ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 1 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 1 จากข้อมูลทั้งหมด 1 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ |
---|---|---|---|
1 | ขออนุมัติลงนามและดำเนินการให้สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางการศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี มีผลใช้บังคับ | ศย | 23/04/2556 |
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางการศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเกาหลี และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณี เป็นผู้ลงนามสนธิสัญญาฯ โดยสาระสำคัญของสนธิสัญญาฯ เป็นการกำหนดเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือกันทางการศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ระหว่างภาคีทั้งสองฝ่าย ได้แก่ ๑.๑.๑ ภาคีทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือกันในการส่งเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน และการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศทางกฎหมายและข้อมูลคดีที่เปิดเผยต่อสาธารณะในคดีแพ่งและพาณิชย์ ๑.๑.๒ คนชาติของภาคีแต่ละฝ่ายจะได้รับความคุ้มครองทางการศาลเช่นเดียวกันกับที่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งให้แก่คนชาติของตน รวมถึงนิติบุคคลซึ่งก่อตั้งขึ้นตามกฎหมายของภาคีฝ่ายหนึ่ง และมีภูมิลำเนาอยู่ในอาณาเขตของภาคีฝ่ายนั้น ๑.๑.๓ ภาคีแต่ละฝ่ายมีสิทธิปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือหากเห็นว่าจะกระทบต่ออธิปไตย ความมั่นคง หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาล ๑.๑.๔ การดำเนินการตามคำร้องขอต้องไม่เป็นเหตุให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ เว้นแต่ การส่งเอกสารโดยเจ้าหน้าที่ของศาลหรือบุคคลที่มีอำนาจตามกฎหมายด้วยวิธีการส่งเอกสารเป็นพิเศษ หรือการสืบพยานหลักฐานที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือล่าม ๑.๑.๕ เจ้าหน้าที่ทางทูตหรือกงสุลของภาคีแต่ละฝ่ายอาจส่งเอกสารทางการศาลให้แก่คนชาติของตนหรือสอบปากคำคนชาติของตน ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งและจะใช้มาตรการบังคับอย่างใด ๆ มิได้ ๑.๑.๖ พยานบุคคลอาจปฏิเสธที่จะเบิกความ หากเป็นผู้มีเอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน หรือมีหน้าที่จะปฏิเสธการเบิกความ ๑.๑.๗ สนธิสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อครบกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้แจ้งต่อกันเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านวิถีทางการทูตว่า แต่ละฝ่ายได้ปฏิบัติตามมาตรการที่จำเป็นตามกฎหมายภายในของตนเพื่อให้สนธิสัญญานี้มีผลใช้บังคับแล้ว ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สนธิสัญญาฯ มีผลใช้บังคับ ตามแต่จะได้ตกลงกับฝ่ายสาธารณรัฐเกาหลีต่อไป ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสนธิสัญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้สำนักงานศาลยุติธรรมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันราชอาณาจักรไทย หากผู้ลงนามหนังสือสัญญามิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ลงนามต้องได้รับมอบอำนาจโดยหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ซึ่งออกให้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....