ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1381 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 27601 - 27620 จากข้อมูลทั้งหมด 124229 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27601 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร10 | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขบัญชีกำหนดสายงานที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งท้ายกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อให้สอดคล้องกับการกำหนดมาตรฐานกำหนดตำแหน่งและลักษณะงานวิชาชีพ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
27602 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. .... | คค | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27603 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... | มท | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27604 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. แม้ว่าจะได้มีการยกเว้นมิให้ใช้บังคับพระราชบัญญัติกับการให้ประทานบัตรตามกฎหมายว่าด้วยแร่ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติกระบวนการให้ประทานบัตรในขั้นตอนต่าง ๆ พร้อมกับกำหนดผลประโยชน์ที่ต้องจ่ายให้แก่รัฐไว้ด้วยแล้วก็ตาม แต่โดยที่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางส่วนมีความล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงสมควรที่จะมีการพิจารณาแก้ไขหรือปรับปรุงพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ เพื่อให้การพิจารณาให้ประทานบัตรแร่มีมาตรฐานและขั้นตอนในการพิจารณาที่โปร่งใส ชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้ ๒. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในบางโครงการนั้น อาจจะต้องมีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ เช่น การทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้น รัฐบาลจึงควรเร่งรัดผลักดันให้การดำเนินการตามกฎหมายอื่นสอดคล้องกับระยะเวลาตามแนวทางยุทธศาสตร์ในเรื่องนี้ที่จะมีการกำหนดขึ้น เพื่อมิให้เกิดความล่าช้าจนเกินสมควร อันจะทำให้บรรลุถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่ประสงค์จะให้โครงการพื้นฐานที่จำเป็นแก่เศรษฐกิจและสังคม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมทั้งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เอกชนมีความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐมากยิ่งขึ้นด้วย ๓. เพื่อประโยชน์ในการใช้งบประมาณในโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด รัฐบาลจึงควรพิจารณารูปแบบการดำเนินโครงการและการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงภาระต่องบประมาณ และผลกระทบต่ออัตราค่าบริการที่จะเรียกเก็บจากประชาชนผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกรณีโครงการร่วมลงทุนที่มีการก่อสร้างขนาดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงรูปแบบการจ้างเหมาออกแบบรวมก่อสร้าง (Design and Build) หรือดำเนินการเฉพาะในส่วนที่มีความจำเป็น เนื่องจากรูปแบบดังกล่าวไม่มีแบบรายละเอียดของโครงการที่ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายโครงการสูงเกินสมควร จนเป็นภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการ
|
|||||||||||||||||||||
27605 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวคิดการพัฒนาคนของประเทศไทย เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" | สสป | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวคิดการพัฒนาคนของประเทศไทย เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะในด้านนโยบาย การพัฒนาคน ด้านการปฏิรูปการศึกษา และด้านการตรากฎหมาย สรุปได้ ดังนี้
๑. ประกาศให้การพัฒนาคนด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นวาระแห่งชาติและนโยบายที่สำคัญของรัฐ ๒. ยึดถือการปฏิรูปการศึกษา เป็นนโยบายที่สำคัญในการพัฒนาคน ควรจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ โดยน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พุทธปรัชญาการศึกษา ปรัชญาการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มาประกอบการพิจารณาในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ๓. กำหนดคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของคนที่พึงประสงค์ ตามหลักการและเงื่อนไขของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๔. นำเป้าหมายการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๖ ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จของการพัฒนาคน ๕. การพัฒนาคนไม่ใช่ภารกิจของรัฐบาลเท่านั้น ทุกภาคส่วนในสังคมมีความรับผิดชอบร่วมกันในการพัฒนาคน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ๖. การศึกษาที่มีคุณภาพจะต้องถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง จะต้องให้ประชาชนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรมอย่างทั่วถึงแก่ประชาชน ๗. การศึกษาที่มีคุณภาพจะต้องเป็นการศึกษาที่ครอบคลุมการศึกษาต่าง ๆ อย่างบูรณาการและสมดุล ทั้งการศึกษาด้านพุทธิศึกษา จริยศึกษา หัตถศึกษา และพลศึกษา การศึกษาในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน การศึกษาตามอัธยาศัย ๘. ควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการพัฒนาครูให้เป็นครูที่มีจิตวิญญาณของครู เป็นครูมืออาชีพ ไม่ใช่เพียงอาชีพเป็นครู มีความรู้ความสามารถ อุทิศเวลาและอุทิศตนในการอบรมสั่งสอนเยาวชนให้เป็นทรัพยากรและอนาคตของชาติ ให้ครูมีรายได้และสวัสดิการที่เหมาะสมให้สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปูชนียบุคคล ๙. ควรส่งเสริมการจัดตั้งและการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน เพื่อให้เป็นวิทยาลัยโดยชุมชน ของชุมชน อย่างแท้จริง เพื่อให้วิทยาลัยชุมชนมีบทบาทที่สำคัญในการพัฒนาชุมชนให้เป็นชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง ๑๐. จัดให้มีหลักสูตรอาเซียนศึกษาในทุกระดับการศึกษา เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน สมาชิกของสมาคมอาเซียนมีความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะในเรื่องภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ๑๑. จัดทำแผนแม่บทแห่งชาติ ระยะเวลา ๕ ปี โดยตราเป็นกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับทุกรัฐบาล และทุกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ๑๒. ควรเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นประโยชน์แก่ชุมชนอย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||
27606 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดระยอง พ.ศ. .... | มท | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดระยอง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
27607 | การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำจังหวัดภูเก็ตและการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำจังหวัดภูเก็ต (นางปราณี สกุลพิพัฒน์) | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำจังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต ๒. แต่งตั้งนางปราณี สกุลพิพัฒน์ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำจังหวัดภูเก็ต
|
|||||||||||||||||||||
27608 | รายงานผลการดำเนินงานตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐของ 7 กระทรวง และ 1 หน่วยงาน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2556 เรื่อง แนวทางยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ | ทก | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ (Government Website Standard) ของ ๗ กระทรวง และ ๑ หน่วยงาน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ (เรื่อง แนวทางการยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ) โดยผลการสำรวจการพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐของ ๗ กระทรวง และ ๑ หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑-๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมคิดเป็นร้อยละ ๖๓.๒๕ ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีขึ้น นอกจากนี้ หน่วยงานทั้ง ๗ กระทรวง และ ๑ หน่วยงาน ได้มีการดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานเว็บไซต์ ซึ่งคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในระดับ Emerging Information Services, Enhance Information Services, Transaction Information Services , Connected Information Services และ Intelligence คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๘๘, ๑๐.๖๓, ๖.๒๕ และ ๑๓.๗๕ ตามลำดับ สรุปคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๑๑.๑๓
|
|||||||||||||||||||||
27609 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 | ทก | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๔๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๘๕ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๓.๐๓ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๓.๔๕ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๔.๘ แสนคน (จาก ๓๙.๐๑ ล้านคน เป็น ๓๙.๔๙ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๘.๘๕ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๕.๘ แสนคน (จาก ๓๘.๒๗ ล้านคน เป็น ๓๘.๘๕ ล้านคน) โดยผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขากิจกรรมด้านการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ สาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น สาขาการศึกษา สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ส่วนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม สาขาการก่อสร้าง สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร และสาขาการผลิต เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๓.๐๓ แสนคน ลดลง ๕.๖ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ โดยเป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๗๑ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๓๒ แสนคน ได้แก่ ผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ภาคการผลิต และภาคเกษตรกรรม ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๒๓ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๕.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๕.๗ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๓ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๒ หมื่นคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๙.๓ หมื่นคน ภาคกลาง ๘.๕ หมื่นคน ภาคใต้ ๕.๑ หมื่นคน ภาคเหนือ ๔.๘ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๖ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
27610 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - มัลดีฟส์ | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-มัลดีฟส์ (Agreement on the Establishment of Joint Commission for Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Maldives) มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งกลไกการดำเนินความสัมพันธ์ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม และจัดขึ้นทุก ๆ ๒ ปี โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ เพื่อปรึกษาหารือ และทบทวนความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ความร่วมมือทางวิชาการ การป้องกันอาชญากรรม สาธารณสุข การเกษตรและประมง ศิลปะและวัฒนธรรม การบินพลเรือน การศึกษา การพัฒนาสังคม และสาขาอื่น ๆ ตามที่ภาคีเห็นชอบ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มเติมความร่วมมือสาขาอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและการลงทุนในสาขาที่มีศักยภาพร่วมกัน ได้แก่ อาหารแปรรูป วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ธุรกิจก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
27611 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2556 ของไตรมาส 3 | ทก | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ของไตรมาส ๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานด้านการใช้บริการ ๑.๑ สถิติการใช้บริการ ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ไตรมาส ๓ มีจำนวน ๑,๕๓๗,๙๐๘ ครั้ง ลดลงจากไตรมาส ๓ ปีงบประมาณ ๒๕๕๕ จำนวน ๑๒,๗๒๒ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๐.๘๒ ๑.๒ สัดส่วนการใช้บริการแยกตามประเภท ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ไตรมาส ๓ โดยเรียงจากมากที่สุด ได้แก่ บริการสอบถามข้อมูลทั่วไป (Q&A) ร้อยละ ๗๙.๘๕ บริการสอบถามข้อมูลเพื่อการติดต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน (Contact Information) ร้อยละ ๑๒.๖๗ บริการข้อมูลโครงการพิเศษของรัฐบาล ร้อยละ ๔.๕๖ บริการรับเรื่องร้องเรียน (Complain) ร้อยละ ๒.๙๐ ซึ่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวสามารถจัดเป็นหมวดต่าง ๆ ได้แก่ หมวดสังคมและสวัสดิการ ร้อยละ ๖๒.๖๕ หมวดการร้องเรียนกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร้อยละ ๑๔.๔๘ หมวดการเมือง-การปกครอง ร้อยละ ๙.๔๑ หมวดเศรษฐกิจ ร้อยละ ๘.๐๓ หมวดทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ ๓.๐๗ และหมวดกฎหมาย ร้อยละ ๒.๓๖ ๒. ผลการดำเนินงานด้านคุณภาพบริการ ๒.๑ มาตรฐานคุณภาพการให้บริการ ได้บริหารจัดการควบคุมคุณภาพการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐาน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ไตรมาส ๓ มีจำนวนสายเรียกเข้าทั้งหมดจำนวน ๑,๕๓๗,๙๐๘ ครั้ง สามารถให้บริการได้จำนวน ๑,๕๑๐,๑๙๕ ครั้ง สามารถให้บริการสำเร็จร้อยละ ๙๘.๒๐ ๒.๒ การพัฒนาคุณภาพพนักงานรับสาย ได้พัฒนาคุณภาพของพนักงานรับสายเพื่อเพิ่มองค์ความรู้และทักษะการให้บริการ โดยจัดอบรมหลักสูตรเพิ่มเติม อาทิ หลักสูตรการวิเคราะห์กระทรวงคาบเกี่ยว หลักสูตรสิทธิประโยชน์การใช้บัตรทองและบัตรประกันสังคม หลักสูตรทัศนคติในงานร้องเรียน เป็นต้น ๒.๓ การสนับสนุนโครงการตามนโยบายของรัฐบาล และส่วนงานภาครัฐ ได้แก่ การให้บริการข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี การให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (Tablet) ให้แก่นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป รวมถึงการรับเรื่องร้องเรียนและข้อเสนอแนะต่าง ๆ การให้บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ ภัยแล้ง น้ำท่วม แผ่นดินไหว และรับแจ้งการขอความช่วยเหลือกรณีมีผู้ประสบภัยพิบัติ เป็นต้น การให้บริการข้อมูลโครงการกองทุนตั้งตัวได้ โครงการพัฒนาเมือง โครงการกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ และการสนับสนุนส่วนงานภาครัฐในการบูรณาการร่วมใช้ หมายเลข ๑๑๑๑ ได้แก่ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม หมายเลข ๑๑๑๑ กด ๗๗ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับประชาชน
|
|||||||||||||||||||||
27612 | การถอดถอนกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงซานา สาธารณรัฐเยเมน | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติถอดถอน นายอับดุล จาลีล อับดู ซาบิต (Mr. Abdul Galil Abdo Thabet) ออกจากตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงซานา สาธารณรัฐเยเมน เขตกงสุลครอบคลุมสาธารณรัฐเยเมน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27613 | รัฐบาลสาธารณรัฐโปแลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายเซนอน คุคชัค (Mr. Zenon Kuchciak)] | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเซนอน คุคชัค (Mr. Zenon Kuchciak) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโปแลนด์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายเยซี ไบเออร์ (Dr. Jerzy Bayer) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27614 | พิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศจอร์เจีย | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐจอร์เจีย โดยร่างพิธีสารฯ เป็นกลไกการหารือเกี่ยวกับลู่ทางการขยายความร่วมมือทวิภาคีทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยจะจัดให้มีการปรึกษาหารือกันเป็นประจำในระดับรัฐมนตรีหรือระดับอื่นที่เหมาะสม ในประเด็นทวิภาคีและประเด็นระหว่างประเทศที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน และการส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือด้านการเมือง การค้าและเศรษฐกิจ วัฒนธรรม มนุษยธรรม ข้อมูลข่าวสาร และอื่น ๆ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ |
|||||||||||||||||||||
27615 | ร่างถ้อยแถลงร่วมในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีเยือนปากีสถานอย่างเป็นทางการ | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อร่างถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทยกับปากีสถาน เพื่อใช้เป็นเอกสารสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ โดยเอกสารถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมและแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ทางการเมือง ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ด้านความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านวัฒนธรรม การศึกษาและการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน ความมั่นคงและการทหาร รวมทั้งด้านความร่วมมือในกรอบภูมิภาคและพหุภาคี ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทย ก่อนมีการเผยแพร่ถ้อยแถลงร่วมฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของกระทรวงวัฒนธรรมที่เห็นควรปรับแก้ชื่อพิธีสารจากเดิม “the Cultural Exchange Programme signed in 2004” เป็น “the Protocol for the Cultural Exchange Programme signed in 2005” และปรับแก้ร่างคำแปลฉบับภาษาไทย จากเดิม “ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมที่ได้ลงนามเมื่อปี ๒๕๔๗” เป็น “ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมภายใต้พิธีสารว่าด้วยแผนปฏิบัติการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ได้ลงนามเมื่อปี ๒๕๔๘” ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
27616 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตระหว่างไทยและปากีสถาน | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Islamic Republic of Pakistan on Mutual Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic Passports) มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและติดต่อราชการระหว่างเจ้าหน้าที่การทูตของทั้งสองฝ่าย โดยผู้ถือหนังสือเดินทางทูตฝ่ายหนึ่งจะได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและสามารถพำนักในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน ทั้งนี้ ความตกลงฯ สามารถระงับใช้ชั่วคราวด้วยเหตุผลเรื่องความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงแห่งชาติและการสาธารณสุขได้ ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
27617 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Federal Republic of Nigeria on Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic Passports) เพื่อเป็นการขยายความร่วมมือ ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและไนจีเรียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามเอกสารดังกล่าว ๓. หากมีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
27618 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2556 | ทส | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดพังงาและจังหวัดกระบี่ รวม ๓ ฉบับ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อมูลและผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างที่ประกาศกระทรวงฯ สิ้นผลการบังคับใช้ โดยดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๒ เดือน และรายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พร้อมทั้งประสานจังหวัดเพื่อทราบ ๒. เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๔ (ฉบับปรับปรุงแก้ไข) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ รวมทั้งนำรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๓. รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย) โดยให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและขยะติดเชื้อ ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้กรมควบคุมมลพิษนำมาตรการฯ (ระยะสั้น) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติให้บังเกิดผลสำเร็จ โดยระบุว่าจะมีการนำมาตรการระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีในลำดับถัดไป ๔. เห็นชอบในหลักการแนวทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อการฟื้นฟูระบบบำบัดน้ำเสียรวม หรือระบบกำจัดของเสียรวม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ปี ๒๕๕๔ โดยเป็นการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรร ข้อ ๑๕ (๒) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการขอจัดสรรและขอกู้ยืมเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กับ อปท. ที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเป็นรายโครงการ และให้ อปท. ดำเนินการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าปรับ และนำมาหักส่งเข้ากองทุนฯ ตามอัตราที่คณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมกำหนด รวมทั้งเห็นชอบให้มาตรการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ สิ้นสุดการบังคับใช้ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ ๕. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ประจำปี ๒๕๕๗ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาทบทวนและให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบการบริหารจัดการกองทุนสิ่งแวดล้อม การสรรหาแหล่งเงินทุน การจัดสรรเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การกำหนดสัดส่วนการสมทบเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม การสร้างความเข้าใจกับท้องถิ่น และการจัดเก็บเงินจากผู้ก่อมลพิษตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และนำเสนอประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาลงนาม ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||
27619 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินี | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายเตโอโดโร โอเบียง อึงเกมา อึมบาโซโก (Teodoro Obiang Nguema Mbasogo) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินี ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๖ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี และให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการเยือน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การแลกเปลี่ยนการเยือน ประธานาธิบดี ฯ เชิญนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินีอย่างเป็นทางการ โดยขอให้มีคณะนักธุรกิจไทยเดินทางไปด้วย ๒. การสนับสนุนการสมัครของไทยในองค์การระหว่างประเทศ อิเควทอเรียลกินียืนยันการสนับสนุนการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) สำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ๓. การค้าและการลงทุน นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดี ฯ เห็นพ้องที่จะส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะด้านการเกษตร ประมง อุตสาหกรรมเซรามิก และพลังงาน ๔. ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดี ฯ เห็นควรส่งเสริมให้มีความร่วมมือทางวิชาการในสาขาต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||
27620 | รายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณชายฝั่งจังหวัดระยอง | กษ | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณชายฝั่งจังหวัดระยอง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ได้ดำเนินการออกสำรวจคุณภาพน้ำทะเล คุณภาพสัตว์น้ำ ผลกระทบที่แนวปะการังเทียมได้รับ และสภาวะความเดือดร้อนและการช่วยเหลือชาวประมงในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันรั่วไหลบริเวณชายฝั่งจังหวัดระยอง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖-๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ การตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำทั่วไป พบว่าในบริเวณที่คราบน้ำมันเคลื่อนผ่าน น้ำทะเลมีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ปกติ การตรวจสอบปริมาณโลหะหนักในน้ำทะเล ๕ ชนิด คือ ปรอท แคดเมียม ตะกั่ว ทองแดง และสังกะสี ในน้ำทะเลที่คราบน้ำมันเคลื่อนผ่าน พบว่ามีค่าไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล การตรวจสอบปริมาณโลหะหนักในเนื้อสัตว์น้ำ พบว่าปริมาณโลหะหนักในเนื้อสัตว์น้ำมีค่าไม่เกินค่ามาตรฐาน การตรวจสอบปริมาณสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนในสัตว์น้ำ ยังไม่พบความผิดปกติของการปนเปื้อนสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนในสัตว์น้ำ และการตรวจสอบระบบนิเวศในแนวปะการังเทียม พบว่าคุณภาพน้ำทั่วไปและลักษณะความขุ่นใสของน้ำมีคุณภาพปกติ สภาวะทรัพยากรประมงในแนวปะการังเทียมอยู่ในสภาพปกติ สำหรับการช่วยเหลือชาวประมง ทางจังหวัดระยองได้ประกาศหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเสียหายจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล โดยให้ความช่วยเหลือเยียวยาชาวประมงพื้นบ้านในจังหวัดระยองที่ได้รับผลกระทบในเบื้องต้น อัตราวันละ ๑,๐๐๐ บาท จำนวน ๓๐ วัน นับแต่วันเกิดเหตุ ส่วนเครื่องมือประมงที่เสียหายให้กำหนดราคากลางตามจริงหรือราคาตลาดของอุปกรณ์ หรือเครื่องมือนั้น ๆ ๒. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดแผนการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยภายหลังเมื่อเหตุการณ์เข้าสู่สภาวะปกติเรียบร้อยแล้ว จะมีแผนปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ กุ้งแชบ๊วย จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ ตัว กุ้งกุลาดำ จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ ตัว ปูม้า จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตัว ปลากะพงขาว จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัว หอยหวาน จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัว และหมึก จำนวน ๕๐,๐๐๐ ตัว โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังได้จัดทำแผนเฝ้าระวังหลังจากเหตุการณ์คลี่คลาย โดยจะสุ่มเก็บตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์คุณภาพน้ำและสัตว์น้ำ สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง เป็นเวลา ๑ เดือน และเก็บตัวอย่างเดือนละ ๑ ครั้ง เป็นเวลา ๑ ปี หลังจากนั้น จะดูแนวโน้มตามผลการศึกษา แล้วจะดำเนินการวางแผนการติดตามระยะยาวอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการตรวจติดตามปริมาณสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนที่อาจจะมีการถ่ายทอดมาตามห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ รวมทั้งมีทีมงานศึกษาและดูแลชาวประมงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
|
.....