ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1469 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29361 - 29380 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29361 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน 3 ฉบับ | กษ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยเสนง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยเสนง จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเฉนียงและตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ถึงกิโลเมตรที่ ๒๔.๓๐๐ ในท้องที่ตำบลคอโคและตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียบเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยกระดาษ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยกระดาษ จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำบ้านอำปึล กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ถึงกิโลเมตรที่ ๒.๙๐๐ ในท้องที่ตำบลเทนมีย์ อำเภอมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยลำพอก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยลำพอก จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำห้วยลำพอก กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลยางและตำบลกุดหวาย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ถึงกิโลเมตรที่ ๒๖.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเกาะแก้วและตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||
29362 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินประเทศมาดากัสการ์ | ปง | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) จัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแห่งราชอาณาจักรไทยกับหน่วยข่าวกรองทางการเงิน (Financial Intelligence Unit : SAMIFIN) แห่งสาธารณรัฐมาดากัสการ์ โดยให้ใช้ร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวกับการฟอกเงินตามที่คณะรัฐมนตรี (๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓) ได้ให้ความเห็นชอบเป็นต้นแบบในการเจรจา ๑.๒ ให้เลขาธิการ ปปง. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๒. ให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ โดยวิธีการแลกเปลี่ยนทางไปรษณีย์ สามารถทำได้ตามแนวปฏิบัติระหว่างประเทศหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
29363 | รายงานผลการดำเนินการ กรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดการปัญหา สารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก | สสป | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก (โรงพยาบาลรามาธิบดี) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมประชาสัมพันธ์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ แผนงานพัฒนาวิทยาการและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ประกอบการจำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เนเจอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีเจ้นอินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เรื่อง “การจัดการปัญหาสารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก” โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาออกประกาศตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ห้ามใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประกาศให้มีการแสดงฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า “ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือประกาศให้ภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่มีสารบีพีเอเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกมาตรฐานบังคับ (FOOD CONTRACT CONTAINER) สำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิด เพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากการใช้สารบีพีเอ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของสารบีพีเอ เฝ้าระวังความเสี่ยงและการป้องกันความเสี่ยงในทารก เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร โดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เอกสารประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน ฯลฯ ๑.๕ หน่วยงานภาครัฐควรรณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นการส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กอย่างมีคุณภาพ ๒. ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการต่อสังคม ๒.๑ ยกเลิกการผลิตและจำหน่ายขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับเด็กที่มีสารบีพีเอ ๒.๒ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการสมัครใจดำเนินการปกป้องผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหาร ติดฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า” ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ๓. การสนับสนุนและติดตามการดำเนินงาน ๓.๑ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานวิชาการสนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภคจากสารบีพีเอ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสนับสนุนการวิจัยเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เกี่ยวกับอันตรายจากสารบีพีเอ ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานความก้าวหน้าปัญหาอุปสรรค
|
|||||||||||||||||||||
29364 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2555 ของไตรมาส 3 | ทก | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของไตรมาส ๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานด้านการใช้บริการ มีจำนวนการใช้บริการทั้งสิ้น ๑,๕๕๐,๖๓๐ ครั้ง เพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาส ๒ จำนวน ๓๔,๐๔๘ ครั้ง หรือคิดเป็นร้อยละ ๒.๒๕ โดยปริมาณสัดส่วนการให้บริการแยกตามประเภทเรียงจากมากที่สุด ได้แก่ บริการสอบถามข้อมูลทั่วไป (Q&A) ร้อยละ ๗๖.๙๕ บริการสอบถามข้อมูลเพื่อการติดต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน (Contact Information) ร้อยละ ๑๕.๔๑ และบริการรับเรื่องร้องเรียน (Complain) ร้อยละ ๓.๘๑ ๒. ผลการดำเนินงานด้านคุณภาพบริการ ได้แก่ ๒.๑ การบริหารจัดการควบคุมคุณภาพการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐาน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาส ๓ มีจำนวนสายเรียกเข้าทั้งหมด ๑,๕๕๐,๖๓๐ ครั้ง สามารถให้บริการได้ ๑,๕๑๔,๗๓๓ ครั้ง สามารถให้บริการสำเร็จ ร้อยละ ๙๗.๖๘ สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ๒.๒ การพัฒนาคุณภาพพนักงานรับสาย เพื่อเพิ่มองค์ความรู้และทักษะการให้บริการ โดยจัดอบรมหลักสูตรเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาการรับสายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๒.๓ การสนับสนุนโครงการตามนโยบายของรัฐบาล และส่วนงานภาครัฐ โดยเป็นช่องทางหนึ่งในการให้บริการข้อมูลข่าวสารและประชาสัมพันธ์โครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยผ่านเลขหมาย ๑๑๑๑ กด ๖ และโครงการจัดการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์พกพา (One Tablet PC Per Child) ผ่านหมายเลข ๑๑๑๑ กด ๘ นอกจากนี้ ได้ให้บริการข้อมูลโครงการอื่น ๆ ของรัฐบาล อาทิ โครงการโชห่วยช่วยชาติ โครงการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อย และประชาชนผู้มีรายได้น้อย โครงการลดภาษีรถยนต์คันแรก รวมทั้งสนับสนุนการให้บริการและจัดกิจกรรมของส่วนงานภาครัฐอื่น ๆ อาทิ เป็นศูนย์บริการข้อมูลเกี่ยวกับการจัดงานฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเป็นช่องทางในการให้บริการของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๒.๔ การจัดกิจกรรมเพื่อสร้างสัมพันธ์กับประชาชน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการประชาสัมพันธ์โครงการของภาครัฐผ่านทาง Social Network คือ Facebook และ Twitter
|
|||||||||||||||||||||
29365 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อทำข้อตกลงโครงการความร่วมมือทางวิชาการไทย - ญี่ปุ่น | กต | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อจัดทำข้อตกลงการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการไทย-ญี่ปุ่น โดยหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ระบุแผนงานความร่วมมือทางวิชาการที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะทำร่วมกับรัฐบาลไทยในปีงบประมาณของญี่ปุ่น ค.ศ. ๒๐๑๒ (๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) ประกอบด้วย โครงการความร่วมมือทางวิชาการ (Technical Cooperation Project) จำนวน ๒๐ โครงการ ผู้เชี่ยวชาญนอกโครงการ (Individual Expert) จำนวน ๕ สาขา ทุนฝึกอบรม ณ ประเทศญี่ปุ่น (Training Program in Japan) จำนวน ๘๓ หลักสูตร ทุนฝึกอบรมให้กับประเทศที่สามในประเทศไทย (Third Country Training Program) ภายใต้ความร่วมมือไตรภาคี จำนวน ๗ หลักสูตร ทุนสำหรับฝึกผู้นำเยาวชน (Training Program for Young Leaders) ภายใต้โครงการมิตรภาพเยาวชนไทย-ญี่ปุ่น (Youth Invitation) จำนวน ๔ หลักสูตร และโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อวางแผนการพัฒนา (Technical Cooperation for Development Planning) จำนวน ๓ โครงการ ๑.๒ ให้ สพร. และหน่วยงานผู้ดำเนินโครงการ (Implementing Agencies) ลงนามในเอกสารย่อยสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้แผนงาน/กิจกรรม/โครงการที่ระบุในหนังสือแลกเปลี่ยนได้ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่จะมีส่วนในการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาแรงงานในภาคการผลิตและบริการที่มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนของไทยที่ได้ปรับตัวเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาค ภูมิภาค และโลกเพิ่มมากขึ้นภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความเสรี โปร่งใส และทันสมัยมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
29366 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนครั้งที่ 44 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๔๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและประเทศ+๖ เห็นชอบเอกสารว่าด้วยหลักการทั่วไปและวัตถุประสงค์ของการเจรจาการจัดทำภูมิภาคหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) (Guiding Principles and Objectives for Negotiating the Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP Guiding Principles) ซึ่งจะเสนอต่อผู้นำเพื่อพิจารณาประกาศเปิดเจรจา RCEP ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ พร้อมทั้งแจ้งยืนยันที่จะเข้าร่วมประกาศเปิดการเจรจา RCEP ร่วมกับอาเซียน และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจจัดทำแผนงานของการเจรจา RCEP โดยวางกรอบเวลาให้ดำเนินการเจรจาในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ รวมทั้งเร่งรัดให้ทุกฝ่ายร่วมมือจัดทำหลักการทั่วไปว่าด้วยการเจรจาการค้าสินค้าการค้าบริการและการลงทุนให้แล้วเสร็จในโอกาสแรกเพื่อให้ทุกประเทศสามารถประเมินทิศทางการจัดทำ RCEP ในภาพรวมสำหรับการพิจารณาขออนุมัติภายในประเทศเพื่อประกาศเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการ ๒. รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ให้การรับรองความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาของอาเซียน (ASEAN Agreement on the Movement of Natural Persons) โดยมีกำหนดจะลงนามความตกลงฯ ในระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ส่วนการส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่ประชุมเห็นควรจัดการในระดับประเทศและคงความร่วมมือในระดับภูมิภาคในบางเรื่อง อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศ รวมทั้งเห็นว่า ความร่วมมือด้าน SME ควรเป็นประเด็นสำคัญ (priority area) ในการไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) เพื่อลดช่องว่างในการพัฒนาของอาเซียน และพิจารณาโดยคำนึงถึงกรอบแผนงานเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมของอาเซียน (The ASEAN Framework for Equitable Economic Development : AFEED) ๓. ที่ประชุมขอให้ไทย ลาว และกัมพูชา หารือในเรื่องมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยที่ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาข้อสรุปและรายงานผลภายในการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ๔. ที่ประชุมเน้นย้ำความสำคัญของการดำเนินการ AFEED และเห็นว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค รวมทั้งเห็นว่ายังมีอุปสรรคที่ท้าทายหลายประการ อาทิ กลไกการดำเนินงานและเงินทุน จึงตกลงให้มีการวางแนวทางที่ครอบคลุมในการดำเนินการตาม AFEED และพิจารณาการจัดการหารือเรื่องนี้โดยเฉพาะต่อไป ๕. ความคืบหน้าในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ๕.๑ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ให้การรับรองเอกสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างแผนการดำเนินงานภายใต้ปฏิญญาร่วมระหว่างอาเซียนและแคนาดาด้านการค้าและการลงทุนปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ และร่างแผนงานความร่วมมืออาเซียน-รัสเซียด้านการค้าและการลงทุน โดยแผนงานฯ ทั้งสองฉบับจะใช้เป็นกรอบและทิศทางการดำเนินความร่วมมือในการขยายความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ ๕.๒ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและจีนเห็นชอบให้จัด AEM Road Show ไปยังประเทศจีน โดยมอบหมายให้ไทยในฐานะประธานฝ่ายอาเซียนประสานในรายละเอียดกับจีน นอกจากนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและจีนจะมีการลงนามพิธีสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ พิธีสารฉบับที่ ๓ เพื่อแก้ไขกรอบความตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน-จีน และพิธีสารเพื่อผนวกข้อบทด้านอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (TBT) และข้อบทด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงด้านการค้าสินค้า สำหรับประเด็นที่ฮ่องกงสนใจเข้าร่วมเป็นภาคีในความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน อาเซียนตกลงให้แต่ละประเทศพิจารณาประเมินผลกระทบอย่างละเอียดเพื่อประกอบการจัดทำข้อเสนอแนะต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๙ ในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕.๓ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและญี่ปุ่นได้รับรองแผนงานยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น ระยะ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๕) โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันเป็นสองเท่าภายใน ๑๐ ปี ๕.๔ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและอินเดียพยายามจะหาข้อสรุปการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนให้ได้โดยเร็วเพื่อที่จะสามารถแถลงการณ์สรุปการเจรจาได้ในระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ ๒๑ โดยอาเซียนจะเสนอให้อินเดียพิจารณาข้อเสนอใหม่ของอาเซียนในเรื่องการเปิดเสรีการค้าบริการและการเงิน |
|||||||||||||||||||||
29367 | รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (ครั้งที่ 6) | กษ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (สธท.) (ครั้งที่ ๖) สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการชำระบัญชีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้มีการจัดทำงบดุล ๓ ครั้ง เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๓, ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๔ และ ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ สำหรับสถานะงบดุล ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รวมสินทรัพย์ ๓๒๘.๑๕ ล้านบาท รวมหนี้สิน ๐.๐๑ ล้านบาท รวมส่วนของผู้ถือหุ้น ๓๒๘.๑๔ ล้านบาท โดยได้มีการรายงานการชำระบัญชีต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จำนวน ๑๐ ครั้ง ล่าสุดรายงานเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒. ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การกำหนดแผนการดำเนินงานในการชำระบัญชี โดยกำหนดชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ การอนุมัติหลักเกณฑ์ในการชำระหนี้คืนของเกษตรกรผู้ลักลอบขายโค การเห็นชอบในหลักการให้ สธท. ดำเนินคดีกับเกษตรกรผู้ลักลอบขายโค และผลการดำเนินการเกี่ยวกับโคในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัว ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๓๕๕๕ จำแนกเป็น โคปกติซึ่งจำหน่ายเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๙,๕๓๕ ตัว โคมีเหตุผิดปกติ อาทิ ตาย สูญหาย นำไปแลกเปลี่ยน ฯลฯ ซึ่งได้ดำเนินการตัดจำหน่ายจากบัญชีไปแล้ว จำนวน ๔๓๙ ตัว โคที่เกษตรกรลักลอบขายและต้องชำระหนี้ โดยแบ่งเป็น โคที่ชำระหนี้คืนตามหลักเกณฑ์และตัดจำหน่ายหนี้ไปแล้ว จำนวน ๑๐,๔๘๖ ตัว และโคที่ยังค้างชำระ จำนวน ๑,๒๒๔ ตัว
|
|||||||||||||||||||||
29368 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นชอบข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินรวมภาครัฐ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้ผู้บริหารที่กำกับดูแลหน่วยงานทุกกลุ่มพิจารณาให้ความสำคัญการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ หากเป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่อาจประสบอุทกภัย ให้กำหนดมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินที่อาจล่าช้าให้เป็นปัจจุบันโดยเร็ว ๑.๒ การพิจารณาตั้งหน่วยงานรับงบประมาณระดับกรมเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการบริหาร งาน เงิน และบุคลากรให้เหมาะสม โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัดที่ต้องปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีของหน่วยงานตนเองของจังหวัด และของกลุ่มจังหวัดในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นส่วนราชการระดับกรมให้สอดคล้องกับภารกิจและงบประมาณที่ได้รับ ๑.๓ ให้ผู้บริหารหน่วยพิจารณากำหนดนโยบายการบริหารจัดการเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม และพิจารณาทบทวนการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพื่อให้ผลการดำเนินงานของหน่วยงานเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๔ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. และควรมีนโยบายให้ อปท. ใช้จ่ายเงินของท้องถิ่นสมทบกับรัฐบาลกลางในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในท้องถิ่นเพื่อลดภาระทางด้านงบประมาณของแผ่นดิน ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ เพื่อให้การจัดทำบัญชีและรายงานการเงินของกลุ่มต่าง ๆ ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการบริหารจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน รวมทั้งการวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับกรณีรายงานการเงินรวมของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนของค่าใช้จ่ายบุคลากร ควรนำค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้แก่บุคลากรที่แทรกอยู่ในค่าใช้จ่ายอื่น มาเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรทั้งหมด และมีผลต่อการคำนวณต้นทุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ส่วนกรณีเสนอแนะให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัด เห็นควรให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นตำแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชีหรือเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีเพื่อปฏิบัติงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาแนวทางส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ต่าง ๆ จัดหาและพัฒนาบุคลากรของ อปท. แต่ละแห่งให้มีความรู้ความสามารถด้านการเงินและบัญชีมากยิ่งขึ้น และสามารถจัดทำข้อมูลและรายงานการเงินที่เกี่ยวข้องของ อปท. ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้รายงานการเงินรวมภาครัฐมีความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
29369 | การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี 2555 | นร08 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ (Crisis Management Exercise 2012 : C-MEX 12) ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมของประเทศต่อไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ของการฝึกการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ เพื่อทดสอบนโยบาย แผน แนวทาง มาตรการการบริหารจัดการสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่งในกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนปฏิบัติการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการระดับกระทรวง และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด รวมทั้งเพื่อทดสอบระบบบัญชาการเหตุการณ์ของหน่วยงานรัฐ และเพื่อพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติในกรอบนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ ๒. การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ บรรลุผลตามเป้าหมาย สามารถประมวลผลการฝึกซ้อมในภาพรวมจากการมอบนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) การเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิในการบรรยายและจากการปฏิบัติในการฝึกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดภัย และความสามารถในการจัดการเมื่อเกิดภัย ในกรอบนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ และนโยบายความมั่นคงแห่งชาติด้วยการจัดการเตรียมความพร้อมที่เกี่ยวข้องทั้งบุคลากร เครื่องมือ เครื่องใช้ในการกู้ภัย การปรับปรุงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ระบบงบประมาณ ให้เอื้อต่อการป้องกันและระงับภัย ๒.๒ ให้ทุกหน่วยงานได้ตระหนักว่า การเตรียมพร้อมในเชิงป้องกันหรือเชิงรุกตั้งแต่ในภาวะปกติ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่หน่วยงานของรัฐควรจะได้มีการจัดทำแผนรองรับที่มุ่งเน้นภารกิจงานในเชิงป้องกันเหตุ ๒.๓ ให้ทุกหน่วยงานได้ให้ความสำคัญต่อการมีระบบบัญชาการที่เป็นหนึ่งเดียว (Single Command) และการมีระบบฐานข้อมูลกลางที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อประกอบการบัญชาการเหตุการณ์ในแต่ละระดับความรุนแรงของภัยที่เกิดขึ้น ๒.๔. ให้ทุกหน่วยงานได้ให้การสนับสนุนกระทรวงมหาดไทยในการจัดตั้งศูนย์อำนวยการร่วมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ๒.๕ ให้หน่วยงานของรัฐโดยเฉพาะหน่วยงานระดับจังหวัดได้กำหนดแผนงาน/โครงการ ในการเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมและองค์ความรู้เพื่อพัฒนาระบบป้องกันตนเองและการจัดการภัยในเบื้องต้นอย่างถูกวิธี ๒.๖ ให้ทุกหน่วยงานได้จัดการฝึกซ้อมในพื้นที่ทั้งทางบกและทางทะเล ตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงการฝึกซ้อมที่เชื่อมประสานกับการปฏิบัติการของระดับกระทรวงและระดับชาติ เพื่อทดสอบแผนและระบบให้พร้อมนำมาใช้งานได้เมื่อเกิดสถานการณ์จริง ๒.๗ ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้จัดเตรียมความพร้อมในเรื่องเกี่ยวกับระบบแจ้งเตือนภัย การให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้อง การประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารในยามวิกฤติ การจัดเตรียมชุดเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการกู้ชีพ กู้ภัย การเก็บกู้วัตถุอันตราย การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม แผนที่อพยพ เส้นทางคมนาคมขนส่งลำเลียงสิ่งของและผู้คนที่อพยพ การดูแลศูนย์อพยพและระบบการกระจายสิ่งของที่ได้รับบริจาค การรักษาความปลอดภัย การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล การมีระบบสื่อสารให้ใช้การได้ทุกเวลา รวมถึงจัดให้มีระบบเลขหมายฉุกเฉินหมายเลขเดียวทั่วประเทศ และการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าและทันกับเหตุการณ์ เพื่อผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมของชาติ ๓. การประเมินผลการฝึกเบื้องต้น (Hot Wash) ผู้รับการฝึกและนักวิชาการได้แสดงความคิดเห็นเพื่อจัดทำเป็นบทเรียนและนำไปพัฒนาระบบการฝึกซ้อมของหน่วยงานต่าง ๆ ในระยะต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
29370 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน | นร01 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้นำมาตรการการแก้ไขปัญหา รวม ๕ มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการด้านกฎหมาย มาตรการด้านสิทธิมนุษยชนศึกษา มาตรการด้านกลไกการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน มาตรการด้านกระบวนการยุติธรรม และมาตรการด้านการเยียวยา รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรมกรณีการตรวจสอบคำร้องที่กล่าวหาว่ามีการกระทำทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับข้อเสนอเรื่องมาตรการการแก้ไขปัญหา รวม ๕ ข้อ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไปศึกษาและพิจารณาดำเนินการแล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย รวม ๕ ข้อ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการแล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
29371 | ขออนุมัติขยายเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2549 - 2553 | ศธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ๙ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตะวันออก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศรีวิชัย ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ออกไปจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาจารย์ระดับปริญญาโท และปริญญาเอกให้บรรลุตามเป้าหมายเป็นอันดับแรก พร้อมทั้งพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศของอาจารย์ เพื่อการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือจากกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓) จำนวน ๑,๔๙๒.๑๖๕๐ ล้านบาท ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตั้งเป้าหมายการผลิตบัณฑิตที่มุ่งเน้นให้มีการจัดสหกิจศึกษาในทุกสาขาวิชาเพิ่มขึ้น โดยเน้นในสาขาที่ประเทศมีความขาดแคลนเป็นพิเศษ อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์ แฟชั่น และซอฟต์แวร์ รวมทั้งการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยหรือการเคลื่อนย้ายบุคลากรวิจัยของมหาวิทยาลัยไปปฏิบัติงานในบริษัทเอกชน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงานกับภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด ตลอดจนการให้บริการทางวิชาการที่สนับสนุนความต้องการของชุมชนหรือท้องถิ่นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายในแต่ละปีจนสิ้นสุดโครงการให้ชัดเจน ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดและกรอบวงเงินงบประมาณในส่วนที่ยังเหลืออีก ๑,๔๙๙,๔๐๓,๘๐๐ บาท และให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานประกอบการและชุมชน โดยเฉพาะสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยร่วมกัน เพื่อให้การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลบรรลุผลตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29372 | ขออนุมัติแต่งตั้งผู้แทนรัฐบาล | พณ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้ง นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ เป็นผู้แทนรัฐบาลในฐานะประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อม และมีอำนาจในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยในการเข้าร่วมประชุมประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมของคณะกรรมการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมขององค์การการค้าโลก (Committtee on Trade and Environment : CTE) โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวภายหลังจากเกษียณอายุราชการในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือรับรองผู้แทนรัฐบาลสำหรับการเดินทางไปประชุมในฐานะประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมขององค์การการค้าโลก ระหว่างวาระการดำรงตำแหน่ง ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์พิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการค่าใช้จ่ายในการเจรจาและประชุมนานาชาติ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||
29373 | การจัดสรรโควตาและการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา | ปช | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เกี่ยวกับการจัดสรรโควตาและการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา ๑.๑ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลต้องกำหนดนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการกำหนดรูปแบบและปริมาณสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งปริมาณเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติให้ชัดเจน โดยไม่พิจารณาเพียงแต่ผลประโยชน์เฉพาะการเงินของรัฐเป็นหลัก และต้องประกาศให้เป็นที่รับรู้ของประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงสำนักงานสลากฯ ต้องจัดทำการประเมินนโยบายการจำหน่ายสลากฯ ด้วยเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติเป็นประจำทุกปี โดยองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไรและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสำนักงานสลากฯ ทั้งนี้ เพื่อประเมินถึงผลดีและผลเสียของนโยบายดังกล่าวอย่างหลากหลายทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ๑.๒ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลควรแถลงนโยบายในการกำกับการดำเนินงานของสำนักงานสลากฯ เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ควรมีตัวชี้วัดหลักที่ใช้ในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินการของคณะกรรมการฯ รวมถึงมีการเปิดเผยหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดส่วนลดให้กับตัวแทนจำหน่าย และการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของสำนักงานสลากฯ เพื่อความโปร่งใสตรวจสอบได้ ๑.๓ การจัดสรรเงินที่คืนสู่สังคมควรจัดสรรให้กับชุมชนซึ่งเป็นพื้นที่จุดจำหน่ายเพื่อเป็นกองทุนรณรงค์ต่อต้านการเล่นการพนัน โดยเฉพาะป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริโภคสลากฯ ๑.๔ สำนักงานสลากฯ จะต้องออกมาตรการในการห้ามจำหน่ายสลากฯ ให้กับเด็กและเยาวชน และควรมีหลักประกันว่าไม่สามารถจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชนได้อย่างจริงจัง รวมทั้งกำหนดบทลงโทษตัวแทนผู้จำหน่ายให้ชัดเจนว่า หากมีการจำหน่ายสลากฯ ให้กับเด็กและเยาวชนจะมีผลอย่างไร ตลอดจนการติดตั้งเครื่องจำหน่ายสลากฯ ในที่ชุมชน จุดจำหน่ายต้องไม่อยู่ใกล้วัดและโรงเรียน ๑.๕ สำนักงานสลากฯ ต้องกำหนดเป็นมาตรการอย่างเคร่งครัดว่าการจำหน่ายสลากฯ ด้วยเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติจะไม่นำเครือข่ายการจำหน่ายนี้ไปขยายสินค้าการพนันในรูปแบบสลากฯ อื่น ๆ ๑.๖ สำนักงานสลากฯ ต้องวางมาตรการในการตรวจสอบป้องกันไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากฯ อาจจะเป็นช่องทางในการนำเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปฟอกเป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ ๑.๗ รายได้จากการจำหน่ายสลากฯ ๓ ตัว ๒ ตัว ด้วยเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติที่เป็นส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการร้อยละ ๑๒ และเมื่อหลังหักส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายแล้ว ควรมีการวางเป้าหมายในการนำเงินรายได้สุทธิในส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์สาธารณะให้ชัดเจน ๒. ให้สำนักงานสลากฯ รับความเห็นและข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ช. คณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่ให้ความเห็น ไปประกอบการศึกษาการนำเครื่องจำหน่ายสลากมาใช้ในการจำหน่ายสลากฯ (On-Line) ด้วยว่า การนำเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติมาใช้แทนการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ไม่สามารถนำมาใช้แทนการจำหน่ายสลากพิเศษการกุศลได้ เนื่องจากสลากพิเศษการกุศล รวมทั้งสลาก ๒ ตัว และ ๓ ตัวไม่ได้อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สำนักงานสลากฯ นำเครื่องจำหน่ายสลากฯ มาใช้จำหน่ายสลากพิเศษการกุศล หรือสลาก ๒ ตัว และ ๓ ตัวได้ จำเป็นจะต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ ให้ครอบคลุมไปถึงการออกสลากการกุศล และสลาก ๒ ตัว และ ๓ ตัวด้วย นอกจากนี้ การออกสลากการกุศลท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ ยังมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่อาจดำเนินการออกสลากด้วยเครื่องจำหน่ายสลากแบบ ๖ หลักได้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการออกใบอนุญาต และการจัดเก็บภาษี รวมถึงอัตราโทษในการขายสลากเกินราคาที่แตกต่างกัน การดำเนินการจำหน่ายสลากด้วยเครื่องจึงมีเฉพาะการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลตามพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ เท่านั้น |
|||||||||||||||||||||
29374 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ 9 | ทก | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ ๙ (TELMIN 9) ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างวันที่ ๗-๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรี TELMIN 9 ๑.๑ ประธานคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศได้เสนอผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินโครงการส่งเสริมไอซีทีสำหรับผู้พิการ การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตสีเขียว การดำเนินการหารือร่วมกับภาคอุตสาหกรรมด้านไอซีทีในเรื่องการประมวลผลแบบคลาวน์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันระหว่างสมาชิกเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับปัญหาการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้ามแดนอัตโนมัติ รวมถึงการร่วมมือกับคณะกรรมการเอเปคว่าด้วยการค้าและการลงทุนในเรื่องการปกป้องสายเคเบิลใต้น้ำ ๑.๒ รัฐมนตรีจากแต่ละเขตเศรษฐกิจได้นำเสนอวิสัยทัศน์ ข้อคิดเห็น-ข้อเสนอ รวมถึงนโยบายด้านไอซีที โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทยได้นำเสนอวิสัยทัศน์ในหัวข้อการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยได้หยิบยกประเด็นที่สำคัญ ๓ เรื่อง คือ การลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ความมั่นคงปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ และการเสริมสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ ๑.๓ ที่ประชุมได้รับรอง “ปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก” (Saint Petersburg Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสาระสำคัญของปฏิญญาฯ ประกอบด้วย การดำเนินการตามแถลงการณ์ของผู้นำเอเปคเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเน้นความสำคัญในเรื่องการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานในทางข้อมูลข่าวสารในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยมีหัวข้อภายใต้ปฏิญญาฯ ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนความเจริญเติบโตรูปแบบใหม่ การเสริมสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การส่งเสริมความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การสนับสนุนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศได้หารือทวิภาคีกับ Mr. Philip Verveer, Ambassador and Coordinator for International Communication and Information Policy หัวหน้าคณะผู้แทนของสหรัฐอเมริกาในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการเข้าร่วมประชุม World Conference on International Telecommunications (WCIT-12) การรับทราบถึงประสบการณ์ของสหรัฐฯ ในการใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ เป็นต้น รวมทั้งหารือทวิภาคีกับ Mr. Kimiaki Matsuzaki, State Secretary for Internal Affairs and Communications, Ministry of Internal Affairs and Communications หัวหน้าคณะผู้แทนของญี่ปุ่นในประเด็นเกี่ยวกับการใช้ไอซีทีในการบริหารจัดการภัยพิบัติ ประสบการณ์การรับมือกับภัยพิบัติ การเสนอโครงการความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ซึ่งได้ริเริ่มโครงการวิจัยและพัฒนาในการวิเคราะห์ ภัยคุกคามหรือการแพร่ระบาดของโปรแกรมไม่พึงประสงค์
|
|||||||||||||||||||||
29375 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือระบบราง ซึ่งรวมถึงระบบรถไฟความเร็วสูงและระบบรางในเขตเมือง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น | คค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือระบบราง ซึ่งรวมถึงระบบรถไฟความเร็วสูงและระบบรางในเขตเมือง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้ โดยประสานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง สำหรับสาระสำคัญของร่างบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ หลักการโดยทั่วไป เป็นการยืนยันความตั้งใจและเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน โดยการแลกเปลี่ยนนโยบายและประสบการณ์ในสาขาการขนส่งทั้งรถไฟความเร็วสูงและระบบรางในเขตเมือง และขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางรางของทั้งสองฝ่าย ๑.๑.๒ สาขาความร่วมมือ ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือในสาขา ดังต่อไปนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลในสาขาการขนส่งทางรางระหว่างสองฝ่าย รวมทั้งความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องดังกล่าว การแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมให้แก่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และเจ้าหน้าที่เทคนิคในสาขาการขนส่งทางราง รวมทั้งการร่วมกันจัดการสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการประชุมอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่สนใจร่วมกันในสาขาการขนส่งทางราง ๑.๑.๓ การจัดตั้งคณะทำงาน ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานด้านรถไฟขึ้นเพื่อชี้แนะ ดำเนินงาน ทบทวน และประสานความร่วมมือในสาขาที่กำหนดในบันทึกฯ โดยคณะทำงานประกอบด้วยผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งแต่งตั้งโดยแต่ละฝ่าย ๑.๑.๔ ระยะเวลาและการปรับปรุงแก้ไข บันทึกแสดงเจตจำนงฯ จะมีระยะเวลา ๓ ปีนับจากวันที่ลงนาม และจะมีผลโดยอัตโนมัติอีก ๓ ปี หากไม่มีการแจ้งขอยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน ๖ เดือน โดยทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และจะสามารถได้รับการปรับปรุงแก้ไขโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายเป็นลายลักษณ์อักษร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับถ้อยคำของร่างบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ควรใช้ถ้อยคำที่รัดกุม ไม่ควรมีข้อความใดที่ผูกมัดไทยในเชิงนโยบาย ส่วนจัดตั้งคณะทำงานด้านระบบราง (Railway Working Group) ควรมีการประสานข้อมูลและรายงานการดำเนินการต่อคณะทำงานร่วมไทย-ญี่ปุ่นด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งขึ้นตามผลการเยือนญี่ปุ่นของนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ด้วย เพื่อบูรณาการการทำงานของฝ่ายไทยให้เป็นเอกภาพ สำหรับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านพัฒนาระบบราง ควรกำหนดประเด็นที่ต้องการให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29376 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว-ไทย-เวียดนาม เกี่ยวกับแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (ฝั่งตะวันออก) | กต | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว-ไทย-เวียดนาม เกี่ยวกับแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (ฝั่งตะวันออก) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองดงห่า จังหวัดกว่างจิ ประเทศเวียดนาม ซึ่งในส่วนของไทยมีนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการใช้เส้นทางหมายเลข ๙ ตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East West Economic Corridor : EWEC) และให้ประเทศสมาชิกเร่งให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีเพียงไทยและเมียนมาร์ที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน ๑.๒ ที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอของไทยที่ให้เริ่มพิจารณาการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนตามเส้นทางอื่น ๆ ที่มีศักยภาพเชื่อมโยงไทย-ลาว-เวียดนาม เพิ่มเติมจากเส้นทางหมายเลข ๙ โดยเฉพาะเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ ที่มีการเชื่อมโยงโดยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (นครพนม-คำม่วน) แล้ว และมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเป็นไปได้ในการอำนวยความสะดวกการขนส่งตามเส้นทางดังกล่าว โดยอาจจัดทำบันทึกความเข้าใจสามฝ่ายไทย-ลาว-เวียดนาม และจัดหาแหล่งทุนสำหรับพัฒนาถนนและสิ่งอำนวยความสะดวกให้เป็นมาตรฐาน ๑.๓ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว-ไทย-เวียดนาม เกี่ยวกับแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (ฝั่งตะวันออก) ซึ่งระบุประเด็นปัญหาของการขนส่งเชื่อมโยงไทย-ลาว-เวียดนาม และแนวทางแก้ไข รวมทั้งเห็นชอบให้มีการประชุมเพื่อขับเคลื่อนประเด็นนี้ใน ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คณะทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้อง และระดับจังหวัดและแขวงตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจ EWEC นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนด้วย ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดตั้งคณะทำงานฝ่ายไทยในระดับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจสามฝ่ายไทย-ลาว-เวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างสามประเทศ โดยเฉพาะเส้นทางหมายเลข ๘ และหมายเลข ๑๒ รวมทั้งเพื่อหาแนวทางในการอำนวยความสะดวกในการขนส่ง ขณะที่ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงยังไม่มีผลบังคับใช้ ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินกระบวนการภายในของไทยในการเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อรัฐสภา เพื่อให้ไทยสามารถให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion Cross-Border Transport Facilitation Agreement : GMS CBTA) ได้ในโอกาสแรก โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่าไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
29377 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | คค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมตามข้อสังเกตดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. ที่ดินจำนวน ๑๗ แปลงที่ต้องตกอยู่ภายใต้ภาระในอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่เจ้าของหรือผู้ครอบครองจะเป็นนิติบุคคลรูปแบบของบริษัท ซึ่งอาจมีความจำเป็นต้องขยาย หรือปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต เหตุที่ทำความตกลงกันไม่ได้อาจเกิดจากการกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นธรรม และการกำหนดเงินค่าทดแทนควรมีการกำหนดจำนวนในลักษณะที่เป็นค่าเสียหายในอนาคตไว้ด้วย ๒. หลักเกณฑ์การกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนควรกำหนดให้มีความเหมาะสมตามสภาวะทางเศรษฐกิจ ทำเลที่ตั้งของที่ดิน ราคาซื้อขายในท้องตลาด ดังนั้น ควรมีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเหมาะสม รวมทั้งเป็นแนวทางการดำเนินงานที่ไม่ก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับภาครัฐในอนาคตและทำให้โครงการก่อสร้างเพื่อระบบขนส่งมวลชนไม่เกิดความล่าช้า อีกทั้งที่ทำให้จำนวนเรื่องการอุทธรณ์คำสั่ง จำนวนเงินค่าทดแทน หรือข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับภาครัฐลดลง ก่อให้เกิดทัศนคติที่ดีของประชาชนต่อการใช้อำนาจปกครองของภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามหลักของการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ทั้งจะเกิดความร่วมมือของประชาชนกับภาครัฐ ในโครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๓. การตราพระราชบัญญัติเพื่อกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ในการขนส่งมวลชนสาธารณะ โดยกระบวนการก่อนมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ รัฐบาลผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารควรมีการกลั่นกรองการปฏิบัติของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับ ว่ามีความคุ้มค่ากับการที่ประชาชนส่วนหนึ่งที่ถูกระทบสิทธิในทรัพย์สินของตนหรือไม่
|
|||||||||||||||||||||
29378 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขปรับปรุงผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา โดยให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ แทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๒. แก้ไขชื่อตำแหน่งกรรมการ จาก “ปลัดกระทรวงการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม” เป็น “ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ”
|
|||||||||||||||||||||
29379 | การเตรียมการรับสถานการณ์พายุโซนร้อน "แกมี" (GAEMI) (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2555) | มท | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมการรับสถานการณ์พายุโซนร้อน “แกมี” (GAEMI) ข้อมูล ณ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยมีผลการดำเนินงาน ดังนี้
๑. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน (Emergency Operation Center : EOC) ในกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ขึ้น ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเตรียมรับสถานการณ์พายุโซนร้อน “แกมี” (GAEMI) และแจ้งทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานคร จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้าจังหวัด/กรุงเทพมหานคร โดยศูนย์ฯ ดังกล่าว ทั้งส่วนกลางและจังหวัด จะมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง มีการประสานงานเชื่อมโยงการปฏิบัติกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามสถานการณ์พายุ โดยประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference กับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุ “แกมี” (GAEMI) เพื่อรับทราบสถานการณ์ในพื้นที่ และเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์เป็นประจำทุกวัน ๒. แจ้งนโยบายการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยของนายกรัฐมนตรี (2P2R) โดยให้ทุกหน่วยยึดถือความปลอดภัยและความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเป้าหมายหลักในการปฏิบัติงาน รวมทั้งรับมอบข้อสั่งการเชิงนโยบายจากประธานการประชุมในแต่ละวัน ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายชูชาติ หาญสวัสดิ์) รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายฐานิสร์ เทียนทอง) โดยเริ่มปฏิบัติงานมาตั้งแต่วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะยุติ
|
|||||||||||||||||||||
29380 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 7/2555 ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2555) | วท | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ พายุ “แกมี” (KAEMI) ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามและผ่านประเทศกัมพูชา เข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดสระแก้วได้อ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชั่น และอ่อนกำลังลงอีกเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวตามร่องมรสุมที่พาดผ่านอยู่บริเวณภาคกลางตอนล่างและภาคตะวันออก และในช่วงวันที่ ๙-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมตอนบนของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย ทำให้มีฝนฟ้าคะนองในระยะแรก และอากาศจะเย็นลง และส่งผลให้ร่องมรสุมจะทวีกำลังแรงขึ้นและเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคใต้ สำหรับปริมาณน้ำฝนในภาพรวมพบว่า ฝนสะสมในทุกภาคสูงกว่าค่าปกติ เว้นแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีฝนน้อยกว่าค่าปกติ ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๓๓๗ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๙๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๓๐๒ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๘๔๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑,๗๐๑ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที คาดการณ์น้ำท่า ณ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ แม่น้ำปราจีนบุรี สถานี KGT.3 อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ระดับและปริมาณน้ำล้นตลิ่งลดลง โดยท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ ส่วนพื้นที่เศรษฐกิจไม่ได้รับผลกระทบ ลุ่มน้ำอื่น ๆ อยู่ในเกณฑ์ปกติ ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒..๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๓๐๒.๑๓ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๐๗ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง +๒๕๙.๔๔ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๑๖ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย +๔๘.๑๑ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๗๖ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑๙๓.๒๗ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๙๓ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๒.๑๘ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๔.๐๒ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๒.๖๐ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๗๔ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๓๗.๗๔ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๘,๒๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๔,๔๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๔.๐๑ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๔๕๓ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๖๐๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๑๑.๕๕ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖๗๕ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๖๗๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๕๑,๑๘๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๓,๙๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๔๐,๖๔๓ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๑๘,๙๘๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ เขื่อนลำปาว มีปริมาณน้ำกักเก็บ ๒๔% ซึ่งมีปริมาณน้ำกักเก็บลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนยังคงน้อยมากวันละไม่ถึง ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ในระยะสั้นให้ปรับลดการระบายน้ำเพื่อประหยัดน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ๓.๒ เขื่อนลำพระเพลิง มีปริมาณน้ำกักเก็บ ๙๓% สามารถรับน้ำได้อีกเพียง ๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีฝนตกมากเนื่องจากได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “แกมี” จึงให้เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำล้นเขื่อนและเตรียมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ท้ายเขื่อน ๓.๓ เขื่อนประแสร์และเขื่อนคลองสียัด มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนประแสร์เกินระดับกักเก็บปกติ ส่วนเขื่อนคลองสียัดปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และคาดว่าในสัปดาห์หน้าเขื่อนทั้งสองจะได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “แกมี” จึงให้เพิ่มการระบายน้ำที่เขื่อนคลองสียัดเป็นวันละ ๒.๕ ล้านลูกบาศก์เมตร รวมทั้งเฝ้าระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เหนือน้ำและท้ายน้ำของเขื่อนทั้งสอง ๓.๔ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้คงการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลไม่เกินวันละ ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์คงการระบายน้ำที่วันละ ๖ ล้านลูกบาศก์เมตร จนถึงวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ หลังจากนั้นให้ลดการระบายน้ำลงเหลือวันละ ๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓.๕ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนทั้งสองค่อนข้างมากในสัปดาห์หน้า เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “แกมี” จึงให้เพิ่มการระบายน้ำเป็นวันละ ๔๐ ล้านลูกบาศก์เมตร (เขื่อนละ ๒๐ ล้านลูกบาศก์เมตร) ตั้งแต่วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า ดังนี้ ๔.๑ สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา พิษณุโลก พิจิตร อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม และสมุทรปราการ รวม ๔๐ อำเภอ ๓๒๓ ตำบล ๒,๐๘๙ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑๐๙,๖๒๓ ครัวเรือน ๒๖๗,๑๔๑ คน ๔.๒ พื้นที่ภาคตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้น้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีเอ่อล้นเข้าท่วม ในพื้นที่ ๗ อำเภอ ๕๓ ตำบล ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วม ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอศรีมหาโพธิ อำเภอเมืองปราจีนบุรี อำเภอบ้านสร้าง อำเภอศรีมโหสถ และอำเภอประจันตคาม สำหรับจังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดฝนตกหนักและน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วม ในพื้นที่ ๙ อำเภอ ๓๕ ตำบล ๒๕๒ หมู่บ้าน ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วมขัง ๘ อำเภอ ๓๓ ตำบล ๒๓๖ หมู่บ้าน ได้แก่ อำเภอบางคล้า อำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอพนมสารคาม อำเภอคลองเขื่อน อำเภอบ้านโพธิ์ อำเภอราชสาส์น และอำเภอสนามชัยเขต) ๔.๓ กรมทรัพยากรน้ำไม่มีรายงานการเตือนภัยสถานการณ์ดินโคลนถล่ม และน้ำป่า ๕. สรุปผลการตรวจราชการจังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี และเพชรบุรี ระหว่างวันที่ ๖-๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ได้ติดตามและร่วมประชุมกับจังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมรับมือพายุแกมีของจังหวัดภาคตะวันตก ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของหน่วยราชการ ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ซึ่งมีความพร้อมในระดับดีไว้วางใจได้ สำหรับประชาชนยังมีขวัญและกำลังใจดี
|
.....