ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1590 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31781 - 31800 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31781 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ข้าราชการอัยการพ้นจากตำแหน่ง | กต | 15/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศรับโอน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ข้าราชการอัยการ
ตำแหน่ง อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด และแต่งตั้งให้ทรงดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำคณะกรรมาธิการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะกิจ ระยะเวลา ๑ ปี (ธันวาคม ๒๕๕๔ - ธันวาคม ๒๕๕๕) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31782 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) | พณ | 15/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางมาลี โชคล้ำเลิศ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31783 | ขออนุมัติการลงนามแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างปี พ.ศ. 2555 - 2557 ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย | วท | 15/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. การจัดทำและลงนามร่างแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย โดยร่างแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฯ มีสาะสำคัญคือ มีสาขาการดำเนินงาน ได้แก่ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์การเกษตร การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงโรคติดต่อ มาตรวิทยา วิทยาศาตร์ทางทะเล การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์อวกาศ การสื่อสารวิทยาศาสตร์ นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ดาราศาสตร์ รวมทั้งสาขาความร่วมมืออื่น ๆ ที่สนใจและเห็นพ้องร่วมกัน ซึ่งจะมีการดำเนินการต่าง ๆ ร่วมกัน ได้แก่ การทำโครงการวิจัย การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการแลกเปลี่ยนการเยือนภายใต้สาขาดังกล่าว ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |
||||||||||||||||||||||||||||||
31784 | ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาหาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดและส่งให้รัฐบาลรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป | สผ | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการตามญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาหาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดและส่งให้รัฐบาลรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และผลการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามญัตติด่วนดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๑.๑ ได้ออกแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ และแผนปฏิบัติการรวมพลังประชาไทยพ้นภัยยาเสพติด เพื่อดำเนินการสืบสวนปรามปราม เครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ระดับประเทศ รายใหญ่/รายสำคัญ ยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ค้า ติดตามจับกุมตามหมายจับคดีค้างเก่า รวมถึงสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ กำหนดแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี ๒๕๕๔ ภายใต้แนวคิด “กรอบยุทธศาสตร์ ๕ รั้วป้องกัน ระยะที่ ๓ (ปฏิบัติการประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน)” มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติ ๒. สำนักงบประมาณ ได้จัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นจำนวนเงิน ๔,๘๒๙,๓๕๐,๙๐๐ บาท ครอบคลุมภารกิจ ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการป้องกันยาเสพติด ด้านการปราบปรามยาเสพติด ด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาและสารเสพติดและด้านการบริหารจัดการแบบบูรณาการ ๓. กระทรวงสาธารณสุข มีแนวทางเช่น ชักชวน จูงใจผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู และเน้นนำเข้าระบบสมัครใจเป็นหลัก, มีศูนย์บำบัดฟื้นฟูทุกอำเภอ/เขต, มีกระบวนการติดตาม ดูแลช่วยเหลือหลักผ่านการบำบัด ๔. กระทรวงศึกษาธิการ มีโครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านยาเสพติดในสถานศึกษา โครงการป้องกัน เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา โครงการจัดระเบียบสังคมและแก้ไขปัญหากลุ่มเสี่ยง ๕. กระทรวงยุติธรรม ได้กำหนด “ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด” โดยมีแผนงาน การสร้างพลังสังคมและพลังชุมชนเอาชนะยาเสพติด การแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด การสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติด การปราบปรามยาเสพติด บังคับใช้กฎหมาย ความร่วมมือระหว่างประเทศ การสกัดกั้นยาเสพติดและการบริหารจัดการแบบบูรณาการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31785 | ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขความในข้อ ๕๕ และข้อ ๕๖ ของประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. ข้อ ๕๕ ให้นายจ้างบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ๒. ข้อ ๕๖ ให้นายจ้างจัดให้มีการตรวจสุขภาพของลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31786 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดผลไม้เศรษฐกิจภาคเหนือ กรณีศึกษา : ลำไย ลิ้นจี่ และส้ม | สว | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดผลไม้เศรษฐกิจภาคเหนือ กรณีศึกษา : ลำไย ลิ้นจี่ และส้ม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปรายละเอียดได้ ดังนี้
๑. ด้านการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งคุณภาพและปริมาณตามความต้องการของตลาด มีการจดทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืช ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในผลไม้ทุกชนิด นำเทคโนโลยีการผลิตไม้ผลนอกฤดูมาแนะนำส่งเสริมในการผลิตเพื่อลดปริมาณผลผลิตในฤดูกาล นอกจากนี้ยังมีการคัดเลือกพันธุ์ วิจัยพันธุ์ และนำพืชพันธุ์ใหม่มาใช้ในการผลิต ๒. ด้านวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า มีการคัดแยกคุณภาพ ทำความสะอาด บรรจุหีบห่อและติดฉลากรับรองคุณภาพ กรณีส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศ กำหนดให้ผู้ประกอบการส่งตัวอย่างให้สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตในพื้นที่นำผลผลิตไปวิเคราะห์หาสารเคมีตกค้างก่อนที่เกษตรกรดำเนินการเก็บเกี่ยว ๓. ด้านการตลาด เพื่อส่งเสริมขยายสินค้าสู่ตลาดตามความต้องการของผู้บริโภค และควบคุมการนำเข้า ดำเนินการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้างและออกใบรับรองปลอดศัตรูพืช อำนวยความสะดวกในการส่งออกผลไม้แบบเบ็ดเสร็จ พัฒนาระบบสารสนเทศตลอดห่วงโซ่การผลิตและการตลาด เชื่อมโยงการผลิตและตลาดระหว่างผู้ผลิตกับผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำมาตรฐานสินค้าผลไม้ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ Codex ๔. พัฒนาระบบ Logistics ครบวงจรจากแหล่งผลิตถึงตลาดปลายทาง โดยพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนระบบการขนส่งและการกระจายสินค้า ในส่วนของขนส่งจะได้นำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้เพื่อพิจารณาต่อไป ๕. ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการผลิตในรูปของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มปรับปรุงคุณภาพผลไม้ และกลุ่มส่งเสริมอาชีพต่าง ๆ จัดตั้งโรงอบไอน้ำต้นแบบเพื่อให้บริการเรื่องควบคุมศัตรูพืชและห้องเย็น สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์สำหรับศูนย์คัดแยกผลไม้ชุมชน/โรงคัดแยกผลไม้ ๖. ด้านการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้กำหนดแนวทาง การพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ๒ แนวทาง ได้แก่แนวทางระยะยาวมีเป้าหมายให้ผลไม้เศรษฐกิจหลัก ๖ ชนิด ได้แก่ ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง มะม่วงและลำไย มีการพัฒนาศักยภาพการผลิต พัฒนาตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก และแนวทางระยะสั้น เป็นการแก้ไขปัญหาผลไม้ตามฤดูกาลผลิตออกสู่ตลาดมากและกระจุดตัวในช่วงเวลาเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31787 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการพัฒนาส้มโอไทยอย่างยั่งยืน | สว | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการพัฒนาส้มโอไทยอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งคุณภาพและปริมาณตามความต้องการของตลาด มีการจดทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืช นำเทคโนโลยีการผลิตส้มโอมาแนะนำส่งเสริมในการผลิต ให้แก่เกษตรกร และส่งเสริมเกษตรกรผลิตส้มโอและผลไม้อื่นๆ ให้ได้คุณภาพ เพื่อเข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐานสินค้า ๒. ด้านวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ได้แก่ การคัดแยกคุณภาพ ทำความสะอาด การบรรจุหีบห่อ ตลอดจนติดฉลากรับรองคุณภาพ ในกรณีส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศ กำหนดให้ผู้ประกอบการส่งตัวอย่างผลไม้เพื่อวิเคราะห์หาสารเคมีตกค้างก่อนที่เกษตรกรดำเนินการเก็บเกี่ยว ๓. ด้านการตลาด เพื่อส่งเสริมขยายสินค้าสู่ตลาดตามความต้องการของผู้บริโภค มีการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้าง อำนวยความสะดวกในการส่งออกผลไม้แบบเบ็ดเสร็จ พัฒนาระบบสารสนเทศห่วงโซ่การผลิตและการตลาด เชื่อมโยงการผลิตและการตลาดระหว่างผู้ผลิตกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำมาตรฐานสินค้าผลไม้ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ Codex ๔. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการผลิตในรูปแบบของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยองค์กรภาครัฐและเอกชนได้มีการดำเนินการจัดตั้งโรงงานปุ๋ยอินทรีย์ฯ ในเชิงธุรกิจ ๕. ด้านการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้เป็น ๒ แนวทาง ได้แก่ แนวทางระยะยาว มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาศักยภาพการผลิต พัฒนาตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก และแนวทางระยะสั้น เป็นการแก้ไขปัญหาผลไม้ตามฤดูการผลิตออกสู่ตลาดมากและกระจุกตัวในช่วงเวลาเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31788 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง ความครอบคลุมของพระราชบัญญัติที่ใช้กำกับดูแลความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศไทยในห่วงโซ่อาหาร | สว | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง ความครอบคลุมของพระราชบัญญัติที่ใช้กำกับดูแลความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศไทยในห่วงโซ่อาหาร ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้นโยบายความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศมีความเป็นเอกภาพและความชัดเจนในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งในปัจจุบันมีความเป็นเอกภาพของนโยบายความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศและมีความชัดเจนในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติแล้ว โดยได้มีการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า ๓๐ หน่วยงาน ร่วมให้ข้อคิดเห็นต่อกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวปฏิบัติได้จริง ๒. ข้อเสนอแนะข้อ ๒ ให้การกำกับดูแลความปลอดภัยด้านอาหารต้องมีความครอบคลุมกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องตลอดห่วงโซ่อาหาร โดยมีการระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ชัดเจน ไม่ก่อให้เกิดความซ้ำซ้อน หรือช่องโหว่ในการดำเนินงาน ๓. ให้การสร้างความเข้มแข็งในการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยอาหารของประเทศ โดยบูรณาการการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นเอกภาพและครอบคลุมทุกกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งมีความเข้มแข็งและชัดเจนในการปฏิบัติแล้ว ในส่วนของระบบควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตร อาหารและยา รวมทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร ๔. ให้มีการยุบรวมพระราชบัญญัติเป็นฉบับเดียวกัน โดยจะต้องมีการทำความตกลงกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อระบุผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน ๕. ให้มีการปรับแก้ข้อกำหนดในพระราชบัญญัติหลัก ควรจะต้องมีการปรับแก้ข้อกำหนดในพระราชบัญญัติหลัก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเพื่อให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ด้านความปลอดภัยอาหารในปัจจุบัน ๖. ให้ทบทวนข้อกำหนดในการกำกับดูแลความปลอดภัยด้านอาหาร ไม่ให้มีความซ้ำซ้อนในการดำเนินกิจกรรมประเภทเดียวกัน ควรดำเนินการเรื่องข้อตกลงระหว่างหน่วยงาน เพื่อความชัดเจน ในเบื้องต้นควรจะต้องมีความตกลงร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เกิดการบูรณาการเรื่องการตรวจรับรองระบบงานร่วมกัน ๗. ให้มีการปรับแก้ข้อกำหนดในการกำกับดูแล ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้เป็นมาตรฐานเดียว เพื่อลดช่องว่างทางกฎหมายที่มีอยู่
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31789 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการพัฒนามะละกอไทยอย่างยั่งยืน | สว | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการพัฒนามะละกอไทยอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งคุณภาพและปริมาณตามความต้องการของตลาด มีการจดทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืช รวมทั้งส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในผลไม้ทุกชนิด ศึกษา พัฒนา ควบคุมคุณภาพและปริมาณการผลิต โดยนำเทคโนโลยีการผลิตมะละกอแบบต้นเตี้ยมาแนะนำส่งเสริมในการผลิต มีการวิจัยและศึกษาสายพันธ์ต้านทานโรค ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมะละกอและวิธีการคัดเลือกมะละกอไว้ทำพันธุ์ ส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตมะละกอและผลไม้อื่นๆ ให้ได้คุณภาพเพื่อเข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐานสินค้า ๒. ด้านวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ได้แก่การคัดแยกคุณภาพ ทำความสะอาด การบรรจุหีบห่อ ตลอดจนติดฉลากรับรองคุณภาพ ในกรณีส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศกำหนดให้ผู้ประกอบการส่งตัวอย่างผลไม้เพื่อวิเคราะห์หาสารเคมีตกค้างก่อนที่เกษตรกรดำเนินการเก็บเกี่ยว ๓. ด้านการตลาด เพื่อส่งเสริมขยายสินค้าสู่ตลาดตามความต้องการของผู้บริโภค มีการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้าง อำนวยความสะดวกในการส่งออกผลไม้แบบเบ็ดเสร็จ พัฒนาระบบสารสนเทศตลอดห่วงโซ่การผลิต เชื่อมโยงการผลิตและการตลาด และจัดทำมาตรฐานสินค้าผลไม้ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ Codex ๔. ด้านการขนส่ง เพื่อกระจายสินค้าโดยพัฒนาระบบ Logistic ครบวงจรจากแหล่งผลิตถึงตลาดปลายทาง ซึ่งได้นำเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ เพื่อพิจารณาต่อไป ๕. ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการผลิต ระบบขนส่งอุตสาหกรรมแปรรูป และการตลาด ได้ดำเนินการส่งเสริมการผลิตในรูปของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มปรับปรุงคุณภาพผลไม้ และกลุ่มส่งเสริมอาชีพ จัดตั้งโรงงานปุ๋ยอินทรีย์ ๖. ด้านการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ๒ แนวทาง ได้แก่แนวทางระยะยาว มีเป้าหมายให้ผลไม้เศรษฐกิจหลัก ๖ ชนิด ได้แก่ ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง มะม่วง และลำไย มีการพัฒนาศักยภาพการผลิต พัฒนาตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก และแนวทางระยะสั้น เป็นการแก้ไขปัญหาผลไม้ตามฤดูกาลผลิตออกสู่ตลาดมากและกระจุกตัวในช่วงเวลาเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31790 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4184 สายควนสตอ - วังประจัน ตอนบ้านหัวควน - บ้านทุ่งพัฒนา พ.ศ. .... | คค | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๘๔
สายควนสตอ - วังประจัน ตอนบ้านหัวควน - บ้านทุ่งพัฒนา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๘๔ สายควนสตอ - วังประจัน ตอนบ้านหัวควน - บ้านทุ่งพัฒนา ในท้องที่อำเภอควนโคน จังหวัดสตูล มีส่วนกว้างตลอดแนวเขตทางสองร้อยเมตร ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31791 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดการทำ การใช้ และการแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการทำ การใช้ และการแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาต ผู้รับใบรับรอง ผู้ประกอบกิจการที่ได้รับการรับรองจากผู้รับใบอนุญาต ผู้รับใบรับรอง หรือหน่วยงานของรัฐที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๔ วรรคสอง แล้วแต่กรณี เป็นผู้จัดทำเครื่องหมายมาตรฐาน ๒. กำหนดให้การแสดงเครื่องหมายมาตรฐานให้แสดงให้เห็นได้ง่ายและชัดเจนไว้ที่สถานที่ทำการ หรือสิ่งอื่นใด เฉพาะสาขาที่ได้รับใบอนุญาตหรือใบรับรอง และต้องไม่แสดงบนผลิตภัณฑ์ หรือไม่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการรับรองผลิตภัณฑ์ ๓. กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลที่ใช้ในการแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31792 | ผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 | กต | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา ได้แก่ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดำเนินการเพื่อจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการหารือเกี่ยวกับการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐในประเด็นต่าง ๆ ตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน และการหารือเรื่องแผนยุทธศาสตร์การเมืองและความมั่นคงอาเซียนของไทย ๑.๒ รับทราบการประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ ซึ่งไทยมีผลการดำเนินงานร้อยละ ๗๒.๗๓ ในขณะที่อาเซียนมีผลการดำเนินงานในภาพรวมร้อยละ ๖๔.๑ โดยมาตรการส่วนใหญ่ที่ไทยมักประสบปัญหาในการปฏิบัติ ได้แก่ มาตรการเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกด้านการค้า การค้าข้ามแดน การรวมกลุ่มด้านศุลกากร และการปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกัน (harmonization of standards) ซึ่งมักมีสาเหตุหลักมาจากการประสานงานระหว่างหน่วยงานในประเทศ และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับพันธกรณีต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องขอความเห็นชอบรัฐสภา ๑.๓ รับทราบความคืบหน้าในการจัดทำแผนการศึกษาอาเซียน ๕ ปี การพัฒนาอัตลักษณ์อาเซียนรวมทั้งสร้างความเข้าใจผ่านวัฒนธรรม เพื่อสร้างอาเซียนที่เข้มแข็งและมีเอกภาพ การกำหนดท่าทีร่วมกันต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเด็ก และสิทธิสตรี การจัดตั้งองค์กรเฉพาะด้านการกีฬา และการประชุมรัฐมนตรีด้านสตรี โดยประเด็นที่ไทยผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ การดูแลคุ้มครองผู้ด้อยโอกาส การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การจัดการภัยพิบัติ และการส่งเสริมอาเซียนที่ปลอดยาเสพติด ๑.๔ รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน และข้อเสนอของไทยเกี่ยวกับแนวคิดที่จะเชื่อมโยงกับประเทศนอกภูมิภาคอาเซียน (connectivity beyond ASEAN) และการสร้างความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงในกรอบอาเซียน + ๓ (ASEAN Plus Three Partnership on Connectivity) เพื่อให้เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในโอกาสครบรอบ ๑๕ ปี ความร่วมมืออาเซียน + ๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบประเด็นหลักที่ไทยควรผลักดันสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ บาหลี ได้แก่ การบริหารจัดการภัยพิบัติ การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกัน และการศึกษาและการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนในอาเซียน ๓. ที่ประชุมได้พิจารณาร่างแผนงานแห่งชาติสำหรับการก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานไทยให้เป็นไปตามข้อผูกพันซึ่งไทยจะต้องปฏิบัติตามภายใต้แผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งร่างแผนงานดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม และจะนำร่างแผนงานเสนอคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งต่อไป ๔. ที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอการจัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ภายใต้คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ เพื่อดำเนินแผนงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียนให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31793 | ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) | มท | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OVERDRAFT) กับธนาคารที่มีเงื่อนไขเหมาะสมที่สุดเพื่อสำรองไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเสริมสภาพคล่องในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นระยะเวลา ๑ ปี (มกราคม - ธันวาคม ๒๕๕๕) ในวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ๒. ให้สำนักงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย พิจารณาหาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระโดยอาจกำหนดเป็นตัวชี้วัดของสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31794 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2554 | กค | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๖๗๒.๙๑๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๓) รวม ๑๘๖.๑๙๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๘.๒๖ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๖๒,๗๗๓.๑๖๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้ามีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๗ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๕ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๑๐.๗๓ ถึง ๑๒๙.๑๓ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๐๔.๒๘๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๑.๕๓๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๖.๐๒ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๙๘.๐๓๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๔๒.๒๕๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๘๕.๗๔ และผลไม้ มูลค่านำเข้า ๘๕.๘๙๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๘.๓๒๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๐.๗๓ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๕ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และ ๕ อันดับแรกที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล เลนซ์ นาฬิกาและอุปกรณ์ ดอกไม้ และแว่นตา มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒๙.๑๓, ๙๙.๐๖, ๘๕.๗๔, ๗๙.๖๓ และ ๖๐.๔๒ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31795 | การพิจารณากำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ | ทก | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประธานกรรมการให้ได้รับอัตราค่าเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ๆ ละ ๗,๕๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยให้งดจ่าย ๑.๒ รองประธานกรรมการให้ได้รับอัตราค่าเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ๆ ละ ๖,๗๕๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยให้งดจ่าย ๑.๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้ได้รับอัตราค่าเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ๆ ละ ๖,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยให้งดจ่าย ๑.๔ กรรมการและเลขานุการให้ได้รับอัตราค่าเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ๆ ละ ๖,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยให้งดจ่าย ๑.๕ ผู้ช่วยเลขานุการให้ได้รับค่าเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๑,๒๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน และมีสิทธิได้รับค่าเบี้ยประชุมไม่เกิน ๒ คน ๒. สำหรับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการปรับอัตราเบี้ยประชุม ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้รับจัดสรร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31796 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงวัฒนธรรม) | วธ | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววันทนีย์ ม่วงบุญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง นักวิชาการละครและดนตรีเชี่ยวชาญ
(ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโขนละคร) สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิชาการละครและดนตรี (โขน ละคร และดนตรี) (นักวิชาการละครและดนตรีทรงคุณวุฒิ) กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31797 | แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 10 ปี 2551 - 2554 (ฉบับปรับปรุง) และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 11 ปี 2555 - 2559 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๐ ปี ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ (ฉบับปรับปรุง) เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ จำนวน ๖๐๐ เมกะวัตต์ หรืออัตราเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ ๑.๘๙ ต่อปี วงเงินลงทุนรวม ๒๖,๓๖๔.๙๒ ล้านบาท และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๑ ปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ จำนวน ๑,๓๖๑ เมกะวัตต์ หรืออัตราเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ ๓.๐๘ ต่อปี วงเงินลงทุนรวม ๕๕,๑๖๗.๓๗ ล้านบาท ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟน. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการบริหารการลงทุนอย่างรอบครอบและมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน การทบทวนการกำหนดเป้าหมายด้านความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าในแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ ๑๑ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ได้แก่ ครั้งที่กระแสไฟฟ้าขัดข้อง (ค่า SAIFI) และระยะเวลาที่กระแสไฟฟ้าขัดข้อง (ค่า SAIDI) ในลักษณะเชิงรุก การประเมินผลความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าแยกรายพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ที่มีระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าด้วยสายใต้ดิน และพื้นที่ที่มีระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าด้วยสายอากาศ การส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสร้างความรู้และความเข้าใจแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับวิธีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถลดการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง การจัดทำแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ให้ตระหนักถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าและลดภาระค่าใช้ไฟฟ้าที่เหมาะสม การศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากโครงการข่ายเคเบิลใยแก้ว (Fiber Optic) การปรับปรุงข้อมูลมูลค่าความเสียหายเนื่องจากไฟฟ้าดับ (Outage Cost) ให้มีความทันสมัยและครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ในการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจในการลงทุนพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศในอนาคต การให้ความสำคัญในการกำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพการให้บริการในแต่ละพื้นที่บริการ เช่น การจัดส่งใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้า การจ่ายกระแสไฟฟ้าคืนหลังจากเกิดเหตุขัดข้องหรือกรณีถูกงดจ่ายกระแสไฟฟ้า การแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับ และการแจ้งดับไฟฟ้าล่วงหน้าเพื่อปฏิบัติงาน เป็นต้น ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31798 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ พ.ศ. .... | นร | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ พ.ศ. ๒๕๔๕ และกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ กำหนดอำนาจหน้าที่ รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. สำหรับองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ประกอบด้วย กรรมการสรรหาที่มาจากหน่วยงานกลาง ซึ่งเป็นข้าราชการประจำด้วย โดยให้คณะกรรมการสรรหาฯ มีจำนวน ๗ คน ประกอบด้วย ประธาน ก.พ.ร. เป็นประธานกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิที่ประธาน ก.พ.ร. แต่งตั้ง จำนวน ๓ คน ข้าราชการพลเรือนที่มาจากหน่วยงานกลางในระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่าประธาน ก.พ.ร. แต่งตั้ง จำนวน ๓ คน เป็นกรรมการ ตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31799 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2554 | นร | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำประเด็นความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการกำหนดให้ชัดเจนว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคด้านการค้าการลงทุน ด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ และมีพื้นที่รองรับการขยายตัวของการลงทุนภาคอุตสาหกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบ กฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของภาคการผลิตและบริการ โดยพิจารณาครอบคลุมประเด็นกฎหมายที่กระทบต่อการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว เพื่อให้กลไกรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในลักษณะ Public 3 Private - Partnership โดยกำหนดขอบเขตภารกิจและรูปแบบที่จะให้เอกชนร่วมดำเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดความจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ความไม่เพียงพอทั้งในเรื่องปริมาณและมาตรฐานของโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ความสำคัญของความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาความเป็นเมืองและการพัฒนาพื้นที่ และการบริหารจัดการน้ำ ไปปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยให้พิจารณาความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และทำการศึกษาเรื่องการจัดรูปแบบองค์กรและระบบการบริหารจัดการ และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอต่อ กยอ. พิจารณาต่อไป รวมทั้งศึกษาประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของประเทศ โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำด้วย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากลั่นกรองโครงการลงทุนต่าง ๆ ๒. รับทราบความคืบหน้าและสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย ตามข้อเสนอซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยนำเสนอผลการศึกษารูปแบบกองกลางประกันภัยน้ำท่วม ต่อ กยอ. และให้สมาคมธนาคารไทยร่วมดำเนินงานในการเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมแก่ผู้เอาประกันภัย โดย กยอ. จะช่วยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเผยแพร่ข่าวสารและมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัยทั้งภาษาไทยและอังกฤษให้สาธารณชนและต่างประเทศได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาการผ่อนปรนสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติ เพื่อเปิดโอกาสในการเพิ่มทุนให้แก่บริษัทประกันภัย โดยอาจกำหนดระยะเวลาของการผ่อนผันหรือเงื่อนไขที่ชัดเจน ๓. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติและฟื้นฟูประเทศ ๒ ราย ได้แก่ บริษัท Mckinsey & Company และบริษัท Boston Consulting Group ซึ่งมีข้อเสนอแนวทางดำเนินการในช่วงระยะการฟื้นฟู และระยะการซ่อมสร้างของประเทศไทยจากวิกฤตน้ำท่วม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินโครงการปฏิรูปประเทศไทย โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการรับข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาหลายราย อาจทำให้ขั้นตอนการดำเนินงานมีความซ้ำซ้อนและต้องใช้ระยะเวลามากขึ้น จึงเห็นควรเลือกบริษัทที่ปรึกษาจำนวนน้อยราย ภายใต้เงื่อนไขบริษัทที่ปรึกษาจะดำเนินการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ไม่มีข้อผูกมัดเรื่องการสนับสนุนข้อมูลหรือการนำข้อมูลและผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ และทำการศึกษาเฉพาะประเด็น/หัวข้อตามที่ กยอ. กำหนด นอกจากนี้ ควรให้บริษัทที่ปรึกษาทั้ง ๒ ราย รวมถึงรายอื่น ๆ ที่อาจมีการเสนอเพิ่มเติมในภายหลังจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาที่สำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ โดยสรุปประมาณ ๑ - ๒ หน้า และให้นำเสนอ กยอ. พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ไปประสานกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาประเทศไทยในอนาคต ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และสมมติฐานการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกเสนอ กยอ. พิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบรายละเอียดหมวดการใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (สกยอ.) และรายละเอียดสำหรับวงเงินที่จะขออนุมัติเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปตามมติ กยอ. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้ดำเนินการทำความตกลงในรายละเอียดของงบประมาณสำหรับ สกยอ. กับสำนักงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔] ต่อไป ๕. รับทราบรายงานสรุปผลการหารือระหว่างประธาน กยอ. และคณะ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อที่ประเทศสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อชี้แจงถึงสาเหตุของการเกิดอุทกภัยรวมทั้งการแก้ไขปัญหา ซึ่งการเดินทางไปชี้แจงให้กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อขนาดใหญ่ในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการรับประกันภัยของโลกทั้งในเรื่องการป้องกันอุทกภัยในอนาคต รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้แก่นิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยทั้ง ๗ แห่ง ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี รวมทั้งโรงงานและนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรมทั้ง ๗ แห่งด้วย แล้วรายงานผลพร้อมทั้งข้อเสนอแนะให้ กยอ. พิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
31800 | ขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำจังหวัดเชียงใหม่ | กต | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายณรงค์ คองประเสริฐ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำจังหวัดเชียงใหม่คนใหม่ สืบแทนนายศุภวัตร ภูวกุล ซึ่งเกษียณอายุ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และลำพูน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....