ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 181 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 3601 - 3620 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3601 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เพิ่มเติม | กค | 21/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2552 เพิ่มเติม ดังนี้ 1.1 ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดหน่วยงานในสังกัดเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐให้เป็นไปตามเป้า หมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ ควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณต่ำในช่วงต้นปีงบประมาณ โดยการปรับกระบวน การ/ขั้นตอนการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ซึ่งอาจจะพิจารณากำหนดตารางเวลาการจัดทำรายละเอียดโครงการ ให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะงบรายจ่ายลงทุน เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ และจะทำให้ การใช้จ่ายของภาครัฐสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว ไปพิจารณา ดำเนินการด้วย 1.2 ให้ส่วนราชการปรับแผนการฝึกอบรมและการประชุมสัมมนาให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนา ยน 2552 โดยให้ยึดแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 3 มีนาคม 2552 โดยให้ผ่านความเห็นชอบของรัฐมนตรีเจ้าสังกัดตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 2. สำหรับการพิจารณาจัดสรรงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ให้สำนักงบประมาณ ระงับการจัดสรรงบประมาณสำหรับการศึกษาดูงานในต่างประเทศ ส่วนการจัดประชุม อบรม และสัมมนาใน ประเทศ ให้ดำเนินการในต่างจังหวัดอย่างเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3602 | การเข้ารับตำแหน่งกรรมการบริหารกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในกองทุนการเงินระหว่างประเทศของไทย (นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป) | กค | 21/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบการแต่งตั้งนางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ
ไทย สายนโยบายการเงิน เข้ารับตำแหน่งกรรมการบริหารกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในกองทุน การเงินระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2554 ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3603 | ขออนุมัติวงเงินกู้เพื่อรองรับกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ | กค | 17/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อรองรับกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ตามมาตรา 20 (1) แห่งพระ ราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 จำนวน 94,000 ล้านบาท เพื่อให้เงินคงคลังอยู่ในระดับที่เพียงพอและรองรับการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยให้กระทรวงการคลังเป็น ผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะ สมและจำเป็น 2. ส่วนวงเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้เพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สำนัก งบประมาณจะพิจารณาให้สอดคล้องกับการดำเนินการของกระทรวงการคลัง และวงเงินรวมของงบประมาณราย จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3604 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของรัฐวิสาหกิจ | กค | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบต่อข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของรัฐ วิสาหกิจ 3 แห่ง ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวล ชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2552 โดยคณะกรรมการ ฯ เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สำหรับ กปภ. จำนวน 1,174.711 ล้านบาท และ รฟท. จำนวน 2,355 ล้านบาท ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ ส่วนกรณีของ ขสมก. เนื่องจากกระทรวงคมนาคมแจ้งว่า ขสมก. ไม่สามารถให้บริการรถโดยสารตาม โครงการเช่ารถ NGV จำนวน 4,000 คัน ได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จึงเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการ สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของ ขสมก. จำนวน 1,128 ล้านบาท ตามข้อเสนอของกระทรวงคมนา คม 2. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) และกระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย และ ขสมก.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้ กปภ. จัดทำ ระบบบัญชี โดยแยกบัญชีรายได้และค่าใช้จ่ายของการให้บริการเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม เพื่อให้การคำนวณต้นทุน และประมาณการทางการเงินมีความชัดเจน และให้ความสำคัญในการบริหารต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานให้ มีประสิทธิภาพ กับให้ รฟท. เร่งนำเสนอแผนฟื้นฟูกิจการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูป ธรรมโดยเร็วทั้งในการปรับองค์กร การบริหารจัดการเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มจากสิน ทรัพย์ของ รฟท. และให้ ขสมก. พิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2551 ที่เห็นชอบ การปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการของระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพโดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กร และอัตรากำลังเพื่อลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานในภาพรวม และทบทวนประมาณการฐานะการเงินให้สอดคล้องกับแนว ทางการดำเนินงานดังกล่าว รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับขั้นตอนการขอรับการจัดสรรงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของรัฐวิสาหกิจทั้ง 3 แห่ง จะต้องแสดงเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ในการเสนอขออนุมัติปรับราคาที่เป็นธรรมในทุกมิติ ทั้งในมิติความเป็นธรรมของประชาชน มิติความเป็นธรรมของ องค์กร และมิติความเป็นธรรมของรัฐ และแสดงให้เห็นว่าหากปรับราคาค่าบริการอย่างเป็นธรรมและหากจำเป็น ต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล องค์กรจะมีรายได้และการบริหารจัดการเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ให้มีการประเมิน ผลการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาการขอรับเงินอุดหนุนในปีต่อ ๆ ไป และปรับโครงสร้างราคาค่า บริการให้สอดคล้องกับต้นทุนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดวงเงินอุดหนุนการบริการสาธารณะในปี ต่อ ๆ ไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3605 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม-กันยายน 2551) ปีงบประมาณ 2551 และเรื่องรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม-ธันวาคม 2551) ปีงบประมาณ 2552 | กค | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม-กันยายน 2551) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 และขอแก้ไขรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 (เมษายน-มิถุนายน 2551) ปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2551 2. รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม-ธันวาคม 2551) ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 สรุปได้ดังนี้ สินค้าฟุ่มเฟือย 17 กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม 388.357 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลด ลงจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 9.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 2.41 ส่วนมูลค่าการ นำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่ม เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ 1 ของปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2552 (40,156.122 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้ามีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 0.97 ของมูล ค่านำเข้าร่วม และเปรียบเทียบมูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่ยเฟือยในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นจำนวน 6 กลุ่ม ทั้งนี้ สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูล ค่านำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง เลนซ์ ส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น 6 กลุ่ม เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2551 โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รองเท้าหนังและ รองเท้าผ้าใบ ผลไม้ เลนซ์ ไวน์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3606 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม-กันยายน 2551) ปีงบประมาณ 2551 และเรื่อง รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม-ธันวาคม 2551) ปีงบประมาณ 2552 | กค | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม-กันยายน 2551) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 และขอแก้ไขรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 (เมษายน-มิถุนายน 2551) ปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2551 2. รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม-ธันวาคม 2551) ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 สรุปได้ดังนี้ สินค้าฟุ่มเฟือย 17 กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม 388.357 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลด ลงจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 9.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 2.41 ส่วนมูลค่าการ นำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่ม เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ 1 ของปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2552 (40,156.122 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้ามีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 0.97 ของมูล ค่านำเข้าร่วม และเปรียบเทียบมูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่ยเฟือยในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นจำนวน 6 กลุ่ม ทั้งนี้ สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูล ค่านำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ น้ำหอมและเครื่องสำอาง เลนซ์ ส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น 6 กลุ่ม เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2551 โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รองเท้าหนังและ รองเท้าผ้าใบ ผลไม้ เลนซ์ ไวน์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3607 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละ เมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สถาบัน คุ้มครองเงินฝากเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อให้ผู้ ปฏิบัติหน้าที่ของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับ ผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ได้บัญญัติให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีพระ ราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้รับความคุ้มครองในกรณีที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยสุจริต แต่โดยที่ปัจจุบันได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระ ราชบัญญัตินี้ รวมทั้งสิ้น 15 ฉบับ ทำให้ไม่สะดวกต่อการค้นคว้าและอ้างอิง จึงเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาพิจารณาปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ให้เป็นฉบับเดียว เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการค้นคว้าและอ้าง อิง ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3608 | การทบทวนความต้องการแหล่งทุนสามัญของ ADB | กค | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการเพิ่มทุนธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian development Bank : ADB)
ครั้งที่ 5 ตามทางเลือกที่ 3 กล่าวคือ เพิ่มทุนร้อยละ 200 ของ GCI โดยระดมเงินทุนในรูปของ Paid-in Capital ร้อย ละ 4 และมีระดับการให้กู้คงที่ 13 พันลานดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้สมมติฐานที่ว่าการให้กู้มีอัตราการเจริญเติบโตตาม ระดับการเติบโตเศรษฐกิจที่อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้กระทรวงการคลังจัดทำกรอบการเจรจาเพื่อเสนอต่อรัฐ สภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับงบประมาณเพื่อสนับสนุนการเพิ่มทุนดังกล่าว ให้กระทรวงการคลังเสนอขอรับจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็น ตามความเห็น ของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3609 | การปรับปรุงอัตราภาษีป้ายตามแผนปฏิบัติการในการจัดระเบียบป้าย | กค | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่อง การปรับปรุงอัตราภาษีป้ายตามแผนปฏิบัติการในการจัดระเบียบ
ป้าย คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3610 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงานและการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการ ประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่ เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบ ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1.1 ยกเลิกการฝึกอบรมจากเดิมที่กำหนดเป็น 3 ระดับ คือ การฝึกอบรมระดับต้น การฝึก อบรมระดับกลาง และการฝึกอบรมระดับสูง และกำหนดให้การฝึกอบรมข้าราชการมี 2 ประเภท คือ 1.1.1 การฝึกอบรมข้าราชการประเภท ก ได้แก่ การฝึกอบรมที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม เกินกึ่งหนึ่งเป็นบุคลากรของรัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับทักษะพิเศษ ข้าราชการ ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ระดับทรงคุณวุฒิ ข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับ สูง และข้าราชการตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น และระดับสูง หรือตำแหน่งที่เทียบเท่า 1.1.2 การฝึกอบรมข้าราชการประเภท ข ได้แก่ การฝึกอบรมที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม เกินกึ่งหนึ่งเป็นบุคลากรของรัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ระดับชำนาญ งาน และระดับอาวุโส ข้าราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ระดับชำนาญการ และระดับ ชำนาญการพิเศษ และข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น หรือตำแหน่งที่เทียบเท่า 1.2 ปรับตำแหน่งข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรมให้สอดคล้องกับระบบตำแหน่งใหม่ 2. ให้กระทรวงการคลังแก้ไขข้อความในร่างข้อ 2 ของร่างระเบียบกระทรวง ฯ เป็น "ระเบียบนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป" ตามข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3611 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่
คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ตรวจพิจารณาแล้ว ตาม ที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกองค์ประกอบของคณะกรรมการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหา พัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จากเดิมที่กำหนดเกณฑ์ การพิจารณาให้แต่งตั้งจากข้าราชการ เป็นให้แต่งตั้งจากข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย หรือพนักงานของรัฐเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย โดยคำนึงถึงลักษณะหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ที่ได้รับแต่ง ตั้งเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และให้ดำเนิน การต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3612 | คณะกรรมการต่างๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 14 คณะ) | กค | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณเะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ของกระทรวงการคลัง จำนวน 14 คณะ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณา ด้วยว่าคณะกรรมการต่าง ๆ ที่กระทรวงการคลังเสนอขอแต่งตั้งในครั้งนี้ ปรากฏว่ามีการเสนอแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการหลายแบบ โดยคณะกรรมการป้องปรามธุรกิจการเงินนอกระบบระบุชื่อและตำแหน่งของผู้ทรงคุณ วุฒิอย่างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในภายหลังอีก ส่วนคณะกรรมการเพื่อพิจารณา กำหนดขอบเขตที่ดินกำแพงเมือง-คูเมือง ระบุกระบวนการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังเป็นผู้แต่งตั้งเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะไปแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิอีก ครั้งหนึ่ง แต่คณะกรรมการกำกับนโยบายราคากลางงานก่อสร้าง และคณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติมิได้ ระบุชื่อผู้ทรงคุณวุฒิและกระบวนการว่าให้ใครเป็นผู้แต่งตั้ง ซึ่งทำให้ไม่มีความชัดเจนและจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ จึงเห็นสมควรระบุชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ หรือระบุว่าจะให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายผู้ใดเป็นผู้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ และเมื่อ คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการ จำนวน 14 คณะ ดังกล่าวแล้ว การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการใน คณะกรรมการต่าง ๆ กระทรวงการคลังควรแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยระบุชื่อบุคคลตามนัยความเห็นของ คณะกรรมการกฤษฎีกา (30 เมษายน 2530) เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเห็นว่า การแต่งตั้ง บุคคลใดเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒินั้น จะต้องพิจารณาถึงคุณวุฒิของบุคคลนั้น เป็นการเฉพาะตัว มิใช่พิจารณา ถึงตำแหน่งที่บุคคลนั้นดำรงอยู่
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3613 | รายงานผลการดำเนินงานของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ไตรมาสที่ 2 ปี 2551 | กค | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ไตรมาสที่
2 ปี 2551 (1 เมษายน - 30 มิถุนายน 2551) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ดังนี้ 1. การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาส 2 บสท. บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณ ภาพจนมีข้อยุติ รวมทั้งสิ้น 15,224 ราย มูลค่าทางบัญชี 775,358 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของสินทรัพย์ ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาทั้งหมด 2. ทรัพย์สินรอการขายของ บสท. ได้รับโอนมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ จากการตีโอนตามแผนปรับโครง สร้างหนี้ และจากการบังคับหลักประกัน 3. งบดุล ณ 30 มิถุนายน 2551 บสท. มีสินทรัพย์รวม 252,041.48 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 125,576.44 ล้านบาท รวมทั้งมีส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 1,207.22 ล้านบาท ประกอบด้วย ทุนประเดิมจากกอง ทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1,000 ล้านบาท และรายรับสุทธิจากทุนประเดิม 207.22 ล้าน บาท 4. งบรายรับและรายจ่ายจากทุนประเดิม บสท. มีรายรับจากผลตอบแทนการลงทุนของทุนประเดิม จำนวน 17.89 ล้านบาท 5. งบรายรับหรือรายจ่ายสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน บสท. มีรายรับสุทธิรอปันส่วนไปยัง สินทรัพย์รับโอน 9,667.86 ล้านบาท 6. การดำเนินงานด้านอื่นๆ ของ บสท. มีโครงการสมาชิกนักขาย จัดกิจกรรม Road Show ในจังหวัด ต่าง ๆ และร่วมมือกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และสหกรณ์เคหสถานเครือข่ายสลัมพระราม 3 จำกัด สร้างโครงการบ้านมั่นคง 5
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3614 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วย
เหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุง แก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดมีวงเงินทดรองราชการ ฯ แทนที่ทำ การปกครองจังหวัด รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่แทนที่ทำการปกครองจังหวัดที่มีอยู่เดิม และให้ส่งคณะกรรมการตรวจ สอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3615 | ขอถอน เรื่อง แก้ไขกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 รวม 4 ฉบับ | กค | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎหมาย รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติสงเคราะห์ข้าราชการผู้ได้รับอันตรายหรือการป่วยเจ็บเพราะเหตุปฏิบัติราช การ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. ร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 3. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและอัตราในการจ่ายเงินสงเคราะห์และกำหนด ลักษณะของความพิการทุพพลภาพขนาดหนักจนเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งในการประกอบอาชีพหรือในการดำรง ชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 4. ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอรับและการจ่ายบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3616 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 สมัยพิเศษ และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
คลังอาเซียน+3 สมัยพิเศษ (Special ASEAN+3 Finance Ministers'' Meeting Special AFMM+3) และการประชุม อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2552 ณ จังหวัดภูเก็ต โดยสาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและผลกระทบที่มีต่อภูมิภาคเอเชีย โดย เฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกเพื่อรองรับวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลก และรับทราบความคืบ หน้าการเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง G-20 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณา จักร โดยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1) Macroeconomic policy coordination 2) Preventing Protec tionism และ 3) International Financial Market Reform โดยแบ่งคณะทำงานออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อเสนอแนะแผน ปฏิบัติการเร่งด่วน ได้แก่ คณะทำงานที่ 1 Financial Supervision and Regulation คณะทำงานที่ 2 International Cooperation and market integrity คณะทำงานที่ 3 IMF Reform และคณะทำงานที่ 4 Reform of Multilateral Development Banks (MDBs) ซึ่งที่ประชุมได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ อาทิ การ ต่อต้านการกีดกันทางการค้า การดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส และการปฏิรูป MDBs เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3617 | มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี | กค | 17/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ 1. เห็นชอบให้แก้ไขข้อความในหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 1010/4677 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2552 ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 หน้า 1 ย่อหน้าที่ 2 บรรทัดที่ 8-12 ให้แก้ไขถ้อยคำจากเดิม "... เพื่อหารือในรายละเอียด ในการจัดตั้งกองทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสัดส่วนการลงเงินของแต่ละประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งในเบื้องต้นสามารถตกลงกันได้แล้ว โดยฝ่ายไทยจะต้องลงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในกองทุน CMIM ประมาณ 4.77 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ แต่ไม่เกิน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งการผูกพันวงเงินดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและจากรัฐสภาตามมาตรา 109 ของรัฐธรรมนูญ ..." เป็น "... เพื่อหารือแนวคิดในการจัดตั้งกองทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสัดส่วนการลงเงินของแต่ละประเทศใน กลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งไทยอาจจะต้องลงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในกองทุน CMIM ประมาณ 4.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ไม่เกิน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการผูกพันวงเงินดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับ ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและจากรัฐสภาตามมาตรา 109 ของรัฐธรรมนูญ ..." 1.2 หน้า 2 บรรทัดที่ 1-3 ให้แก้ไขถ้อยคำจากเดิม "... เพื่อให้ความเห็นชอบให้ธนาคารแห่ง ประเทศไทยผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพื่อใช้ในการ ลงเงินในกองทุน CMIM ตามนัยข้างต้น" เป็น "... เพื่อให้ความเห็นชอบกรอบการเจรจาที่จะให้ธนาคารแห่ง ประเทศไทยพิจารณาการผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในการลงเงินกองทุน CMIM ได้ในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และให้นำเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาก่อนดำเนินการต่อไป" 2. เห็นชอบกรอบการเจรจาที่จะให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาการผูกพันเงินทุน สำรองระหว่างประเทศในการลงเงินในกองทุนภายใต้มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation : CMIM) ได้ในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และให้นำเสนอขอ ความเห็นชอบต่อรัฐสภาก่อนดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3618 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ระดับ 10 (กระทรวงการคลัง) (ร้อยโท นพดล พันธุ์กระวี) | กค | 17/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งร้อยโท นพดล พันธุ์กระวี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการ
คลัง (เศรษฐกร 10 ชช.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 ซึ่ง เป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 3619 | การให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ Japan Finance Corporation (JFC) | กค | 17/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้
1. เห็นชอบให้เจ้าหน้าที่ Japan Finance Corporation (JFC) ปฏิบัติภารกิจในราชอาณาจักรไทยภาย ใต้ความตกลงระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ และเห็นชอบในหลักการร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลญี่ปุ่นเกี่ยวกับการให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ JFC 2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็น ผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นในหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
| 3620 | ขออนุมัติวงเงินชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประสบอุทกภัย ปีบัญชี 2549 เพิ่มเติม | กค | 17/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการเงินงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ของเกษตรกรให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการดำเนินการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ ประสบอุทกภัย ปี 2549 เพิ่มเติมประมาณ 660.39 ล้านบาท โดยให้มีการชดเชยแก่ ธ.ก.ส. เป็นปี ๆ ไปตามข้อ เท็จจริงภายใน 3 ปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับอัตราดอกเบี้ยให้สนับสนุนในอัตราร้อยละ 5.75 ต่อ ปี โดยเป็นอัตราต้นทุนในการดำเนินงานรวมของ ธ.ก.ส. และเมื่อสิ้นสุดโครงการ ฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 ให้ ธ.ก.ส. ประมวลผลความเสียหายตามโครงการ ฯ ทั้งการชดเชยดอกเบึ้ยหนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตตามที่เกิดขึ้นจริงพร้อมวงเงินที่จะชดเชยจากรัฐบาล เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 2. ให้กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความ เห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญการลงทะเบียน ของเกษตรกรตั้งแต่ก่อนทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และทำการประมงในแต่ละปี เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการ ประมาณการความเสียหายและการขอรับเงินชดเชยจากภัยพิบัติได้อย่างถูกต้องเป็นธรรม รวมทั้งให้มีคณะกรรม การตรวจสอบความเสียหายจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ประชาชน และประชาคมในหมู่บ้าน เพื่อร่วมกันตรวจสอบ ข้อมูลเกษตรกรที่ลงทะเบียนไว้ก่อนฤดูกาลเพาะปลูก และตรวจสอบความเสียหายของเกษตรกรเมื่อเกิดภัยธรรม ชาติ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับการขยายผลแนวทางและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการประกัน ภัยพืชผลให้ครอบคลุมประเภทของภัยพิบัติ จำนวนพื้นที่ และเกษตรกรลูกค้าของ ธ.ก.ส. ให้มากขึ้น เพื่อให้เป็น เครื่องมือในการลดผลกระทบภัยพิบัติต่าง ๆ ให้กับเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
