ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1587 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31721 - 31740 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31721 | กรอบแนวทางในการจัดหลักสูตรอบรมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในภาพรวม | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมมือกับสำนักงาน ก.พ. ในการจัดทำหลักสูตรอบรมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ผ่านระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงาน ก.พ. โดยให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยให้ความร่วมมือในการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกคนเข้าอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ผ่านระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงาน ก.พ. อย่างต่อเนื่อง โดยทำเป็นตัวชี้วัดส่วนบุคคลด้วย ๑.๒ ให้ทุกกระทรวง กรม จังหวัด และส่วนท้องถิ่น จัดหลักสูตรเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือสอดแทรกวิชาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ในหลักสูตรที่จัดอยู่แล้วของแต่ละหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการรับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจที่จะเลือกจัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ในหลักสูตรที่จัดอยู่แล้ว หรือเลือกที่จะดำเนินการอื่นที่เหมาะสมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ ในการเพิ่มองค์ความรู้แก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารงบประมาณและแนวทางในการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้รับการฝึกอบรม ไปพิจารณาดำเนินการ และให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำกับดูแลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31722 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เป็นกรณีที่มีความจำเป็น โดยเร่งด่วน | มท | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31723 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา เขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำนครนายก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำนครนายก จากศูนย์กลางอ่างเก็บน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชล กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ถึงกิโลเมตรที่ ๓๓.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลนครนายก อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชลในท้องที่ตำบลนาหินลาด อำเภอปลากพลี และตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31724 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ | ทส | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณภายใต้ผลผลิตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้รับการบริหารจัดการ งบดำเนินงาน จำนวน ๒,๘๐๓.๖๒๙๖ ล้านบาท ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นก่อน และหากไม่เพียงพอให้ขออนุมัติงบกลางตามขั้นตอนอีกครั้งต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแผนงานดังกล่าวในพื้นที่ที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านต้องใช้ช่องทางทางการทูตเพื่อดำเนินการร่วมกัน ความต่อเนื่องและมีการประเมินผลในการปฏิบัติตามแผนฯ การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ประจำจุดสกัดทุกจุด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลรับแจ้งเหตุและเบาะแสผู้ลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การเพิ่มกิจกรรมการประเมินผลการดำเนินงานเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น การดำเนินการป้องกันการบุกรุกทำลายป่าในภาพรวม การกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานและเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การนำเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ประกอบการปฏิบัติงาน การจัดสรรงบประมาณปกติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและผนึกประสานกำลังและทรัพยากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมป่าไม้ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้มีการใช้งบประมาณของรัฐและทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31725 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ แก้ไขปรับปรุงรายการที่ต้องระบุไว้ในประกาศขายทอดตลาดเพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติ ๑.๒ แก้ไขปรับปรุงให้อธิบดีมีอำนาจออกหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาเริ่มต้นและราคาสมควรขายในการขายทอดตลาด ๑.๓ แก้ไขปรับปรุงวิธีการส่งประกาศการขายทอดตลาดให้สอดคล้องกับมาตรา ๓๐๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และแนวการวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๔๘/๒๕๔๔ และ ๗๓๘๖/๒๕๕๒ ๑.๔ แก้ไขปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ และกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ประจำจังหวัดขึ้นในทุกจังหวัด รวมทั้งปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเดิมของกรมบังคับคดี เพื่อให้การดำเนินการประชุมและกำหนดราคาทรัพย์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๑.๕ ยกเลิกวิธีการดำเนินการในกรณีมีผู้เสนอราคาในการขายทอดตลาดเพียงรายเดียว ๒. ให้เพิ่มผู้แทนกรมธนารักษ์เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ประจำจังหวัด และส่งร่างกฎกระทรวงฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31726 | แผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการจัดทำแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการดังกล่าว เป็นการบูรณาการแผนการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการกระทรวง ที่มีผู้ตรวจราชการ จำนวน ๑๗ กระทรวง เข้าไว้ด้วยกัน โดยพุ่งเป้าการบูรณาการไปที่ ๕ ประเด็นนโยบายสำคัญที่ต้องการบรรลุผลในทางปฏิบัติ ประกอบด้วย การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร ๒. ในการประชุมหารือเพื่อจัดทำแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบกรอบประเด็นนโยบายสำคัญ ๕ ประเด็นนโยบายสำคัญ และเห็นชอบโครงการตามแผนการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เข้าร่วมบูรณาการภายใต้สายโซ่แห่งคุณค่า (Value Chain) ของ ๕ ประเด็นนโยบายสำคัญ รวมทั้งเห็นชอบการกำหนดช่วงเวลาการตรวจติดตามในแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ และการรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในภาพรวมให้นายกรัฐมนตรีทราบในรอบ ๖ เดือนแรก ๓. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้นำแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การตรวจราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอนายกรัฐมนตีรพิจารณา ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบและลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๙/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31727 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. .... | กก | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกีฬาอาชีพ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. หมวด ๑ คณะกรรมการ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการกีฬาอาชีพ ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่งจำนวนหกคน กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้แทนนักกีฬาอาชีพและผู้เกี่ยวข้องกับกีฬาอาชีพจำนวนหกคน และกรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหกคน ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ ประกอบด้วยประธานกรรมการและกรรมการอื่นอีกสี่คน ๑.๓ กำหนดให้การกีฬาแห่งประเทศไทยทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ และคณะกรรมการบริหารกองทุน ๒. หมวด ๒ สโมสรกีฬาอาชีพและสมาคมกีฬาอาชีพ ๒.๑ กำหนดให้สโมสรกีฬาอาชีพหรือสมาคมกีฬาอาชีพจดแจ้งการดำเนินการต่อนายทะเบียน โดยสโมสรกีฬาอาชีพหรือสมาคมกีฬาอาชีพที่ได้รับหนังสือสำคัญแสดงการจดแจ้งแล้ว อาจใช้คำซึ่งแสดงว่าเป็นกีฬาอาชีพประกอบชื่อสโมสรหรือสมาคมก็ได้ ๒.๒ กำหนดให้สโมสรกีฬาอาชีพหรือสมาคมกีฬาอาชีพที่ได้รับนักกีฬาหรือบุคลากรกีฬาอาชีพเข้าอยู่ในสังกัดหรืออยู่ในความดูแล มีหน้าที่ต้องจัดทำสัญญาจ้างหรือความตกลงร่วมกัน แล้วแต่กรณี เป็นหนังสือ โดยข้อกำหนดในสัญญาจ้างหรือความตกลงร่วมกันดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐานการจ้าง หรือมาตรการในการคุ้มครองที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ๓. หมวด ๓ นักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพ ๓.๑ กำหนดให้นักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพอาจยื่นขอจดแจ้งการเป็นนักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพต่อนายทะเบียน และเมื่อนายทะเบียนได้รับคำขอจดแจ้งแล้ว ให้นายทะเบียนออกบัตรประจำตัวให้แก่นักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพ ๓.๒ กำหนดให้นักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพที่ได้รับบัตรประจำตัวมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง การช่วยเหลือ การส่งเสริม และการสนับสนุนตามเงื่อนไขและมาตรการที่คณะกรรมการกำหนด รวมตลอดถึงสิทธิประโยชน์อื่นที่กฎหมายกำหนด และมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มกันเป็นองค์กรเพื่อผดุงศักดิ์ศรีและรักษาผลประโยชน์ของสมาชิก รวมทั้งการเจรจาความตกลงร่วมกันกับสโมสรกีฬาอาชีพหรือสมาคมกีฬาอาชีพ ๔. หมวด ๔ การจัดการแข่งขันกีฬาอาชีพ กำหนดให้ในการจัดการแข่งขันกีฬาแต่ละรายการ ให้ผู้จัดการแข่งขันกีฬาอาชีพแจ้งแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันซึ่งรวมถึงการแบ่งผลประโยชน์หรือรายได้ต่อนายทะเบียนการจัดการแข่งขัน และจัดให้มีมาตรฐานการจัดการแข่งขันกีฬาอาชีพและมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับนักกีฬาอาชีพ บุคลากรกีฬาอาชีพ และผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬาอาชีพ รวมทั้งผู้เข้าชมการแข่งขันกีฬาอาชีพ ๕. หมวด ๕ กองทุน กำหนดให้จัดตั้ง “กองทุนส่งเสริมกีฬาอาชีพ” ในการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือ การสงเคราะห์ สวัสดิการ การส่งเสริม การสนับสนุน การพัฒนา และการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการกีฬาอาชีพ นักกีฬาอาชีพ และบุคลากรกีฬาอาชีพ รวมทั้งใช้จ่ายในการช่วยเหลือด้านสวัสดิการแก่นักกีฬาอาชีพ บุคลากรกีฬาอาชีพ และผู้ซึ่งประสบอุบัติเหตุหรือได้รับความเสียหายหรืออันตรายจากการแข่งขันกีฬาอาชีพ ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนานักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพ ๖. หมวด ๖ การยกย่องเชิดชูเกียรติ กำหนดให้นักกีฬาอาชีพอาจได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นนักกีฬาอาชีพแห่งชาติ ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งเมื่อได้เป็นนักกีฬาอาชีพแห่งชาติแล้ว จะต้องดำรงตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาเกียรติความเป็นนักกีฬาอาชีพแห่งชาติดังกล่าว ๗. หมวด ๗ นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดให้นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในที่ทำการสโมสรกีฬาอาชีพหรือสมาคมกีฬาอาชีพ สถานที่จัดการแข่งขันกีฬาหรือสถานที่อื่นใดที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดการแข่งขันกีฬาอาชีพ เพื่อตรวจสอบอาคารสถานที่ อุปกรณ์การแข่งขันกีฬา ฯลฯ ๘. หมวด ๘ บทกำหนดโทษ กำหนดให้มีโทษทางปกครองและโทษอาญาเพื่อใช้เป็นมาตรการลงโทษผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31728 | การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกในช่วงการเข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 19 ที่บาหลี | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ได้แก่ ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย นายกรัฐมนตรีเวียดนาม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และนายกรัฐมนตรีจีน ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นสำคัญที่มีการหยิบยกขึ้นหารือ ได้แก่ ๑.๑ การแลกเปลี่ยนการเยือน นายกรัฐมนตรีแสดงความตั้งใจที่จะเยือนเวียดนามและจีนอย่างเป็นทางการในโอกาสแรก หลังจากต้องเลื่อนการเยือนออกไป เนื่องด้วยสถานการณ์อุทกภัยในประเทศไทย พร้อมทั้งแสดงความประสงค์ที่จะเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และได้เชิญนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเยือนไทย ๑.๒ สถานการณ์อุทกภัยในประเทศไทย ผู้นำทุกประเทศได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์อุทกภัยในประเทศไทย และยินดีให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาอุทกภัยต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีแจ้งนายกรัฐมนตรีจีนและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นทราบถึงมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน ระยะฟื้นฟู และระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือแก่ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบและการวางระบบบริหารจัดการน้ำและการเตรียมแผนป้องกันอุทกภัยในระยะยาว ซึ่งอาจต้องขอรับความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency - JICA) ในการฟื้นฟูอุตสาหกรรม โดยนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ย้ำความสำคัญของการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมโดยเร่งด่วนและการทำงานร่วมกันกับฝ่ายไทยเพื่อการดังกล่าว ส่วนนายกรัฐมนตรีจีนได้เสนอจัดส่งผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาให้คำแนะนำแก่ฝ่ายไทยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ๑.๓ ความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ ประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้สนับสนุนวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีที่แสดงในเรื่องต่าง ๆ อาทิ การจัดการภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งประเด็นระหว่างประเทศ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า อาเซียนในฐานะประเทศผู้ผลิตอาหาร ควรแบ่งปันความรู้ระหว่างกันด้านความมั่นคงทางอาหารให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สนับสนุนท่าทีของนายกรัฐมนตรีเวียดนามเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง โดยเห็นควรมีการประสานงานระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนข้อเสนอของญี่ปุ่นที่จะให้มีการเชื่อมโยงศูนย์ป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asia Disaster Preparedness Center : ADPC) ที่กรุงเทพฯ กับศูนย์ลดภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asia Disaster Reduction Center : ADRC) ที่เมืองโกเบ และสนับสนุนท่าทีของจีนในการที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงเพื่อรักษาความปลอดภัยในการเดินเรือในแม่น้ำโขง ในส่วนของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นขอให้ไทยสนับสนุนท่าทีของญี่ปุ่นที่ประสงค์ให้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างอิสระเกี่ยวกับความร่วมมือทางทะเลในการประชุมผู้นำเอเชียตะวันออก (East Asia Summit - EAS) ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมผู้นำแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในส่วนของนายกรัฐมนตรีจีนขอให้ไทยสนับสนุนข้อเสนอของจีนที่ประกาศจะจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางทะเลต่อที่ประชุมอาเซียน - จีน ๒. ประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๑ การหารือกับประธานาธิบดีอินโดนีเซียเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการเกษตรและการประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าข้าวและปลา และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่มีการลงนามความตกลงทางการค้าและบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวในระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียนนี้ และได้เสนอความร่วมมือด้านฮาลาลและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ๒.๒ การหารือกับนายกรัฐมนตรีเวียดนามเกี่ยวกับการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม (Joint Cabinet Retreat) และการร่วมมือกันเพื่อรับมือกับกระแสด้านความมั่นคงทางอาหารในตลาดโลกในฐานะประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญ ๒.๓ การหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเกี่ยวกับการความคืบหน้าการสืบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ ๒.๔ การหารือกับนายกรัฐมนตรีจีนเกี่ยวกับการลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือยุทธศาสตร์ไทย - จีน ฉบับที่ ๒ เพื่อวางแผนพัฒนาความสัมพันธ์ในอนาคต ๕ ปีข้างหน้า (ค.ศ. 2012 - ๒๐๑๖) และการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อหารือการดำเนินความสัมพันธ์ในด้านต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31729 | ขอทบทวนองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง | พณ | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นกรรมการและเลขานุการ และมีองค์ประกอบรวม ๑๗ ราย มีหน้าที่เสนอกรอบนโยบายยุทธศาสตร์มันสำปะหลังต่อคณะรัฐมนตรีทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อให้การจัดการมันสำปะหลังสอดคล้องกันทั้งระบบและมีการพัฒนาต่อเนื่อง อนุมัติแผนงาน โครงการ และมาตรการเกี่ยวกับการผลิตและการตลาดมันสำปะหลัง ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนา เพื่อเพิ่มคุณภาพ ลดต้นทุน และส่งเสริมการผลิตมันสำปะหลังที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31730 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง | พณ | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๖ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. นายภาคิน สมมิตรให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล) ๓. นายดิฐ อัศวพลังพรหม ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์) ๔. พันตรี วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๕. นายชัชวาล ชัยเชาวรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล) ๖. นายภาคภูมิ เดชสกุลฤทธิ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31731 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง | คค | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๖ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ๒. นายสมบัติ รัตโน ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก) ๓. นายวัน อยู่บำรุง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) ๔. นายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ๕. นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก) ๖. นายเกรียงไกร กิตติธเนศวร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31732 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 6 คน) | กค | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๖ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒. นายภิญโญ ตั๊นวิเศษ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) ๓. นายศักดา บูรณ์พงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) ๔. นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๕. นายธนาธร โล่ห์สุนทร ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) ๖. นายเอกพจน์ วงศ์อารยะ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31733 | การลงนามพิธีสารนาโงยาว่าด้วยการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม | ทส | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามพิธีสารนาโงยาว่าด้วยการเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมและการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม โดยให้นายจักรกฤษณ์ ศรีวลี เอกอัครราชทูต รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่นายจักรกฤษณ์ฯ มอบหมาย เป็นผู้ลงนามพิธีสารนาโงยาฯ ทั้งนี้ พิธีสารนาโงยาฯ เป็นเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อรองรับหลักการการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และจัดให้มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องโดยถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศผู้ให้ และเกิดการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมและยุติธรรมจากผู้ใช้สู่ผู้ให้ทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ๒. เห็นชอบแผนการดำเนินงานภายหลังการลงนามพิธีสารนาโงยาฯ ได้แก่ การทบทวนระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๕๔ และกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแล (National Competent Authority) ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ ว่าต้องมีการเพิ่มเติม/ปรับปรุงอย่างไรให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของพิธีสารนาโยงาฯ รวมทั้งเผยแพร่และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีสารนาโงยาฯ ให้กับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการให้สัตยาบันพิธีสารดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31734 | การรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินงานตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดย ๑.๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ ให้แก่สถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการและผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการบริหารโครงการระดับจังหวัด และให้แก่องค์การสวนยาง ซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ยกเว้น สถาบันเกษตรกรที่เคยได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำมาแล้วสามารถได้รับการจัดสรรได้ทันที ๑.๑.๒ ให้สถาบันเกษตรกร และองค์การสวนยาง ซื้อยางจากสมาชิก ผลิตและเก็บรวบรวม โดยการแนะนำและตรวจสอบคุณภาพยางให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานกรมวิชาการเกษตร รวมทั้งเก็บรักษายางไว้ในโกดังของสถาบันเกษตรกร หรือสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง หรือของกรมวิชาการเกษตร หรือจำหน่ายในราคาที่เหมาะสม ๑.๑.๓ จัดตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง กำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและดำเนินงาน การบริหารโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกำกับ ดูแล ตรวจสอบ ติดตามและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะสั้นสำหรับยางแผ่นรมควันของสถาบันเกษตรกรที่ยังไม่สามารถขายได้ เนื่องจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำ โดย ๑.๒.๑ ให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อวงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท โดยใช้ผลผลิตยางพาราจำนำเป็นประกัน ทั้งนี้ ให้สถาบันเกษตรกรเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ย ๑.๒.๒ รัฐจะรับภาระดำเนินการเรื่องประกันวินาศภัย โดยจะขอรับการสนับสนุนงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๓.๓๓๓ ล้านบาท ๑.๓ สำหรับเงินที่ ธ.ก.ส. จะให้กู้เป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อให้สถาบันเกษตรกร และองค์การสวนยาง ใช้ในการรับซื้อยางนำไปแปรรูปและรอขายในราคาที่เหมาะสม ในวงเงินสินเชื่อรวม ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท นั้น อนุมัติให้ใช้จากงบช่วยเหลือโครงการรับจำนำข้าว จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งจะจัดสรรให้สถาบันเกษตรกร จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และองค์การสวนยาง จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. อนุมัติงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะสั้นสำหรับยางแผ่นรมควันของสถาบันเกษตรกรที่ยังไม่สามารถขายได้ วงเงินรวม ๑,๐๓๙.๖๘๗ ล้านบาท ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม และให้ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำกับดูแลในการรักษาเสถียรภาพราคายางพารา เพื่อช่วยประหยัดงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31735 | ผลการดำเนินการติดตามการดำเนินงานช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการติดตามการดำเนินงานช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ๖๒ จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ๑.๑ ด้านการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้แจ้งข้อมูลการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ซึ่งมีกรอบจำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ ๖๒ จังหวัด และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น ๒,๙๑๐,๙๑๗ ครัวเรือน ในวงเงิน ๑๔,๕๕๔,๕๘๕,๐๐๐ บาท และจากการสำรวจมีจำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุกทภัย จำนวน ๒,๑๔๑,๑๐๔ ครัวเรือน โดยได้ตรวจสอบข้อมูลแล้ว จำนวน ๑,๓๕๒,๗๐๕ ครัวเรือน และส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินเฉพาะที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์และไม่เป็นการขอที่ซ้ำซ้อน จำนวน ๑,๓๘๖,๘๕๐ ครัวเรือน ซึ่งธนาคารออมสินได้ดำเนินการจ่ายเงินไปแล้ว จำนวน ๑,๐๔๔,๒๗๐ ครัวเรือน เป็นเงิน ๕,๒๒๑,๓๕๐,๐๐๐ บาท โดยในส่วนของครัวเรือนที่ยังค้างจ่าย ธนาคารออมสินแจ้งว่าอยู่ระหว่างการติดต่อให้ประชาชนเข้ามารับเงิน ๑.๒ ด้านการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ประกอบด้วย การให้ความช่วยเหลือผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความช่วยเหลือกรณีบ้านเสียหายทั้งหลัง เป็นค่าวัสดุหลังละไม่เกิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๑๘๑ หลัง จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน ๗๒ หลัง เป็นเงิน ๑๗,๒๘๐,๐๐๐ บาท และการให้ความช่วยเหลือของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนซึ่งได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ ๖๒ จังหวัด (กรุงเทพมหานครอยู่ระหว่างการสำรวจและรวบรวมข้อมูล) โดยแยกเป็นบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายทั้งหลัง จำนวน ๔๑๖ หลัง ให้ความช่วยเหลือแล้ว จำนวน ๒๒๓ หลัง เป็นเงิน ๖,๖๙๕,๙๓๐ บาท และบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายบางส่วน จำนวน ๖๖๑,๕๔๕ หลัง ให้ความช่วยเหลือแล้ว จำนวน ๒,๙๑๐ หลัง เป็นเงิน ๑๙,๒๘๒,๒๑๗ บาท ๑.๓ ด้านการฟื้นฟูเส้นทางคมนาคม ประกอบด้วย การฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมของกรมทางหลวง ได้แก่ การดำเนินการบูรณะฟื้นฟูเร่งด่วนทางสายหลักในพื้นที่ ๑๑ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี อุทัยธานี อ่างทอง ชัยนาท ปทุมธานี และสิงห์บุรี จำนวน ๓๓ โครงการ วงเงิน ๑,๘๑๓,๘๗๔,๘๐๐ บาท คาดว่าทุกโครงการจะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ และการฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมของกรมทางหลวงชนบท ซึ่งมีโครงการบูรณะฟื้นฟูเร่งด่วนทางหลวงชนบทสายหลัก จำนวน ๑๑ โครงการ วงเงิน ๑๓๙,๘๑๐,๐๐๐ บาท คาดว่าทุกโครงการจะได้ผู้รับจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ และลงนามในสัญญาได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๒. ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากการตรวจติดตามผลการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ที่ได้รับรายงานจากผู้ตรวจราชการกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ ด้านการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนครัวเรือนละ ๕ ,๐๐๐ บาท กรณีการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนล่าช้า พบว่าบางส่วนที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นกรณีตกหล่นเพิ่มเติม ซึ่งได้กำชับให้จังหวัดสำรวจข้อมูลและรายงานให้ส่วนกลางทราบแล้ว ๒.๒ ด้านการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย การลงพื้นที่สำรวจความเสียหายของบ้านเรือนต้องดำเนินการทันทีเมื่อสถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ส่วนพื้นที่ที่มีสถานการณ์อุทกภัยเป็นบริเวณกว้างและมีปัญหาด้านกำลังคนในการดำเนินการ ให้ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมดำเนินการให้ทันกับเวลา สำหรับในบางพื้นที่ซึ่งพบว่าการช่วยเหลือยังล่าช้า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้เร่งรัดไปยังจังหวัดให้เร่งดำเนินการและรายงานผลการดำเนินการให้ทราบ ๒.๓ ด้านการฟื้นฟูเส้นทางคมนาคม กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทควรพิจารณาเร่งรัดดำเนินการฟื้นฟู บูรณะ ปรับปรุงซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็ว สำหรับในบางพื้นที่ที่มีถนนเลียบคลองชลประทานและประสบปัญหาอุทกภัยเนื่องจากน้ำในคลองชลประทานเอ่อล้นตลิ่ง ควรประสานกับกรมชลประทานพิจารณาจัดหางบประมาณดำเนินการยกระดับถนนเลียบคลองให้สูงขึ้นจากเดิม และเสริมความแข็งแรงของถนนเลียบคลองให้ทนทานต่อการกัดเซาะของกระแสน้ำ รวมทั้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการขุดลอกคูคลองจัดเตรียมแผนในการขุดลอกคลองและฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยเพื่อเพิ่มความสามารถในการระบายน้ำและสามารถรองรับปริมาณน้ำจำนวนมากได้ต่อไป ๒.๔ ด้านการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการบูรณาการร่วมกัน หาข้อมูล ข้อเท็จจริง และสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุทกภัยเพื่อนำมากำหนดเป็นแนวทางหรือมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในระยะสั้นและระยะยาว และเตรียมการรองรับสถานการณ์น้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ต้องมีการเปิดเผยข้อมูล สื่อสารทำความเข้าใจและวางแผนการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาอุทกภัยร่วมกัน โดยต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการวางแผนและขับเคลื่อนแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการผลักดันมาตรการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31736 | ขออนุมัติลงนามและสัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอินเดียว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ) | กต | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอินเดียว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ) โดยร่างสนธิสัญญาฯ มีเนื้อหาสาระสำคัญเช่นเดียวกับสนธิสัญญาในเรื่องเดียวกันที่ประเทศไทยจัดทำกับประเทศต่าง ๆ และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการดำเนินการตามคำพิพากษาคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๒๗ (แก้ไข พ.ศ. ๒๕๓๐) ทุกประการ โดยกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการขอโอนและการรับโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาระหว่างรัฐคู่สัญญา ทั้งนี้ สนธิสัญญาฉบับนี้จะเริ่มมีผลใช้บังคับในวันที่สามสิบนับจากวันที่มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามสนธิสัญญาฯ ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศให้สัตยาบันสนธิสัญญาฯ และแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารในโอกาสอันเหมาะสมตามแต่จะตกลงกับฝ่ายอินเดียต่อไป ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสนธิสัญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31737 | สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาร่วมกันของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติงานที่แยกเป็นรายจังหวัดและรายโครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดทำแผนงาน/โครงการของจังหวัดต่าง ๆ การชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรหรือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖) ต่อไป สำหรับผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย มีดังนี้
๑. การพิจารณาโครงการต่าง ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแผนงาน/โครงการ ไว้แล้ว รวม ๒ ครั้ง คือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการตรวจติดตามการดำเนินงานช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย) และในปัจจุบันยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๒,๓๔๑.๐๔๔ ล้านบาท โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับโครงการที่เข้าข่ายชะลอและยกเลิกที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรืองบประมาณจากแหล่งอื่น หรือซ้ำซ้อนกับโครงการของจังหวัดที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน) หรือสามารถปรับแผนการปฏิบัติงานฯ มาดำเนินการ หรือสามารถชะลอไปเสนอขอตั้งงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้ ๑.๒ โครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน หรือมีความสำคัญน้อย หรือไม่มีความพร้อมในการดำเนินงาน หรือไม่อยู่ในภารกิจตามกฎหมายของหน่วยงาน ๑.๓ โครงการในลักษณะการก่อสร้าง ซึ่งมิใช่เป็นการแก้ไขซ่อมแซมของเดิมที่ชำรุดเสียหายอันเนื่องจากเหตุอุทกภัยโดยตรง ๑.๔ โครงการจัดฝึกอบรม/สัมมนา ภายในส่วนราชการ/เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ ๑.๕ โครงการที่มีผลกระทบกับการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อวางระบบการบริหารทรัพยากรน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ๑.๖ โครงการที่ไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในหนึ่งปี ๒. การพิจารณาตามหลักเกณฑ์ในข้อ ๑.๑ - ๑.๖ มีผลสรุป ดังนี้ ๒.๑ แผนงาน/โครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ (วงเงิน ๓๑,๓๑๔.๔๓๗ ล้านบาท) เห็นสมควรดำเนินการต่อไป วงเงิน ๑๙,๙๘๗.๓๑๕ ล้านบาท เห็นสมควรชะลอ วงเงิน ๖,๗๒๕.๒๙๖ ล้านบาท และเห็นสมควรยกเลิก วงเงิน ๔,๖๐๑.๘๒๖ ล้านบาท ๒.๒ แผนงาน/โครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ (วงเงิน ๑๑,๐๒๖.๖๐๗ ล้านบาท) เห็นสมควรดำเนินการต่อไป วงเงิน ๑๐,๐๗๒.๕๐๖ ล้านบาท เห็นสมควรชะลอ วงเงิน ๒๓๖.๘๖๘ ล้านบาท และเห็นสมควรยกเลิก วงเงิน ๗๑๗.๒๓๓ ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการที่ชะลอเป็นโครงการที่สามารถดำเนินการโดยปรับแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๓. สำหรับโครงการที่จะเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการต่อไปที่เห็นสมควรให้มีเอกสารยืนยันความเสียหายที่จะต้องดำเนินการในพื้นที่จากผู้ว่าราชการจังหวัด และกรณีที่เป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานจะต้องระบุพิกัดของสถานที่ดำเนินการให้ชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31738 | มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๔ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายเป็นหลักการ ให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน ตามลำดับ ดังนี้ ๑.๑ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ๑.๒ ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง ๑.๓ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ๑.๔ พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ๑.๕ นายชุมพล ศิลปอาชา ๒. ในระหว่างรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้นจะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล และการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31739 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 11 ราย) | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๑๑ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
๑. นางฐิติมา ฉายแสง ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ๒. พลเอก จงศักดิ์ พานิชกุล ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) ๓. พันตำรวจเอก ปราณ์รนต์ สันติปราน์รนต์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (รองนายกรัฐมนตรี ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ๔. พลตำรวจตรี ไพฑูรย์ เชิดมณี ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (รองนายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ๕. ร้อยตำรวจโท เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) ๖. พลตำรวจตรี บุญเลิศ นันทวิสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ๗. นายโสภณ เพชรสว่าง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ๘. นายอดุล วรรณศร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) ๙. นายวิม รุ่งวัฒนจินดา ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ๑๐. นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ๑๑. นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31740 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง | สธ | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๓ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายมานะ คงวุฒิปัญญา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ๒. นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิษฐ์ถาวร ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ๓. นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
|
.....