ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1467 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29321 - 29340 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29321 | ขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงรายการอาคารเรียนของโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี จากอาคารเรียนแบบ ๓๒๔ ล. ตอกเข็ม ๑ หลัง ในวงเงิน ๒๑,๗๑๘,๐๐๐ บาท ซึ่งไม่รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด เป็นอาคารเรียนแบบพิเศษ ๗ ชั้น ๑ หลัง ในวงเงิน ๒๓,๖๒๗,๓๘๐ บาท เพื่อให้อาคารเรียนมีความเหมาะสมกับพื้นที่ที่จะดำเนินการก่อสร้างและลดปัญหาความขาดแคลนอาคารเรียนในการจัดการเรียนการสอนในลักษณะของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๒๕๗,๗๐๐ บาท และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๘,๔๖๐,๓๐๐ บาท สำหรับวงเงินส่วนที่เกินงบประมาณ จำนวน ๑,๙๐๙,๓๘๐ บาท ให้ใช้เงินรายได้ของโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวัง นนทบุรี จ่ายสมทบต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
29322 | การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างไทยกับคูเวต | สธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างไทยกับคูเวต มีสาระสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขและแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างไทยกับคูเวต ๒. อนุมัติในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้ลงนาม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
|||||||||||||||||||||
29323 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 8/2555 ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2555) | วท | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ พายุไต้ฝุ่น “พระพิรุณ” (PRAPIROON) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนไปทางประเทศญี่ปุ่น โดยไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย และในช่วงวันที่ ๑๕-๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่เสริมลงมาปกคลุมตอนบนของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นในตอนเช้า ส่วนลมตะวันออกพัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้ และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ทำให้มีฝนเป็นแห่ง ๆ ถึงกระจายในระยะนี้ สำหรับปริมาณฝนสะสมรวม ๑,๓๗๖.๓ มิลลิเมตร กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงวันที่ ๑๔-๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่ง ๆ ร้อยละ ๓๐-๔๐ ของพื้นที่ ในช่วงวันที่ ๑๖-๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ มีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป ร้อยละ ๖๐-๗๐ ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๔๒๑ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๙๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๔๙๘ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๘๔๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑,๔๘๔ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒..๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๓๐๑.๙๗ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๒๓ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง +๒๕๙.๒๐ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๔๐ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย +๔๖.๓๙ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๔.๔๘ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑๙๒.๙๒ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๒๘ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๒.๓๙ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๘๑ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๓.๒๐ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๑๔ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๘.๔๖ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๘,๔๔๙ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๔,๖๔๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๑๓.๒๗ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๕๒๒ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๖๗๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๑๐.๙๘ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๗๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๗๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๕๒,๐๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๕,๒๖๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๔๑,๐๗๙ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๑๘,๐๙๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ เขื่อนลำปาว มีปริมาณน้ำกักเก็บ ๒๓% ซึ่งมีปริมาณน้ำกักเก็บลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนยังคงน้อยมากวันละไม่ถึง ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ในระยะสั้นให้ปรับลดการระบายน้ำเพื่อประหยัดน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งในปีถัดไป ๓.๒ เขื่อนประแสร์และเขื่อนคลองสียัด มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนประแสร์เกินระดับกักเก็บปกติ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำกักเก็บ ๑๐๖% ส่วนเขื่อนคลองสียัดปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีปริมาณน้ำกักเก็บ ๙๘% ให้เร่งระบายน้ำเท่าที่สามารถทำได้และควบคุมไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๓.๓ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ปริมาณน้ำท้ายเขื่อนมีเพียงพอต่อความต้องการ ให้คงการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลไม่เกินวันละ ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนสิริกิติ์ไม่เกินวันละ ๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓.๔ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ เนื่องจากเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงให้ปรับการระบายน้ำโดยพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบริเวณท้ายเขื่อนเป็นสำคัญ ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า ดังนี้ ๔.๑ สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย ๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม รวม ๓๑ อำเภอ ๒๕๔ ตำบล ๑,๕๓๓ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๙๔,๒๗๐ ครัวเรือน ๒๗๘,๔๐๒ คน ๔.๒ พื้นที่ภาคตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้น้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีเอ่อล้นเข้าท่วม ในพื้นที่ ๗ อำเภอ ๕๔ ตำบล ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วม ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอ ศรีมหาโพธิ อำเภอเมืองปราจีนบุรี อำเภอบ้านสร้าง อำเภอศรีมโหสถ และอำเภอประจันตคาม สำหรับจังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดฝนตกหนักและน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วม ในพื้นที่ ๙ อำเภอ ๓๕ ตำบล ๒๕๒ หมู่บ้าน ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วมขัง ๖ อำเภอ ๑๘ ตำบล ๑๔๙ หมู่บ้าน ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอบางคล้า อำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอคลองเขื่อน อำเภอบ้านโพธิ์ และอำเภอราชสาส์น สถานการณ์ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำบางปะกงและคลองท่าลาดระดับน้ำลดลง ๔.๓ กรมทรัพยากรน้ำไม่มีรายงานการเตือนภัยสถานการณ์ดินโคลนถล่ม และน้ำป่า
|
|||||||||||||||||||||
29324 | ถ้อยแถลงร่วมผลการเยือนรัฐคูเวตอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมผลการเยือนรัฐคูเวตอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประกาศในระหว่างการเยือนคูเวตอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ร่างถ้อยแถลงฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ด้านนโยบายระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายคูเวตที่จะร่วมกันส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในระดับทวิภาคีและระดับพหุภาคีระหว่างภูมิภาคภายใต้กรอบความร่วมมือด้านต่าง ๆ พร้อมทั้งแสดงความชื่นชมบทบาทของแต่ละฝ่ายในเวทีระหว่างประเทศ ๒. หากก่อนประกาศมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างถ้อยแถลงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||
29325 | การเสนอให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร | กต | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือทางกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานระดับสากลเกี่ยวกับการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ทั้งนี้ เมื่อร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าวต่อไป ๒. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้สัตยาบันพิธีสารเพื่อป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์โดยเฉพาะสตรีและเด็ก เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จะจัดตั้งในลักษณะองค์กรพร้อมกันกับการให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดความเห็นจากสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบผู้โยกย้ายถิ่นฐานโดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
29326 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (นายนิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย) | สธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายนิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29327 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง นร ที่ 241/2555) (ขอส่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี) | นร04 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๔๑/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) [แต่งตั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.)] ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29328 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกันยายน 2555 | พณ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๖๗ เทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๒๘ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๔ (เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๐) เป็นผลจากดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๑ โดยสินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ปลาและสัตว์น้ำ ผักสดและผลไม้ เครื่องประกอบอาหาร เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเหนียว เนื้อสุกร ไก่สด ไข่ไก่ นมและผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลทราย เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๖ ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา ค่ากระแสไฟฟ้า ที่มีการปรับขึ้นตามค่า Ft สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งสินค้าประเภทค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพูสระผม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว ครีมนวดผม) ปรับลดลงตามการส่งเสริมการจำหน่าย และราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีการลดลงตามภาวะตลาดโลก เป็นต้น ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนกันยายน ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๓๘ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๓.๖๖ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๑๕ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๓.๖๘ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๔.๑๔ เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๒.๓๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๓.๐๘ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๗๓ ดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๓.๒๐ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๔๖ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๑.๐๔ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๐.๙๘ หมวดพาหนะการขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๓.๙๗ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๐๕ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๔ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๙ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๔ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๔๖ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๓๗ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๔๑ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๑.๕๔ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๐.๕๕ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๔๖ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๖.๕๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๕ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๖.๓๐ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๕.๘๒ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๔.๒๘ หมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๘ และน้ำมันเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ ๑.๖๗ เป็นต้น ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๗๗ เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๓ (เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าน้ำประปา ค่าเช่าบ้าน ผลิตภัณฑ์ยาสูบและผลิตภัณฑ์สุรา สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดบางชนิด (ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง) สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว แชมพูสระผม น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว กระดาษชำระ ครีมนวดผม)
|
|||||||||||||||||||||
29329 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายดิสทัต โหตระกิตย์) | นร09 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายดิสทัต โหตระกิตย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29330 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายโกมล จิรชัยสุทธิกุล) | นร09 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายโกมล จิรชัยสุทธิกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) กลุ่มร่างกฎหมายและให้ความเห็นทางกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29331 | การแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานนครราชสีมา | นร04 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๕๑/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานนครราชสีมา โดยมีประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) เป็นประธานกรรมการ และผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยานของประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานนครราชสีมา วิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยาน ติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยาน กำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จัดทำแผนยุทธศาสตร์และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงาน เพื่อดำเนินงานหรือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมาย
|
|||||||||||||||||||||
29332 | การขยายปริมาณและกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 (กรณีพิเศษ) เพิ่มเติม | พณ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ปรับปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ (กรณีพิเศษ) เพิ่มเติม จากเดิมจำนวน ๑๖.๖๑๓ ล้านตัน ลงเหลือจำนวน ๑๔.๗๐ ล้านตัน (ปรับเพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ๑๓.๓๑ ล้านตัน อีกจำนวน ๑.๓๙ ล้านตัน) กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการรับจำนำของภาคอื่น ๆ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ส่วนภาคใต้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ สำหรับวงเงินสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรับจำนำในครั้งนี้ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้วงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) อนุมัติไปแล้ว จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท และไม่เกินกรอบวงเงินจำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕) อนุมัติไว้ และให้กระทรวงพาณิชย์นำเงินที่ได้จากการระบายข้าวไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับจำนำด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (ต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการ) ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้หลักเกณฑ์เดิมเช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
29333 | การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก | นร04 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกษตรกรและผู้สนใจโดยทั่วไปได้รับทราบข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงและถูกต้องตรงกัน นั้น โดยที่โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเป็นโครงการที่รัฐบาลมุ่งดำเนินการเพื่อช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ดังนั้นเพื่อให้ประชาชน สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับทราบข้อเท็จจริงและเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่โฆษกของกระทรวงเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยด่วน ๒. กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาเชิญนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเข้าร่วมการชี้แจงด้วย
|
|||||||||||||||||||||
29334 | เงินเดือนและค่าจ้างของพนักงานของรัฐที่จ่ายจากกองทุนต่าง ๆ | นร05 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อเสนอของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) ที่เสนอว่า จากการที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ควรมีการพิจารณาเกี่ยวกับเงินเดือนและค่าจ้างของพนักงานของรัฐที่จ่ายจากกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่นอกเหนือการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานของรัฐในระดับล่างให้ได้รับเงินเดือนและค่าจ้างให้เหมาะสมและเป็นบรรทัดฐานเดียวกับข้าราชการที่มีคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในระดับเดียวกัน ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
29335 | ผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง | นร04 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อทบทวนผลการปฏิบัติงานในรอบปีที่ผ่านมาของรัฐบาลและหารือแนวทางที่จะดำเนินงานในระยะต่อไป ผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการปฏิบัติงานของภาครัฐ ควรยึดหลักการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยกำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายและวาระสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องบูรณาการร่วมกันให้ชัดเจน เพื่อนำผลที่ได้ไปใช้ในการจัดทำงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ทั้งนี้ หัวหน้าส่วนราชการจะต้องเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและเชื่อมโยงงานไปสู่การปฏิบัติทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น รวมทั้งรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ในด้านบุคลากรภาครัฐ ระบบราชการในปัจจุบันประสบปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังที่มีศักยภาพอยู่มาก ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาภาพรวมของบุคลากรภาครัฐ โดยรวบรวมความต้องการบุคลากรของทุกหน่วยงาน เพื่อจัดทำแผนบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ รวมทั้งการวางระบบการคัดเลือก พัฒนา และรักษาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่ในระบบราชการ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างบุคลากรรุ่นเก่าที่จะเกษียณอายุออกไปจำนวนมากและอาจขาดแคลนอัตรากำลังคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ โดยให้สอดคล้องกับภาพรวมของประชากรไทยที่มีแนวโน้มจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้น ๓. ในส่วนของกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติราชการ ได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาปรับปรุงกฎ ระเบียบต่าง ๆ ให้ทันสมัย คล่องตัว และรองรับการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในระหว่างหน่วยงานของรัฐให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
29336 | รายงานสภาพภูมิอากาศและสถานการณ์น้ำ | นร04 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรายงานสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ซึ่งคาดว่า ในฤดูฝนปีนี้จะไม่มีพายุขนาดใหญ่ หากจะมีอาจเกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น ซึ่งได้เตรียมการจัดทำแผนป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน (fast flood) ในพื้นที่ภาคใต้ไว้แล้ว และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) จะจัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้รัฐมนตรีทุกท่านเพื่อใช้ประกอบการลงพื้นที่ภาคใต้ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในสัปดาห์หน้าด้วย ทั้งนี้ การพยากรณ์สภาพภูมิอากาศในปัจจุบันจะมีความแม่นยำกว่าเดิม เนื่องจากได้มีการนำเครื่องมือชุดใหม่มาใช้ในการดำเนินการ โดยในส่วนของ กบอ. ได้มีการเตรียมการจัดทำแผนการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ ใหม่ให้เหมาะสม รวมทั้งได้นำเอาระบบส่งน้ำทางท่อสำหรับพื้นที่ประมาณ ๑,๐๐๐-๓,๐๐๐ ไร่ มาใช้ด้วย และให้ กบอ. ประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ระบบปฏิบัติการ Single Command เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหรือภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป รวมตลอดถึงการเตรียมการจัดทำฝนหลวงให้พร้อมดำเนินการได้ทันทีที่สภาพอากาศในพื้นที่มีความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ดูแล ประชาชนในกรณีประสบภาวะภัยแล้ง เพื่อให้มีน้ำใช้เพื่อการเกษตรและการอุปโภค บริโภค ได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมพอเพียงต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับ กบอ. เพื่อนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปประกอบการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูและบูรณะแหล่งน้ำให้เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||
29337 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังนี้
๑. เพิ่มบทนิยามคำว่า “ข้อมูลการบริหารสิทธิ” “มาตรการทางเทคโนโลยี” และ “การหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี” ๒. เพิ่มข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์กรณีการจำหน่ายต้นฉบับหรือสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์ ๓. เพิ่มข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดงกรณีการทำซ้ำที่จำเป็นในระบบคอมพิวเตอร์ และกรณีละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงโดยผู้ให้บริการซึ่งมิใช่ผู้ควบคุม ริเริ่ม หรือสั่งการให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ๔. เพิ่มสิทธิของนักแสดงในการแสดงว่าตนเป็นนักแสดงและสิทธิที่จะห้ามผู้รับโอนสิทธิหรือบุคคลอื่นกระทำต่อการแสดงอันทำให้นักแสดงเสียหายต่อชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ ๕. เพิ่มการคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี การฟ้องคดี บทกำหนดโทษเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี และการเปรียบเทียบคดี ๖. กำหนดให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงจ่ายค่าเสียหายเพิ่มขึ้นไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายในกรณีที่เป็นการกระทำโดยจงใจหรือมีเจตนาให้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงสามารถเข้าถึงโดยสาธารณชนได้อย่างแพร่หลาย ๗. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจศาลในคดีอาญาให้มีอำนาจสั่งริบสิ่งที่ได้ทำขึ้นหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงและสิ่งที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดหรืออาจสั่งให้ทำให้สิ่งนั้นใช้ไม่ได้หรือจะสั่งทำลายสิ่งนั้นก็ได้
|
|||||||||||||||||||||
29338 | ขออนุมัติการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วมไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | กต | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ว่าด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วม ๓ ระดับ เพื่อเป็นการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ๑.๑.๑.๑ คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Myanmar-Thailand Joint High-level Committee for the Comprehensive Development in the Dawei SEZ and Its Related Project Areas-JHC) เป็นกลไกระดับนโยบาย มีหน้าที่ประสานนโยบายเพื่อผลักดันความคืบหน้าและการดำเนินตามบันทึกความเข้าใจฯ อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนา Southern Economic Corridor (SEC) ๑.๑.๑.๒ คณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Myanmar-Thailand Joint Coordinating Committee for the Comprehensive Development in the Dawei SEZ and Its Related Project Areas-JCC) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของ JHC พิจารณายุทธศาสตร์ความร่วมมือ ติดตามการพัฒนาโครงการในภาพรวม และประสานงานการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ รวมทั้งประสานงานการดำเนินการของแต่ละคณะอนุกรรมการและระหว่างคณะอนุกรรมการย่อย ๖ สาขา ติดตามประเมินผลความคืบหน้าการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ และภารกิจอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจาก JHC ๑.๑.๑.๓ คณะอนุกรรมการ (Sub-Committees) ใน ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง สาขาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ พลังงาน การพัฒนาชุมชน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการเงิน ๑.๑.๒ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ จะมีผลใช้บังคับเมื่อมีการแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ๑.๓ ให้มีคำสั่งจัดตั้งองค์ประกอบคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องในส่วนของฝ่ายไทย และจัดการประชุมองค์ประกอบคณะกรรมการร่วมฯ ฝ่ายไทยในโอกาสแรก เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมร่วมกับผู้แทนจากฝ่ายเมียนมาร์ต่อไป ๑.๔ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ซึ่งรวมทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบโดยไม่กระทบสาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กำหนดและเปลี่ยนแปลงผู้เป็นประธานร่วมฝ่ายไทยในคณะกรรมการต่าง ๆ จากเดิมที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ได้แก่ คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย โดยให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขานุการในคณะกรรมการประสานงานฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการและเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถจัดการประชุมร่วมกับฝ่ายเมียนมาร์ได้โดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
29339 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณี ว่าที่พันตรี นิพนธ์ ซิ้มประยูร อุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | อส | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๑๐๘/๒๕๕๕ ระหว่าง ว่าที่พันตรี นิพนธ์ ซิ้มประยูร ผู้ฟ้องคดี กับนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (อุทธรณ์คำพิพากษา) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ให้ยกคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดี
|
|||||||||||||||||||||
29340 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินในประเทศ ๙๔๓,๙๓๖.๑๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๕,๔๕๕.๗๗ ล้านบาท รวม ๙๕๙,๓๙๑.๘๗ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินในประเทศ ๗๐๓,๓๙๔.๕๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๓๔,๒๐๘.๔๐ ล้านบาท รวม ๗๓๗,๖๐๒.๙๐ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินในประเทศ ๔๗,๑๐๐.๐๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๗๖,๐๓๘.๓๘ ล้านบาท รวม ๒๒๓,๑๓๘.๓๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๒๗,๘๘๕.๒๑ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาล การกู้มาเพื่อให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การกำกับดูแลส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้ดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าว เพื่อให้การใช้เงินกู้ตามแผนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ในการกู้เงินให้ความสำคัญกับการกู้เงินในประเทศมากกว่าการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสกุลเงินตราต่างประเทศและปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกันและให้กู้ต่อ โดยเป็นเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตรตามนโยบายรัฐบาลและเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อ วงเงิน ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท อาจจะต้องมีการปรับปรุงวงเงินดังกล่าวให้สอดคล้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ที่จำเป็นต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกครั้งหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
.....