ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1580 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31581 - 31600 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31581 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... | กษ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31582 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | กษ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31583 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 8 | พณ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference : MC) องค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๘ ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม MC ครั้งที่ ๘ ประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ได้ให้ความเห็นชอบในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ เรื่องต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๗ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้ขยายเวลาการยกเว้นการเก็บอากรศุลกากรชั่วคราวออกไปอีก ๒ ปีสำหรับสินค้าที่ส่งผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Customs Duties Moratorium on Electronic Transmissions) และการขยายเวลาการยกเว้นการฟ้องกรณีพิพาทเกี่ยวกับความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (TRIPs) ภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทของ WTO หากไม่ได้ทำผิดพันธกรณีภายใต้ความตกลงดังกล่าว (TRIPS non - violation complaint) ถึงการประชุม MC 9 ซึ่งจะมีขึ้นประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒ การพัฒนาระบบการดำเนินการภายใน WTO เช่น ระบบการทบทวนนโยบายการค้า การผลักดันการดำเนินงานตามแผนงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ๑.๓ การให้ความยืดหยุ่นและความช่วยเหลือแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด เช่น การผ่อนปรนในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกของ WTO การขยายระยะเวลาที่จะไม่บังคับใช้ความตกลง TRIPS และการยกเว้นจากหลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation Treatment : MFN) ในกรณีที่ให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดในด้านการค้าบริการ ๒. การประชุมกลุ่มย่อย (Working Session) ๓ กลุ่ม ได้แก่ ๒.๑ ความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีกับองค์การการค้าโลก (Importance of Multilateral Trading System and the WTO) รัฐมนตรีของประเทศสมาชิก WTO เน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีที่อิงกฎระเบียบ และเห็นชอบการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการค้าพหุภาคีดังกล่าว โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งบทบาทของ WTO ในประเด็นการสนับสนุนการต่อต้านการกีดกันทางการค้า (protectionism) และเห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุงกลไกการทำงานตามวาระงานปกติของ WTO อาทิ การติดตามการปฏิบัติตามพันธกรณีของสมาชิก การปรับปรุงกลไกระงับข้อพิพาททางการค้าของ WTO (WTO dispute settlement mechanism : DSU) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเจรจาทบทวนความตกลงระงับข้อพิพาทให้สำเร็จ (DSU review) การปรับปรุงกระบวนการกำกับดูแลและรายงานผลของ WTO ให้มีความโปร่งใสมากขึ้น รวมทั้งเป็นเวทีเพื่อพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าที่เสนอโดยสมาชิก WTO ๒.๒ การค้าและการพัฒนา (Trade & Development) รัฐมนตรีของประเทศสมาชิก WTO เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของการค้าที่มีต่อการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยประเทศสมาชิกควรให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด เพื่อให้สามารถเข้ามามีบทบาทในเวทีการค้าโลกมากขึ้น โดยให้ความยืดหยุ่นและผ่อนปรนในเรื่องกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิก WTO (LDC Accession) การขยายระยะเวลาที่จะไม่บังคับใช้ความตกลง TRIPS การยกเว้นจากหลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation Treatment : MFN) ในกรณีที่ให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดในด้านการค้าบริการ (LDC service waiver) และการให้ความช่วยเหลือที่เกี่ยวข้องกับการค้า (Aid for Trade) โดยย้ำถึงพันธกรณีในการสนับสนุนด้านการเงินที่สามารถคาดการณ์ได้และเป็นไปตามกำหนดเวลาเพื่อให้ฝ่ายเลขาธิการ WTO สามารถดำเนินการด้านการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและการเสริมสร้างขีดความสามารถตามที่สมาชิกร้องขอได้ ๒.๓ การเจรจาในรอบโดฮา (Doha Development Agenda) รัฐมนตรีของประเทศสมาชิก WTO ยอมรับว่า สมาชิกยังมีท่าทีที่แตกต่างกันในประเด็นการเจรจาในรอบโดฮา จึงทำให้ยากต่อการสรุปผลการเจรจาในรูปแบบเบ็ดเสร็จ (Single undertaking) ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม สมาชิกยังคงต้องใช้ความพยายามที่จะเจรจาหาข้อสรุปในประเด็นต่าง ๆ ในรอบโดฮา จึงจำเป็นต้องหาแนวทางการเจรจาในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อผลักดันการเจรจาต่อไป โดยสนับสนุนให้สมาชิกสามารถกำหนดให้บางประเด็นสามารถมีผลสรุปได้ก่อนประเด็นอื่น ๆ นอกจากนี้ รัฐมนตรีของสมาชิกหลายรายเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาหลักการของการเจรจาในกรอบพหุภาคี (Multilateralism) การมีส่วนร่วม (Inclusiveness) และ Single undertaking กล่าวคือ จะถือว่าการเจรจารอบโดฮาสำเร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสามารถตกลงกันได้ทุกเรื่อง และเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกันในภาพรวม
|
||||||||||||||||||||||||
31584 | การขอแต่งตั้ง นายรูเบน คูเปอร์แมน เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครเพิร์ท เครือรัฐออสเตรเลีย | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายรูเบน คูเปอร์แมน (Mr. Reuben Kooperman) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครเพิร์ท เครือรัฐออสเตรเลีย สืบแทน พลจัตวา ดับลิว ดี. เจมีสัน (Brigadier W.D. Jamieson) ซึ่งเกษียณอายุ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมรัฐออสเตรเลียตะวันตก เครือรัฐออสเตรเลีย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31585 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... กลับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตราขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๗ วรรคสอง สมควรบัญญัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และสามารถนำไปปฏิบัติได้โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามโครงการหรือกิจกรรมที่มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์โดยรวม โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31586 | งบประมาณลงทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประจำปี 2555 และกรอบงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2555 (ขอแก้ไขข้อความ) | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแก้ไขคำผิดในหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๑๕/๕๑๑๕ ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เรื่อง งบประมาณลงทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และกรอบงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ในหน้า ๓ ข้อ ๓.๒.๓ และหน้า ๔ ข้อ ๔.๓ จาก “ ...วงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๓๓,๔๑๑ ล้านบาท... ” เป็น “ ...วงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๓๓,๔๔๒ ล้านบาท... ” [ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง งบประมาณลงทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประจำปี ๒๕๕๕ และกรอบงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕) ไปแล้ว] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31587 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ มีผู้อำนวยการซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิบัติราชการของสำนักงาน ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ มีอำนาจตรวจสอบการได้รับสิทธิประโยชน์ของคนพิการ ให้คำแนะนำและช่วยเหลือคนพิการให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวก สวัสดิการ และความช่วยเหลืออื่นตามพระราชบัญญัตินี้ ๑.๓ กำหนดขั้นตอนและวิธีการให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติดำเนินการตรวจสอบการได้รับสิทธิประโยชน์ของคนพิการ ๑.๔ กำหนดให้การกำหนดเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวคนพิการเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ๑.๕ กำหนดขั้นตอนและวิธีการให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ ตลอดจนสวัสดิการ และความช่วยเหลืออื่นจากรัฐได้ รวมทั้งกำหนดให้องค์กรด้านคนพิการหรือองค์กรอื่นใดที่ให้บริการแก่คนพิการมีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการมากขึ้น และกำหนดให้มีศูนย์บริการคนพิการ ๒. ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติมีฐานะเป็นกรมในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๒.๒ กำหนดให้โอนบรรดากิจการ เงิน กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และภาระผูกพันทั้งปวง รวมถึงข้าราชการ พนักงานราชการ และบุคลากร ของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปเป็นของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
|
||||||||||||||||||||||||
31588 | กรอบการเจรจา WIPO IGC ภายใต้อาณัติการทำงาน WIPO IGC ปี 2555 - 2556 | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกรอบการเจรจาการประชุม Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore (IGC) ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก World Intellectual Property Organization (WIPO) ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านทรัพยากรพันธุกรรม และด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม เพื่อเป็นพื้นฐานในการเจรจาสำหรับคณะผู้เจรจาของไทย สำหรับการเข้าร่วมการประชุม WIPO IGC ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอาณัติการทำงานของ WIPO IGC ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับร่างกรอบเจรจาด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ข้อ ๒.๑๕ ควรระบุให้ครอบคลุมถึงระดับท้องถิ่น ร่างกรอบเจรจาด้านทรัพยากรพันธุกรรม ข้อ ๒.๘ ควรระบุให้ครอบคลุมถึงระดับท้องถิ่น ส่วนร่างกรอบเจรจาด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ข้อ ๒.๓ ควรเพิ่มเรื่องการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม เพื่อเป็นการรักษาให้คงอยู่ด้วย และ ข้อ ๒.๖ เมื่อถือว่าเป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ย่อมควรได้รับการคุ้มครองแบบไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด และควรเน้นในประเด็นคุณค่าวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมมากกว่ามูลค่าที่จะได้รับ รวมทั้งควรเพิ่มเรื่องการให้ความคุ้มครองการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมระดับท้องถิ่น ระดับประเทศและระดับระหว่างประเทศ และค่าตอบแทนจากการนำไปใช้ประโยชน์ และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรกำหนดมาตรการระดับภูมิภาคเพื่อคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพที่มีการคุ้มครองข้ามพรมแดน (Tran boundary) การพัฒนากลไกการดำเนินการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานและแนวทางในการป้องกันการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่นไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือใช้โดยผิดกฎหมาย และควรมีการจัดการจัดข้อมูลการดำเนินงานในการคุ้มครองและส่งเสริมการใช้ตามธรรมเนียมประเพณี (customary use) ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและเป็นส่วนหนึ่งที่สอดคล้องกับกรอบการเจรจาฯ ทั้ง ๓ ด้าน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31589 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายให้แก่โครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒ รายการ วงเงิน ๑,๑๕๕,๘๕๒ บาท และอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับการจัดสรรเงินสำหรับโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ของสถาบันบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๖๖,๗๙๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ในส่วนของโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท (โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ โครงการพัฒนาบริการตติยภูมิศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคมะเร็งและเครือข่ายการบาดเจ็บแห่งชาติ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ และโครงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน) และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ของกระทรวงคมนาคม จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๑,๘๒๑.๘๘ ล้านบาท (โครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วรวม โครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาดำเนินการ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการที่ตอบสนองต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยก่อนเป็นลำดับแรก ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อมูลภาพรวมเกี่ยวกับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น เหตุผลความจำเป็น ขั้นตอนการขออนุมัติโครงการ และผลการดำเนินการ เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เหมาะสม เพื่อให้การใช้เงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ มีความชัดเจน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ และเร่งรัดการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดติดตามการดำเนินการด้วย ทั้งนี้ หากโครงการไม่แล้วเสร็จและเบิกจ่ายไม่ทันภายในกำหนดก็ควรให้มีการขยายเวลา โดยให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อรวบรวมข้อมูลและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31590 | การลงนามบันทึกความตกลงสำหรับโครงการความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์ The Korea Project on International Agriculture (KOPIA) ในราชอาณาจักรไทย | กษ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามบันทึกความตกลงสำหรับโครงการความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์ The Korea Project on International Agriculture (KOPIA) ในราชอาณาจักรไทย โดยบันทึกความตกลงฯ มีสาระสำคัญเพื่อดำเนินการจัดตั้งศูนย์ Korea Project on International Agriculture (KOPIA - Thailand) ในราชอาณาจักรไทย โดยกรมวิชาการเกษตรและสถาบันพัฒนาชนบทแห่งสาธารณรัฐเกาหลีจะร่วมกันดำเนินกิจกรรมในการคิดค้น วิจัย พัฒนา รวมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ได้จากความร่วมมือให้แก่นักส่งเสริมการเกษตร และเกษตรกรไทย ทั้งนี้ ให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ลงนามบันทึกความตกลงฯ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความตกลงฯ ที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และโดยที่เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรในการลงนามในบันทึกความตกลงฯ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรกำหนดแผนการดำเนินงานของศูนย์ KOPIA ทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้ชัดเจน เพื่อให้เห็นเป้าหมายของการดำเนินกิจกรรมหรือโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ภายใต้ศูนย์ KOPIA รวมถึงประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมที่ประเทศไทยจะได้รับ มีการประเมินศักยภาพและความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สถานที่จัดตั้งศูนย์ - ห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ - เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ก่อนการลงทุนเพิ่ม มีการกำหนดหลักเกณฑ์เป้าหมายการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรชีวภาพของประเทศให้ชัดเจนโดยอ้างอิงตามหลักกฎหมายไทยและสากล และมีกระบวนการประเมินโครงการก่อนเริ่มดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าการใช้ทรัพยากรชีวภาพของประเทศเพื่อการวิจัยจะไม่สูญเปล่า รวมทั้งเห็นควรปรับแก้ไขข้อความในบันทึกความตกลงฯ ในบางประเด็น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามดูแลและระมัดระวังเกี่ยวกับการจัดทำความตกลง ช่วยเหลือ ร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีประเด็นหรือมีผลกระทบเกี่ยวกับสิทธิชุมชน ความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication) ในการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31591 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอสโตเนียว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการศึกษา | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งฝ่ายรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอสโตเนียทราบภายหลังการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอสโตเนียว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการศึกษา (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Estonia on Cultural and Educational Cooperation) ว่า ฝ่ายไทยได้ดำเนินการเสร็จสิ้นขั้นตอนที่จำเป็นตามรัฐธรรมนูญของฝ่ายไทยอย่างครบถ้วนแล้ว เพื่อการมีผลบังคับใช้ของความตกลงฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
31592 | การเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 | กต | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการรณรงค์หาเสียงสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 และจัดตั้งคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงระดับชาติ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการในการหาเสียง ตลอดจนเป็นกลไกกลางในการประสานงานตลอดระยะเวลาการรณรงค์หาเสียง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ๑.๒ กำหนดให้เรื่องการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 เป็น “วาระแห่งชาติ” ของรัฐบาล โดยให้รองนายกรัฐมนตรีที่เห็นเหมาะสมจัดประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อกำหนดกลไกและหน่วยงานหลักที่จะนำวาระแห่งชาติดังกล่าวไปดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์และแผนงานการเตรียมการทั้งในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนร่วมกันทำงานอย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพ เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในทุกมิติที่จะเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการรณรงค์หาเสียงสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo 2020 อาจใช้ประโยชน์จากเวทีการประชุมระดับนานาชาติ เวทีการเจรจาในระดับทวิภาคีหรือพหุภาคี เครือข่ายทางการทูต หรือเครือข่ายของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีสำนักงานอยู่ในต่างประเทศ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ และเห็นควรให้ความสำคัญในการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างกระแสการยอมรับของคนไทยทั้งประเทศ รวมถึงการขยายไปยังประชาคมอาเซียน เพื่อให้เป็นพลังในการช่วยสนับสนุนและการเป็นเจ้าภาพจัดงานร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
31593 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง เทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติดินถล่ม | สสป | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง เทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติดินถล่ม ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีดังนี้
๑. เร่งสำรวจและจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงภัยให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศและประกาศให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับทราบข้อมูล ๒. เร่งจัดหาและติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยดินถล่มที่ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพพื้นที่เสี่ยงภัย ๓. จัดสรรงบประมาณในการดูแลบำรุงรักษาอุปกรณ์เตือนภัยในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและจัดสรรงบประมาณเพื่อการส่งเสริมอาสาสมัครเตือนภัย ๔. ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันภัยพิบัติ อาทิ การฝึกซ้อมอพยพหนีภัยในพื้นที่เสี่ยงภัย และสนับสนุนองค์กรภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย ๕. งดเว้นการกระทำทุกรูปแบบซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาต ๖. ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมแบบจำลอง ๓ มิติ การเตือนภัยดินถล่ม และนำผลงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๗. ส่งเสริม สนับสนุนและปรับปรุงโครงสร้างของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สามารถเป็นศูนย์กลางในการบริหาร ประสานงานเชื่อมโยงข้อมูลและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับภารกิจในการเตือนภัยพิบัติครอบคลุมทุกภัยพิบัติทั้งประเทศอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ๘. ส่งเสริมและสนับสนุนปรับโครงสร้างของหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีขีดความสามารถและเอกภาพในการรองรับภารกิจด้านการเข้าช่วยเหลือ การบรรเทาสาธารณภัยอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ รวมถึงต้องมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศที่เป็นแผนงานที่มีความชัดเจน ครอบคลุม ประสานทุกหน่วยงาน ทุกระดับชั้น ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๙. เพิ่มหลักสูตรภัยพิบัติทางธรรมชาติในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับชั้น ๑๐. สนับสนุนงบประมาณแก่มิสเตอร์เตือนภัย องค์กรสาธารณกุศล รวมทั้งอาสาสมัครจากชุมชนที่ให้ความช่วยเหลือราชการ ๑๑. จัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในการเขียน/แปลภาพถ่ายทางอากาศที่ได้จากดาวเทียม/แผนที่เรด้าร์ (Radar) รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ๑๒. จัดสรรอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยเพื่อการรองรับการประมวลภาพถ่ายพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับหมู่บ้าน ตำบล พร้อมนักเทคนิคผู้ปฏิบัติการงานประมวลผล ๑๓. ปรับปรุงและ/หรือออกกฎหมายที่มีบทบังคับให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม โดยแยกประเภทภัยพิบัติเกี่ยวกับดินถล่มให้เป็นกฎหมายเฉพาะเพื่อความชัดเจนในการบังคับ ๑๔. สนับสนุนให้มีการนำหญ้าแฝกปลูกในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม พื้นที่ลาดชันเชิงเขาให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มและประกาศให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ปฏิบัติตามในทุกพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||
31594 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในท้องที่ตำบลลำนารายณ์ ตำบลท่าดินดำ ตำบลชัยบาดดาล ตำบลม่วงค่อม ตำบลมะกอกหวาน ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และตำบลวังม่วง ตำบลคำพราน อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31595 | ร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กก | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้สอดคล้องกับหลักการและกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่มิได้มีการแก้ไขที่มีนัยสำคัญและเป็นปัญหา ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. เพิ่มเติมนิยามคำว่า “กองทุน” คำว่า “สมาคมกีฬา” และคำว่า “สมาคมกีฬาจังหวัด” เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาในบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งแก้ไขนิยามคำว่า “พนักงาน” โดยตัดผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยออก เนื่องจากผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยมาจากการสรรหาตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ๒. กำหนดให้การกีฬาแห่งประเทศไทยมีอำนาจในการจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ๓. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยเพิ่มปลัดกระทรวงการคลังเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๔. แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้ง คุณสมบัติ และการพ้นจากตำแหน่งของผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย และรองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และเป็นไปในแนวทางเดียวกับกฎหมายว่าด้วยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ๕. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกีฬาจังหวัด โดยเพิ่มนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกสมาคมกีฬาจังหวัด และผู้แทนเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัด เป็นกรรมการ และกรรมการอื่นซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคนแต่ไม่เกินสิบเอ็ดคน ๖. กำหนดให้มีกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติขึ้นในการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกองทุนการศึกษาของนักกีฬา กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และกองทุนสวัสดิการนักกีฬา ไปเป็นของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ๗. แก้ไขเพิ่มเติมการให้ความช่วยเหลือแก่คณะกรรมการกีฬาจังหวัด สมาคมกีฬา นักกีฬา หรือบุคคลในวงการกีฬา โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทยกำหนด รวมทั้งบทลงโทษกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ๘. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับรองสมาคมกีฬา การอนุญาตให้เป็นสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรอง การขออนุญาต และการอนุญาตให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทยกำหนด ๙. แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดโทษ
|
||||||||||||||||||||||||
31596 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดหลักเกณฑ์การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในเรื่องไถ่ถอนและมรดก ฯ) | มท | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ทบวงการเมือง” ให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐด้วย แต่ไม่รวมถึงรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกรมที่ดินที่ประสงค์จะให้หน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการขอใช้ประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ๒. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจดทะเบียนไถ่ถอนจากจำนอง ไถ่ถอนจากการขายฝาก การจดทะเบียนสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้มาโดยทางมรดก และการจดทะเบียนลงชื่อผู้จัดการมรดกในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน โดยให้รวมถึงอสังหาริมทรัพย์อื่นนอกจากที่ดินด้วย เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อื่นนอกจากที่ดินด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31597 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง กรณีนโยบายของนิคมอุตสาหกรรมโรงถลุงเหล็ก อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | สว | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เรื่อง กรณีนโยบายของนิคมอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นพ้องกับแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชาชนตามที่เสนอในรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ ถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ ได้มุ่งเน้นถึงความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีคุณภาพ มีความยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการบริหารจัดการภาคอุตสาหกรรมเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ๒. แผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก ซึ่งจัดทำร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ได้กำหนดนโยบายการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๘ รวมถึงการสนับสนุนภาคเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กสมบูรณ์แบบและท่าเรือน้ำลึกบริเวณตอนใต้ของพื้นที่ โดยให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และการลงทุนของภาคเอกชนที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งขั้นตอนของการลงทุนของภาคเอกชนจะต้องมีการดำเนินการตามกฎระเบียบ กฎหมายและรัฐธรรมนูญฯ อย่างเคร่งครัด ๓. ประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นของประชาชนต่อภาคอุตสาหกรรมในเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ได้แก่ การเร่งดำเนินการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมนิเวศ (Eco-Industrial Town) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมตามแนวทางการพัฒนาภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๑ การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการกำหนดนโยบายทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น และการกำหนดมาตรการส่งเสริมให้ภาคเอกชนนำแนวคิด Corporate Social Responsibility (CSR) มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ๔. ประเทศไทยมีความต้องการใช้เหล็กมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่เป็นปัจจัยการผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ทำให้ต้องมีการนำเข้าเหล็กคุณภาพสูงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อลดการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาแนวทางส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้นเพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูงในประเทศ ๕. การส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทย ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการจัดหาพื้นที่รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม การต่อต้านของประชาชนในพื้นที่ และลดภาระด้านงบประมาณภาครัฐในการลงทุนจัดหาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งถนน ท่าเรือ และแหล่งน้ำ รวมทั้งสามารถใช้ประโชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมเมืองทวายของประเทศพม่า ซึ่งหากจะดำเนินการตามแนวทางนี้กระทรวงอุตสาหกรรมต้องประสานกับภาคเอกชนในการดำเนินการร่วมกับภาครัฐ และนำเสนอให้รัฐบาลพิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||
31598 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานสามชุก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานสามชุก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ซ้าย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ถึงกิโลเมตรที่ ๒๕.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลสามโก้ อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๒ ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลวังลึก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ถึงกิโลเมตรที่ ๓๑.๖๕๐ ในท้องที่ตำบลศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
||||||||||||||||||||||||
31599 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าสะเมิง ในท้องที่ตำบลแม่สาบ ตำบลสะเมิงเหนือ ตำบลบ่อแก้ว และตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติขุนขาน) | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าสะเมิง ในท้องที่ตำบลแม่สาบ ตำบลสะเมิงเหนือ ตำบลบ่อแก้ว และตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าสะเมิง ในท้องที่ตำบลแม่สาบ ตำบลสะเมิงเหนือ ตำบลบ่อแก้ว และตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ (อุทยานแห่งชาติขุนขาน) เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในส่วนที่ต้องดำเนินการออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31600 | รายงานผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18 | ทส | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘ - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรี เป็นโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขง สายประธานในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะต้องดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติ ว่าด้วยการปรึกษาหารือกันก่อน (Prior Consultation : PC) ซึ่งกระบวนการปรึกษาหารือดังกล่าวต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔) แต่ประเทศภาคีสมาชิกไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนในผลการศึกษาและมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนหลายประการ คณะมนตรีฯ จึงได้มีการหารือระหว่างการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น (Mekong - Japan Summit) ครั้งที่ ๓ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมีมติอนุมัติในหลักการให้มีการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำโขง และแม่น้ำโขงสายประธาน รวมทั้งได้พิจารณาขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น (Development Partners) เพื่อศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งประเทศภาคีสมาชิกต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในกระบวนการปรึกษาหารือและการเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น เพื่อกำหนดแนวทางและระยะเวลาการดำเนินการที่เหมาะสม ๑.๑.๒ การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) จะมีขึ้นทุก ๆ ๔ ปี โดยการประชุมครั้งแรกมีขึ้นในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๓ (ค.ศ. ๒๐๑๐) ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ Hua Hin Declaration ซึ่งเป็นการตกลงร่วมกันว่าประเทศภาคีสมาชิกจะมีการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่างโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด สำหรับการประชุมครั้งที่ ๒ จะมีขึ้น ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ (๒๐๑๔) ซึ่งคณะมนตรีฯ พิจารณาเห็นว่าภารกิจต่าง ๆ ที่ดำเนินการตาม Hua Hin Declaration มีจำนวนมากและการพัฒนาในลุ่มน้ำโขงตอนล่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากรอให้มีการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานต่อการประชุม MRC Summit ครั้งต่อไปอาจนานเกินไป จึงมีมติให้มีเวทีหารือของผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) เป็นครั้งแรก โดยให้เป็นวาระของการประชุมหนึ่งในการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ ๒๐ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (ค.ศ. ๑๐๑๒) และให้สมาชิกคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงนำประเด็นดังกล่าวหารือและขอความเห็นชอบภายในประเทศของตน ๑.๑.๓ คณะมนตรีฯ มีมติอนุมัติงบประมาณในการบริหารองค์กร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (Operating Expenses Budget for 2012) เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนและการบริหารงานทั่วไปขององค์กร สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๖๑๙,๓๔๖ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๑.๔ คณะมนตรีฯ มีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง (Mekong 2 Rio: Mekong to Rio + 20) ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต เพื่อจัดทำ Mekong Messages นำเสนอผลงาน คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งเป็นการอนุวัตตามเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDG) โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio + 20) ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๑.๒ เห็นชอบการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๑.๓ เห็นชอบให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประเทศภาคีสมาชิกในลุ่มน้ำโขง (MRC) นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในลุ่มน้ำโขงให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศภาคีสมาชิกร่วมกันอย่างยั่งยืน สำหรับในการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทาง ขอบเขต และระยะเวลาการดำเนินการศึกษาที่เหมาะสม รวมทั้งการจัดให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ เห็นควรให้ดำเนินการก่อนการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....