ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1464 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29261 - 29280 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29261 | ผลการประชุมหารือคณะทำงาน 9 กระทรวง เพื่อติดตามวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป ครั้งที่ 10/2555 วันที่ 10 ตุลาคม 2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมหารือคณะทำงาน ๙ กระทรวง เพื่อติดตามวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ได้แก่ ภาพรวมงบประมาณรายจ่ายลงทุนของส่วนราชการ แผนการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนของส่วนราชการ แผนการเบิกจ่ายของกองทุนต่างๆ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการลงทุนภาคเอกชน การสำรวจที่ดินของรัฐวิสาหกิจ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงให้พิจารณาเสนอสินค้าหรือบริการที่เป็นจุดเด่นของแต่ละกระทรวงที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทยนำไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ประเทศ เช่น ข้าวสายพันธุ์ใหม่หรือสายพันธุ์คุณภาพ หรือประเภทหรือชนิดของอาหารและวัตถุดิบที่สอดคล้องกับนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ กำหนดแผนการเบิกจ่ายและปรับปรุงรายงานการกำกับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนเป็นรายไตรมาส เพื่อตรวจสอบความรวดเร็วในการเบิกจ่ายงบประมาณ พร้อมดูแลความโปร่งใสในการเบิกจ่ายให้สอดคล้องกับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้รวมถึงโครงการและแผนงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการด้วย และให้ปรับปรุงแนวทางการประเมินผลการเบิกจ่ายงบประมาณขั้นต่ำที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ ๗๕ โดยเสนอแนวทางที่เป็นไปได้ในการนำงบประมาณของหน่วยงานที่ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้าหมาย เพื่อนำไปจัดสรรให้หน่วยงานอื่นที่มีผลการเบิกจ่ายงบประมาณตามเป้าหมาย ๓. ให้สำนักงบประมาณพัฒนาระบบในการติดตามขั้นตอนการเตรียมงบประมาณ เพื่อให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามความคืบหน้าและรายงานผลการเบิกจ่ายได้รวดเร็วขึ้น และเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของส่วนราชการ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งโครงการพัฒนาเมือง และโครงการตั้งจุดตรวจร่วมถาวรในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๔. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการที่รับผิดชอบในแต่ละกองทุน เพื่อพิจารณาผลการดำเนินงานและความคืบหน้าของกองทุนต่าง ๆ รวมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายของกองทุนต่าง ๆ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง จัดทำแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นรายไตรมาส และให้แต่ละรัฐวิสาหกิจยืนยันแผนการลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งวิเคราะห์ประโยชน์ของโครงการลงทุนต่าง ๆ ในภาพรวม เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ ๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบด้านการกงสุลที่เป็นอุปสรรคและปัญหาต่อการลงทุน เช่น ใบอนุญาตการทำงาน และวีซ่านักธุรกิจ เป็นต้น ๗. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งรัดขั้นตอนการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งพิจารณาโอกาสการลงทุนจากญี่ปุ่นที่อาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากกรณีพิพาทระหว่างญี่ปุ่นกับจีน โดยให้จัดทำแผนการส่งเสริมการลงทุนในระยะยาวที่เชื่อมโยงระหว่างมิติของพื้นที่สาขาการผลิต/บริการ และสัญชาติผู้ลงทุน และรายงานต่อที่ประชุมในการประชุมคราวต่อไป ๘. ให้กระทรวงการคลังจัดทำแผนและมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อส่งเสริมธุรกิจสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operating Headquarter : ROH) ให้สอดคล้องกับแผนการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการส่งเสริมให้ภาคเอกชนขยายการลงทุน และศึกษาที่ดินทั้งของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ โดยแยกประเภทที่ดินเป็น ๓ ประเภท ประกอบด้วย ที่ดินที่มีความพร้อมในการพัฒนา ที่ดินที่มีแผนในการพัฒนาแล้ว และที่ดินที่ยังใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ ๙. ให้กระทรวงแรงงานจัดทำมาตรการและแผนงานเพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การวัดฝีมือแรงงาน โดยประสานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงศึกษาธิการเพื่อจัดทำแนวทางการจัดหาแรงงาน และพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะด้านภาษา ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ๑๐. ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแนวทางการพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงาน โดยเฉพาะการศึกษาสายอาชีวศึกษา และพิจารณาแนวทางการส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพของผู้จบจากสายอาชีวศึกษาให้เหมาะสม ๑๑. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พัฒนาระบบการตรวจคนเข้าเมือง/ตรวจสินค้า ณ จุดขนถ่ายสินค้า (Loading Site) เพื่ออำนวยความสะดวกและรองรับการเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟความเร็วสูงที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||
29262 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ตช | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๘๙,๒๙๘,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการจัดตั้งด่านตรวจยาเสพติด สถานีตำรวจภูธรห้วยไร่ จังหวัดแพร่ จำนวน ๓๙,๒๙๘,๘๐๐ บาท และค่าก่อสร้างด่านมั่นคงพร้อมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี รวม ๒ แห่ง ได้แก่ ถนนสายเอเชีย ฝั่งขาเข้า และฝั่งขาออก พื้นที่ตำบลท่ากำซำ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
29263 | โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุนรวม ๑,๐๙๔ ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ในประเทศ ๘๒๐ ล้านบาท และเงินรายได้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) วงเงิน ๒๗๔ ล้านบาท และให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๘๒๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดยให้ กฟภ. ดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เห็นควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้รัฐวิสาหกิจในสังกัดของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของโครงการฯ และลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน สำหรับในขั้นตอนการวิเคราะห์ผลตอบแทนของโครงการฯ ยังไม่ได้รวมถึงรายได้อื่น เช่น การให้เช่าสายเคเบิลใต้น้ำ เนื่องจากไม่ได้เป็นภารกิจหลักของ กฟภ. อีกทั้งยังเป็นรายรับที่ไม่แน่นอน ซึ่งในระยะต่อไปหากมีผู้มาขอเช่าใช้ประโยชน์จากสายเคเบิลใต้น้ำจะทำให้ผลตอบแทนทางการเงินเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำ และพื้นที่ใกล้เคียงน้อยที่สุด และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อแนวปะการังอย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการด้วย ๒. เห็นชอบการผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศในการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ทั้งนี้ ให้ กฟภ. หารือกับสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม และให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำและพื้นที่ใกล้เคียงให้มากที่สุด |
|||||||||||||||||||||
29264 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ | นร07 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมสถานภาพการจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ ณ วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวนทั้งสิ้นรวม ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙ ล้านบาท หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณแล้วทั้งสิ้น จำนวน ๒๒๓ โครงการ รวมเป็นเงิน ๕,๔๗๔.๗๑ ล้านบาท และสำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรแล้วทั้ง ๒๒๓ โครงการ วงเงิน ๕,๓๖๑.๓๒ ล้านบาท ๒. หน่วยงานขอยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๑ โครงการ วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง (เชียงราย) เนื่องจากซ้ำซ้อนกับที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๓. สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับโครงการเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมนอกสถานที่ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๖ ครั้ง ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
29265 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล) | กค | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29266 | รายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย | อก | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้ทำสัญญาว่าจ้างมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นที่ปรึกษาเพื่อปฏิบัติงานโครงการศึกษาวิจัยแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทย โดยมีขอบเขตการศึกษาครอบคลุมประเด็นการปรับปรุงระบบแบ่งปันรายได้ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลทราย การบริหารจัดการน้ำตาลทรายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ การปรับปรุงบทบาทและสร้างความเข้มแข็งของกองทุนฯ การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ และการปรับปรุงบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่ง TDRI ได้ส่งมอบรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์แล้ว เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ ขณะนี้คณะกรรมการพิจารณาตรวจการรับจ้างอยู่ระหว่างการตรวจรับงานตามสัญญา ๒. ความคืบหน้าการจ่ายเงินช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้ลงนามในสัญญากู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ และมีการควบคุม กำกับดูแล โดยให้ชาวไร่อ้อยจัดทำบันทึกการรับเงินช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยและการยินยอมให้กองทุนฯ บันทึกบัญชีให้ชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้แยกเป็นแต่ละราย และคณะทำงานควบคุมการผลิตประจำโรงงานน้ำตาลทรายของแต่ละโรงงานที่ประกอบด้วยผู้แทนชาวไร่อ้อย โรงงานน้ำตาลทราย และสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ร่วมตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง แล้วนำเสนอกองทุนฯ ตรวจสอบ เพื่อแจ้งให้ ธ.ก.ส. สั่งจ่ายเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิโดยตรงต่อไป ซึ่งจากรายงานผลการจ่ายเงินเพิ่มค่าอ้อยดังกล่าวของสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ณ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ ธ.ก.ส. มีการจ่ายเงินช่วยเหลือไปแล้ว จำนวน ๑๕,๐๖๙.๐๖ ล้านบาท (ปริมาณอ้อย ๙๗,๘๕๑,๐๗๐.๔๐ ตัน) จากจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มค่าอ้อยทั้งสิ้น ๑๕,๐๘๘.๘๗ ล้านบาท คงเหลืออ้อยที่ยังมิได้รับเงินช่วยเหลืออีก จำนวน ๑๒๘,๖๑๙.๘๐๑ ตัน หรือประมาณร้อยละ ๐.๑๓ ของปริมาณอ้อยที่ส่งเข้าหีบทั้งหมด ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น ๙๗,๙๗๙,๖๙๐.๒๐๑ ตัน ๓. กระทรวงอุตสาหกรรมได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ เพื่อดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยของกองทุนฯ ซึ่งในชั้นนี้ การจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวยังไม่มีปัญหาอุปสรรคและข้อร้องเรียนแต่อย่างใด
|
|||||||||||||||||||||
29267 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กรอ. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษารายละเอียดและความเหมาะสมในการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อทำหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร รวมทั้งมาตรการและสิทธิพิเศษเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชปาล์มน้ำมันไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ และเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้พิจารณาในรายละเอียดโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามระเบียบและขั้นตอน ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายป่าไม้ยุโรป (EU FLEGT) และเร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย รับข้อเสนอการเร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้ ทุ่งสง ไปศึกษารายละเอียดด้านการจัดการธุรกิจ ผู้บริหารโครงการและการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมในโครงการ เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๑.๔ ให้กระทรวงพลังงานศึกษาในรายละเอียดข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนการพัฒนาโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวลเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าทดแทนและลดมลภาวะของเสียในโรงงานให้ครอบคลุมมาตรการที่ภาคเอกชนเสนอ ๒. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการบำรุงรักษาทางและกิจกรรมฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นลำดับแรกให้สอดคล้องเหมาะสมกับวงเงินงบประมาณที่ได้รับ สำหรับการปรับปรุงถนนเพื่อขยายเป็น ๔ ช่องจราจร ให้กรมทางหลวงจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามเกณฑ์การขยายเพิ่มช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ส่วนการพัฒนาและปรับปรุงเส้นทางสายรองเลียบชายฝั่งอ่าวไทยเป็น ๔ ช่องจราจร ควรให้ความสำคัญในการใช้เป็นเส้นทางเพื่อการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการปรับปรุงเส้นทางเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการก่อสร้างท่าเรือรองรับการขนส่งและการท่องเที่ยวของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน โดยเร่งรัดการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของท่าเรือน้ำลึกเขาประจำเหียง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าเรือที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และท่าเรือที่อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดแผนการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการแม่น้ำตรัง-ลุ่มน้ำตาปี-แม่น้ำชุมพร ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง/น้ำท่วมของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเสนอต่อ กบอ. ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำดี/น้ำดิบของเกาะสมุย และแจ้งผลการดำเนินงานให้ภาคเอกชนทราบ รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียในแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนนครขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๔. ข้อเสนอของ กกร./สทท. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๔.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มท่องเที่ยวมหัศจรรย์สองสมุทรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติพิจารณาประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยว พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขต ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ระเบิดหินเก่าที่รกร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุง ๔.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพทางการแพทย์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภาคใต้ตอนบน ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีแห่งที่ ๒ โครงการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และโครงการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ชั้นสูง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภาคใต้ตอนบน เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน ๕. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุม กรอ.ภูมิภาค ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานฯ มารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๖. รับทราบเรื่องอื่น ๆ ที่ กกร./สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอเพิ่มเติม ๖.๑ การเร่งรัดกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ๖.๒ การผลักดันและสนับสนุนให้ บริษัท ปตท. จำกัด เข้ามาลงทุนสร้างสถานีบริการ NGV ที่สอดคล้องกับการขยายท่อก๊าซช่วงขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช-จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๖.๓ การเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ทันในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๖.๔ การพิจารณาทบทวนการขยายสิทธิให้นักลงทุนนอกภาคีอาเซียน (Non Party) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีบริการ (ASEAN Framework Agreement on Services) ๖.๕ การเร่งรัดการเจรจา Thai-EU FTA เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรักษาตลาดและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหภาพยุโรป ๖.๖ การดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||
29268 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้กลุ่มอ่าวไทย (จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) รวม ๔ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๗.๓๔ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้อ่าวไทย รวม ๔ จังหวัด ๙๖ โครงการ วงเงินรวม ๔๐,๒๐๐.๙๙ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีจากการประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ไปดำเนินการโดยเร็วต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการ โดย ๒.๑ โครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และโครงการวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นมรดกโลก ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบูรณาการแนวทางการดำเนินโครงการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของงานโยธา การป้องกันน้ำท่วม และการดำเนินการเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกให้เหมาะสมชัดเจน เพื่อนำเสนอสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ โครงการที่เกี่ยวกับการก่อสร้างและปรับปรุงทางหลวงสายเอเชีย (สาย ๔๑) จำนวน ๒ โครงการ ให้กระทรวงคมนาคมบูรณาการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างทางหลวงดังกล่าวตลอดทั้งสายทางมีการเชื่อมต่อในแต่ละช่วงที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ โดยให้จัดทำรายละเอียดโครงการ แล้วส่งให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ โครงการต่าง ๆ ตามพระราชดำริ ของจังหวัดชุมพร ให้จังหวัดชุมพรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการกิจกรรมและแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเผยแพร่ข่าวสารการดำเนินโครงการให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||
29269 | ร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. .... | สธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญบางประการในร่างพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการประกาศชื่อโรคติดต่อ โรคติดต่ออันตราย และโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ การออกกฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบของรัฐมนตรี อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ๑.๓ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายโรคติดต่อแห่งชาติ ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันควบคุมโรคติดต่อส่วนกลาง คณะกรรมการป้องกันควบคุมโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีองค์ประกอบตามที่กำหนด โดยให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้กรมควบคุมโรคทำหน้าที่เป็นหน่วยงานธุรการและงานเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายโรคติดต่อแห่งชาติ และเป็นหน่วยงานกลางในการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคติดต่อของประเทศ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๖ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฝ้าระวังโรคติดต่อและการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ ๑.๗ กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันควบคุมโรคติดต่อประจำช่องทางเข้า ออกระหว่างประเทศ โดยให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๘ กำหนดให้มีคณะกรรมการฯ หรือเจ้าพนักงานสาธารณสุขซึ่งประจำช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานี ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศมีอำนาจหน้าที่และดำเนินการตามที่กำหนด ๑.๙ กำหนดให้มีการจ่ายค่าทดแทนกรณีการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้หนึ่งผู้ใด ๑.๑๐ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงาน และกำหนดบทกำหนดโทษ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรมีการเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคติดต่อ โดยเฉพาะโรคติดต่อใหม่ ๆ ที่มีการระบาดที่รวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคหรือโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่ง และวิธีการควบคุมโรคติดต่อ ให้แก่ประชาชนในชุมชน สถานศึกษา สถานประกอบการหรือสถานที่อื่นใดที่พบการระบาดของโรคติดต่อ เพื่อเป็นการควบคุมไม่ให้โรคนั้นแพร่กระจาย และสร้างพฤติกรรมอนามัยที่ดี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29270 | นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556 | พณ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๗๔) เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การนำเข้าตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) และโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayerawady-chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ภาษีร้อยละ ๐ กำหนดมาตรการบริหารนำเข้าโดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเข้าได้ตลอดทั้งปี โดยให้ อคส. จัดทำแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ภาวะราคาและความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศ และให้ผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้าได้ช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๒ การนำเข้าตามความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ภาษีนำเข้าในโควตาร้อยละ ๒๐ ปริมาณโควตา ๕๔,๗๐๐ ตัน โดยให้ อคส. เป็นผู้นำเข้าไม่จำกัดช่วงเวลานำเข้า ภาษีนำเข้านอกโควตาร้อยละ ๗๓ และค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ ๑๘๐ บาท ๑.๓ การนำเข้าตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) ภาษีร้อยละ ๐ ยกเว้นการกำหนดปริมาณนำเข้า ไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าและไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการในการจัดระเบียบการนำเข้า ๑.๔ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๓๓ ปริมาณโควตา ๘,๐๘๑.๖๘ ตัน การบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๖๕.๗ ๑.๕ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๐ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๖ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ภาษีในโควตาร้อยละ ๑๐.๙๐ และ ๑ เมษายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๑๐ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๗ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ASEAN-Korea Free Trade Agreement : AKFTA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๖.๖๗ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๘ การนำเข้าทั่วไป (ประเทศนอกข้อตกลง) ภาษีนำเข้ากิโลกรัมละ ๒.๗๕ บาท ค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ ๑,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบ บริหารจัดการสต๊อค (stock) และดำเนินการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสมเป็นประโยชน์สูงสุด และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อราคาผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง กรอบการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรทบทวนและขยายกำหนดช่วงระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านโดยผู้นำเข้าทั่วไป สำหรับปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติมจากเดิมที่กำหนดไว้เฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม เพื่อลดต้นทุนในการผลิตอาหารสัตว์ของไทย และเมื่อ อคส. จัดทำแผนการจัดซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เสร็จแล้ว ให้แจ้งจังหวัดเพื่อประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ทราบ โดยการจัดทำแผนการจัดซื้อและการดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว ให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ นอกจากนี้ ควรติดตามผลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถบริหารจัดการราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไม่ให้ตกต่ำ รวมทั้งมีมาตรการเข้มงวดต่อการลักลอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างผิดกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
29271 | แผนประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ซึ่งมีเป้าหมายการพัฒนาประชากรไทยทุกช่วงวัยมีอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสมและมีศักยภาพเพิ่มขึ้น สามารถแข่งขันได้ในภูมิภาคอาเซียนและตลาดโลก รวมทั้งมีการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายประชากรอย่างเสรีในภูมิภาคอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจให้มีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดรายละเอียดของยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในระยะ ๕ ปี เพื่อรองรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร รวมทั้งเพื่อสร้างความสมดุลของจำนวนประชากรของประเทศต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนประชากรในระยะยาว (๑๐-๒๐ ปี) โดยกำหนดเป้าหมายประชากร รวมทั้งจัดทำยุทธศาสตร์และแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สมดุลกับโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง และการเข้าเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ (AEC) แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมาย องค์ประกอบของการเปลี่ยนแปลงของประชากรไทยให้ชัดเจน โดยเฉพาะเป้าหมายการเพิ่มประชากร การทบทวนตัวชี้วัดที่สะท้อนแผนชี้นำระดับชาติ การกำหนดเป้าหมายรายปีเพื่อให้หน่วยงานที่นำไปปฏิบัติมีจุดมุ่งหมายชัดเจนประกอบการประเมินในการปรับปรุงหรือพัฒนางานระหว่างช่วงแผนประชากรฯ และนำแผนประชากรฯ สู่การปฏิบัติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการรักษาภาวะมีบุตรยาก สวัสดิการสำหรับบุตรที่กำหนดไว้เพียง ๒ คน รวมถึงการกำหนดคำนิยาม "คู่สมรสที่มีความพร้อมมีบุตร" ให้ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดกลไกและรูปแบบวิธีการการทำงานร่วมกันของแต่ละภาคส่วนอย่างชัดเจนทั้งด้านงบประมาณและหน่วยรับผิดชอบเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีเอกภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
29272 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอซับใหญ่ และอำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอซับใหญ่ และอำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอซับใหญ่ และอำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29273 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอเมืองร้อยเอ็ด และอำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอเมืองร้อยเอ็ด และอำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอเมืองร้อยเอ็ด และอำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29274 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29275 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ครั้งที่ 1 รุ่นอายุ 7 ปี (SB128A) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2555 และการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะยาวและตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) | กค | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ ครั้งที่ ๑ รุ่นอายุ ๗ ปี (SB128A) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ และการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะยาวและตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ออกประกาศจำหน่ายตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) อายุไม่เกิน ๖ เดือน วงเงินรวม ๒๓,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์รุ่น SB128A จำนวน ๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวและตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) ประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ จำนวน ๑๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) วงเงินรวม ๒๓,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท แบ่งการจำหน่ายออกเป็น ๒ งวดๆ ละ ๑๑,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒. รายรับจากการประมูลตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๒๓,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้นำไปชำระคืนต้นเงินกู้พันธบัตรออมทรัพย์และต้นเงินกู้ระยะยาวและตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) ได้แก่ ชำระคืนต้นเงินพันธบัตรออมทรัพย์ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ ครั้งที่ ๑ รุ่นอายุ ๗ ปี (SB128A) ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ ทั้งจำนวน เป็นเงิน ๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และชำระคืนต้นเงินกู้ระยะยาวและตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) วงเงิน ๑๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๓. ในการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว กระทรวงการคลังได้ออกประกาศ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การจำหน่ายตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แต่งตั้งพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยลงลายมือชื่อกำกับในตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ และประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ และได้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
29276 | ขออนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ รวม 2 ฉบับ | พณ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้พัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ให้พัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองมาตรฐานซึ่งไม่ต่ำกว่ามาตรฐานตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออก หรือออกให้โดยหน่วยงานหรือสถาบันที่หน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออกให้การรับรอง (Competent Authority : CA) แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๑.๒ ให้พัดลม หม้อหุงข้าว และหลอดไฟ เป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่กำหนด ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ยางรถใหม่เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ ให้ยางรถใหม่เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองตามที่กำหนดแสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๒.๒ ให้ยางรถใหม่เป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการทำงานร่วมกันในการสร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้สินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานให้แก่ผู้บริโภคได้รับทราบ และกำกับดูแลการนำเข้าสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าสำเร็จรูปและชิ้นส่วนที่นำเข้ามาประกอบในไทยให้เป็นไปตามเกณฑ์ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด รวมถึงให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากการบังคับใช้ประกาศฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29277 | ขออนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ รวม 3 ฉบับ | พณ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้หอมแดงเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ กำหนดให้หอมแดงเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออก หรือออกให้โดยหน่วยงานหรือสถาบันที่หน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออกให้การรับรอง (Competent Authority : CA) แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๑.๒ ให้หอมแดงเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่กำหนด ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ส้มเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ๑.๒.๑ กำหนดให้ส้มเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออก หรือออกให้โดยหน่วยงานหรือสถาบันที่หน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออกให้การรับรอง (Competent Authority : CA) แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๒.๒ ให้ส้มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่กำหนด ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องในสุกรเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๓.๑ กำหนดให้เครื่องในสุกรเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออก หรือออกให้โดยหน่วยงานหรือสถาบันที่หน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออกให้การรับรอง (Competent Authority : CA) แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๓.๒ ให้เครื่องในสุกรเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับการกำหนดช่วงระยะเวลาการนำเข้า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สินค้าเข้ามาในช่วงที่ผลผลิตของไทยออกสู่ตลาด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการการนำเข้าสินค้าหอมแดง ส้ม และเครื่องในสุกร เพื่อลดปัญหาที่รัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรในช่วงที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวมทั้งให้ความสำคัญกับความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยเป็นหลักทั้งศัตรูพืช โรคพืชและสัตว์ สารปนเปื้อนต่าง ๆ และความปลอดภัยด้านอาหารภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยการบังคับใช้กฎหมายที่ด่านศุลกากรและตามแนวชายแดนต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบนำเข้าสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29278 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับแนวทางในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ (๑๓ กลยุทธ์) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ สร้างและพัฒนาการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในชาติ ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ ผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในระบบการศึกษา และกลยุทธ์ที่ ๒ สร้างและผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนนอกระบบการศึกษา ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ สนับสนุนและพัฒนาการรวมกลุ่มของประชาชนด้วยวิธีการสหกรณ์ให้เป็นฐานรากสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนโดยใช้วิธีการสหกรณ์เป็นแนวทางในการดำเนินงาน และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบการผลิตการตลาดและการเงินของสหกรณ์ ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิตสินค้าคุณภาพเพื่อยกระดับสินค้าสหกรณ์ให้ได้มาตรฐาน กลยุทธ์ที่ ๒ การสร้างเครือข่ายการตลาดสินค้าสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๓ เชื่อมโยงเครือข่ายการเงินสหกรณ์ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สนับสนุนแผนพัฒนาการสหกรณ์ให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของขบวนการสหกรณ์ มี ๑ กลยุทธ์ คือ ผลักดันแผนพัฒนาการสหกรณ์สู่การปฏิบัติ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ ขบวนการสหกรณ์ และปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการพัฒนา ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับงานส่งเสริมสหกรณ์ กลยุทธ์ที่ ๒ ปฏิรูปโครงสร้างสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย กลยุทธ์ที่ ๓ ปรับปรุงโครงสร้างชุมนุมสหกรณ์ และสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๔ ปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ ภายใต้หลักการอุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ให้เหมาะสมกับสหกรณ์แต่ละประเภท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมประเด็นการพัฒนา ให้สหกรณ์ดำเนินการได้อย่างเป็นมืออาชีพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ และยุทธศาสตร์ที่ ๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน ข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ในวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ที่มีรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ งบประมาณ และหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้สหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ และสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย รวมทั้งเครือข่ายการพัฒนาที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินการที่เอื้อและส่งเสริมกันและกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์แต่ละประเภทในทุกระดับ มีความเป็นอิสระ มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการ ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
29279 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลเหมืองง่า ตำบลในเมือง ตำบลต้นธง และตำบลบ้านแป้น อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | มท | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลเหมืองง่า ตำบลในเมือง ตำบลต้นธง และตำบลบ้านแป้น อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างและขยายถนนสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๓๓ ในท้องที่ตำบลเหมืองง่า ตำบลในเมือง ตำบลต้นธง และตำบลบ้านแป้น อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29280 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๓ จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ถึงกิโลเมตรที่ ๑๘.๘๕๐ ในท้องที่ตำบลบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี และทางน้ำชลประทานคลองซอย ๒๖ จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลลำไทร ตำบลพยอม อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงกิโลเมตรที่ ๑๓.๕๐๐ ตำบลวังน้อย ตำบลตาเสา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....