ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1469 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29361 - 29380 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29361 | ขอแก้ไขชื่อสกุลข้าราชการการเมือง (นางสาวเพ็ญชิสา หงษ์อุปถัมภ์ชัย) | ทส | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เห็นชอบแต่งตั้งนางสาวเพ็ญชิสา หงส์อุปถัมภ์ชัย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยที่ชื่อสกุลของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อน จึงขอแก้ไขชื่อสกุลให้ถูกต้องจาก "หงส์อุปถัมภ์ชัย" เป็น "หงษ์อุปถัมภ์ชัย"
|
||||||||||||||||||||||||
29362 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
29363 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (จำนวน 3 ราย 1. นายสมศักดิ์ ลีเชวงวงศ์ ฯลฯ) | สธ | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายสมศักดิ์ ลีเชวงวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ๒. นายวีระ บูรณะกิจเจริญ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๓. นายยุทธนา แสงสุดา ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
29364 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (จำนวน 3 ราย 1. วีระ บูรณะกิจเจริญ ฯลฯ) | สธ | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายสมศักดิ์ ลีเชวงวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ๒. นายวีระ บูรณะกิจเจริญ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๓. นายยุทธนา แสงสุดา ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
29365 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล) | นร04 | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานเลขานุการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๓๒ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๓๓ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล (วันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) และให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมข้อมูล และจัดทำประเด็นประกอบการชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29366 | เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2555 | นร05 | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากในระหว่างวันอาทิตย์ที่ ๒๕-วันอังคารที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นช่วงการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ออกไปก่อน และนายกรัฐมนตรีจะพิจารณากำหนดวันประชุมคณะรัฐมนตรีที่เหมาะสมอีกครั้งหนี่ง
|
||||||||||||||||||||||||
29367 | การแถลงหรือชี้แจงข้อเท็จจริงตามญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (ขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550) | สว | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแจ้งว่าสมาชิกวุฒิสภาได้เข้าชื่อเสนอญัตติอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติตามมาตรา ๑๖๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ นั้น โดยที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก ๓ ท่าน ตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญฯ ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ อันเป็นการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีเช่นเดียวกับการขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติของวุฒิสภา ตามมาตรา ๑๖๑ ของรัฐธรรมนูญฯ ดังนั้น เพื่อให้การอภิปรายดังกล่าวดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่อง จึงได้มีมติว่า วันพุธที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ มีความเหมาะสมในการเข้าแถลงหรือชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อที่ประชุมวุฒิสภา
|
||||||||||||||||||||||||
29368 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อการส่งเสริมกองเรือพาณิชย์ไทย) | กค | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้ที่นำมาคำนวณภาษีเงินได้ตามมาตรา ๗๐ แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๑ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นค่าเช่าเรือเดินทะเลที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งการเช่าเรือนั้นได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการพาณิชยนาวี ทั้งนี้ เฉพาะค่าเช่าที่มีการจ่ายตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการพิจารณาปรับปรุงและแก้ไขปัญหาด้านภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากิจการพาณิชยนาวีไทย และพิจารณาทบทวนการดำเนินงานที่ผ่านมาเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของกิจการพาณิชยนาวีทั้งระบบ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29369 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอันพึงเป็นงานธนาคารของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | กค | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอันพึงเป็นงานธนาคารของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) สามารถประกอบกิจการการให้บริการเป็นตัวแทนรับชำระหนี้ การให้บริการบัตรเครดิต และจัดตั้งหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับตราสารศุกูก รวมทั้งให้ ธอท. อาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าบริการ กำไร หรือผลตอบแทนใด ๆ อันเนื่องมาจากการประกอบกิจการดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ เป็นการกำหนดให้ ธอท. สามารถประกอบกิจการการให้บริการเป็นตัวแทนชำระหนี้ การให้บริการบัตรเครดิต และการจัดตั้งหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการออกตราสารศุกูก ซึ่งตามมาตรา ๑๒ (๑๑) แห่งพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดกิจการอันพึงเป็นงานธนาคารเพิ่มเติมได้ กรณีจึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติฯ แต่ทั้งนี้ การประกอบกิจการดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติฯ คือ ต้องเป็นการประกอบธุรกิจทางการเงินที่ไม่ผูกพันกับดอกเบี้ยและต้องไม่ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
29370 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง - คงคา ครั้งที่ 6 | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-คงคา (Mekong-Ganga Cooperation : MGC) ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๕ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุม และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุม MGC ครั้งที่ ๖ ๑.๑ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์สิ่งทอดั้งเดิมของเอเชียที่กัมพูชา ซึ่งไทยยินดีที่จะให้การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์และผู้เชี่ยวชาญในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ๑.๒ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าความร่วมมือในการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก อาทิ ปราสาทตาพรมในกัมพูชา วัดพูใน สปป.ลาว วัดอนันดาในเมียนมาร์ และปราสาทหมีเซินในเวียดนาม ๑.๓ ที่ประชุมยินดีที่อินเดียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานไทย-เมียนมาร์-อินเดีย ด้านการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม ในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และเห็นควรให้เชื่อมต่อเส้นทางไปยังกัมพูชา และ สปป.ลาว รวมทั้งการพัฒนาเส้นทางใหม่ อินเดีย-เมียนมาร์-สปป.ลาว-เวียดนาม-กัมพูชา ๑.๔ อินเดียจะจัดทำเอกสาร concept paper ในการจัดตั้งคณะทำงานสาขาใหม่ (สาธารณสุข และวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม) และเวียนให้ประเทศสมาชิกพิจารณาต่อไป ๑.๕ ที่ประชุมยินดีที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม World Teak Conference ที่กรุงเทพฯ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และจัดฝึกอบรมด้าน Eco-tourism และ Community-based Tourism ให้กับประเทศสมาชิกในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๖ อินเดียประกาศให้เงินสนับสนุน จำนวน ๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับจัดตั้งทุน India-CLMV Quick Impact Projects Revolving Fund จำนวน ๒๐ โครงการ สำหรับประเทศ CLMV ๑.๗ อินเดียจะขยายระยะเวลาการให้ทุน Indian Council for Cultural Relations (ICCR) ไปถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการ ศูนย์ฝึกอบรมภาษาอังกฤษ และศูนย์อบรมวิชาชีพในประเทศสมาชิกโดยการสนับสนุนของอินเดีย ๑.๘ ที่ประชุมให้มีการหารือจัดตั้งศูนย์รวบรวมเอกสารจดหมายเหตุของประเทศสมาชิกที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ๑.๙ สปป.ลาว จะเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรี MGC ครั้งต่อไป ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างการประชุมรัฐมนตรี ASEAN-India และให้การหมุนเวียนตำแหน่งประธานเป็นไปตามอักษรชื่อประเทศ ๒. ประเด็นที่ไทยแจ้งที่ประชุม MGC ครั้งที่ ๖ ๒.๑ สนับสนุนบทบาทที่แข็งขันของอินเดียในกรอบนี้ และพร้อมร่วมมือกับอินเดียในการเร่งพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๒.๒ ย้ำบทบาทไทยในฐานะประเทศนำสาขาการท่องเที่ยว และพร้อมสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ในทุกสาขาความร่วมมือของกรอบ MGC ๒.๓ สนับสนุนแนวคิดการเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายในเมียนมาร์และการเชื่อมต่อจากทวายไปยังแหลมฉบังต่อไปยังกัมพูชาและเวียดนาม ตามแนว Southern Economic Corridor (SEC) รวมทั้งการเชื่อมจากทวายไปยังอินเดียผ่านท่าเรือเจนไน ๒.๔ ยินดีที่อินเดียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานไทย-เมียนมาร์-อินเดีย ด้านการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม และเสนอให้มีการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีในเรื่องนี้ ๒.๕ เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนาถนนเชื่อมโยงไทย-เมียนมาร์-อินเดีย ในลักษณะเดียวกับการพัฒนา East-West Economic Corridor (EWEC)
|
||||||||||||||||||||||||
29371 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการและการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนได้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ๑.๑ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเห็นชอบในการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสเริ่มการหารืออย่างเป็นทางการกับฝ่ายจีนในเรื่องแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct in the South China Sea : CoC) ทั้งนี้ ไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานอาเซียน-จีน อยู่ระหว่างการประสานงานกับฝ่ายจีนเพื่อกำหนดช่วงเวลาของการหารือดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนพิจารณาร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และมีมติให้ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนพิจารณาร่างปฏิญญาฯ อีกครั้งก่อนเสนอให้ผู้นำอาเซียนรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ที่กรุงพนมเปญ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๑.๓ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเห็นควรให้มีการหารือกับประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ในเรื่องข้อสงวนของประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์บางประเทศในการลงนามพิธีสารแนบท้ายสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อหาข้อสรุปและนำไปสู่การลงนามเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาฯ ต่อไป ๑.๔ รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเห็นชอบข้อเสนอกัมพูชาในการจัดตั้งศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียนในประเทศกัมพูชา เพื่อเป็นศูนย์ความเป็นเลิศในการสร้างศักยภาพในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในภูมิภาค และจะเสนอให้ผู้นำอาเซียนให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งศูนย์ฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ๒. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับเลขาธิการสหประชาชาติและประธานสมัชชาสหประชาชาติสมัยประชุมที่ ๖๗ ๒.๑ ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือที่เป็นหุ้นส่วนระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น และได้ให้ความสำคัญกับการอนุวัติเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ การพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน และการจัดการความขัดแย้ง ๒.๒ ที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอของไทยในการดำเนินงานร่วมกันเพื่อระดมทุนในการลดช่องว่างในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจัดขั้นตอนการข้ามพรมแดน และการจัดการความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงกัน เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น ๒.๓ ไทยได้กล่าวถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างศูนย์ประสานงานอาเซียนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับองค์กรภายใต้สหประชาชาติ เพื่อการพัฒนาศักยภาพการให้ความช่วยเหลือที่รวดเร็วและเป็นระบบยิ่งขึ้น รวมทั้งการใช้กลไกที่มีอยู่ให้มีประโยชน์สูงสุด และได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าไทยจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีในการจัดการฝึกซ้อมการบรรเทาภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ภายใต้กรอบการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก [ASEAN Regional Forum (ARF) Disaster Relief Exercise (ARF DiREx)] ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council for the Arab States of the Gulf-GCC) ที่ประชุมได้มีการทบทวนประเด็นความร่วมมือในสามสาขาความร่วมมือหลัก ได้แก่ ความร่วมมือทางการค้า การลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ความร่วมมือทางการศึกษา วัฒนธรรม และสารสนเทศ รวมทั้งได้มีมติขยายแผนปฏิบัติการความร่วมมืออาเซียน-GCC ที่จะหมดอายุในสิ้นปีนี้ออกไปอีก ๑ ปี และให้สำนักเลขาธิการของทั้งสองฝ่ายเตรียมจัดทำแผนปฏิบัติการฉบับใหม่ โดยพิจารณาบรรจุประเด็นเพิ่มเติม เช่น การเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน และการใช้พลังงานทดแทน ในการนี้ไทยได้แจ้งต่อที่ประชุมถึงความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการอาเซียนเรื่อง การจัดการทรัพยากรและการพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยว (ASEAN Tourism Resource Management and Development Network ATRM) ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือเรื่องกำหนดการ ๔. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Economic Cooperation Organization-ECO) ที่ประชุมเห็นชอบที่จะมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน โดยเฉพาะเรื่องการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยการจัดกิจกรรมระหว่างกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจของทั้งสองฝ่าย (Business Forum) การเชื่อมโยงข้อมูลทางการค้า สารสนเทศ การแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ รวมทั้งการสนับสนุนธุรกิจ SMEs และการส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ๕. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-สหรัฐฯ ที่ประชุมยินดีด้วยกับข้อเสนอการยกระดับความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ รวมทั้งการจัด ASEAN-U.S. Business Forum ระหว่างกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจของทั้งสองฝ่ายเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ส่วนการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit-EAS) สหรัฐฯ ให้ความสำคัญในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การบรรเทาภัยพิบัติโดยเน้นการพัฒนากรอบความร่วมมือภูมิภาคและกรอบกฎหมายเพื่อรับรองการส่งความช่วยเหลือ การไม่แพร่ขยายอาวุธทำลายล้างสูง ความมั่นคงทางทะเล และลักลอบค้าสัตว์ป่า สำหรับเรื่องทะเลจีนใต้ สหรัฐฯ สนับสนุน Six-Point Principles ของอาเซียนและยินดีที่อาเซียนและจีนได้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำ CoC โดยสหรัฐฯ ย้ำว่าจะไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในข้อพิพาททางดินแดน
|
||||||||||||||||||||||||
29372 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าที่มีมาตรการนำเข้าตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2555 พ.ศ. .... | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าที่มีมาตรการนำเข้าตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๕ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าที่มีมาตรการนำเข้าตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ให้เป็นไปตามพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาโมไนซ์ ๒๐๐๗ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๒ แก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรที่มีมาตรการนำเข้าตามประกาศกระทรวงพาณิชย์บางฉบับ ให้เป็นไปตามพิกัดอัตราศุลกากรที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าที่มีมาตรการนำเข้า และการเทียบพิกัดศุลกากรประเภทย่อยให้เป็น AHTN 2012 ซึ่งมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขอบเขตการควบคุมสินค้าในหลายรายการ ควรตรวจสอบว่ายังคงมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และอยู่ในขอบเขตของอำนาจของประกาศแต่ละฉบับ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดตามมาตรการนำเข้าอย่างแท้จริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
29373 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการใน สปป.ลาว ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของ กฟผ. วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๐๖๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เนื่องจากโครงการดังกล่าวได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วและมีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) ตามกระบวนการข้อตกลงของประเทศสมาชิกในลุ่มแม่น้ำโขงแล้ว ๒. สำหรับการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าในช่วงจากชายแดนไทย-ลาว ถึงสถานีไฟฟ้าเลย ๒ ซึ่งมีความจำเป็นต้องพาดผ่านพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (ป่า C) เป็นระยะทางรวมประมาณ ๑๗ กิโลเมตร ให้ กฟผ. ดำเนินการได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination : IEE) ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ๓. เนื่องจากเวียดนามและกัมพูชายังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม และต้องการให้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในลุ่มแม่น้ำโขง และในขณะเดียวกันเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าฯ ได้แล้วเสร็จทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา จึงเห็นควรให้ กฟผ. พิจารณาปรับแผนการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าฯ ให้มีความกระชับมากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29374 | ขออนุมัติการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียโดยรัฐบาลไทย | กค | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบและอนุมัติในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียโดยรัฐบาลไทยในระยะแรก จำนวน ๓.๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามสัดส่วนการถือหุ้นเดิมของรัฐบาลไทย โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ประมาณ ๑๐๒ ล้านบาท จากอัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๒ บาท เบิกจ่ายตามจริง ณ วันเบิกจ่าย) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นที่ต้องซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมอีกครั้ง ให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแหล่งเงินอื่นที่ไม่ใช่เงินงบประมาณก่อนเป็นลำดับแรก
|
||||||||||||||||||||||||
29375 | ขออนุมัติการจัดทำถ้อยแถลงร่วมระหว่างไทย - เมียนมาร์เกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์เกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง โดยสาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงร่วมฯ เป็นการแจ้งความคืบหน้าการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมฯ ๓ ระดับ ได้แก่ คณะกรรมการร่วมระดับสูงไทย-เมียนมาร์ คณะกรรมการประสานงานร่วมไทย-เมียนมาร์ และคณะอนุกรรมการใน ๖ สาขา ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง ด้านอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ ด้านพลังงาน ด้านการพัฒนาชุมชน ด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และด้านการเงิน รวมทั้งสรุปผลการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๑ เกี่ยวกับองค์ประกอบและแผนการประชุมของคณะกรรมการร่วมฯ และกำหนดโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่ควรจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้แก่ ถนน ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า ระบบน้ำ ระบบโทรคมนาคม ระบบรถไฟความเร็วสูง การพัฒนาชุมชน รวมทั้งการดำเนินการด้านการเงิน ซึ่งคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องจะหารือและจัดทำแผนงานเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมฯ และคณะกรรมการร่วมระดับสูงฯ ตามลำดับต่อไป ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบ โดยไม่กระทบสาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
29376 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจความร่วมมือไตรภาคีเพื่อการพัฒนาระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา (TICA-USAID Memorandum of Understanding on Trilateral Cooperation) | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การจัดทำและลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจความร่วมมือไตรภาคีเพื่อการพัฒนาระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา (TICA-USAID Memorandum of Understanding on Trilateral Cooperation) ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร. หรือ The Thailand International Development Cooperation Agency-TICA) กับ The United States Agency for International Development (USAID) เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||
29377 | การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนศูนย์อาเซียน - จีน | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบ ๑.๑ เบิกจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อาเซียน-จีน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ย้อนหลัง จำนวน ๑๕,๒๔๖.๕๘ ดอลลาร์สหรัฐ จากงบกลางของงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๒ เบิกจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อาเซียน-จีน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕,๘๗๓.๐๙๖ ดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ งบเงินอุดหนุน เพื่อเป็นเงินอุดหนุนให้แก่ศูนย์อาเซียน-จีน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการขอกันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี และได้รับการอนุมัติจากกรมบัญชีกลางแล้ว ๑.๓ เบิกจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อาเซียน-จีน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ งบเงินอุดหนุน เพื่อเป็นเงินอุดหนุนให้แก่ศูนย์อาเซียน-จีน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้รับอนุมัติจัดสรรแล้ว ๒. อนุมัติในหลักการให้เบิกจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อาเซียน-จีน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และปีต่อ ๆ ไป โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก หากไม่มีการเปลี่ยนหรือคำนวณอัตราการบริจาคใหม่
|
||||||||||||||||||||||||
29378 | ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ และแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (จำนวน 4 ราย 1. นายวิมล จันทร์จิราวุฒิกุล ฯลฯ) | นร | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ และแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (จำนวน ๓ ราย) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้นายวิมล จันทร์จิราวุฒิกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ ๒. ให้แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน ๓ ราย ๒.๑ นายโสภณ เพชรสว่าง ๒.๒ นายสิทธิชัย กิตติธเนศวร ๒.๓ นางพวงเพ็ชร ขุนละเอียด
|
||||||||||||||||||||||||
29379 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 1/2555 และผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 1/2555 | นร11 | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และนายญาณ ทุน รองประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เป็นประธานร่วมฝ่ายเมียนมาร์ และผลการประชุมของคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และนาย Aye Myint รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เป็นประธานร่วมฝ่ายเมียนมาร์ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ๑.๑.๑ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทั้ง ๓ ระดับ คือ คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ซึ่งเป็นกลไกระดับนโยบาย คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ และคณะอนุกรรมการร่วม ใน ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง อุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ พลังงาน การพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการเงิน ๑.๑.๒ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน รวม ๘ โครงการ คือ ถนน ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าระยะเริ่มแรก น้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย โทรคมนาคม การพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน และรถไฟความเร็วสูง ๑.๑.๓ ที่ประชุมมอบหมายให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ รับผิดชอบ ๘ โครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน โดยคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง รับผิดชอบโครงการถนน ท่าเรือน้ำลึก น้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย โทรคมนาคม และรถไฟความเร็วสูง คณะอนุกรรมการด้านพลังงาน รับผิดชอบโครงการโรงไฟฟ้าระยะเริ่มแรก คณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน รับผิดชอบโครงการพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน และคณะอนุกรรมการด้านอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ รับผิดชอบโครงการนิคมอุตสาหกรรม ๑.๑.๔ ที่ประชุมเสนอให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ทั้ง ๖ สาขา เร่งพิจารณาเงื่อนไขและแผนธุรกิจของแต่ละสาขา และนำเสนอต่อคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ และคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ พิจารณาต่อไป โดยข้อมูลเหล่านี้จะต้องพิจารณาร่วมกับการจัดทำแผนการเงินและแผนการลงทุนของโครงการทวาย และเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ประกอบการปรับปรุง Framework Agreement ให้มีความชัดเจนและครอบคลุมการพัฒนาโครงการทวายในทุกภาคส่วน ๑.๑.๕ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ครั้งที่ ๒ ณ เมืองเนปิดอร์และเมืองทวาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ในวันจันทร์สัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ที่ประชุมมีมติมอบหมายภารกิจเร่งด่วนให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ฯ ทั้ง ๖ สาขาดำเนินการ รวมทั้งเห็นชอบการจัดประชุมครั้งต่อไปในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ โดยประธานร่วมจะกำหนดวันที่ชัดเจนในภายหลัง สำหรับภารกิจเร่งด่วนที่มอบให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวดำเนินการ มีดังนี้ ๑.๒.๑ ให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ ทบทวนเงื่อนไขและแผนธุรกิจของโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน ประกอบด้วยถนน ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าระยะเริ่มแรก น้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย โทรคมนาคม การพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน และรถไฟความเร็วสูง และรายงานผลต่อคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ ๑.๒.๒ ให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดประชุมตามที่ประธานร่วมกำหนด และให้มีการประสานงานระหว่างอนุกรรมการของแต่ละสาขา ตามที่ประธานร่วมเห็นสมควร ๑.๒.๓ ให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ ดำเนินการเพื่อให้ทุกโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนมีการประสานงานซึ่งกันและกัน และให้เริ่มดำเนินโครงการโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการถนน ต้องเริ่มดำเนินการภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ โดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒.๔ ให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ จัดทำแผนธุรกิจสำหรับโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน โดยเน้นประเด็นที่สำคัญของแต่ละโครงการ โดยคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ด้านการเงินได้รับมอบหมายให้เสนอแนะโครงสร้างทางการเงินและรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน โดยคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ ทุกคณะจะต้องนำเสนอผลการทำงานต่อคณะกรรมการประสานงานร่วมไทย-เมียนมาร์ฯ ในการประชุมครั้งต่อไป ๒. รับทราบการกำหนดโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน ๘ โครงการ ประกอบด้วย ถนน ท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าระยะเริ่มแรก น้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย โทรคมนาคม การพัฒนาชุมชนและการย้ายถิ่นฐาน รถไฟความเร็วสูง และเร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงฯ และผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมฯ ต่อไป ๓. เห็นชอบองค์ประกอบและแนวทางการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ทั้ง ๖ สาขา
|
||||||||||||||||||||||||
29380 | การเข้าร่วมความริเริ่มด้านความมั่นคงเกี่ยวกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ไทยเข้าร่วมความริเริ่มด้านความมั่นคงเกี่ยวกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Proliferation Security Initiative-PSI) ก่อนการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ในช่วงวันที่ ๑๘-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา หรือระหว่างที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเยือนไทยอย่างเป็นทางการก่อนเดินทางต่อไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก สำหรับสาระสำคัญของ PSI เน้นมาตรการปฏิบัติและความร่วมมือระหว่างประเทศในการสกัดกั้นและยับยั้งการส่งผ่าน ถ่ายลำ และขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction-WMD) ระบบเครื่องส่งและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ได้สองทาง ทั้งทางบก น้ำ และอากาศ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการหยุดยั้งการเคลื่อนย้าย ขนส่ง และการตรวจค้น จับกุมหรือยึดสินค้าต้องสงสัย รวมทั้งห้ามคนชาติของตนกระทำหรือให้ความร่วมมือในการขนส่งหรือเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าว ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือทางการทูตแจ้งรับรองการเข้าร่วม PSI ไปยังสหรัฐฯ และสมาชิก PSI โดยระบุให้ชัดเจนถึงข้อจำกัดของกฎหมายภายในของไทย ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำหลักการของ PSI ไปปฏิบัติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นและข้อห่วงกังวลของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นสมาชิก หรือรับเอามาตรการ PSI ควรมีความชัดเจนในเรื่องสิทธิของเจ้าหน้าที่พนักงานในการดำเนินการต่อผู้กระทำผิดเกี่ยวกับอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในทะเล และควรมีการออกกฎหมายภายในรองรับ รวมทั้งควรมีข้อสงวนที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสิทธิของเรือสัญชาติไทยที่จะต้องถูกตรวจค้นจากเรือชาติอื่น ๆ นอกจากนี้ ควรเร่งทำความเข้าใจกับหน่วยงานปฏิบัติบางหน่วยที่ยังมีข้อสังเกตบางประการให้เกิดความชัดเจนก่อน โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการตรวจค้นหรือการรอกระบวนการพิสูจน์ (การหยุดเรือหรืออากาศยาน การเก็บรักษาตู้สินค้าที่ถูกอายัด) และความสุ่มเสี่ยงต่อการชดใช้ค่าเสียหายในกรณีเกิดความผิดพลาดและมีการฟ้องร้อง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในทางปฏิบัติเมื่อมีการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....