ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1462 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29221 - 29240 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29221 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกันเพื่อแก้ไขร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
29222 | ร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | นร05 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
29223 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2555 (ครั้งที่ 143) | พน | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๑๔๓) เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๗๓) [แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (ระยะยาว) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๓] รวมทั้งร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) กับบริษัท Qatar Liquefied Gas Company Limited ประเทศกาตาร์ และหลักเกณฑ์การการจัดหา LNG ระยะยาว ทั้งนี้ ในร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงนามในสัญญาซื้อขายในปริมาณ ๒ ล้านตันต่อปี ภายหลังจากที่ร่างสัญญาดังกล่าวผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ๑.๒ เห็นชอบการเลื่อนกำหนดการยกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ ออกไปอีก ๓ เดือน จากวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ไปเป็นวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานปรับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล ๙๑ กับน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น และให้กระทรวงพลังงานเร่งประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้เกิดการยอมรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ให้มากขึ้น รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันกำหนดทิศทางเกี่ยวกับพืชเกษตรที่สามารถนำมาเป็นพลังงานได้ โดยพิจารณาถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ในการผลิต ๑.๓ เห็นชอบแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (ระยะสั้น) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนรองรับกรณีไม่สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติได้ตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๗๓) ๑.๔ เห็นชอบโครงการ LNG Receiving Terminal ระยะที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๒๑,๔๐๐ ล้านบาท รวมทั้งแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๕๔ (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ครั้งที่ ๒ ซึ่งมีวงเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วอีก ๑๗,๗๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๒๑๗,๓๗๒ ล้านบาท ๑.๕ เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) กับบริษัท Qatar Liquefied Gas Company Limited ประเทศกาตาร์ โดยให้ใช้เงื่อนไขการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ๑.๖ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน ๑๑ ฉบับ (๑๑ ผลิตภัณฑ์) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่ากำลังไฟฟ้าขณะรอใช้งาน ค่ากำลังไฟฟ้าขณะปิดเครื่อง และค่าประสิทธิภาพพลังงาน สำหรับผลิตภัณฑ์จำนวน ๑๑ ผลิตภัณฑ์ ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์พลังงานและเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง อันเป็นการประหยัดพลังงานของประเทศ รวมทั้งเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนไทย-กัมพูชา ควรเตรียมการดำเนินการเป็นการล่วงหน้า เนื่องจากต้องมีระยะเวลาสำหรับการดำเนินการตั้งแต่การทำความตกลงระหว่างประเทศจนถึงการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้งานไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี รวมทั้งควรมีแผนรองรับในกรณีที่ไม่สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติได้ตามแผนจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาวดังกล่าว ส่วนการกำหนดเวลายกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีระยะเวลาเพียงพอในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
29224 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555 | วธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ รวมถึงลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน (ตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา) โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ๑.๒ การใช้สิทธิการลาเพื่อเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการฯ ให้สิทธิแก่ข้าราชการ (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว สามารถลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติ ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๓ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนจัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และเข้าร่วมอบรมตามหลักสูตรศาสนศึกษา สำหรับผู้บวชระยะสั้นตามที่กรมการศาสนาหรือคณะสงฆ์กำหนด ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว ๒. หากมีส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกำหนดจัดโครงการอุปสมบท เนื่องในโอกาสมหามงคลดังกล่าว และมีความประสงค์ให้ข้าราชการเข้าร่วมอุปสมบท ระยะเวลา ๑๕ วัน แต่วันที่ดำเนินการไม่ตรงกัน ให้ได้รับสิทธิในการลาอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาเช่นเดียวกันด้วย ตามความเห็นของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ |
||||||||||||||||||
29225 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้งประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ ดังนี้ "โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละสาม ร้อยละห้า ร้อยละสี่ และร้อยละห้า เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเงินเดือนภาครัฐ และในกรณีที่มีการปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยละเท่ากันทุกอัตราและไม่เกินร้อยละสิบของอัตราที่ใช้บังคับอยู่ สมควรให้กระทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา รวมทั้งเปลี่ยนชื่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"
|
||||||||||||||||||
29226 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29227 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๘๒๐.๑๖๗๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓.๕๒๒.๔๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๙.๐๖๗๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๑๐๐,๘๙๙.๑๐๒๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๙๒ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนทั้งสิ้น ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๕,๗๒๙.๕๙๘๕ ล้านบาท คงเหลือเงินส่งคืนที่ยังไม่ได้มีการอนุมัติ จำนวน ๒๘๐.๘๕๑๘ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่จะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๔๐.๗๙๑๘ ล้านบาท ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้ตรวจสอบข้อมูลการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ/รายการ ให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืน พบว่ามีส่วนราชการฯ ยังมิได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณกลางรายการดังกล่าวเป็นวงเงิน ๖๒๖.๗๖๑๙ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการฯ ภายใต้กำกับที่มีโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ เร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดให้แล้วเสร็จพร้อมขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการ/รายการดังกล่าว มายังสำนักงบประมาณโดยด่วน
|
||||||||||||||||||
29228 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร07 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยผลการพิจารณาโครงการ/รายการที่สำคัญมีความจำเป็นต้องดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดของวงเงินที่จะสามารถจัดสรรได้ เห็นควรอนุมัติค่าใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๑.๑ กรมชลประทาน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคลองส่งน้ำ เป็นเงิน ๑๓.๐๑๐๕ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคลองระบายน้ำ เป็นเงิน ๑๘.๕๐๐๐ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกันน้ำ เป็นเงิน ๒๓.๔๓๐๐ ล้านบาท และค่าก่อสร้างอาคารประกอบประตูระบายน้ำคลองบางกรวย เป็นเงิน ๘๙.๙๓๐๐ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นเงิน ๒๑๘.๔๑๐๖ ล้านบาท รวมเป็นเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๓๐๘.๓๔๐๖ ล้านบาท ๑.๒ กรมประมง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ด้านการเกษตร เป็นเงิน ๓๖.๙๖๗๗ ล้านบาท ๑.๓ กรมส่งเสริมการเกษตร ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ด้านการเกษตร เป็นเงิน ๔๗.๕๒๔๗ ล้านบาท ๒. กระทรวงกลาโหม ๒.๑ กองทัพบก ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและปรนนิบัติรถยนต์บรรทุก ขนาด ๒ ๑/๒ ตัน จำนวน ๔๐๐ คัน เป็นเงิน ๒๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ๒.๒ กองทัพเรือ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นเงิน ๙.๕๗๐๐ ล้านบาท ๓. กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโรงเรียน และสำนักงานพื้นที่เขตการศึกษา (จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ชุมพร สุราษฎร์ธานี และสงขลา) เป็นเงิน ๑๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ๔. กระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายงบค้างจ่ายการปฏิบัติการในภาวะภัยพิบัติ เป็นเงิน ๑๒.๘๙๙๓ ล้านบาท ๕. กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ โครงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ประสบอุทกภัยตามข้อเสนอของจังหวัด จำนวน ๘ จังหวัด เป็นเงิน ๑๖๘.๘๐๕๙ ล้านบาท ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเงิน ๒๙.๗๘๐๕ ล้านบาท จังหวัดพัทลุง เป็นเงิน ๒๔.๗๖๐๐ ล้านบาท จังหวัดนราธิวาส เป็นเงิน ๓๓.๓๑๖๐ ล้านบาท จังหวัดปัตตานี เป็นเงิน ๒๑.๐๙๗๘ ล้านบาท จังหวัดสงขลา เป็นเงิน ๙.๖๖๑๖ ล้านบาท จังหวัดระนอง เป็นเงิน ๑๑.๓๐๐๐ ล้านบาท จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นเงิน ๒๐.๐๐๐๐ ล้านบาท และจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นเงิน ๑๘.๘๙๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
29229 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 13/2555 | วท | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ.เสนอ เกี่ยวกับข้อเสนอโครงการของกรมชลประทาน ๒ โครงการ วงเงินรวม ๗๔๘,๓๘๑,๗๐๐ บาท โดย กบอ. ได้พิจารณาทบทวนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕] ทั้งนี้ ให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ดังนี้ ๑.๑ โครงการอาคารประกอบประตูระบายน้ำคลองบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี วงเงิน ๓๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ งานปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อยด้านทิศใต้ ช่วงที่ ๑ และช่วงที่ ๒ วงเงิน ๔๓๒,๓๘๑,๗๐๐ บาท ประกอบด้วยงานปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อยด้านทิศใต้ ช่วงที่ ๑ (กม.๐+๐๖๐ ถึง กม.๒+๓๕๐) วงเงิน ๒๑๔,๑๓๙,๘๐๐ บาท และงานปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อยด้านทิศใต้ ช่วงที่ ๒ (กม.๒+๓๕๐ ถึง กม.๔+๖๕๐) วงเงิน ๒๑๘,๒๔๑,๙๐๐ บาท ๒. เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ตามงวดงานที่เกิดขึ้นจริง แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
29230 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมประจำสัปดาห์ และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พ.ศ. 2555 - 2556 | วท | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็น ส่วนภาคใต้มีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไป และคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ ๒๑-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อน แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออกมีฝนบางแห่งถึงเป็นแห่ง ๆ ส่วนลมตะวันออกพัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้เข้าปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไป และมีฝนตกหนักบางแห่ง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ ๒๓-๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนบางแห่งถึงเป็นแห่ง ๆ และอุณหภูมิจะลดลง ๑-๒ องศาเซลเซียส ๒. การบริหารน้ำในเขื่อน การเตรียมรับมือปริมาณน้ำน้อยวิกฤติในเขื่อนลำปาวและเขื่อนห้วยหลวง ปัจจุบันมีปริมาณน้ำกักเก็บเพียง ๒๒% และ ๓๕% ตามลำดับ ปริมาณน้ำกักเก็บลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งไม่มีน้ำไหลลงเขื่อนตั้งแต่วันที่ ๑๑ และ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นมา ตามลำดับ ในระยะสั้นให้ปรับลดการระบายน้ำเพื่อประหยัดน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ๓. แนวทางในการแก้ปัญหาภัยแล้ง พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ กบอ. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาฯ จำนวน ๑๗ หน่วยงาน มาร่วมประชุมในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ สรุปแนวทางการแก้ปัญหาฯ โดยยุทธศาสตร์การบริหารจัดการภัยแล้งจะต้องใช้น้ำอย่างประหยัด เน้นการกระจายน้ำเฉพาะพื้นที่ ให้ลำดับความสำคัญกับการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตร กลยุทธ์ในการบริหารจัดการภัยแล้ง ได้แก่ การทำฝนเทียมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เริ่มดำเนินการแล้ว) การปล่อยน้ำเข้าทุ่งในภาคกลาง (เริ่มดำเนินการแล้ว) การปิดเขื่อนปากมูล (วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) การผันน้ำข้ามลุ่มน้ำ เช่น ลุ่มน้ำน่านไปลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำท่าจีน/แม่กลองไปลุ่มน้ำเจ้าพระยา การสร้างระบบสูบน้ำและส่งน้ำทางท่อ (เฉพาะจุดที่มีน้ำต้นทุนประมาณ ๕๐๐,๐๐๐-๑,๐๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร อยู่ในระหว่างการสำรวจพื้นที่และการเขียนโครงการ) และเพิ่มระบบน้ำบาดาลเพื่อการบริโภค อุปโภคระดับหมู่บ้าน (อยู่ในระหว่างการสำรวจพื้นที่และเขียนโครงการ)
|
||||||||||||||||||
29231 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (นายชวลิต ชูขจร) | กษ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร แทนนางสาวสุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ ซึ่งได้เกษียณอายุราชการแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||
29232 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยรวม ๔ จังหวัด (จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไป โดย ๑.๑ ความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการศึกษาความเป็นไปได้และการสำรวจออกแบบเบื้องต้นท่าอากาศยานนานาชาติดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการปรับปรุงทางหลวงย่านชุมชน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการก่อสร้างทางคู่ขนาน ทางหลวงสายเอเชีย (สาย ๔๑) เขตชุมชน จังหวัดพัทลุง และโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเขตพื้นที่ (Core Zone) และเขตพื้นที่กันชน (Buffer Zone) เพื่อนำพระบรมธาตุเป็นมรดกโลก และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการอาชีวศึกษาชุมพรเชิงบูรณาการสู่ประชาคมอาเซียน จังหวัดชุมพร ๑.๒ ความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของทั้ง ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดชุมพร มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเขตทางหลวง [ทางหลวงหมายเลข ๔๑ (AH 18) บริเวณใกล้สะพานแม่น้ำสวี] และการบูรณาการโครงการในพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริชุมพร จำนวน ๔ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้าง/ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและภูมิทัศน์ โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ (ขุดลอกแก้มลิงหนองใหญ่) โครงการศูนย์การเรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กว่า ๔,๑๐๐ โครงการ และโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ (ศูนย์เรียนรู้โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่) และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการยกระดับคุณภาพกำลังคนอาชีวศึกษาเชิงบูรณาการสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒.๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ท่องเที่ยวหาดเฉวง อำเภอเกาะสมุย โครงการขุดบ่อบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน โครงการศูนย์บริหารจัดการสารสนเทศสำหรับนักท่องเที่ยวอำเภอเกาะสมุย โครงการส่งเสริมชุมชนต้นแบบในพื้นที่จัดสรรที่ดินทำกิน อำเภอพุนพิน โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร และโครงการบริหารจัดการขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม อำเภอเกาะพะงัน และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการบริหารจัดการน้ำ (แก้มลิงทุ่งหัวสน) อำเภอกาญจนดิษฐ์ และโครงการจัดตั้งโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ สุราษฎร์ธานี ๑.๒.๓ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนสมัชชาพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด โครงการวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นมรดกโลก โครงการขุดลอกคลองท่าซักเพื่อป้องกันอุทกภัยจังหวัด (หมู่ที่ ๒-๙ ตำบลท่าซัก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช) โครงการก่อสร้างถนนสายชายทะเล-บ้านสี่กั๊ก ตำบลท่าขึ้น อำเภอท่าศาลา โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองชะอวด ตำบลชะอวด ตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และโครงการก่อสร้างท่อระบายน้ำชนิดท่อเหลี่ยมเพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่ตำบลและอำเภอข้างเคียง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการศูนย์การเรียนรู้ทางภาษาเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และโครงการขุดลอกคลองนบ อำเภอนบพิตำ ๑.๒.๔ จังหวัดพัทลุง มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการระบายน้ำ อำเภอป่าพะยอม อำเภอควนขนุน อำเภอปากพะยูน และอำเภอป่าบอน โครงการขุดลอกคลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ อำเภอป่าพะยอม อำเภอควนขนุน อำเภอปากพะยูน และโครงการปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงชนบทเพื่อการระบายน้ำและป้องกันการกัดเซาะ อำเภอเมือง ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และพัทลุง ๓.๑ จังหวัดชุมพร ให้เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนนสายช่อง ๕-บ่อนไก่ ระยะทาง ๗.๕ กิโลเมตร เพื่อเป็นเส้นทางลัดเข้าสู่เมืองชุมพร ๓.๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓.๒.๑ ให้เทศบาลนครเกาะสมุยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเกาะสมุย กำหนดแผนการบำรุงรักษาทางน้ำสาธารณะประจำปี รณรงค์สร้างจิตสำนึกการรักษาลำน้ำสาธารณะ และการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ๓.๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยของโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และโครงการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ ๓.๒.๓ ให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานีจัดทำโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอาชีพ และให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีจัดทำโครงการศูนย์ฝึกอบรม/พัฒนาอาชีพ บรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๓.๓ จังหวัดพัทลุง ๓.๓.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาทางหลวงชนบทริมฝั่งทะเลสาบสงขลา ๓.๓.๒ ให้คณะทำงานของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ลงพื้นที่เพื่อหาแนวทางและวางแผนบริหารจัดการลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
|
||||||||||||||||||
29233 | การพิจารณาโครงการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออก | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการการพิจารณาโครงการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดชุมพร ได้แก่ โครงการป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเขตทางหลวง [ทางหลวงหมายเลข ๔๑ (AH18) บริเวณใกล้สะพานแม่น้ำสวี] วงเงิน ๔๕ ล้านบาท โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ และโครงการป้องกันน้ำท่วม และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเขตทางหลวง [ทางหลวงหมายเลข ๔๑ (AH18) บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรทุ่งตะโก] วงเงิน ๑๕ ล้านบาท ๑.๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ โครงการบริหารจัดการน้ำ (แก้มลิงพรุค้อ) วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุกง วงเงิน ๓๖ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุคลองช้าง พร้อมอาคารประกอบ อำเภอบ้านนาเดิม วงเงิน ๑๙ ล้านบาท โดยให้กรมชลประทานตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่จะดำเนินการขุดลอกและปรับแผนดำเนินการให้เหมาะสม โดยให้ชุมชนเข้ามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ ๑.๓ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองหัวตรุด ตำบลท่าไร่ ตำบลปากนคร อำเภอเมือง วงเงิน ๓๒.๙ ล้านบาท โครงการประตูระบายน้ำควนกรด ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง วงเงิน ๔๗.๗ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองท่าซัก ตำบลท่าซัก อำเภอเมือง โดยในส่วนของโครงการขุดลอกคลองท่าซัก ให้กรมชลประทานศึกษารายละเอียดความเหมาะสมก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อพิจารณาต่อไป ๒. สำหรับโครงการในพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นพรุหรือแหล่งซับน้ำ ซึ่งหากมีการขุดลอกหรือสูบน้ำออกจากพื้นที่ดังกล่าวอาจเกิดผลเสียและมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ให้ กบอ. ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาทบทวนและปรับปรุงการดำเนินโครงการให้เหมาะสมต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
29234 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
29235 | ร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปปส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
29236 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้
๑. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน และให้สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกันเพื่อแก้ไขร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎร ๒. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||
29237 | ผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเซีย (Asia Cooperation Dialogue - ACD) ครั้งที่ 1 | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue-ACD) ครั้งที่ ๑ ที่รัฐคูเวต เมื่อวันที่ ๑๖-๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ไทยในฐานะผู้ประสานงาน ACD ได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกดำเนินการร่วมกันเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของเอเชีย และเสนอให้มีการจัดทำ Blueprint on Enhanced Infrastructure Connectivity เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายการคมนาคมและสร้างเสริมความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน พร้อมทั้งได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการหารือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานของ ACD เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. คูเวตได้เสนอให้มีการระดมทุน จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านโลจิสติกส์ ด้านอาหารและพลังงานในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย โดยจะจัดสรรเงินทุนให้ จำนวน ๓๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) ซึ่งประเทศไทยในฐานะผู้ประสานงานกรอบความร่วมมือ ACD จะต้องประสานงานกับประเทศคูเวตเพื่อกำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขในการจัดสรรเงินทุนดังกล่าว ๓. ไทยเสนอเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำ ACD ในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘) ๔. การหารือทวิภาคี ๔.๑ คูเวต สนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอย่างมาก โดยจะมาลงทุนในตลาดการท่องเที่ยวของประเทศไทย และเสนอให้ใช้การประชุมคณะกรรมการร่วม (Joint Committee : JC) เป็นกลไกในการหารือร่วมกัน ซึ่งการประชุมครั้งแรกประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ ได้มอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเรื่องดังกล่าวต่อไป ๔.๒ ศรีลังกา สนใจในการดำเนินโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และเนื่องจากในปีหน้าจะครบ ๒๖๐ ปี ของการก่อตั้งพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ขึ้นในประเทศศรีลังกา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญดังกล่าว จึงมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดต่อไป ๔.๓ ทาจิกิสถาน เป็นประเทศที่เป็นตลาดใหม่ของไทย โดยเน้นเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการท่องเที่ยว ๔.๔ อิหร่าน ให้ความสำคัญกับการหารือการค้าในรูปของ Barter Trade ๔.๕ ปากีสถาน เป็นประเทศที่มีประชากรมาก ควรขยายความร่วมมือในหลายด้าน เช่น ทางการค้า การพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน รถยนต์ อาหาร และอัญมณี เป็นต้น ๔.๖ ในประเด็นการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ประเทศสมาชิก ACD หลายประเทศ เช่น คูเวต ปากีสถาน และอิหร่าน ยินดีให้ความร่วมมือดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ องค์การการประชุมอิสลาม (Organization of the Islamic Conference : OIC)
|
||||||||||||||||||
29238 | โครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง "รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง" | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจนทั่วถึง และให้เพิ่มมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการ ตลอดจนการอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอ ๒. ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดถึงภาคเอกชนและชุมชนต่าง ๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” โดยให้แต่ละหน่วยงานแจ้งผลการดำเนินการไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางการดำเนินโครงการนี้ไปปรับใช้กับการดูแลรักษาคูคลองต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยประสานงานและขอความร่วมมือให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินการให้บรรลุผลอย่างยั่งยืน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลรักษาคูคลองให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งสนับสนุนให้มีการตกแต่งคูคลองให้เรียบร้อยสวยงาม เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
29239 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้การขอรับการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์เพื่อการผลิต การวิจัย หรือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ๒. กำหนดผู้มีสิทธิขอรับเงินกองทุน หลักเกณฑ์การยื่นขอรับเงินกองทุน ๓. กำหนดขั้นตอนการพิจารณาแผนงานหรือโครงการ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาการกลั่นกรองทางวิชาการ การกลั่นกรองทางวิชาการ การพิจารณาแผนงานหรือโครงการที่เสนอขอรับเงินกองทุน และอำนาจในการอนุมัติเงินกองทุนของคณะกรรมการ ๔. กำหนดหลักเกณฑ์การรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้เงินของผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน การระงับการจ่ายเงินงวด และการปรับปรุงโครงการ
|
||||||||||||||||||
29240 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2555) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๕) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ จากระยะเดียวกันปีก่อน ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมปรับดีขึ้นหลังปัญหาอุทกภัยคลี่คลายลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี สำหรับเสถียรภาพด้านราคา อัตราเงินเฟ้อชะลอลงและยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ ๕.๗ ในขณะที่แรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มอ่อนลงจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน กนง.ประเมินภาวะการเงินโดยรวมในปัจจุบันว่า ยังผ่อนปรนเพียงพอที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป และสามารถรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงศักยภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ ภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ สินเชื่อขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงเล็กน้อย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ สำหรับปัจจัยที่ควรติดตามที่อาจมีผลต่อเสถียรภาพในช่วงต่อไปที่สำคัญ ได้แก่ ผลของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและคุณภาพของสินเชื่อ สินเชื่อมีการเร่งตัวโดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ๒.๒.๒ การดำเนินนโยบายด้านสถาบันการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้จัดให้มีการประชุมร่วมระหว่าง กนง. และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) โดยที่ประชุมร่วมได้ประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปัจจุบันว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในระยะสั้นอาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินของไทย และในระยะยาวจะกระทบต่อศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ๒.๒.๓ การดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงิน ธปท. ได้ดำเนินการกำกับดูแลธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกตั๋วเงินของสถาบันการเงินให้มีความชัดเจน ทันสมัย และสอดคล้องหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในส่วนของการดูแลผู้บริโภคได้ร่วมมือกับ ก.ล.ต. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการยกร่างแนวนโยบายในเรื่องการขายผลิตภัณฑ์ด้านประกันและหลักทรัพย์ผ่านสาขาของสถาบันการเงิน สำหรับการเตรียมความพร้อมสถาบันการเงินเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำสำหรับความเสี่ยงด้านปฏิบัติการโดยวิธี Advanced Measurement Approaches (วิธี AMA) นอกจากนี้ได้เตรียมออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนเกี่ยวกับแนวทางในการรายงานข้อมูล (Leverage Ratio) และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และยังได้ดำเนินการต่อไปในส่วนของการประเมินผลกระทบ (Quantitative Impact Study: QIS) ของหลักเกณฑ์ Basel III ต่อระบบสถาบันการเงินด้วย ๒.๒.๔ การดำเนินนโยบายการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน การดำเนินการคืบหน้าตามวัตถุประสงค์ คือ ลดต้นทุน ส่งเสริมการแข่งขันและการเข้าถึงบริการทางการเงิน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ๒.๒.๕ การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ธปท. ได้ร่วมกำหนดนโยบายการเปิดเสรีและกลยุทธ์การเจรจากับคณะทำงานพิจารณาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ตามแนวนโยบายของรัฐบาลและแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเสรีภาคการเงิน รอบที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗) นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมประชุมจัดทำแผนการรวมตัวภาคการธนาคาร และร่วมเจรจาความตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ อีก ๔ ฉบับ สำหรับบทบาท ธปท. ในเวทีการกำกับดูแลสากล ได้เข้าร่วมหารือในเวทีที่มีความสำคัญในการวางเกณฑ์สากลของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ๒.๒.๖ การดำเนินงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ได้ดำเนินการปรับปรุงแนวทางการตรวจสอบสถาบันการเงินแบบเน้นธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยในครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ตรวจสอบสถาบันการเงินแล้วเสร็จ ๑๗ แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอีก ๖ แห่ง นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีการตรวจสอบกระบวนการบริหารที่สำคัญ ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบสถาบันการเงินในด้านนี้แล้ว ๑๔ แห่ง ๒.๒.๗ การทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินของ ธปท. ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องประมาณ ๔.๘ เท่าของอัตราที่กฎหมายกำหนด ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ธปท. ดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ ตามแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ๒๕๕๕-๒๕๕๙ อาทิ การสนับสนุนการพัฒนาระบบ Local Switching การชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกและใช้จ่ายในประเทศ การส่งเสริมการทำธุรกรรมชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดมาตรฐานกลางข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบการชำระเงินเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งการดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวมีความคืบหน้าตามที่กำหนด ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารด้วยภาพเช็ค (Imaged Cheque Clearing and Archive System: ICAS) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบ ICAS ซึ่งเริ่มใช้งานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ก่อนทยอยขยายการให้บริการไปทั่วประเทศภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๓.๓ การกำกับดูแลระบบการชำระเงินและผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ธปท. อยู่ระหว่างศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวทางการกำกับดูแลระบบการชำระเงินตามมาตรฐานสากลที่สำคัญ รวมถึงพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๑ นอกจากนี้ได้ให้ความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในการให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
.....