูลและการประชาสัมพันธ์ โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เป็นผู้รับผิดชอบในภาพรวมและเป็นผู้พิจารณาการจัดทำข้อมูลการบริหารจัดการน้ำต่าง ๆ เช่น แผนงาน/โครงการป้องกันอุทกภัยของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งแผนงาน/โครงการของ กยน. เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้รับทราบข้อมูลแผนงาน/โครงการการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ทั้งจากเว็บไซต์ และการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
31608 | สรุปผลการประชุมปรึกษาหารือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ สรุปผลการประชุมปรึกษาหารือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการแบ่งงานขุดลอกคลองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งสิ้น ๔๓ คลอง ๔๘ รายการ ภายใต้การบูรณาการความรับผิดชอบระหว่างกรุงเทพมหานคร และ ๙ กระทรวง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีผลการประชุมฯ ดังนี้ ๑.๑.๑ รัฐบาลจะช่วยกรุงเทพมหานครดำเนินการป้องกันน้ำท่วมเกี่ยวกับการขุดลอกคลอง การซ่อมแซมประตูระบายน้ำ การออกแบบและติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ การเชื่อมโยงระบบเตือนภัย รวมถึงการจัดทำแผนเผชิญเหตุและคลังเครื่องมือเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ๑.๑.๒ การแบ่งงานขุดลอกคลอง ประกอบด้วย การแบ่งงานขุดลอกคลองหลัก ๒๙ แห่ง รวม ๒๙ รายการ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ๑๙ คลอง กระทรวงกลาโหม ๕ คลอง กระทรวงมหาดไทย ๑ คลอง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑ คลอง กระทรวงสาธารณสุข ๒ คลอง และกระทรวงแรงงาน ๑ คลอง และการขุดลอกคลองเพิ่มเติม ๑๔ แห่ง พร้อมทั้งขยายความยาวของการขุดลอกคลองหลักเดิม ๕ คลอง รวม ๑๙ รายการ ได้แก่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒ คลอง กระทรวงกลาโหม ๑๐ คลอง กระทรวงมหาดไทย ๑ คลอง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒ คลอง กระทรวงคมนาคม ๑ คลอง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓ คลอง ๑.๑.๓ งบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามข้อ ๑.๑.๑ และ ๑.๑.๒ จะใช้งบประมาณตามโครงการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ได้จัดสรรให้กรุงเทพมหานคร และต้องขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนของการขุดลอกคลองเพิ่มเติม ๑๔ แห่ง เพื่อจัดสรรให้แก่ส่วนราชการที่ได้รับมอบหมายภารกิจขุดลอกคลอง โดยมอบให้เลขาธิการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป ๑.๒ ให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (กบภ.) ทำหน้าที่ประสานงานและติดตามการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกระยะ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปดำเนินการร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในการขอความร่วมมือจากภาคเอกชนเพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการขุดลอกคลองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ และติดตามการดำเนินงานขุดลอกคลองดังกล่าวอย่างต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31609 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้ที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ 2555 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้ที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๙,๕๑๘.๘๓๓ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ ขสมก. โดยปรับปรุงเส้นทางการเดินรถให้สอดคล้องกับระบบขนส่งมวลชนหลักและเส้นทางการเดินทางของรถไฟฟ้า เพื่อลดภาระการให้เงินอุดหนุนที่เป็นบริการสาธารณะของรัฐบาล และควรมีการกำหนดให้มีตัวชี้วัดของ ขสมก. ให้ชัดเจน เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของ ขสมก. รวมทั้งเห็นควรมีแผนปรับโครงสร้างองค์กรและการบริหารเป็นระยะต่างๆ และเร่งรัดพิจารณาดำเนินการแก้ไขประเด็นปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ตลอดจนปรับปรุงการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและลดภาระหนี้สินที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องทุกปี นอกจากนี้ เห็นควรให้ ขสมก. นำเสนอแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. แล้ว ให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาตามขั้นตอน เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหา และฟื้นฟูกิจการต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31610 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง | พม | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31611 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้มีผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ รวมถึงกรณีไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย ดังนี้
๑. พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ๒. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||
31612 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกช่วยจำระหว่างประเทศไทยกับองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรปเพื่อจัดการประชุม 2012 OSCE - Thailand Conference | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ร่างบันทึกช่วยจำระหว่างประเทศไทยกับองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co - operation in Europe - OSCE) เป็นเอกสารแบ่งภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างไทยกับ OSCE โดยกระทรวงการต่างประเทศกับ OSCE ในการร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 2012 OSCE - Thailand Conference ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ดังนี้ ๑.๑ การวางแผนและการจัดการประชุมฯ เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างไทยและ OSCE ๑.๒ ไทยจะดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อให้ความปลอดภัยแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ๑.๓ ไทยจะยินยอมให้ OSCE ยกเว้นภาษีนำเข้าและนำออกสำหรับรายการอุปกรณ์ที่ฝ่าย OSCE จะนำมาใช้ในการประชุมฯ ๑.๔ ไทยจะดำเนินการตรวจลงตราให้ผู้เข้าร่วมการประชุมฯ อย่างรวดเร็ว ๑.๕ OSCE ต้องสามารถโอนและถอนเงินที่จะใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประชุมฯ ๑.๖ ในกรณีที่มีเหตุไม่คาดคิด หากมีการเรียกร้องความเสียหายต่อ OSCE จากบุคคลที่ ๓ ที่ได้รับความบาดเจ็บ ความสูญเสีย หรือ ความเสียหาย สืบเนื่องมาจากการประชุมฯ ไทยจะรับผิดชอบค่าเสียหายอย่างเหมาะสมให้แก่ OSCE ยกเว้นในกรณีที่เหตุดังกล่าวเกิดจากความประมาทหรือการประพฤติผิดโดย OSCE ๑.๗ ร่างบันทึกช่วยจำฯ จะมีผลทันทีเมื่อไทยมีหนังสือตอบรับความเห็นชอบไปยังสำนักงานเลขาธิการของ OSCE ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการ OSCE โดยผ่านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา/คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนาว่า รัฐบาลไทยเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนบันทึกช่วยจำฯ โดยไม่ต้องพิจารณาลงนาม ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกช่วยจำฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||
31613 | สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อดำเนินการในวงเงิน ๒,๓๗๓.๐๖๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ในส่วนค่าเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ที่เก็บเกี่ยวและขายผลผลิตข้าว ช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ ให้ครอบคลุมถึงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ วงเงิน ๔,๕๘๑.๖๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายจากงบประมาณของ ธ.ก.ส. ไปก่อน และจะตั้งงบประมาณชดเชยให้ ธ.ก.ส. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ สำหรับวงเงินจำนวน ๙,๕๖๒.๐๔๐๕ ล้านบาท หากยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการ ขอให้หน่วยงานเสนอปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือเสนอขอรับจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป เนื่องจากเป็นภารกิจประจำของหน่วยงาน ๑.๔ ยกเลิกโครงการ เป็นเงิน ๔,๗๙๘.๓๗๑๒ ล้านบาท เนื่องจากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ๑.๕ ในการพิจารณาทบทวนโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.)] ปรากฏโครงการที่ดำเนินการในลักษณะของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๑๙ โครงการ วงเงิน ๔,๔๓๙.๕๗๓๐ ล้านบาท โดยเห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๑,๐๖๓.๔๙๒๘ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกวงเงิน ๓,๓๗๖.๐๘๐๒ ล้านบาท ตามนัยมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. ในส่วนของโครงการรองรับภัยพิบัติจากอุทกภัยต่อทรัพยากรสัตว์น้ำบริเวณอ่าวไทยตอนบน ของกรมประมง และโครงการเร่งรัดการฟื้นฟูการผลิตพืชต้นทุนสูงของเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ ของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งเกี่ยวข้องกับพืชสวน รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาแก่เกษตรกรผู้ประสบสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสงค์จะทบทวนก็ให้ดำเนินการได้ และเมื่อพิจารณาทบทวนแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาปรับแผนการดำเนินการและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และหากมีงบประมาณไม่เพียงพอ ก็ให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31614 | การจัดงาน "รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย" | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” กำหนดจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ ทำเนียบรัฐบาล มีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่จะแสดงความขอบคุณจากทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่จนสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง ๒. รูปแบบของการจัดงานฯ เป็นงานเลี้ยงแบบรับรองภายในตึกสันติไมตรี ประกอบด้วยการแสดงดนตรีเยาวชนยะลาซิมโฟนีออร์เคสตร้า การแสดงดนตรีบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าโดยวงดุริยางค์ไทยแลนด์ฟิลฮาร์โมนิค พร้อมด้วยเหล่านักร้องประสานเสียงของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และวงดุริยางค์ซิมโฟนีออร์เคสตร้าของเหล่าทัพ มีผู้รับเชิญเข้าร่วมงาน จำนวน ๕๐๐ คน ประกอบด้วย คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและเทียบเท่า หัวหน้าส่วนราชการอิสระ หัวหน้าส่วนราชการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้อง องค์กรการกุศล สถานีโทรทัศน์และสื่อมวลชนที่สำคัญ เป็นต้น โดยได้กราบเรียนเชิญประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) เป็นประธานในงานดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
31615 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วย และให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
||||||||||||||||||||||||
31616 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง | พน | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. พลตำรวจตรี ลัทธสัญญา เพียรสมภาร เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ๒. นายเอกธนัช อินทร์รอด เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
|
||||||||||||||||||||||||
31617 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเกี่ยวกับการเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ในระหว่างวันที่ ๒๑ - ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ข้อเสนอโครงการเพื่อการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (จังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย เลย บึงกาฬ) พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๒ (จังหวัดมุกดาหาร สกลนคร นครพนม) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์) และข้อเสนอการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ. ภูมิภาค) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในส่วนของการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ - ๒ และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง นั้น ให้รัฐมนตรีที่ยังมิได้แจ้งความประสงค์ในการลงตรวจพื้นที่ให้เร่งประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้ประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแจ้งที่จะขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่เป็นจังหวัดหนองคาย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะลงในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม
|
||||||||||||||||||||||||
31618 | การพิจารณาแต่งตั้งกรรมการสภาสถาปนิกแทนตำแหน่งที่ว่างลง | มท | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสุวิทย์ ดิษยวงศ์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาสถาปนิก แทนนายสมชาย วัฒนะวีระชัย กรรมการในคณะกรรมการสภาสถาปนิกเดิมที่ลาออก และให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31619 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31620 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2555 เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ) เฉพาะรายนายธวัชชัย คูภิรมย์ กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเฉิ่นหยาง สาธารณรัฐประชาชนจีน ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดิลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเต จากเดิม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เป็น ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....