ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 46 จากทั้งหมด 482 หน้า แสดงรายการที่ 901 - 920 จากข้อมูลทั้งหมด 9627 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
901 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2563 | กค. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา
๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ (๑)
รายงานการกู้เงินและการค้ำประกันที่กระทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้ว
และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ และ (๒)
รายงานผลการประเมินความสำเร็จของโครงการหรือแผนงานที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๑๕
โครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
902 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 10 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | กค. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา
๑๐ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
พ.ศ. ๒๕๖๓ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยรายงานฯ
กล่าวถึงรายละเอียดการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
ซึ่งประกอบด้วย รายละเอียดของการกู้เงิน และวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้
และผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับ ซึ่งประกอบด้วย
รายละเอียดโครงการและผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับของโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๔ โครงการ
(เป็นโครงการตามแผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพี่อช่วยเหลือ เยียวยา
และชดเชย ให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ
ซี่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
903 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน จำนวน ๓
คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๘ ธันวาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นางกฤษณา
ลิ่มสุวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๓. นางสาวสุลักขณา
ธรรมานุสติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหาร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
904 | รายงานความคืบหน้าการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 | กค. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
กฎหมายลำดับรองที่ประกาศใช้บังคับแล้ว รวม ๒ ฉบับ คือ
ระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
และประกาศกำหนดวิธีการและขั้นตอนการประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ๒.
กฎหมายลำดับรองที่ยังไม่ประกาศใช้บังคับภายใน ๑ ปี รวม ๑๑ ฉบับ ๒.๑
เนื่องจากยังไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในปัจจุบัน รวม ๑ ฉบับ คือ
ระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งคุณสมบัติและคุณลักษณะต้องห้าม องค์ประกอบ
และวิธีการปฏิบัติหน้าที่
และวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของที่ปรึกษาหรือคณะที่ปรึกษา ๒.๒
เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้จัดทำหลักเกณฑ์แล้ว
แต่อยู่ระหว่างคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
และคณะกรรมการกลั่นกรองกรรมการรัฐวิสาหกิจพิจารณาเพื่อประกาศใช้บังคับต่อไป รวม ๓
ฉบับ คือ ประกาศกำหนดแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ
หลักเกณฑ์และวิธีการในการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ
และหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข
และระยะเวลาในการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ ๒.๓
เนื่องจากอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจดำเนินการเพื่อจัดทำหลักเกณฑ์
รวม ๓ ฉบับ คือ หลักเกณฑ์การจัดทำแผนวิสาหกิจและแผนปฏิบัติการประจำปี
ประกาศกำหนดทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และสมรรถนะหลักของกรรมการรัฐวิสาหกิจ
และหลักเกณฑ์การจัดทำรายงานการดำเนินงานประจำปีของรัฐวิสาหกิจ ๒.๔ เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ รวม ๓ ฉบับ
หลักเกณฑ์กำหนดแนวทางให้กระทรวงเจ้าสังกัดเสนอกรอบนโยบายการพัฒนาและทิศทางการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ
หลักเกณฑ์การจัดทำผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจตามแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ
และหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ๒.๕ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้เสนอปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๕๔ รวม ๑ ฉบับ คือ หลักเกณฑ์การจัดทำบัญชีและวิธีการคำนวณวงเงินชดเชย
และการเปิดข้อมูลต่อสาธารณชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
905 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2563 | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ เช่น (๑) เป้าหมายนโยบายการเงิน กนง. ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น โดยให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางเป็นเป้าหมายหลักควบคู่กับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ รวมถึงการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑-๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี ๒๕๖๓ (๒) ภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้ม ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓ เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรง (ไตรมาสที่ ๑ หดตัวร้อยละ ๒ ส่วนไตรมาสที่ ๒ หดตัวร้อยละ ๑๒.๒ จากระยะเดียวกันของปีก่อน) และประมาณการเศรษฐกิจ ณ เดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวที่ร้อยละ ๘.๑ ในปี ๒๕๖๓ และจะกลับมาขยายตัวได้ที่ร้อยละ ๕.๐ ในปี ๒๕๖๔ และ (๓) การดำเนินนโยบายการเงิน (อัตราดอกเบี้ย) ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ๓ ครั้ง จากร้อยละ ๑.๒๕ มาอยู่ที่ร้อยละ ๐.๕๐ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
906 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อย ปี 2562 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ประจำปี 2563 | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
(กบข.) และบริษัทย่อย ปี ๒๕๖๒ และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ประจำปี ๒๕๖๓
โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับงบการเงินของ กบข. ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วและเห็นว่าถูกต้องตามที่ควรให้สาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก กบข. ประจำปี ๒๕๖๓
เกี่ยวกับการดำเนินงานที่สำคัญ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
907 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ประจำปีบัญชี 2562 (วันที่ 1 เมษายน 2562 - 31 มีนาคม 2563) | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี
งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ประจำปีบัญชี ๒๕๖๓ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๒-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓)
โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับงบการเงินของ ธ.ก.ส. ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและเห็นว่าผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดสำหรับปีบัญชี
๒๕๖๒ ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
การดำเนินงานที่สำคัญตามยุทธศาสตร์ ปีบัญชี ๒๕๖๒ และทิศทางและนโยบายการดำเนินงานในปีบัญชี
๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
908 | การออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)
(สพพ.) ดำเนินการกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ.
วงเงิน ๑,๕๐๐ ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา-บ้านเชียงแมน
(เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) จำนวน ๑,๕๔๙.๒๑ ล้านบาท อายุสัญญา ๕ ปี
(ครบกำหนดอายุสัญญา ๒๕ เมษายน ๒๕๖๕ ปัจจุบันอายุสัญญาเงินกู้คงเหลือประมาณ ๒ ปี)
อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ ๒.๙๐ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ให้ สพพ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
และหาก สพพ. มีเงินสะสมเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการอื่น
เห็นควรให้นำเงินสะสมดังกล่าวมาชำระหนี้เงินกู้ เพื่อลดภาระงบประมาณและดอกเบี้ยเป็นลำดับแรก
และ (๒) ให้ สพพ.
ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา
และคำนึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชำระหนี้ การกระจายภาระหนี้
รวมถึงเสถียรภาพ และความยั่งยืนทางการเงินของ สพพ. เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
909 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 4 | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(Small and Medium Enterprises : SMEs) ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๙ (โครงการ PGS ระยะที่ ๙)
และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ
Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๔ (โครงการ Micro
Entrepreneurs ระยะที่ ๔) พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณวงเงินรวมไม่เกิน
๒๔,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๙
และอนุมัติงบประมาณวงเงินรวมไม่เกิน ๕,๗๕๐ ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการ Micro
Entrepreneurs ระยะที่ ๔ (รวม ๒ โครงการ
ขออนุมัติงบประมาณจำนวนทั้งสิ้น ๒๙,๗๕๐ ล้านบาท) จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลัง
(บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบเพื่อควบคุมสัดส่วนของภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(Non-Performing Guarantee : NPG) โดยพิจารณาสัดส่วนการชดเชยภาระค้ำประกันและอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อที่เหมาะสม
และจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการที่รัฐจะต้องรับภาระทั้งหมดอย่างถูกต้องครบถ้วนและเป็นรูปธรรม
และการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ
เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวบรรลุผลสัมฤทธิ์และมีความคุ้มค่าอย่างแท้จริง
รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนเร่งรัดดำเนินมาตรการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สำหรับภาระงบประมาณของโครงการฯ ให้กระทรวงการคลัง
(บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) ดำเนินตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม)
หารือร่วมกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ
เพื่อกำหนดมาตรการในการป้องกันไม่ให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPG)
เพิ่มขึ้นในระบบ และหากมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินโครงการในระยะต่อไปอีก ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมประเมินผลการดำเนินโครงการ
(ผลการค้ำประกันสินเชื่อ) ในช่วงที่ผ่านมา
รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
910 | ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. .... | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี [Chiang
Mai Initiative Multilateralisation (CMIM) Agreement] ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
พ.ศ. .... รวมถึงหนังสือแนบท้ายที่ต้องมีการลงนามเพิ่มเติมเมื่อมีการขอรับการช่วยเหลือรวม
๔ ฉบับ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความตกลง CMIM ฉบับปัจจุบันที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ เพื่อให้กลไก CMIM มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยมีประเด็นสำคัญที่ทำการแก้ไข คือ (๑)
การเพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือกรณีที่ไม่เชื่อมโยงกับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
จากร้อยละ ๓๐ เป็นร้อยละ ๔๐ ของวงเงินขอรับความช่วยเหลือสูงสุด (๒)
การยินยอมให้สามารถเลือกสมทบหรือขอรับความช่วยเหลือภายใต้กลไก CMIM เป็นเงินสกุลท้องถิ่นตามหลักความสมัครใจ และ (๓)
การเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเนื่องจากจะยกเลิกการใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงกรุงลอนดอน
(London Interbank Offered Rate : LIBOR) ในสิ้นปี ๒๕๖๔
และการแก้ไขประเด็นเชิงเทคนิคของกลไก CMIM อื่น ๆ เช่น
การปรับระยะเวลาการเบิกถอนเงินให้มีความยืดหยุ่นขึ้น เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติการลงนามในความตกลง CMIM
ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม และมอบหมายให้ ๑.๒.๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน
ลงนามในความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒.๒
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน ลงนามในหนังสือยืนยันการสมทบเงิน (Schedule
3-Commitment Letter) ในวงเงิน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒.๓
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน
ลงนามในหนังสือรับทราบการขอรับความช่วยเหลือ (Schedule 5-Letter of
Acknowledgement) และหนังสือยืนยันการปฏิบัติตามเงื่อนไขของความตกลง
(Schedule 6-Letter of Undertaking) เมื่อประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลง
CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒.๔
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือผู้แทน ลงนามในหนังสือให้ความเห็นทางกฎหมาย (Schedule
7-Legal Opinion) เมื่อประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลง CMIM
ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่าความตกลง CMIM
ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
รวมทั้งหนังสือแนบท้ายอาจเข้าข่ายเป็นสัญญาหรือเอกสารทางกฎหมายที่สำนักงานอัยการสูงสุดมีอำนาจและหน้าที่ให้คำปรึกษาและตรวจร่าง
ตามมาตรา ๒๓ (๒) ของพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนความตกลง CMIM ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
911 | รายงานประจำปี 2562 ของกองทุนการออมแห่งชาติ | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๒
ของกองทุนการออมแห่งชาติ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของกองทุนการออมแห่งชาติ
ประจำปี ๒๕๖๒ และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนการออมแห่งชาติ
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า
งบการเงินดังกล่าวมีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
912 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดของบัตรภาษี พ.ศ. .... | กค. | 01/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดของบัตรภาษี พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงวิธีการจ่ายเงินชดเชยจากรูปแบบกระดาษเป็นรูปแบบบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับชำระค่าภาษีอากร
โดยกำหนดให้บัตรภาษีมีแบบ ลักษณะ ราคา และรายละเอียดเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานที่กำหนดในระบบบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์
(Digital Tax Compensation : DTC) ของกรมศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัย
เนื่องจากบัตรภาษีหรือบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าที่คำนวณได้เป็นจำนวนและสามารถนำไปใช้จ่ายเป็นค่าภาษี
รวมทั้งสามารถโอนไปยังบุคคลอื่นได้ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
บัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความสำคัญที่จำเป็นต้องดูแลให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
และการกำหนดมาตรฐานตามข้อ ๓ ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
จึงจำเป็นต้องครอบคลุมประเด็นความเสี่ยงสำคัญของบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์
โดยมีมาตรฐานการจัดการบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมาตรการป้องกันการปลอมแปลง
การเรียกหรือชำระเงิน
และการนำบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการใช้งานแล้วกลับมาใช้ซ้ำอีก
รวมทั้งมาตรการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์และระบบบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์
(Digital Tax Compensation) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งานบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
913 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ และนายวารุจ ศิริวัฒน์) | กค. | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสันติ พร้อมพัฒน์) ๒. นายวารุจ ศิริวัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
914 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 | กค. | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจสำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
และรายงานการรับ-จ่ายเงินประจำปี ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้วเห็นว่า
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
915 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 27 | กค. | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๒๗ ซึ่งสหพันธรัฐมาเลเซียในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปค ประจำปี ๒๕๖๓
ได้จัดการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓
โดยมีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ที่ประชุมได้หารือถึงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของโลกอย่างมาก
โดยเฉพาะต่อวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย
รวมทั้งก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดนับแต่ปี ๒๔๗๓ ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในช่วงปลายปี
๒๕๖๔ และกลุ่มธนาคารโลกคาดการณ์ตัวเลขคนยากจนมากที่สุดจะเพิ่มขึ้นอีก ๑๑๐-๑๕๐
ล้านคน ในปี ๒๕๖๔ ๒. ผู้แทนประเทศไทยได้ชี้แจงเกี่ยวกับมาตรการด้านการคลังและการเงินของไทยในการรับมือและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ซึ่งใช้งบประมาณ ๒.๒ ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๒
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ เพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น
การให้เงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
การให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
และการออกทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสาร
ซึ่งมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ๓. เอเปคให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้านสุขภาพ
สาธารณสุข โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาตัวยาและวัคซีนสำหรับโควิด-๑๙
และการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบการเงิน
ซึ่งระบบดิจิทัลได้มีบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของภาคส่วนต่าง
ๆ รวมไปถึงการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
รวมทั้งอาจพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไว้ในกรอบการทำงานด้านความเสี่ยงทางการเงินและการประกันภัยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
916 | การเสนอความเห็นการดำเนินการสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินผลที่กำหนดเป็นเวลา 3 ปี ติดต่อกัน | กค. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบผลการพิจารณาการดำเนินการสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินผลที่กำหนดเป็นเวลา
๓ ปี ติดต่อกัน จำนวน ๓ ทุน ประกอบด้วย (๑)
กองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (๒)
เงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ (๓)
กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สังกัดสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๓ ได้พิจารณาผลการประเมินผลการดำเนินงานทั้ง ๓
ทุนหมุนเวียนแล้วมีมติยุบกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
และยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา
สำหรับกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยให้ดำเนินการต่อไป แต่หากผลการประเมินของกองทุน
ประจำปีบัญชี ๒๕๖๔ ต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินผลที่กำหนด ให้ยุบเลิกกองทุนต่อไป
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปดำเนินการต่อไป
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
ส่วนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในประเด็นที่ไม่เห็นด้วยกับการยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
และมีนโยบายที่จะรวมภารกิจของเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชนกับกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษาให้เป็นกองทุนเดียวกัน
ไปพิจารณาทบทวนตามหน้าที่และอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
๒.
ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ยุบเลิกทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
917 | การเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2562 และปีบัญชี 2563 | กค. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบผลการพิจารณาเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
ปีบัญชี ๒๕๖๒ และปีบัญชี ๒๕๖๓ รวมจำนวน ๑๔ ทุนหมุนเวียน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน
๓,๑๑๒.๘๕ ล้านบาท จำแนกเป็นปีบัญชี ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐ ทุนหมุนเวียน รวมเป็นเงินจำนวน ๑,๙๕๐.๑๑
ล้านบาท และปีบัญชี ๒๕๖๓ จำนวน ๖ ทุนหมุนเวียน รวมเป็นเงินจำนวน ๑,๑๖๒.๗๔ ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายทุนหมุนเวียน
ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๓ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
ส่วนกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ กองทุนสิ่งแวดล้อม
เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู
และกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ
และกระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาทบทวนตามหน้าที่และอำนาจอีกครั้งหนึ่ง โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะขอไม่นำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของกองทุนสิ่งแวดล้อมส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินในปีบัญชี
๒๕๖๓ เนื่องจากคาดว่ากองทุนสิ่งแวดล้อมจะมีเงินคงเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ไม่เพียงพอรองรับประมาณการรายจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕
ประกอบกับกองทุนสิ่งแวดล้อมเป็นกองทุนไม่แสวงหาผลกำไร
โดยผลประโยชน์ที่เกิดจากกองทุนนี้นำไปหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนให้กับโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทั้งเงินกู้และเงินอุดหนุน
ซึ่งส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนต่อไป
และกระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าในส่วนของเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู
กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด
และการนำทุนหรือกำไรส่วนกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑
แต่การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูขาดสภาพคล่องทางการเงินและมีเงินไม่เพียงพอในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๖ ไปพิจารณาทบทวนตามหน้าที่และอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ๒.
ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนพิจารณากำหนดระยะเวลาการนำส่งทุนหรือผลกำไรส่วนเกินที่ต้องส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินที่ชัดเจน
และรายงานผลการนำส่งทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
918 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางสาวกุลยา ตันติเตมิท) | กค. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
919 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายณัฐกร อุเทนสุต) | กค. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายณัฐกร อุเทนสุต ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต ใหดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต
(นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่
๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
920 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 24 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | กค. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน
(ASEAN Finance Ministers’ Meeting : AFMM) ครั้งที่
๒๔ การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN
Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting : AFMGM) ครั้งที่
๖ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล
เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยมีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้แทนกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุม
โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น (๑) รับทราบสรุปสถานการณ์เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนและการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน
วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน การเงินสีเขียวและเศรษฐกิจดิจิทัล
และการสนับสนุนเงินทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอาเซียน
โดยเน้นถึงการสร้างเศรษฐกิจที่มีภูมิต้านทานให้เป็นเป้าหมายหลักของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเตรียมรับสภาวะความปกติใหม่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสติดเชื้อโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) คลี่คลายลง (๒) รับทราบประเด็นหลักเพื่อเป็นกรอบการดำเนินการ ปี
๒๕๖๓ ในด้านความร่วมมือด้านการเงินการคลัง ได้แก่ การส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน
และการส่งเสริมความเชื่อมโยงของระบบการชำระเงินในภูมิภาค และ (๓) การจัดทำแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจของอาเซียนที่ชัดเจน
ครอบคลุม และสามารถใช้ได้จริง เช่น การใช้นโยบายทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถดำเนินต่อได้
การป้องกันความเสี่ยงด้านเครดิตในภาคการเงิน และการสนับสนุนโลจิสติกส์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|