ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1461 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29201 - 29220 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29201 | รายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ 8 ถึง 26 ตุลาคม 2555 | กห | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ ๘ ถึง ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ ในพื้นที่ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน (อุทกภัย) ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่ลุ่มต่ำบางพื้นที่ จำนวน ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วย ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ได้จัดกำลังพล ๑,๒๙๖ นาย รถบรรทุก ๗๙ คัน เครื่องผลักดันน้ำ ๕๑ เครื่อง และเรือท้องแบน ๙ ลำ เข้าดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่รับผิดชอบ โดยการบรรจุกระสอบทราย สร้างแนวคันกั้นน้ำด้วยกระสอบทราย อำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง การลำเลียงถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย และจัดชุดเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ รวมทั้งจัดชุดนายทหารติดต่อประกอบด้วยกำลังพลจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ ปฏิบัติงานร่วมกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นมา สำหรับการติดตามสถานการณ์สาธารณภัย ได้จัดเตรียมกำลังพล ชุดกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว ชุดทหารช่างเฉพาะกิจ ชุดแพทย์เคลื่อนที่เร็ว และชุดสุนัขค้นหา/กู้ภัย พร้อมยานพาหนะและอากาศยาน รวมทั้งอุปกรณ์และเครื่องมือสื่อสาร เพื่อเตรียมให้การสนับสนุนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยเมื่อได้รับการประสาน
|
||||||||||||||||||||||||
29202 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 6 ราย 1. นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี ฯลฯ) | มท | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๖ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ๒. นายชาญยุทธ เฮงตระกูล เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก) ๓. พลโท มนัส เปาริก เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประชา ประสพดี) ๔. นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ๕. นายสุชาติ ลายน้ำเงิน เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก) ๖. นายประชาธิปไตย คำสิงห์นอก เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประชา ประสพดี)
|
||||||||||||||||||||||||
29203 | มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๖๘/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29204 | มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ | นร04 | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๖๙/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมายและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และมอบอำนาจตามกฎหมาย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29205 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง และข้าราชการการเมืองพ้นตำแหน่ง (นายอารี ไกรนรา และ นายสมหวัง อัสราษี) | พณ | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ให้แต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ดังนี้ ๑.๑ นายอารี ไกรนรา ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ๑.๒ นายสมหวัง อัสราษี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ๒. ให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง จำนวน ๔ ราย ดังนี้ ๒.๑ นายชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง ให้พ้นตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล) ๒.๒ นายฐนนท์ศรณ์ เลิศฤทธิ์ศิริกุล ให้พ้นตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์) ๒.๓ นายชัชวาลย์ ชัยเชาวรัตน์ ให้พ้นตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล) ๒.๔ นายภาคภูมิ เดชสกุลฤทธิ์ ให้พ้นตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์)
|
||||||||||||||||||||||||
29206 | มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค | นร | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๗๐/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29207 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายธรรมรัต หวั่งหลี) | กษ | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นายธรรมรัต หวั่งหลี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29208 | การปรับเพิ่มเงินเดือนครูโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ให้ได้รับเดือนละ 15,000 บาท | นร04 | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้ปรับเงินเดือนครูและบุคลากรโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เป็น ๑๑,๖๘๐ บาท เท่าอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการวุฒิปริญญาตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ และให้อุดหนุนเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ที่เป็นคฤหัสถ์และมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี มีเงินเดือนไม่ถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนอีกจนถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนทั้งสิ้น ๗๙,๖๘๔,๕๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
29209 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ กำหนดให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีอำนาจดำเนินการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤติทางการเงินอันอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดนิยามและหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือสถาบันการเงิน ควรจำกัดไว้เฉพาะในกรณีที่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและตลาดการเงินโดยรวม (Systematic risk) เท่านั้น การพิจารณาปรับบทบาทหน้าที่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการโอนอำนาจหน้าที่ของกองทุนฯ ให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากดำเนินการแทน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินภารกิจด้านการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการนำส่งเงินให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากและธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งการสนับสนุนการดำเนินนโยบายการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (Micro and Macro Prudential) ตามกรอบการกำกับดูแลสถาบันการเงินตามมาตรฐานสากล และแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของสถาบันการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและระบบการเงินโดยรวม เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29210 | ผลการทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของอาเซียนและของไทย (AEC Blueprint Mid-Term Review) | พณ | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของอาเซียนและไทย (AEC Blueprint Mid-Term Review) ของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการ และเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานะการดำเนินการ ในส่วนของอาเซียนมีความคืบหน้ามากในด้านการลดภาษีศุลกากร แต่การดำเนินการหลายเรื่องยังช้ากว่ากำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สำคัญ ได้แก่ มาตรฐานและความสอดคล้อง (Standard and Conformity) มาตรการที่มิใช่ภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การเปิดเสรีการค้าบริการ การเคลื่อนย้ายเงินทุน การเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือ ความร่วมมือด้านพลังงาน การอำนวยความสะดวกทางการค้า สำหรับสถานะการดำเนินการของไทยมีความคืบหน้ามากในเรื่องการเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกทางการค้า เช่น การลด/ยกเลิกภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี และการลดจำนวนวันที่ใช้ในกระบวนการส่งออกและนำเข้าสินค้า การมีกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า และการอำนวยความสะดวกต่อการลงทุน โดยมีประเด็นที่ ERIA เสนอแนะให้ไทยพิจารณาปรับปรุง ได้แก่ การเร่งพัฒนาภาคธุรกิจบริการซึ่งปัจจุบันไทยยังไม่เปิดเสรีเกินไปกว่าที่กฎหมายกำหนด การปรับปรุงนโยบายการลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน ความล่าช้าในการให้สัตยาบันความตกลงยอมรับร่วมด้านมาตรฐานและความสอดคล้อง รวมทั้งข้อตกลงยอมรับคุณสมบัติวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน การพัฒนา SMEs โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเงินทุนสำหรับ SMEs และนโยบายการแข่งขัน ยังขาดแนวทาง/วิธีการบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน ๑.๒ ผลการดำเนินการตามมาตรการภายใต้แผนพิมพ์เขียวในการไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) ต่อเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียน ในส่วนของอาเซียน พบว่าการดำเนินการตาม AEC Blueprint ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศสมาชิก โดยกลุ่ม CLMV ซึ่งประกอบด้วยกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม จะได้ประโยชน์ในระดับสูงกว่าประเทศสมาชิกดั้งเดิม (ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) และยังเห็นว่าการเปิดเสรีในกรอบ ASEAN+1 FTA ส่งผลดีต่ออาเซียนมากกว่าการจัดตั้ง AEC เพียงอย่างเดียว โดยอาเซียนจะได้ประโยชน์มากขึ้นหากมีการเปิดเสรีกับคู่เจรจาในกรอบอาเซียน+๓ (๑๓ ประเทศ) หรืออาเซียน+๖ (๑๖ ประเทศ) และอาเซียนจะได้รับประโยชน์มากขึ้นหากมีการเปิดเสรีด้านการค้าบริการ และมีมาตรการด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าและโลจิสติกส์ควบคู่ไปด้วย สำหรับไทยจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก AEC ในด้านการขยายตัวของ GDP มากเป็นอันดับ ๓ รองจากอินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ส่วนการเปิดเสรีด้านการค้าบริการ ไทยได้รับประโยชน์เป็นอันดับ ๒ ในอาเซียน รองจากเวียดนาม และในการเปิดเสรีของอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาคในรูปแบบอาเซียน+๓ หรืออาเซียน+๖ ไทยจะได้รับประโยชน์มากเป็นอันดับ ๓ ในอาเซียน รองจากเวียดนามและกัมพูชา ๑.๓ ERIA ได้เสนอมาตรการที่ควรได้รับความสำคัญลำดับต้น (Priorities) จากปัจจุบันถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้แก่ การลด/ยกเลิกภาษีศุลกากร การแก้ไขปัญหา/อุปสรรคจากการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน การเปิดเสรีการค้าบริการ การเปิดเสรีการลงทุน การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง การดำเนินการเพื่อลดช่องว่างของระดับการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิก (ตามแผนงาน Initiative for ASEAN Integration) การพัฒนาและส่งเสริม SMEs การเจรจาจัดทำความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) รวมทั้งมาตรการที่ควรได้รับความสำคัญในช่วงภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้แก่ มาตรฐานและความสอดคล้อง การรวมกลุ่มด้านการเงิน การจัดทำ MRAs วิชาชีพสาขาต่างๆ ICT พลังงาน ทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภค ความร่วมมือด้านการเกษตร และเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องการทำความตกลงหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้อน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร มาตรการต่าง ๆ ทั้งที่มีผลบังคับใช้แล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการให้กับทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากความตกลงอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมภายในประเทศทั้งในด้านพัฒนาคน องค์ความรู้ กฎ และระเบียบ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานงานกับสำนักงาน ก.พ.ร. รวบรวมข้อมูลความคืบหน้าการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ในภาพรวมทั้งหมด เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปบูรณาการประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติการการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
29211 | รายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ประจำปีบัญชี 2554 (1 เมษายน 2554 - 31 มีนาคม 2555) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ประจำปีบัญชี ๒๕๕๔ (๑ เมษายน ๒๕๕๔-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการงานของ ธ.ก.ส. ประจำปีบัญชี ๒๕๕๔ เปรียบเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๓ สินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ มีจำนวน ๑,๐๕๕,๕๕๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๓ จำนวน ๑๕๖,๕๓๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๔๑ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๔,๒๗๗ ล้านบาท ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๕๓ จำนวน ๓,๗๓๕ ล้านบาท โดยระหว่างปีมีรายได้รวมจำนวน ๕๖,๑๐๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๓ จำนวน ๖,๓๒๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๗๑ ในขณะที่รายจ่ายรวมมีจำนวน ๓๗,๖๖๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๓ จำนวน ๑๐,๐๑๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๖.๒๒ โดยในปีบัญชี ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. ได้ตั้งสำรองรายการหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญ และขาดทุนจากการด้อยค่าจำนวน ๑๔,๑๖๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๓๑ จากปีบัญชีก่อน สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสิ้นปีบัญชี ๒๕๕๔ ธ.ก.ส.มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ร้อยละ ๑๐.๓๙ ลดลงจากสิ้นปีบัญชี ๒๕๕๓ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๑๓.๙๗ ๒. รายงานกิจการของ ธ.ก.ส. ประจำปีบัญชี ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. มีโครงการสำคัญ เช่น โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีและมันสำปะหลัง ปีการผลิต ๒๕๕๔/๒๕๕๕ โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ปี ๒๕๕๔ โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔ โครงการธนาคารชุมชน และการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
29212 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 9/2555 | นร11 | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ โดยคณะกรรมการ กยอ. มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบและวิจัยพัฒนารถยนต์และชิ้นส่วน ตามที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์แห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทบทวนในรายละเอียด ความเหมาะสม และความคุ้มค่าของโครงการ รวมทั้งรูปแบบการลงทุน การบริหารจัดการ และที่ตั้งโครงการ เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามในหนังสือถึงประธาน กยอ. เพื่อนำเสนอ กยอ. พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการให้มีการศึกษาโครงการบริหารจัดการกากของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมครบวงจร โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำรายละเอียดข้อกำหนดโครงการ (TOR) และรายละเอียดงบประมาณตามแบบฟอร์มที่สำนักงบประมาณกำหนดเสนอต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามถึงประธาน กยอ. เพื่อนำเสนอ กยอ. พิจารณาอีกครั้ง ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๓. รับทราบผลการจัดงานแสดงร้านค้าต้นแบบ OTOP Store และนิทรรศการ Thai Pinto ตามที่ผู้แทนสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เสนอ ๔. รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนได้ทราบและติดตามการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ๕. รับทราบความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตามที่ผู้แทน กนอ. เสนอ และให้ กนอ. รายงานความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ กยอ. ทราบต่อไป ๖. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ตามที่ประธานคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และการบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศรายงาน
|
||||||||||||||||||||||||
29213 | การดำเนินโครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน | พณ | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบมติที่ประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน ครั้งที่ ๒๖ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ขยายเวลาเป้าหมายที่อาเซียนจะเริ่มต้นดำเนินระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองในภูมิภาค จากเดิมภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และเห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๑ (ซึ่งมีภาคี ๔ ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย) ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการให้ความเห็นชอบของไทยต่อการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๑ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ต่อเลขาธิการอาเซียน ก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้นำเสนอบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของภาคีสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๒ โดยมีเอกสารภาคผนวกระเบียบปฏิบัติในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแนบบันทึกความเข้าใจฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนที่ไทยจะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันสำหรับการภาคยานุวัตรเป็นภาคีสมาชิกของบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการติดตามและประเมินผลโครงการนำร่องฯ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและแก้ไขปัญหาอุปสรรค เพื่อให้การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความแตกต่างของระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของโครงการที่ ๑ ซึ่งให้ทั้งผู้ผลิตและผู้ประกอบการค้าขอรับอนุญาตรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง และโครงการที่ ๒ ซึ่งให้เฉพาะผู้ผลิตเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ และสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29214 | ความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาของอาเซียน | พณ | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาของอาเซียนก่อนนำเสนอความตกลงฯ และภาคผนวกแนบท้ายเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ เพื่อให้ความเห็นชอบเพื่อผูกพันต่อไป ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงฯ หรือภาคผนวกแนบท้าย มอบให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นลงนามความตกลงฯ ๑.๔ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงฯ และภาคผนวกแนบท้ายความตกลงแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาและข้อผูกพันแนบท้ายความตกลง และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้วเพื่อให้ความตกลงฯ และภาคผนวกแนบท้ายความตกลงมีผลใช้บังคับ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีผู้แทนกระทรวงการคลังเข้าร่วมเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานด้านบริการของอาเซียน (Coordinating Committee on Services : CCS) เพื่อให้การเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินในส่วนของการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาเกิดความต่อเนื่องในการดำเนินการ รวมทั้งควรมีการเตรียมความพร้อมและประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสาขาอาชีพที่มีผลในข้อผูกพันได้รับทราบสาระสำคัญของความตกลงฯ เพื่อเตรียมรับการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการเตรียมมาตรการให้ความคุ้มครองและสวัสดิการทางสังคมแก่แรงงานที่มีการเคลื่อนย้ายระหว่างกันในประเทศสมาชิกอาเซียน สำหรับทุกระดับทักษะและฝีมือ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29215 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) และให้รัฐมนตรีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการ/รายการที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๙๐๔.๖๖๒๐ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๕๔๙.๓๓๑๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๒๖.๙๓๑๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ ผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๑,๒๕๗.๔๙๖๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๒๓ จากยอดจัดสรร ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง ส่วนมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ/รายการ ให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนก่อนวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ พบว่า มีส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางรายการดังกล่าวเป็นวงเงิน ๕๔๓.๐๗๔๒ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
29216 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - คาซัคสถาน ครั้งที่ 2 | นร04 | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๒ ของกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความร่วมมือทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะจัดการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศอย่างสม่ำเสมอ และเห็นควรสนับสนุนให้มีการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ๒. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ๒.๑ การค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศ และตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานด้านการส่งเสริมธุรกิจไทย-คาซัคสถาน รวมทั้งจะพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-คาซัคสถาน การเร่งรัดการเจรจาความตกลงทางการค้า ความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และความตกลงยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน ๒.๒ ความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ฝ่ายไทยพร้อมให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคาซัคสถานในด้าน SMEs ๒.๓ ความร่วมมือด้านการบินพลเรือน ฝ่ายไทยจะเร่งรัดการพิจารณาคำขอของฝ่ายคาซัคสถานในการเพิ่มเที่ยวบินตรงของ Air Astana จากเมือง Almaty ของคาซัคสถานมากรุงเทพฯ จาก ๕ เที่ยวบิน เป็น ๗ เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ๒.๔ ความร่วมมือด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ฝ่ายคาซัคสถานรับจะจัดส่งข้อมูลกฎระเบียบในการลงทุนด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในคาซัคสถานให้ฝ่ายไทย และทั้งสองฝ่ายเห็นควรแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเพิ่มความร่วมมือในอนาคต ๒.๕ ความร่วมมือด้านการก่อสร้าง การเคหะ และการบริการชุมชน ฝ่ายคาซัคสถานสนใจที่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในด้านการก่อสร้าง การเคหะและการบริการชุมชน โดยเฉพาะเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน ๓. ความร่วมมือด้านการเกษตร ฝ่ายไทยสนใจที่จะร่วมมือด้านการเกษตรกับคาซัคสถาน โดยจะเสนอร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือด้านการเกษตรให้ฝ่ายคาซัคสถานพิจารณา ๔. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ฝ่ายไทยสนใจที่จะร่วมมือด้านการท่องเที่ยวโดยพร้อมแลกเปลี่ยนคณะสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน ๕ ความร่วมมือด้านกีฬา ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือในด้านกีฬา โดยฝ่ายคาซัคสถานยินดีให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการพัฒนากีฬาฤดูหนาว โดยเฉพาะสถานที่ฝึกกีฬาฤดูหนาว และไทยพร้อมให้ความร่วมมือในการส่งเสริมกีฬามวยไทย ๖. ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายพร้อมร่วมมือในการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม โดยฝ่ายไทยจะเสนอร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมให้ฝ่ายคาซัคสถานพิจารณาต่อไป ๗. ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฝ่ายไทยขอให้คาซัคสถานพิจารณาให้ความร่วมมือเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านอวกาศ และเสนอความร่วมมือกับคาซัคสถานในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ วัสดุศาสตร์ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีนาโนและนิวเคลียร์ ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะประสานกับฝ่ายคาซัคสถานต่อไป ๘. ความร่วมมือด้านวิชาการ ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมือในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาบุคลากร การจัดการการท่องเที่ยว การเกษตร พลังงาน การควบคุมยาเสพติด เป็นต้น ๙. ความร่วมมือด้านการพัฒนาข้าราชการพลเรือน ฝ่ายคาซัคสถานสนใจที่จะจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านข้าราชการพลเรือนกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนของไทย และเสนอให้เข้าร่วมก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้และการเผยแพร่ประสบการณ์ด้านข้าราชการพลเรือน ๑๐. ความร่วมมือด้านกฎหมาย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการเจรจาร่างสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ ร่างสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิด และความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา ๑๑. ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติด ทั้งสองฝ่ายจะเร่งรัดการเจรจาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมการค้ายาเสพติด การใช้ยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท วัตถุคล้ายคลึงและสารเคมีตั้งต้น ๑๒. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้มีการลงนามความตกลงดังกล่าว ในช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเยือนคาซัคสถานในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑๓. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๓ ในช่วงไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่คาซัคสถาน
|
||||||||||||||||||||||||
29217 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๒๔ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๒๕ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๒๖ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๒๗ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
29218 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... | นร04 | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29219 | การปฏิบัติงานของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ | นร | 02/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า รัฐมนตรีชุดใหม่ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ขอให้รัฐมนตรีทุกท่านปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และผลประโยชน์ของประชาชน รวมทั้งให้ความสำคัญต่อรายละเอียดของนโยบายของรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และที่จะดำเนินการต่อไปให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ให้รายงานข้อมูลผลการดำเนินงานตามแผนและระยะเวลาที่กำหนดไว้ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. ทุกเดือน เพื่อสำนักงาน ก.พ.ร. จะได้บูรณาการข้อมูลการขับเคลื่อนนโยบายด้านต่าง ๆ ของรัฐบาลในภาพรวมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29220 | แต่งตั้งกรรมการบริหาร กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ และกรรมการสาขาวิชาการ | วช | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการบริหาร กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ และกรรมการสาขาวิชาการ ๑๒ สาขาวิชาการ ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จำนวน ๑๕๔ คน ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. กรรมการบริหาร จำนวน ๕ คน และให้กรรมการบริหารทั้ง ๕ คน เป็นกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติด้วย ๒. กรรมการสาขาวิชาการ จำนวน ๑๔๙ คน รวมกับกรรมการบริหาร จำนวน ๕ คน เป็น ๑๕๔ คน ๓. กรรมการสาขาวิชาการ ๑๒ สาขาวิชาการ ซึ่งแต่งตั้งจากกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ ประกอบด้วย ๓.๑ สาขาวิทยาศาสตร์การภาพและคณิตศาสตร์ ๑๔ คน ๓.๒ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ๑๓ คน ๓.๓ สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช ๑๒ คน ๓.๔ สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา ๑๔ คน ๓.๕ สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย ๑๕ คน ๓.๖ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ ๑๑ คน ๓.๗ สาขาปรัชญา ๑๒ คน ๓.๘ สาขานิติศาสตร์ ๑๐ คน ๓.๙ สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ๑๐ คน ๓.๑๐ สาขาเศรษฐศาสตร์ ๑๓ คน ๓.๑๑ สาขาสังคมวิทยา ๑๑ คน ๓.๑๒ สาขาการศึกษา ๑๔ คน
|
.....