ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1466 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29301 - 29320 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29301 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๗๐๕.๖๑๗๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๕๐๓.๓๓๒๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๘.๐๗๕๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๓ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๑๐๐,๐๘๗.๖๑๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๓๒ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนทั้งสิ้น ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๕,๗๒๙.๕๙๘๕ ล้านบาท คงเหลือเงินส่งคืนที่ยังไม่ได้มีการอนุมัติ จำนวน ๒๘๐.๘๕๑๘ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่จะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๔๐.๗๙๑๘ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๒,๐๖๑.๗๓๔๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๗๗๕.๐๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔,๐๐๔.๑๔๔๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๙๖.๘๐๔๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
29302 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดดอนงิ้ว (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดดอนงิ้ว (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดดอนงิ้ว (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๓๙๖๑ (บางส่วน) เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒๙ ตารางวา ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๐ สายบางบัวทอง - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ (ชัยนาท) ตอนสุพรรณบุรี - ชัยนาท ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29303 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดตายด (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดตายด (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. ....มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดตายด (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๓๙๐ (บางส่วน) เนื้อที่ ๑ ไร่ ๘๗ ตารางวา ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๐ สายบางบัวทอง - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ (ชัยนาท) ตอนสุพรรณบุรี - ชัยนาท ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29304 | แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ 1) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2555 - 2559 | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การพัฒนาเด็กช่วงปฐมวัยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิตของรัฐบาล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งและต้องพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม โดยมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายด้านและเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายช่วงวัย ทั้งสตรี ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ดังนั้น เพื่อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุตามวัตถุประสงค์และเพื่อให้มีการบูรณาการวิธีการทำงานร่วมกัน จะได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในการประชุมและให้ถือเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ชาติ ฯ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๒.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เด็กทุกคนได้รับบริการในการพัฒนาเต็มศักยภาพ เป้าหมายคือ (๑) เด็กทุกคนในช่วงอายุแรกเกิดถึง ๕ ปี หรือก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับบริการด้านสุขภาพ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ร้อยละ ๙๐ มีพัฒนาการตามวัยในทุกด้าน ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๓) เด็กทุกคนในช่วงอายุ ๓ ปี ถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีความต้องการได้รับการพัฒนาในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในทุกรูปแบบ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๔) เด็กทุกคนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ เมื่ออายุครบ ๖ ปี ตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๒.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ไอโอดีนกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ (๒) หญิงตั้งครรภ์ทุกคนต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน และ (๓) หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทุกคนระยะ ๖ เดือนแรกต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน ๒.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ เด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ทุกคนได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ เพื่อมีพัฒนาการดีอย่างรอบด้านและตามวัย ๒.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ กลไกการดำเนินงานพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) กำกับติดตามมาตรการที่แต่ละกระทรวงกำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและมติของคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.) (๒) มีคณะกรรมการระดับจังหวัด ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๓) ระบบข้อมูลด้านเด็กปฐมวัย การสำรวจข้อมูล การวิจัยต่าง ๆ สามารถช่วยในการวางแผน และติดตามประเมินสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า แผนยุทธศาสตร์ ฯ ควรกำหนดกลยุทธ์การดำเนินการให้ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทาง มาตรการหรือวิธีดำเนินการที่สำคัญ สำหรับเป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายที่กำหนดในแต่ละยุทธศาสตร์ และจัดทำแนวทางการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกิดความชัดเจนในการดำเนินการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับมารดากลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดาครรภ์แรก มารดาอายุน้อย มารดาเลี้ยงเดี่ยว และมารดาเร่ร่อน ในด้านการให้คำปรึกษาและการเตรียมพร้อมในการมีบุตร รวมทั้งให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชนและภาคเอกชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปดำเนินการด้วย ๔. ให้นำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการและการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์เสนอต่อการประชุมที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการตามข้อ ๑ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
29305 | ค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในหลักการสมควรที่กระทรวงศึกษาธิการจะกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการแยกออกจากการศึกษาสำหรับประชาชนทั่วไปเช่นเดียวกับการจัดการศึกษาในระบบดังกล่าว สำหรับอัตราค่าใช้จ่ายต่อหัว เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการพิจารณากำหนดอัตราค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการทั้งในระบบและนอกระบบ ควรเป็นไปในลักษณะเดียวกันหรือเทียบเคียงกัน ส่วนอัตราค่าใช้จ่ายบางประเภท เช่น รายการค่าบริหารจัดการในส่วนที่เป็นค่าวัสดุการศึกษา ค่าวัดและประเมินผลการศึกษา และค่านิเทศติดตาม ซึ่งมีอัตราสูงกว่าค่าใช้จ่ายในรายการเดียวกันสำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ควรมีการวิเคราะห์ความเหมาะสมในการคำนวณค่าใช้จ่ายรายการต่าง ๆ โดยพิจารณาเทียบเคียงกับค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในระบบปกติเพื่อให้การกำหนดค่าใช้จ่ายดังกล่าวมีความชัดเจน เหมาะสม ครบถ้วน และครอบคลุมรายการที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดรูปแบบ เนื้อหา หลักสูตรและกระบวนการจัดการเรียนการสอน และการประเมินผลรูปแบบและวิธีการจัดการเรียนการสอนให้ชัดเจน สามารถสะท้อนให้เห็นค่าใช้จ่ายที่แท้จริงเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาจัดสรรค่าใช้จ่ายต่อหัวให้เหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็น รวมทั้งประสานการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการติดตามและประเมินผลพัฒนาการของคนพิการในการนำความรู้ไปพัฒนาตนเองสามารถประกอบอาชีพและพึ่งตนเองได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. รับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ควรมีการพิจารณากำหนดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เกิดความชัดเจน เหมาะสม ครบถ้วน และครอบคลุมรายการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรม เพื่อให้กลุ่มคนพิการมีโอกาสได้รับการศึกษาที่ทัดเทียมกับกลุ่มคนปกติทั่วไป ประกอบกับเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านสังคม และคุณภาพชีวิตของรัฐบาล ซึ่งจะได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง [เรื่อง แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ตามนโยบายรัฐบาลด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙] เพื่อพิจารณาในภาพรวม จึงเห็นควรนำเรื่องนี้เข้าหารือในการประชุมดังกล่าว เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการในระยะยาวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
29306 | ขอชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารออมสินกรณีการกู้เงินเพื่อก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยในนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินการเอง | กค | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกับผู้กู้ให้กับธนาคารออมสิน จำนวน ๑,๔๔๓.๐๕๔ ล้านบาท โดยมีหลักเกณฑ์ในการคำนวณการชดเชยต้นทุนเงินของธนาคารออมสิน ดังนี้ ต้นทุนเงินของธนาคารออมสินคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน สำหรับผู้ฝากทั่วไปสูงสุดของธนาคารออมสิน บวกต้นทุนการดำเนินงาน ร้อยละ ๐.๙๘ ต่อปี หักผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยรับ ร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือนสำหรับผู้ฝากเงินทั่วไปของธนาคารออมสินอยู่ที่ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี) ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยชดเชยโดยประมาณเท่ากับร้อยละ ๓.๙๗ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๑๕ ปี วงเงินประมาณ ๑,๔๔๓.๐๕๔ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินประสานงานกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเองเป็นโครงการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ๒. ให้ กนอ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่ กนอ. ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารออมสินแล้ว ควรมีการประสานงานจัดส่งรายละเอียดพร้อมทั้งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อแผนการก่อสร้างและแผนเบิกจ่ายเงิน รวมทั้งพิจารณาดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อให้การดำเนินการมีความรัดกุม ถูกต้อง และสอดคล้องตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการป้องกันผลกระทบจากการก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29307 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และกำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. .... (มาตรการคว่ำบาตรอาวุธต่อสาธารณรัฐโกตดิวัวร์) | พณ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์และยานพาหนะเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และกำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรปรับถ้อยคำ จาก “ยานพาหนะของพลเรือน” เป็น “ยานพาหนะที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในทางพลเรือน” เพื่อให้สอดคล้องกับถ้อยคำที่กล่าวถึงในข้อ ๑ ของข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๔๕ (ค.ศ. ๒๐๑๒) ที่ว่า “civilian vehicles” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะที่ส่งให้แก่กองกำลังรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรโกตดิวัวร์ (Ivorian Security Forces) เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ๑.๒ ห้ามมิให้นำความในข้อ ๑.๑ มาใช้บังคับในกรณีการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้หรือสนับสนุนในการปฏิบัติการของสหประชาชาติในสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ [United Nationas Operation in Cote d’ I voire (UNOCI)] หรือใช้ในกองกำลังของประเทศฝรั่งเศสเพื่อสนับสนุน UNOCI ฯลฯ ๑.๓ กำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนทุกชนิดที่ส่งมาจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๔ ห้ามมิให้นำความในข้อ ๑.๓ มาใช้บังคับกับการนำเข้ามาเพื่อการวิจัยและวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาข้อมูลเชิงเทคนิคเฉพาะที่เกี่ยวกับการผลิตเพชรของสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งประมวลผลการดำเนินการตามมติคณะมนตรีฯ เกี่ยวกับโกตดิวัวร์ ของส่วนราชการทั้งหมดที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโกตดิวัวร์) เพื่อรวบรวมและรายงานความคืบหน้าการปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีฯ ในส่วนของประเทศไทยต่อสหประชาชาติต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์การบังคับใช้ร่างประกาศฯ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการให้ทราบโดยทั่วถึง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29308 | สรุปภารกิจการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง และการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภารัฐมนตรีแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โด ๑.๑ รับทราบสรุปภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๗ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๗ ที่ประชุมได้มีการหารือประเด็นต่าง ๆ พร้อมทั้งรับทราบการดำเนินงานด้านการศึกษาในกรอบอาเซียน โดยในส่วนของไทยได้เสนอเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำรายละเอียดหลักสูตรเกี่ยวกับอาเซียนตามรายวิชาในทุกระดับชั้น และการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำรายละเอียด ASCC Scorecard รวมทั้งการจัดค่ายเยาวชนอาเซียนเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์อาเซียนในภูมิภาค ทั้งนี้ ในช่วงก่อนการประชุมฯ สำนักเลขาธิการอาเซียนได้จัดให้มีการเปิดตัว ASEAN Curriculum Sourcebook ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อให้ครูใช้เป็นแนวทางสำหรับการสอนเรื่องอาเซียนในสถานศึกษา โดยประเทศสมาชิกจะนำไปขยายผลการดำเนินการในประเทศ ๑.๑.๒ การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑ ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับข้อมติที่เกี่ยวข้องจากการประชุมในกรอบอาเซียนบวกสามที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสาม รวมทั้งพิจารณารับรองแผนปฏิบัติการด้านการศึกษาอาเซียนบวกสาม และกรอบการประชุม (TOR) ของการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียนบวกสาม ๑.๑.๓ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกด้านการศึกษา ครั้งที่ ๑ ที่ประชุมได้พิจารณารับรองเอกสารที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบ EAS เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ได้แก่ กรอบการประชุม (TOR) การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกด้านการศึกษา, Plan of Action และ Joint Statement รวมทั้งรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามโครงการความร่วมมือเอเชียตะวันออกและกิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต ๑.๑.๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักศึกษาที่มีการถ่ายโอนหน่วยกิต และการเลือกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของไทยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของอินโดนีเซีย การให้ความร่วมมือด้านอิสลามศึกษาในระดับโรงเรียนแก่ไทย โดยอินโดนีเซียจะจัดส่งครูพร้อมจัดทำหลักสูตรที่เกี่ยวข้องมายังประเทศไทย การดำเนินความร่วมมือตามข้อเสนอจากที่ประชุมคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑ (JWG-1) การสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยน M-I-T Student Mobility ซึ่งเป็นโครงการนำร่องในการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระดับปริญญาตรีและส่งเสริมการถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างกัน ระหว่าง ๓ ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเมียนมาร์ โดยฝ่ายเมียนมาร์เสนอขอความร่วมมือจากไทยในเรื่องการพัฒนาครู การขอรับการสนับสนุนทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากไทย และแสดงความสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการเปิดโรงเรียนเอกชนจากไทย ในขณะที่ฝ่ายไทยได้เสนอขอความร่วมมือจากเมียนมาร์ในการจัดส่งอาจารย์พม่าเพื่อมาสอนภาษาพม่าในมหาวิทยาลัยในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนการส่งนักศึกษาเพื่อสมัครรับทุนภายใต้โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) มากขึ้น ๑.๑.๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารืออย่างไม่เป็นทางการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์เกี่ยวกับการจัดการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ขอให้ไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ แทน เนื่องจากสิงคโปร์กำหนดจัดงานเฉลิมฉลองเอกราชครบ ๕๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยขอสลับวาระการดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมคและเจ้าภาพจัดการประชุมฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทย ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ ๔๘ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดทำรายละเอียดและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกำหนดการเปิดและปิดภาคเรียนของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาให้สอดรับกับปฏิทินการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ได้ปรับเปลี่ยนการเปิดภาคเรียนเป็นช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยอาจปรับเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสมก็ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และไม่ให้เกิดช่องว่างในการเข้าศึกษาต่อหรือการสมัครเข้าทำงานของนักเรียน นักศึกษาในอนาคต |
|||||||||||||||||||||
29309 | ขอความเห็นชอบเช่ารถยนต์เพื่อการปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ | ยธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนมาก ที่ นร ๐๗๐๗/๐๑๘ ลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ หน้า ๒ จากเดิม “๑๓๐,๘๙๔,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยสามสิบล้านแปดแสนเก้าหมื่นสี่พันบาทถ้วน)” เป็น “๑๓๐,๘๙๖,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยสามสิบล้านแปดแสนเก้าหมื่นหกพันบาทถ้วน)” ๒. เห็นชอบให้กระทรวงยุติธรรม (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) เช่ารถยนต์ จำนวน ๑๐๐ คัน เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ (รวมระยะเวลา ๕ ปี) วงเงินทั้งสิ้น ๑๖๓,๖๒๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ใช้จ่ายจากเงินดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินกลางของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๓๒,๗๒๔,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑๓๐,๘๙๖,๐๐๐ บาท ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ (ระยะเวลา ๔ ปี) ปีละ ๓๒,๗๒๔,๐๐๐ บาท ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
29310 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... | กษ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29311 | ขออนุมัติขยายวงเงินค่าก่อสร้างและระยะเวลาก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี | กษ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี จากเดิม ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖) เป็น ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๘) ๑.๒ ขยายวงเงินค่าก่อสร้างโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี จากเดิม ๔,๙๓๖,๓๓๐,๐๐๐ บาท เป็น ๕,๑๙๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการงานระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระและอาคารประกอบ สัญญาที่ ๑ โดยเพิ่มวงเงินจากเดิม ๑,๙๗๘,๘๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๒,๒๗๐,๑๒๖,๒๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ๑.๔ เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการงานระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระและอาคารประกอบ สัญญาที่ ๒ โดยเพิ่มวงเงินจากเดิม ๒,๑๑๖,๙๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒,๓๔๗,๑๑๕,๘๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในแต่ละปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ตามสัญญาที่ ๒ ที่กำหนดสิ้นสุดสัญญาวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ควรเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด หรือก่อนกำหนดเพื่อให้สามารถผันน้ำได้ทันฤดูฝน (มิถุนายน-ตุลาคม) และเนื่องจากโครงการฯ มีการเปลี่ยนแปลงแบบเพื่อให้สอดรับกับแผนการก่อสร้างของกรมทางหลวง ซึ่งเป็นการวางแผนดำเนินการหลังจากที่โครงการได้รับอนุมัติให้ดำเนินการ ดังนั้น การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐในอนาคตควรประสานและบูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนถึงแผนงานในอนาคต เพื่อให้การก่อสร้างของหน่วยงานต่าง ๆ มีความสอดคล้องกัน เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ ประหยัดงบประมาณ และสามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กรมชลประทานรับไปประสานงานกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพลังงาน เป็นต้น เพื่อเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||
29312 | รายงานผลการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ระหว่างวันที่ 12 - 13 กันยายน 2555) | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและคณะ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ เพื่อพบปะเจรจาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬาของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬาของลาวได้หยิบยกประเด็นการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชน (Community Learning Center : CLC) โดยเห็นว่า การดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ชุมชนของไทยเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการพัฒนาอาชีพในชุมชนของลาว พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากกระทรวงศึกษาธิการของฝ่ายไทยในการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชนในลาว โดยมีเป้าหมายที่จะจัดตั้งขึ้นทุกแขวง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยินดีให้การสนับสนุน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เสนอทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนาการศึกษาของลาว ประกอบด้วย ทุนฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น จำนวน ๒๐ ทุน ทุนการศึกษาต่อระดับ ปวส. จำนวน ๑๓ ทุน ทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาตรี จำนวน ๑๗ ทุน ทุนการศึกษาระดับปริญญาโท จำนวน ๔๓ ทุน และทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก จำนวน ๖ ทุน รวมทั้งสิ้น ๙๙ ทุน วงเงินประมาณ ๑๕ ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเห็นว่า หน่วยงานต่าง ๆ ของลาวและไทยยังมีความร่วมมือกันในหลายโครงการ จึงเสนอให้ฝ่ายลาวรวบรวมความต้องการและเสนอมาเพื่อที่ฝ่ายไทยจะพิจารณาให้ความร่วมมือในการดำเนินการต่อไป ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอให้มีการจัดทำบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย-ลาวฉบับใหม่แทนฉบับเดิมที่ได้หมดอายุแล้ว โดยเสนอให้มีการลงนามในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬาของลาวจะเดินทางมาเยือนประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||
29313 | รายงานประจำปี 2554 ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | สสป | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอรายงานประจำปี ๒๕๕๔ ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สภาที่ปรึกษาฯ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม ๒๕๕๓-กันยายน ๒๕๕๔) จำนวนทั้งหมด ๑๘๙,๕๗๕,๗๐๐.๐๐ บาท ประกอบด้วย งบประมาณเพื่อการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาฯ จำนวน ๙๓,๑๐๒,๐๐๐.๐๐ บาท งบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาฯ จำนวน ๘๒,๑๗๙,๔๐๐.๐๐ บาท และงบประมาณเพื่อการดำเนินงานของสำนักงานสภาที่ปรึกษาฯ จำนวน ๑๔,๒๙๔,๓๐๐.๐๐ บาท โดยมีการเบิกจ่ายงบประมาณไป จำนวน ๑๕๐,๘๕๒,๘๖๔.๔๓ บาท เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๑๙,๘๑๗,๗๓๘.๖๗ บาท และมีงบประมาณคงเหลือ จำนวน ๑๘,๙๐๕,๐๙๖.๙๐ บาท ๒. การเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ต่อคณะรัฐมนตรี จำนวนทั้งหมด ๒๓ เรื่อง จำแนกตามหมวด ๕ หมวด ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ จำนวน ๖ เรื่อง ด้านสังคม จำนวน ๗ เรื่อง ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน ๗ เรื่อง ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง และด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และพลังงาน จำนวน ๑ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||
29314 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กค | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการกรณีกระทรวงการคลังขออนุมัติค่าใช้จ่ายค่าถอนคืนรายได้แผ่นดิน เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา รายบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ซึ่งยื่นฟ้องกรมสรรพสามิต จำเลยที่ ๑ กรมศุลกากร จำเลยที่ ๒ และกรมสรรพากร จำเลยที่ ๓ ต่อศาลภาษีอากรกลาง ขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีกรณีการนำเข้าน้ำมันเตาแต่สำแดงว่าเป็นน้ำมันรีดิวซ์ครูด และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้กรมสรรพสามิตคืนเงินค่าประกันภาษีพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินจำนวน ๗๙,๘๓๓,๓๙๒.๐๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จนถึงวันที่กรมสรรพสามิตอนุมัติให้คืนเงินแก่โจทก์ โดยกรมสรรพสามิตได้คำนวณดอกเบี้ยถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ คิดเป็นเงินจำนวน ๖๕,๐๖๔,๐๑๗.๘๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔๔,๘๙๗,๔๐๙.๙๐ บาท แต่โดยที่กรมสรรพสามิตมีแหล่งเงินรายได้จากการดำเนินงาน จึงเห็นสมควรให้กรมสรรพสามิตพิจารณาใช้จ่ายจากแหล่งเงินนอกงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากไม่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ก็เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับวงเงินและรายละเอียดค่าใช้จ่าย ให้กรมสรรพสามิตทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการละเมิด ตามนัยพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||
29315 | แผนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2560) รวมทั้งแผนการดำเนินงานงบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2556 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแผนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ และผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ๑.๒ เห็นชอบแผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่ายและประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของ สำนักงาน กกพ. โดย ๑.๒.๑ แผนการดำเนินงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเป้าหมายพัฒนาหลักการและแนวทางการกำกับกิจการพลังงานให้เป็นสากลและทันสมัย สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และนโยบายของรัฐที่มุ่งเน้นการสร้างเสริมความมั่นคงทางด้านพลังงาน การกำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสมเป็นธรรม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมถึงสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ได้แก่ การเสริมสร้างการกำกับดูแลกิจการพลังงานอย่างมีมาตรฐาน เป็นธรรมและเชื่อถือได้ การส่งเสริมกิจการพลังงานให้มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม การคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้พลังงานและผู้มีส่วนได้เสียตามมิติงานกำกับกิจการพลังงาน และพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ ๑.๒.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อรองรับแผนดำเนินงานประจำปีฯ จำนวน ๗๙๙.๔๙ ล้านบาท โดยรวมค่าใช้จ่ายในการจัดหาสถานที่ทำการสำนักงาน กกพ. เป็นการถาวรไว้ด้วย จำนวนประมาณ ๕๗ ล้านบาท และจะกันเงินเป็นภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม (ถ้ามี) เพื่อให้เพียงพอต่อการจัดหาสถานที่ทำการสำนักงาน กกพ. พร้อมทั้งจะจัดสรรเงินงบประมาณประจำปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ สมทบสำหรับเป็นภาระค่าใช้จ่ายในการจัดหาสถานที่ทำการสำนักงาน กกพ. ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒.๓ ประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จะมีวงเงินรวมประมาณ ๗๙๙.๗๙ ล้านบาท เป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงานรายปี และรายได้หรือผลประโยชน์อื่นอันได้มาจากการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ของ กกพ. ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารงบประมาณ ให้คำนึงถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การใช้จ่ายรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงานเกิดประโยชน์สูงสุด และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ควรเร่งดำเนินการตามระเบียบและประกาศเกี่ยวกับการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามมาตรา ๙๗(๑) เพื่อชดเชยผู้รับใบอนุญาตซึ่งได้ให้บริการไฟฟ้าไปยังท้องที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
29316 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างหอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชน | วท | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถอนเรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างหอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชน
คืนไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างหอดูดาวภูมิภาคสำหรับประชาชนเครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจากเดิมจังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดอุดรธานี สมควรพิจารณาข้อเท็จจริง เหตุผลความจำเป็น และดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนครบถ้วน |
|||||||||||||||||||||
29317 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดอมรินทราราม ตำบลโคกหม้อ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ให้แก่กองทัพบก พ.ศ. .... | พศ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดอมรินทราราม ตำบลโคกหม้อ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ให้แก่กองทัพบก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดอมรินทราราม ตำบลโคกหม้อ อำเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๕๐๐๑ (บางส่วน) เนื้อที่ ๓ ไร่ ๑ งาน ๘๒ ตารางวา ให้แก่กองทัพบก เพื่อขยายอาณาเขตบริเวณที่ตั้งหน่วยจังหวัดทหารบกราชบุรี ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29318 | โครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2560) | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ตามข้อเสนอของกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้ดำเนินการติดตามประเมินผลโครงการระยะที่ ๑ ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อรับทราบปัญหาอุปสรรคและประมาณการค่าใช้จ่ายต่อบุคคลที่เหมาะสมในโอกาสแรก ก่อนที่จะมีการขยายผลโครงการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างวิทยาลัยในโครงการกับมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงเพื่อให้เกิดเครือข่ายทางวิชาการที่เข้มแข็งในการช่วยยกระดับความสามารถในการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยในโครงการ การกำหนดให้มีแผนพัฒนาศักยภาพและเพิ่มพูนประสบการณ์ทางวิชาชีพสำหรับครูผู้สอน และส่งเสริมการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นตามความสามารถ การกำหนดทิศทาง นโยบายและแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจน การกำหนดเป้าหมายการดำเนินโครงการที่มีการขยายจำนวนนักเรียนและห้องเรียนเพิ่มขึ้น และพิจารณาความพร้อมของบุคลากรครูผู้สอน ครูพี่เลี้ยง และนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการที่จะต้องมีคุณสมบัติและมีความสามารถพิเศษที่พร้อมจะพัฒนาสู่การเป็นนักประดิษฐ์ นักเทคโนโลยี รวมทั้งการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนทรัพยากรอย่างจริงจังทั้งด้านงบประมาณ บุคลากรและสถานที่ฝึกงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29319 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" | สสป | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็นและผลการพิจารณาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐบาลควรมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทบทวนร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๕๕) โดยนำความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มาประกอบการพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ไม่เกิดผลเสียหายแก่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทที่ประเทศไทยเคารพนับถือมาเป็นเวลาช้านาน ๑.๒ โดยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนับถือพระพุทธศาสนา รัฐบาลจึงควรเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนและภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางและทั่วถึง ๑.๓ การที่ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ความหมายของคำว่า "พระพุทธศาสนา" หมายความว่า พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทและอาจริยวาทหรือมหายาน เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญมาก เพราะอาจจะมีผลกระทบกระเทือนและมีผลเสียหายแก่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ซึ่งพระมหากษัตริย์และประชาชนชาวไทยเคารพนับถือมาช้านาน รัฐบาลจึงควรจัดให้ "สังฆพิจารณ์" ในบรรดาพระสงฆ์ และ "ประชาพิจารณ์" ในบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวไทย ว่าจะรับความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนา รวมถึงพระพุทธศาสนาฝ่ายอาจริยวาทหรือมหายานหรือไม่ ๑.๔ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นปีที่มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับพระพุทธศาสนา เป็นปีพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า รัฐบาลจึงควรจัดให้มีการรณรงค์อย่างจริงจัง จริงใจ และต่อเนื่องในการทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยจัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๑.๕ โดยที่พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา การรักษาพระไตรปิฎก คือการรักษาพระพุทธศาสนา รัฐบาลจึงควรจัดให้มีการรณรงค์อย่างจริงจัง จริงใจ และต่อเนื่อง ให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้เข้าใจและเข้าถึงพระไตรปิฎก ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระไตรปิฎก ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธศาสนาตามพระไตรปิฎก เพื่อป้องกันการบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า สนับสนุนให้วัดและสถานศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ มีพระไตรปิฎกที่เป็นภาษาไทยที่อ่านเข้าใจได้ง่ายไว้ประจำวัดและสถานศึกษา รวมทั้งจัดให้มีการอบรม การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพระไตรปิฎกแก่พุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะเยาวชนผู้เป็นทรัพยากรและอนาคตของชาติ ๒. มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมาย) ที่กำหนดให้การเสนอร่างกฎหมายในเรื่องใดที่ไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร ไม่ให้มีบทบัญญัติกำหนดให้ยกเว้นภาษีอากรตามกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร ไปประกอบการพิจารณาในการเสนอร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. .... ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
29320 | การรับรองร่างแถลงการณ์การประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue - ACD) ครั้งที่ 1 | กต | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์การประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue-ACD) ครั้งที่ ๑ มีสาระสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ ต้อนรับการเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ ๓๒ ของสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ๑.๒ รำลึกถึงข้อริเริ่มของไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ในการก่อตั้ง ACD ให้เป็นเวทีการประชุมเพื่อรวมทุกมิติของความเข้มแข็งในเอเชียและเปลี่ยนทวีปเอเชียที่กว้างใหญ่ให้เป็นประชาคมเอเชียที่เป็นเอกภาพ ๑.๓ แสดงความพอใจกับความสำเร็จของ ACD ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา และให้แนวทางการดำเนินความร่วมมือในอนาคต อาทิ การรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจและภัยพิบัติ การส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงาน ความมั่นคงทางอาหาร สาธารณสุข การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความร่วมมือด้านการเงิน การลงทุน และการศึกษา ๑.๔ เน้นย้ำถึงหลักการด้านสันติภาพ เสรีภาพขั้นพื้นฐาน สิทธิมนุษยชน ความมั่นคง เสถียรภาพ และความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ๑.๕ ตกลงตามข้อเสนอของไทยและรัฐคูเวตในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อพัฒนากลไกด้านสถาบันของ ACD ต่อไป ๑.๖ ยินดีกับข้อเสนอของสาธารณรัฐทาจิกิสถานที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรี ACD ครั้งที่ ๑๑ ข้อเสนอของราชอาณาจักรบาห์เรนที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรี ACD ครั้งที่ ๑๒ และข้อเสนอของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรี ACD ครั้งที่ ๑๓ รวมทั้งไทยที่จะเป็นเจ้าภาพครั้งที่ ๑๔ ๒. อนุมัติในหลักการให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนให้การรับรองแถลงการณ์ดังกล่าว หากมีการแก้ไขร่างแถลงการณ์ดังกล่าวในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการหรือสาระสำคัญ ให้อยู่ในดุลพินิจของคณะผู้แทนไทยในการดำเนินการต่อไป โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง |
.....