ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 190 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 3781 - 3800 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 3781 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบัญชีอัตราเงินเดือนเพื่อใช้ในการคำนวณเงินสะสม เงินสมทบ เงินชดเชย และบำเหน็จบำนาญของพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ. .... | กค | 17/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดบัญชีอัตราเงินเดือน
เพื่อใช้ในการคำนวณเงินสะสม เงินสมทบ เงินชดเชย และบำเหน็จบำนาญของพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ กำหนดอัตราเงินเดือนอ้างอิงของพนักงานมหาวิทยาลัยสำหรับใช้ในการคำนวณเงินสะสม เงินสมทบ เงิน ชดเชย และบำเหน็จบำนาญของพนักงานมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการให้สอดคล้อง กับการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการพลเรือน และการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน และ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3782 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2550 และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2550) | กค | 17/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวล
รัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณา แล้ว มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2550 และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2550 สำหรับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคหรือที่ ได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการในการจัดการแข่งขันกีฬา ฯ และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบ การเฉพาะการบริจาคสินค้าหรือการให้บริการแก่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2550 และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2550 โดยไม่มีประโยชน์หรือค่าตอบแทน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3783 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 กันยายน 2545 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการขาดทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ (ในประเด็นที่เกี่ยวกับการรายงานฐานะทางการเงินรายไตรมาส) | กค | 17/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กันยายน
2545 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการขาดทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ โดยแก้ไขข้อความเฉพาะ ข้อ 2.2 เป็นดังนี้ "ให้รัฐวิสาหกิจ องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล กิจการของ รัฐซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งขึ้นหรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ บริษัทจำกัด หรือบริษัท (มหาชน) จำกัด ที่หน่วย งานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ จัดส่งข้อมูลและรายงานต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการคลัง กำหนดเข้าสู่ระบบงาน GFMIS-SOE เพียงระบบเดียว" ทั้งนี้ เพื่อความประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐ โดย ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาด้วยอาทิ ข้อสังเกตของสำนักงบประมาณกรณี รัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งต้องรายงานผลประกอบการไปยังตลาดหลักทรัพย์ ฯ มักจะให้ความสำคัญในการรายงานตลาดหลักทรัพย์มากกว่าการรายงานตามระบบของกระทรวงการคลัง ซึ่งอาจส่ง ผลให้ฐานข้อมูลด้านรัฐวิสาหกิจในภาพรวมไม่สมบูรณ์ เป็นต้น และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ว่าควรกำหนดเฉพาะการจัดทำข้อมูลรายงานฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น |
||||||||||||||||||||||||
| 3784 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กรณีธนาคารแห่งประเทศไทย) | กค | 17/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐ
ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2551 ที่สำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานของ รัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ของธนาคารแห่ง ประเทศไทยซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ ฯ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3785 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 17/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการสำหรับ
การปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกา เงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ พ.ศ. 2544 มาตรา 8 โดยเพิ่มเติมกรณีข้าราช การหรือลูกจ้างประจำซึ่งมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการสำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ (สปพ.) ได้ รับคำสั่งให้เดินทางไปราชการชั่วคราวในกรณีอื่น ได้แก่ การไปปฏิบัติราชการชั่วคราวนอกที่ตั้งสำนักงานซึ่งปฏิบัติ ราชการปกติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาหรือตามหน้าที่ที่ปฏิบัติราชการโดยปกติและการไปรักษาการในตำแหน่ง นอก ที่ตั้งสำนักงานเกินกว่า 15 วัน ไม่มีสิทธิได้รับเงิน สปพ. สำหรับระยะเวลาที่เกิน 15 วัน และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3786 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)] | กค | 17/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความใน
ประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กิจการของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ในการให้ กู้ยืมเงินแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไป และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3787 | หลักเกณฑ์การค้ำประกันและการให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง | กค | 10/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศและร่างกฎกระทรวง รวม ๖ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เรื่อง หลักเกณฑ์และกรอบวงเงินการค้ำประกันและการให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ มีสาระสำคัญคือ กำหนดเพดานของวงเงินการค้ำประกัน หรือวงเงินให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐแต่ละราย โดยใช้สัดส่วนของหนี้ต่อวงเงินกองทุน (Debt Equity Ratio) เป็นเกณฑ์ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ ๒.๒ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันตามบัญชีท้ายกฎกระทรวง ซึ่งแยกออกเป็น ๒ กรณี คือ ๑) ผู้กู้เป็นหน่วยงานของรัฐ และ ๒) ผู้กู้เป็นรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมจะขึ้นอยู่กับระดับความน่าเชื่อถือของรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐนั้น ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้เรียกเก็บเงินสกุลตามที่ได้ค้ำประกัน ๒.๓ กำหนดระยะเวลาและกรอบในการประเมินระดับความน่าเชื่อถือของรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑ กำหนดให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อจากหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงินภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๓.๒ กำหนดให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บดอกเบี้ยให้กู้ต่อจากหน่วยงานดังกล่าวในอัตราและเงื่อนไขเดียวกับที่กระทรวงการคลังกู้มาจากแหล่งเงินกู้โดยรวมค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงินมาให้กู้ต่อด้วย ๓.๓ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อตามบัญชีท้ายกฎกระทรวง ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมการให้กู้ต่อ ให้เรียกเก็บเป็นเงินสกุลตามที่ได้ให้กู้ต่อ ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๔.๑ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดทำสัญญากับผู้กู้โดยเร็ว และสัญญากู้ต้องเป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด ๔.๒ กำหนดขั้นตอนในการเบิกถอนเงินกู้ การชำระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง และให้ผู้กู้ต่อรายงานผลการดำเนินการตามโครงการหรือแผนงานให้กระทรวงการคลังทราบ เพื่อประโยชน์ในการติดตามการใช้จ่ายเงินกู้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3788 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำเดือนเมษายน 2551 | กค | 10/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ณ
สิ้นเดือนเมษายน 2551 โดยกระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (ประจำ/ลงทุน) มีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลัง 877,007 ล้านบาท หรือร้อยละ 52.83 ของวง เงินงบประมาณ (1,660,000 ล้านบาท) จำแนกเป็น รายจ่ายประจำ 700,401 ล้านบาท หรือร้อยละ 52.78 ของ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง (1,327,087 ล้านบาท) และรายจ่ายลงทุน 176,606 ล้าน บาท หรือร้อยละ 53.05 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง (332,913 ล้านบาท)
|
||||||||||||||||||||||||
| 3789 | นโยบายการขอคืนที่ดินราชพัสดุเพื่อนำมาให้เกษตรกรเช่าทำการเกษตร | กค | 10/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้ ให้กระทรวงต่าง ๆ และส่วนราชการสำรวจ
และส่งคืนที่ราชพัสดุที่ครอบครองไว้เกินความจำเป็นและหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ และสามารถทำเกษตรกรรมได้ ให้ได้ โดยประมาณไม่ต่ำกว่า 1 ล้านไร่ ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งคืนที่ราชพัสดุ และเมื่อได้รับคืน ที่ราชพัสดุจากส่วนราชการ/หน่วยงานต่าง ๆ แล้ว ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลัง งาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันในการกำหนดแนวทางดำเนินการเพื่อให้มีการนำที่ดินดังกล่าวไปใช้เป็นพื้น ที่เกษตรกรรมได้อย่างเหมาะสม และเป็นรูปธรรม โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดเงื่อนไขและอัตราค่าเช่า ที่ดินให้เหมาะสม และเป็นธรรมแก่เกษตรกร และให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกัน พิจารณากำหนดนโยบาย กรอบแนวทาง และทิศทางในการดำเนินการ เพื่อให้มีการนำที่ดินไปใช้เป็นพื้นที่เกษตร กรรมได้อย่างเหมาะสม และเป็นธรรม โดยให้กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการ กำหนด จำนวนพื้นที่ที่จะจัดให้เกษตรกรแต่ละครอบครัวเช่า กำหนดจำนวนพื้นที่ที่จะเพาะปลูกพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน ให้สมดุลและเหมาะสม รวมทั้งมีการจัดการที่ดินและแหล่งน้ำเชิงบูรณาการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิด การผลิตการเกษตรที่เหมาะสมกับศักยภาพของดินต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 3790 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 (มกราคม - มีนาคม 2551) ปีงบประมาณ 2551 | กค | 10/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 (มกราคม-มีนาคม 2551)
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 โดยกระทรวงการคลังรายงานว่า การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย 17 กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้า รวม 398.806 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 จำนวน 108.261 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 37.26 โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่ม เมื่อเทียบกับมูลค่านำเข้ารวม ของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 (42,898.275 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้า สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง 17 กลุ่ม มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 0.93 ของมูลค่านำเข้ารวม และเมื่อเทียบมูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่ม เฟือยในช่วงไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 มีมูลค่านำเข้าเพิ่ม ขึ้น 15 รายการ ตั้งแต่ร้อยละ 16.55 ถึง 111.29 และมี 2 รายการ ที่มีมูลค่านำเข้าลดลงร้อยละ 3.49 ถึง 41.48 โดยสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า 75.310 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ สุราต่างประเทศ มูลค่านำเข้า 54.131 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และผลไม้ มูลค่านำเข้า 50.338 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น 15 รายการสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตก แต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล ไวน์ สุราต่างประเทศ นาฬิกาและอุปกรณ์ น้ำหอมและเครื่องสำอาง โดยมีอัตราการนำ เข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 111.29, 68.28, 67.62, 56.79 และ 51.32 ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||
| 3791 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2551 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 | กค | 10/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ
และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 สรุปได้ดังนี้ สถานะหนี้ สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 มีหนี้สาธารณะคงค้าง 3,374,966.08 ล้านบาท คิดเป็นร้อย ละ 36.85 ของ GDP ประกอบด้วย หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,140,502.53 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็น สถาบันการเงิน 951,525.96 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลค้ำประกัน 95,596.37 ล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 166,371.79 ล้านบาท และหนี้องค์ การของรัฐอื่น 20,969.43 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง 6 เดือน แรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 สามารถดำเนินงานตามแผนได้ทั้งสิ้น 517,746.24 ล้านบาท ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 91,719.73 ล้านบาท การบริหารหนี้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศของรัฐบาล 201,980.74 ล้านบาท ได้แก่ การ Roll-over ตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาล รวม ทั้งการกู้เงินและการบริหารหนี้เงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF ส่วนที่เหลือเป็นการบริหารหนี้และการก่อหนี้ ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ 244,045.77 ล้านบาท และจากผลการดำเนินงานสามารถลดยอดหนี้คงค้างลง 5,785.66 ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ 112 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่อยู่ภาย ใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะอีก 27,949.90 ล้านบาท เป็นการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มี สถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด 20,335.33 ล้านบาท และการ Roll-over เงินกู้ตามนโยบายรัฐบาล 4,614.57 ล้านบาท ผลจากการดำเนินงานสามารถลดยอดหนี้คงค้างลง 7,119.91 ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ 146.00 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
| 3792 | การขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสิทธิพิเศษของหน่วยงานต่างๆ [องค์การแบตเตอรี่ องค์การฟอกหนัง โรงเรียนสอนคนตาบอด สถานสงเคราะห์เด็กพิการและทุพพลภาพปากเกร็ด มูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (โรงเรียนศรีสังวาลย์ เดิม) และร้านสหกรณ์กองทัพภาคที่ 3 จำกัด] | กค | 10/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้สิทธิพิเศษแก่
หน่วยงานต่าง ๆ เนื่องจากยุบเลิกหน่วยงาน หรือไม่มีภารกิจในการผลิต รับจ้างทำ จำหน่าย ให้บริการ หรือ หมดความจำเป็นที่จะได้รับสิทธิพิเศษต่อไป หรือมีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ได้แก่ มติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2546 เรื่อง สิทธิพิเศษขององค์การแบตเตอรี่, มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2512 เรื่อง องค์การฟอกหนัง กระทรวงกลาโหม ขอรับสิทธิพิเศษ ขอให้กระทรวง ทบวง กรม ฯลฯ สั่ง จ้างหรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากองค์การแต่แห่งเดียว เป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องสืบราคาหรือประกวดราคา และมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2513 เรื่อง ขอผ่อนผันไม่ต้องทำสัญญาซื้อขายและจ้าง, มติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 30 สิงหาคม 2509 เรื่อง สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอให้องค์การและมูล นิธิสงเคราะห์คนพิการ ได้รับสิทธิในการจำหน่ายสิ่งผลิตแก่ทางราชการ เฉพาะในส่วนของโรงเรียนสอนคนตา บอดสถานสงเคราะห์เด็กพิการและทุพพลภาพปากเกร็ด และมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์สมเด็จ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี (โรงเรียนศรีสังวาลย์ เดิม) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2529 เรื่อง ร้านสหกรณ์กองทัพภาคที่ 3 จำกัด ขอรับสิทธิพิเศษในการจำหน่ายเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายทหารให้แก่ทาง ราชการ
|
||||||||||||||||||||||||
| 3793 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการคลัง) (นางจินดา เทพพัตรา) | กค | 10/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางจินดา เทพพัตรา ให้ดำรงตำแหน่งที่
ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ (นักวิชาการคลัง 10 ชช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวง การคลัง ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
|
||||||||||||||||||||||||
| 3794 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2551 | กค | 10/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี
2551 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบการออกหนังสือรับรองผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2551 เพื่อให้เกษตร กรใช้เป็นหลักฐานในการนำข้าวเปลือกไปฝากไว้กับโรงสีที่ขึ้นทะเบียนกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) โดย อคส. จะ ออกใบประทวนสินค้าให้แก่เกษตรกรนำมาจำนำกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ข้าวเปลือกที่เกษตรกรนำมาฝากไว้ โรงสีจะแปรสภาพเป็นข้าวสารแล้วนำไปเก็บรักษาไว้ในโกดังกล่าวซึ่งขึ้นทะเบียน ไว้กับ อคส. เพื่อรอการจำหน่ายต่อไป มีเป้าหมายปริมาณการรับจำนำ 2.5 ล้านตันข้าวเปลือก โดย อคส. เป็นผู้รับ ฝากและออกใบประทวนสินค้าตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 ระยะเวลาโครงการตั้ง แต่วันที่ 15 มิถุนายน 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 กำหนดราคารับจำนำสำหรับข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2551 ในความชื้นไม่เกิน 15% ดังนี้ ข้าวเปลือกเจ้านาปรัง 100% ราคาตันละ 14,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้านาปรัง 5% ราคาตันละ 13,800 บาท ข้าวเปลือกเจ้านาปรัง 10% ราคาตันละ 13,600 บาท ข้าวเปลือกเจ้านาปรัง 15% ราคาตันละ 13,200 บาท และข้าวเปลือกปทุมธานีชนิดสีต้นข้าว 42 กรัม ราคาตันละ 14,000 บาท สำหรับงบ ประมาณค่าใช้จ่าย ให้กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.) ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป และในการ ดำเนินโครงการ ฯ ให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) และสหกรณ์การเกษตรเข้าร่วมดำเนินการด้วย และให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับไปพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วย ว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พันตำรวจโท บรรยิน ตั้งภากรณ์) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายพงศ กร อรรณนพพร) และผู้อื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงองค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ของคณะทำงานต่าง ๆ ที่ทำหน้า ที่ในการบริหารจัดการ ติดตามกำกับการดำเนินงานตามโครงการ ฯ รวมทั้งการกำหนดขอบเขตและการแบ่งพื้นที่ ความรับผิดชอบในการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการ ฯ ให้เหมาะสม มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อเป็น การรักษาประโยชน์ที่สำคัญของเกษตรกรอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.) รับข้อสังเกตเพิ่มเติม ของสำนักงบประมาณที่ให้ ธ.ก.ส. พิจารณาทบทวนลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ต่าง ๆ ที่สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการแล้ว แต่ยังคงมีหนี้ค้างชำระคืนค่าผลผลิตที่จำนำไว้ เพื่อเป็นการช่วยลดภาระ ของงบประมาณ ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 3795 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนโครงการเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน) | กค | 03/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวล
รัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้ว มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าเครื่องมือหรืออุปกรณ์ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเข้ามาเพื่อมอบให้แก่หน่วยงานราชการตามโครงการเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศ โอโซน ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2547 เป็นต้นไป รวมทั้งให้การนำเข้าต้องมีหนังสือรับรองจากอธิบดีกรมโรง งานอุตสาหกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายว่านำมาใช้ตามโครงการเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และให้ ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3796 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการดำรงเงินกองทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการดำรงเงินสดสำรองและสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. .... | กค | 03/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการดำรงเงินกองทุนของ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องดำรงเงินกองทุน ซึ่งประกอบด้วยเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งและเงินกองทุนชั้นที่สอง กำหนดองค์ประกอบหลักของเงินกองทุนชั้นที่หนึ่ง และเงินกองทุนชั้นที่สอง และกำหนดอัตราส่วนเงินกองทุนต่อ สินทรัพย์และภาระผูกพันที่ ธ.ก.ส. จะต้องดำรงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8.50 และเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งต้องไม่ต่ำกว่าร้อย ละ 4.25 ทั้งนี้ เงินกองทุนชั้นที่สองมีจำนวนเงินสูงสุดไม่เกินเงินกองทุนชั้นที่หนึ่ง และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการ ดำรงเงินสดสำรองและสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ กำหนดให้ ธ.ก.ส. ต้องดำรงเงินสดสำรองและดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 ของยอดเงินฝากและยอดเงินกู้ยืมของ ธ.ก.ส. และกำหนดให้สินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามร่างกฎกระทรวง ให้คิดจากส่วนเฉลี่ยรายเดือนของทุกสิ้นวัน และส่วนเฉลี่ยรายเดือนของยอดรวมเงินฝากและเงินกู้อื่นทุกสิ้นวันของ เดือนก่อน และให้นับวันหยุดทำการรวมคำนวณเข้าด้วย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3797 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษของข้าราชการ และลูกจ้างประจำผู้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 03/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย
การเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษของข้าราชการและลูกจ้างประจำผู้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้น สูงของอันดับหรือตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย การเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษของข้าราชการและลูกจ้างประจำผู้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้น สูงสุดของอันดับหรือตำแหน่ง พ.ศ. 2550 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 ดังนี้ แก้ไขนิยามคำว่า "ข้าราชการ" และ "ใกล้ถึงขั้นสูง" และแก้ไขถ้อยคำในข้อ 5 ข้อ 6 และข้อ 7 ของระเบียบ ฯ จาก "ถึงขั้นสูงหรือ ใกล้ถึงขั้นสูงของอันดับหรือตำแหน่ง" เป็น "ถึงขั้นสูงหรือใกล้ถึงขั้นสูงของระดับตำแหน่งในแต่ละประเภทตำแหน่ง รวมทั้งกำหนดการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับระบบ GFMIS โดยไม่ปัดเศษสตางค์ทิ้ง และให้ส่งคณะกรรมการตรวจ สอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3798 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 12 | กค | 03/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
อาเซียน ครั้งที่ 12 (12th ASEAN Finance Ministers'' Meeting) ระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน 2551 ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยสาระสำคัญของการประชุมประกอบด้วย การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Ministerial Retreat) ซึ่งที่ประชุมได้หารือถึงภาวะเศรษฐกิจของโลก และของภูมิภาค การดำเนินนโยบายของประเทศในการกำกับดูแลภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในตลาดทุน และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 12 มีหัวข้อการประชุมประกอบด้วย การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา ความร่วมมือทางการเงินภาย ใต้ Roadmap for Financial and Monetary Integration การสร้างความเข้มแข็งแก่ตลาดทุน การเปิดเสรีบริการ ด้านการเงิน ความร่วมมือด้านศุลกากร กลไกเพื่อสนับสนุนการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้น ฐานความร่วมมือเพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การยกระดับให้อาเซียนเป็นภูมิภาคของการลง ทุน และการจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งที่ประชุม ฯ มีมติให้มีการเรียงลำดับรอบการเป็นประธานและเจ้าภาพใหม่ โดยเริ่มที่ประเทศ ไทยรับเป็นประธาน และเจ้าภาพจัดการประชุมในปี พ.ศ. 2552 โดยอนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นประธาน และ เจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว โดยค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมให้กระทรวงการคลังขอรับการจัดสรรงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
| 3799 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้น้ำมัน E 85 | กค | 03/06/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้
น้ำมัน E 85 โดยยกเว้นอากรขาเข้าชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ E 85 ที่มีลักษณะและเป็นอุปกรณ์หลักเพื่อปรับเปลี่ยน มาใช้น้ำมัน E 85 และไม่มีผลิตในประเทศเป็นการชั่วคราว 3 ปี (นับตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ) และลดอัตรา ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ E 85 ลงเหลือร้อยละ 25 30 และ 35 ตามขนาดเครื่องยนต์เท่ากับอัตราภาษีสรรพสามิต รถยนต์ E 20 ในปัจจุบัน รวมทั้งลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน E 85 เหลือ 2.5795 บาทต่อลิตร จาก 3.6850 บาทต่อลิตร ซึ่งคิดตามค่าประสิทธิภาพความร้อน หรือร้อยละ 70 ของอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน 95 เมื่อ กฎหมายมีผลบังคับใช้
|
||||||||||||||||||||||||
| 3800 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ออกตามความในพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494) และ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539) รวม 2 ฉบับ | กค | 27/05/2551 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับ
บำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ มีสาระสำคัญคือ ขยายเพดานของวงเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ ผู้รับบำนาญ ซึ่งมีอายุ 65 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปจากเดิมที่ให้ขอรับได้ในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับแต่ไม่ เกิน 200,000 บาท เป็นให้ขอรับได้ในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับแต่ไม่เกิน 400,000 บาท โดยการ ขอรับต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการหรือชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรืออาคาร หรือห้องชุดหรือชำระหนี้ค่าปลูกสร้างอาคารหรือต่อเติม ขยาย ซ่อมแซมอาคารบ้านเรือน หรือห้องชุด หรือชำระหนี้ เงินกู้นอกระบบ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับกรณีที่กำหนดให้บำเหน็จดำรงชีพให้จ่ายในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่ เกิน 200,000 บาท เว้นแต่ผู้รับบำนาญอายุ 65 ปีขึ้นไปให้จ่ายบำเหน็จดำรงชีพได้ในอัตรา 15 เท่าของบำนาญ รายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 400,000 บาท ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ที่กำหนด ทำให้เข้าใจว่า บำเหน็จดำรงชีพ สามารถจ่ายได้ 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ถึง 65 ปี สามารถขอรับบำเหน็จดำรงชีพได้ 15 เท่า แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และครั้งที่ 2 ผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไปสามารถขอรับบำเหน็จดำรงชีพได้ 15 เท่า แต่ ไม่เกิน 400,000 บาท ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ที่กำหนด และโดยที่การจ่ายบำเหน็จดำรงชีพไม่สามารถจ่ายได้ 2 ครั้ง เนื่องจากเกินหลักการที่พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2549 และพระราชบัญญัติกองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 ได้บัญญัติให้จ่ายได้เพียงครั้งเดียว สมควรดำเนินการให้เกิดความชัดเจน ทั้งผู้จ่ายและผู้ขอรับบำเหน็จดำรงชีพ นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้เกษียณอายุราชการเมื่อครบอายุ 60 ปี ยังไม่ได้ขอใช้ สิทธิรับบำเหน็จดำรงชีพ มาขอรับบำเหน็จดำรงชีพตอนอายุ 65 ปีขึ้นไป จะต้องอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ตาม ที่กำหนดในร่างกฎกระทรวง ฯ ด้วยหรือไม่ ซึ่งหากต้องอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ดังกล่าวอาจจะเกิดความไม่เท่า เทียมกับผู้ขอรับบำเหน็จดำรงชีพที่มีอายุ 60 ปี แต่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์นั้น ไปพิจารณาด้วย แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ และเห็นชอบให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า งบประมาณที่จะ ต้องใช้ในการขยายเพดานวงเงินบำเหน็จดำรงชีพเป็น 400,000 บาท นั้น เนื่องจากมิได้จัดเตรียมงบประมาณเพื่อ การปรับเพิ่มดังกล่าวไว้ จึงเห็นควรพิจารณาเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 งบ กลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว จำนวน 73,145 ล้านบาท ไปพิจารณา ดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
.....
